กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1900)

เถรี 08-06-2010 16:06

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓
 
ถาม : ถ้าเราถือศีลแปด ตอนเย็นเราสามารถกินน้ำมันได้ไหมคะ อย่างพวกวิตามิน น้ำมันรำข้าว น้ำมันตับปลา?
ตอบ : นั่นมันเป็นวิตามิน..แต่ถ้ายังเป็นน้ำมันอยู่..กินได้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาต สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ ก็คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย

เถรี 08-06-2010 16:08

"งานทุกอย่างถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก แม้กระทั่งในการต่อสู้ ใครก็ตามที่สามารถรักษาสติสัมปชัญญะและสมาธิเอาไว้ได้ โอกาสชนะจะมีมากกว่า"

เถรี 08-06-2010 16:41

พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปที่บึงลับแลในช่วงที่ผ่านมา แล้วสอนว่า "พอคนเราเหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยแทบปางตาย ส่วนใหญ่จะลืมความดีหมด ไปนึกอยู่แต่อาการเฉพาะหน้าของตัวเอง ลักษณะอย่างนั้นถ้าตายไปโอกาสจะไปดีนั้นมีน้อย ต้องเกาะความดีได้ทุกเวลา ไม่ใช่พอถึงเวลาหอบแฮ่ก ๆ แล้วก็นึกถึงแต่ความเหนื่อย

ไม่ว่าสถานการณ์ไหน จะต้องจับภาพพระหรือคำภาวนาตลอด จะเห็นได้ว่าอาตมาหิ้วข้าวของเข้าไปให้พวกเราได้ ไม่เห็นมีอะไร..แค่น้ำแข็งกระติกเดียว ภาวนาคาถาเงินล้านครบหนึ่งจบก็เปลี่ยนมือที่ถือกระติกเป็นอีกข้างหนึ่ง ใช้วัดตัวเองได้ด้วย นอกจากไม่เมื่อยแล้วยังได้สมาธิภาวนาอีกต่างหาก

อาตมาไปในลักษณะที่คนอื่นเห็นว่าช้าแต่ไปเร็ว ลักษณะอย่างนั้นนี่ต้องซ้อมให้ชิน พอชินกับการภาวนา ชินกับการเดินแล้ว ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายของเราจะก้าวยาวเท่ากัน กำลังใจตั้งแต่ต้นทางและปลายทางจะทรงตัวเท่ากัน

ตอนที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ไปเดินบิณฑบาต ทางป่าไม้เขาให้คนงานไปช่วยหิ้วปิ่นโตหิ้วกับข้าว หิ้วไปหิ้วมาเขาก็หายกันไปหมด หัวหน้าคนงานก็ไปด่าลูกน้อง ลูกน้องก็บอกว่า "ไม่เอา ไปกับอาจารย์เดินไม่ทัน เหนื่อยฉิบ..เลย" เขาก็สงสัย ทำไมพวกนั้นบอกว่าเดินไม่ทัน เพราะพวกนั้นเดินเขาต้องวิ่งตาม..!

เราก็เดินภาวนาไปเรื่อย ๆ พอเพลินกับการภาวนาก็ลืมเหนื่อย แต่คนทั่ว ๆ ไป พอเหนื่อยขึ้นมาก็จะคิดแค่ตรงที่ตัวเองเหนื่อย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ กลายเป็นซ้ำเติมตัวเอง"

เถรี 08-06-2010 16:46

ถาม : การที่ทรงความปีติเอาไว้ในใจตลอด ยังดีไม่พอหรือคะ?
ตอบ : ยัง..ดีเหมือนกัน แต่ยังไม่ดีพอ ลองสังเกตดู พอเราเผลอเมื่อไร ก็โดนกิเลสตอดเล็กตอดน้อยอยู่เรื่อย

ปีติมันยังไม่ใช่ฌาน กำลังต่ำเกินไป อย่างน้อย ๆ ควรให้เป็นอุปจารฌานหรือปฐมฌาน ในเมื่อกำลังยังไม่หนักแน่นพอ เมื่อเราเผลอกิเลสก็ตอดเล็กตอดน้อยไปเรื่อย

เถรี 08-06-2010 18:21

ในขณะที่เถรีนั่งอ่านหนังสือนิยายเรื่อง นวจันทรา หลวงพ่อจึงได้กล่าวถึงตอนหนึ่งในหนังสือให้ฟังว่า "จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาบอกว่า เผ่าพันธุ์ของมนุษย์หมาป่าจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ของผีดูดเลือด

ถ้าผีดูดเลือดมีมาก มนุษย์หมาป่าก็จะเกิดมาก ถ้าผีดูดเลือดมีน้อย มนุษย์หมาป่าก็จะเหลือน้อย มาถึงตรงนี้นึกอะไรได้บ้าง ?

นึกถึงเรื่องที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเรื่องพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ ท่านบอกว่า น้ำถึงไหนปลาถึงนั่น พุทธศาสตร์เจริญรุ่งเรือง ไสยศาสตร์ก็รุ่งตาม ถ้าหากพุทธศาสตร์ตกต่ำ ไสยศาสตร์ก็ตกต่ำด้วย

เหตุเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีขึ้นได้ เกิดจากความนิยมชมชอบของคน ในเมื่อชอบก็จะปฏิบัติ พอปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พุทธศาสตร์ก็รุ่งเรือง ทางด้านคนที่ชอบไสยศาสตร์พอปฏิบัติเต็มที่ก็เจริญเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..มนุษย์หมาป่าในหนังสือช่วงนี้เกิดเยอะ เพราะผีดูดเลือดมารวมตัวกันมาก"

เถรี 08-06-2010 20:31

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องสัตว์ดูดเลือด อย่างเช่นปลิงหรือทาก แล้วสรุปให้ฟังว่า "เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่กลัว ความสยองก็จะน้อยลงไปเยอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปกลัว ในเมื่อเรากลัว พอไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ บางทีก็สติขาด พอขาดสติก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก"

เถรี 08-06-2010 20:42

ถาม : เวลาดิฉันขับรถ จะสวดเมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯลฯ
ตอบ : หลวงปู่ดู่ท่านบอกไว้ว่า ใครท่องคาถานี้ ผีหรือเทวดาจะเกิดความรักเมตตา ถ้าหากขอให้ท่านคุ้มครองรักษา ท่านก็ยินดีและเต็มใจ

ก่อนเดินทางก็อุทิศส่วนกุศลไปเลย จะเป็นอากาสเทวดา รุกขเทวดา สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์อะไรก็ตาม ที่รักษาตลอดเส้นทาง อุทิศให้เขาทั้งหมด แล้วอธิษฐานขอให้ช่วยรักษาเราด้วย

เถรี 09-06-2010 07:13

พระอาจารย์ท่านบอกว่า "พระชำระหนี้สงฆ์ตกลงว่าจะสร้าง ๓๒ องค์ ความจริงพื้นที่มีพอสำหรับก่อสร้างได้ประมาณ ๔๐ องค์ แต่เว้นตรงกลางเอาไว้ เพราะจะสร้างมณฑปสักหลังหนึ่ง ยังไม่รู้ราคาเท่าไร ให้เขาออกแบบเหมือนกับพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ที่บางปะอิน

พอสร้างขึ้นมาแล้ว จะตั้งพระประธานบนมณฑปที่สร้าง หน้าตักสัก ๑๐ ศอกกำลังสวย น่าจะเป็นโครงการหลังจากเรื่องอื่น ๆ เพราะตัวอาคารทรงไทยเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก โดยเฉพาะลายไทย"

เถรี 09-06-2010 08:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม บางทีเราก็อาจจะมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดไปโดยไม่รู้ตัว และก็ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า อย่างเช่นเราอาจจะเห็นว่านิวรณ์ ๕ เป็นเรื่องเด็ก ๆ ใครปฏิบัติก็จะต้องเจออยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่คิดที่จะหักให้ลงสักที เมื่อไร ๆ ก็เป็นนิวรณ์ขวางเราอยู่อย่างนั้นแหละ

ลองจัดการให้ร่วงลงไปสักที แล้วอะไร ๆ จะได้มากกว่านี้อีกเยอะ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุธัจจะ วิจิกิจฉา เห็นเป็นบทเรียนแรก ๆ ของการปฏิบัติเลย ใคร ๆ ก็ต้องเจอ เจอบ่อยเสียจนเรามองข้ามไปหรือเปล่า? ทั้ง ๆ ที่พวกนี้เป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดเลย

ถ้าเราหักเขาลงได้ ก้าวต่อไปนี่ไม่ยากหรอก เจ้าตัวนี้นี่แหละที่ขวางเราอยู่ทุกวัน..!"

เถรี 09-06-2010 09:25

ถาม : สติปัฏฐานสี่เขาให้ใช้แค่ขณิกสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : เขาบังคับให้ใช้แค่นั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง แต่ในเมื่อเขาให้ทำแค่นั้นก็ทำตามเขาไปเถอะ

ถาม : จะทำอย่างไรให้เห็นรูปนาม ให้เห็นเกิดดับ ?
ตอบ : ที่เขาอธิบายมาเป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น นามรูปปริเฉทญาณ ต่ำสุดจะต้องเป็นปฐมฌาน แต่คราวนี้เขาให้ใช้ขณิกสมาธิ โอกาสที่จะเข้าถึงจริง ๆ จึงยาก

การแยกรูปกับนามออกจากกันได้ ถ้าหากไม่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ เราจะเห็นไม่ชัด แต่ทันทีที่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ เราจะเห็นชัดเจนเลยว่า อันนี้เป็นรูป อันนี้เป็นนาม เพราะว่าทันทีที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส เราไม่ให้ความสนใจ จะสนใจอยู่แต่ภายใน เราจะแยกออกเลยว่า นามธรรมอยู่ข้างใน กายสักแต่ว่าเป็นเปลือกเท่านั้น

แต่คราวนี้เขาให้ใช้ว่าขณิกสมาธิ โอกาสที่เราจะเห็นก็ยากมาก แต่พอเราไปส่งอารมณ์กับอาจารย์กรรมฐาน อธิบายไปได้นิด ๆ สะเก็ดผิวนิดหนึ่ง เขาก็ให้เราผ่านแล้ว


ถาม : เขาบอกว่าถ้าอธิบายการเข้าญาณ ๑๖ ไม่ถูก ไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลหรอก ที่เขาว่า..เขาว่าไปตามตำรา แต่คนที่ทำได้จริงไม่ต้องไปถึงญาณ ๑๖ หรอก ถ้าเขาทำได้จริง ทั้งหมดที่ว่ามามีอยู่ครบแล้ว

เถรี 09-06-2010 13:03

ถาม : เวลาสวดมนต์ ไม่รู้จมูกเป็นอะไร แต่เวลานั่งสมาธิจะไม่เป็น
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ สวดมนต์ต่อไป เขาเรียกว่าขันธมาร

ถาม : แต่เวลาสวดมนต์จะไม่มีสมาธิเลยค่ะ
ตอบ : เวลาสวดมนต์จะเกาจมูก หรือจะอะไรให้ทำไป แต่อย่าเลิกสวด เขาแค่ต้องการจะกวนให้เรารำคาญ แล้วเลิกทำความดีเท่านั้นแหละ

เถรี 09-06-2010 13:09

ถาม : สติ สมาธิ สัมปชัญญะ นี่มันคืออะไรคะ?
ตอบ : สติกับสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน ส่วนสมาธิเป็นกำลังของใจ ที่เกิดจากการที่ความรู้สึกทั้งหมดรวมแน่วแน่อยู่จุดใดจุดหนึ่ง สตินึกได้ว่าจะทำอะไร สัมปชัญญะรู้อยู่ว่าตอนนี้ทำอะไร

ถาม : ก็คือ มีสมาธิจะต้องมีสติด้วย?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิดี สติและสัมปชัญญะก็จะดีไปด้วย

ถาม : แล้วคนที่เป็นพระโสดาบันเขาจะมีสติทั้งหลับทั้งตื่น
ตอบ : เขาเป็นอัตโนมัติ

ถาม : ก็แสดงว่าในฝันก็ไม่ผิดศีล
ตอบ : ต้องไปถามพระโสดาบัน

เถรี 09-06-2010 16:50

ถาม : คำว่า กังวล ในภาษาบาลีแปลว่าอะไร?
ตอบ : แปลว่า ห่วง ห่วงหน้าพะวงหลัง ตัดไม่ขาด

เถรี 09-06-2010 19:01

พระอาจารย์กล่าวถึงการไปบึงลับแลครั้งล่าสุดที่ผ่านมาว่า "ความจริงอยากจะไปนอนค้างกับพวกเราด้วย แต่เกรงว่าการที่ไปอยู่ด้วย จะทำให้พวกเราปล่อยปละละวางตัวเองมากเกินไป ก็เลยต้องทิ้งเอาไว้ข้างในนั้น ให้เอาตัวรอดกันเอง"

ถาม : หลวงพี่ท่านหนึ่งบอกว่า เราไปนอนทับบนที่หลุมศพคนตาย
ตอบ : ให้จำเอาไว้ว่า พื้นดินในโลกนี้ ไม่มีจุดไหนที่ไม่มีคนตาย มีคนตายซับตายซ้อนมานับไม่ถ้วน ก่อนนอนก็แผ่เมตตาให้เขา ขอยืมพื้นที่เขาใช้ชั่วคราว เราทำความดีอะไรก็ขอให้เขาโมทนาด้วย

เถรี 09-06-2010 19:33

พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "สำคัญตรงกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติอย่าไปทิ้ง พองานมาก ๆ แล้วเราจะอยู่ในลักษณะผ่อนผันไปเรื่อย

ผ่อนให้ตัวเองก็คือ เหนื่อยมาแล้ว แค่สวดมนต์ไหว้พระนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็นอน พอถึงเวลามานึกอีกที เออ...เราน่าจะทำให้ดีกว่านี้ มีแต่ใจประหวัดถึง คิดถึง ห่วงถึง แต่การปฏิบัติจริงก็ยังไม่มี

กำลังของเราก็จะตกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ตัว พอปล่อยไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วเราจะเอาไม่อยู่ ต้องดูอย่างหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ไม่ว่าภารกิจมากขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าร่างกายไหว ท่านก็ลงมาสวดมนต์ทำวัตร หรือลงโบสถ์ ในส่วนที่เป็นกิจวัตรท่านไม่ทิ้ง

ถ้าทิ้งแล้วกำลังเราจะตก เอาคืนยาก แล้วเราจะฟุ้งซ่านมาก หวาดระแวงไปสารพัด หวาดระแวงไปสารพัดก็คือ ความชั่วมีมากกว่าความดีหรือเปล่า ? อาบัติหนักเราโดนไปแล้วหรือไม่ ? จะคิดไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ อย่าไปเปิดโอกาสให้กิเลส เขาได้โอกาสเขาไม่เคยปรานีเราหรอก"

เถรี 09-06-2010 19:40

"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ตอนท่านเรียนบาลี ท่านใช้การท่องบาลีนั่นแหละเป็นการภาวนา ก็แปลว่าคำภาวนาของท่าน ยาวเป็นเล่ม ๆ

วันหนึ่งท่านภาวนาไป เห็นใครก็ไม่รู้นอนท่องหนังสืออยู่ ก็ตกใจ ความจริงก็คือ เห็นตัวเองนอนท่องหนังสืออยู่ ท่องไปท่องมากายในของท่านหลุดไปอยู่บนเพดาน

ต้องไปฟังท่านเล่าเอง สนุกมาก หน้าของท่านนิ่งมากเลยนะเวลาเล่า แต่เรื่องที่เล่าตลกมากเลย

เคยไปกราบขอให้ท่านเล่าเรื่องผีให้ฟัง ท่านก็บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผมเจอเป็นผีหรือเปล่า ? แล้วท่านก็เล่าให้ฟังเป็นฉาก ๆ เลย ผีล้วน ๆ..! แต่ท่านก็ยืนยันว่าท่านไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเปล่า"

เถรี 09-06-2010 21:55

"สมัยก่อนวิ่งรับใช้ท่านทั้งหลายอยู่ที่วัดธรรมมงคล เพราะว่าแม่ไปร่วมเป็นกรรมการสร้างเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อยุคนั้นก็มากันเยอะ ตอนนั้นยังวัยรุ่นอยู่ วิ่งเก่งทำงานคล่อง ก็เลยมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด เราก็ไม่ใช่เด็กกลัวพระ ก็ถามท่านไปเรื่อย ถามไปถามมา ก็ขอหวยหลวงตาบัวซะเลย..!

ท่านรู้ว่าเราอยากรู้ ตอนนั้นคิดว่าพระที่ปฏิบัติสายวิสุทธิมรรค อย่างสายหลวงปู่มั่น ท่านมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกับสายอื่นเขาหรือเปล่า ? ถามด้วยความอยากรู้ ท่านก็ให้จริง ๆ และก็ออกตรง ๆ ท่านก็คงจะรู้ด้วยว่าเราไม่ได้เล่น แค่อยากรู้เฉย ๆ ก็เลยบอกตรง ๆ

เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ว่าจะปฏิบัติกับครูบาอาจารย์สายไหนก็ตาม ถ้าหากว่าวิสัยเดิมของตนเองเป็นอย่างไร ถ้าเข้าถึงธรรมแล้วของเดิมจะมาเอง

แบบเดียวกับพระจุลปันถกเถระ เป็นพระวิชชาสาม แต่ลูกศิษย์เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณเป็นพันเลย เพราะวิสัยเดิมของลูกศิษย์เป็นอย่างนี้ เวลาท่านปฏิบัติไปถึงของเก่าก็กลับคืนมา"

เถรี 09-06-2010 22:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องน่าขำก็คือ ไม่เคยเห็น หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล เป็นหลวงปู่หลวงพ่อเลย เห็นท่านเป็นแม่ตลอด เป็นเรื่องที่แปลกมาก แสดงว่าความผูกพันเดิม ๆ คงอยู่ตอนสมัยที่ท่านเป็นแม่ และต้องเป็นแม่มาหลายชาติด้วย"

เถรี 09-06-2010 22:50

ถาม : ถ้าเราไปตัดก้านออกจะบาปไหม? (ก้านของพระสมเด็จองค์ปฐมยอดธง)
ตอบ : ตัดออกทำไม?

ถาม : เวลาเลี่ยมจะได้เลี่ยมได้เล็กหน่อย
ตอบ : ก็ไม่ได้ทำลายองค์ท่านนี่ เพียงแต่ว่าพอเขาถาม พระของเราก็ไม่ใช่แบบองค์ดั้งเดิม

เถรี 09-06-2010 23:07

ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิแล้วมันวูบหายไป เป็นเพราะเราทรงฌานลึกหรือเพราะเราหลับครับ ?
ตอบ : จิตหยาบ สติตามไม่ทัน ถ้าเป็นปฐมฌานก็เป็นปฐมฌานอย่างหยาบ ในเมื่อจิตหยาบ สติตามไม่ทัน ถึงเวลาก็วูบหายไปไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ประสาทเริ่มรับรู้อาการภายนอก

ถาม : แสดงว่ายังไม่ค่อยดี ?
ตอบ : ต้องทำให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ถือว่าอยู่ในระดับทั่ว ๆ ไป หมูหมากาไก่ก็ทำได้ เพราะว่าสัตว์ทุกชนิดก็หลับได้เหมือนกัน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือพวกหมูหมากาไก่อะไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งเจตนาที่จะให้เป็นกองบุญกองกุศล ก็เลยไม่มีอานิสงส์ ต้องบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม เพราะถ้าไม่มีการพักผ่อนในส่วนนี้เขาก็อยู่ไม่ได้

ถาม : คือเราตั้งใจทำดี ก็ยังได้อานิสงส์อยู่ ?
ตอบ : ของเราที่ว่ามานี่อานิสงส์เท่ากับอานิสงส์ของพรหมชั้นที่ ๑ แต่ของเขาไม่มีอานิสงส์ตรงนั้น เพราะไม่ได้เจตนาที่จะทำ เป็นไปโดยธรรมชาติ ถึงเวลาจะพักผ่อน จิตก็ตัดจากสิ่งวุ่นวายภายนอก เข้าไปสู่จุดพัก

เถรี 09-06-2010 23:44

ถาม : ปีนี้สีอะไรเป็นแชมป์บอลโลกครับ ?
ตอบ : ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย ขนาดถามว่าวันที่ ๒๐ นี้ใครเตะกับใคร ยังตอบกันไม่ได้เลย แล้วจะรู้ไปทำไม ? จะดูว่าถ้าวันงานสืบชะตาคนหายไป แสดงว่าเขาคิดว่าอยู่ดูบอลดีกว่า

ถาม : แล้วอังกฤษจะสมหวังไหมครับ ?
ตอบ : เมื่อก่อนนี้คนยังไม่รู้เราก็ยังพอบอกได้ ตอนนี้บอกไปเจ้ามือเดือดร้อนแน่..!

เถรี 10-06-2010 00:17

1 Attachment(s)
พระอาจารย์บอกว่า พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน เลียนแบบมาจากพระปิดตานะมิ ของหลวงปู่สีค่ะ

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1276103719

พระปิดตานะมิ หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค

เถรี 10-06-2010 11:05

ถาม : เวลาเราคุยกับเพื่อน แล้วเราอธิบายธรรมให้เพื่อนโดยใช้ความจำของเรา เราอธิบายให้เขาผิด ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจจะบอกผิดเลย อันนี้มันผลมีไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้เขาเป็นมิจฉาทิฐิ ต้องตามไปแก้

ถาม : ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ด้วยใช่ไหม ?
ตอบ : ปล่อยเอาไว้เขาก็ผิดไปเรื่อย เพราะเขาเชื่อเรานี่

ถาม : แล้วถ้าเกิดผมบอกถูกแล้วเขาเข้าใจผิดเอง ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา

ถาม : แล้วถ้าผมบอกผิด แล้วเขาเข้าใจถูกละครับ ?
ตอบ : แสดงว่าเขาเก่ง..!

ถาม : แล้วควรจะต้องตามไปแก้ไหมครับ?
ตอบ : ไปบอกเขาว่าคราวที่แล้ว ที่เราบอกไปอย่างนั้นผิด แต่ถ้าเขาบอกว่าเขาเข้าใจถูกตั้งแต่แรก แสดงว่าเขาเก่งกว่าเรา (หัวเราะ)

เถรี 10-06-2010 11:35

ถาม : ถ้าอยู่ ๆ ผมนึกจับอารมณ์พระนิพพานแล้วเป็นสุขเหลือเกิน ผมควรจะทำต่อไปเรื่อย ๆ หรือควรจะไปนั่งสมาธิก่อน
ตอบ : ถ้านั่งสมาธิก็จับอารมณ์พระนิพพานต่อ คือ สภาพจิตที่ไร้กิเลส เบาบางจาก รัก โลภ โกรธ หลง มีความผ่องใสเป็นปกติ ใคร ๆ ก็ต้องการ ในเมื่อผ่องใสอยู่แล้ว เราก็ประคองไว้สิ..!

เถรี 10-06-2010 11:37

ถาม : เมื่อครู่ผมขับรถไปเรื่อย ๆ นึกถึงพ่อ นึกถึงพี่ ชาติที่ผมเลว ๆ ท่านยังอุตส่าห์มาประคับประคองเรา แล้วเราควรทำต่อไปหรือเปล่าหนอ ? อุตส่าห์มีคนมาทำให้ขนาดนี้ ทำไมเราไม่ทำเพื่อคนอื่นเขาบ้าง ? จัดเป็นตัวฟุ้งซ่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถือว่าคิดได้ อย่างน้อย ๆ การคิดของเราก็อยู่ในด้านที่ห่าง รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าถือว่าฟุ้ง ก็ยังฟุ้งอยู่ในเกณฑ์ดี

เถรี 10-06-2010 11:39

ถาม : ลูกสาวครับ ผมจับสวดมนต์ก็ทะเลาะกันบ้านแตก เขาไม่ยอม ผมไม่รู้จะใช้กุศโลบายอย่างไรดี ?
ตอบ : ไม่ต้องไปบังคับเขา เราทำของเราไป

ถาม : ไม่ต้องดึงเขาหรือครับ หรือว่าถึงเวลาแล้วเขาจะมาเอง ?
ตอบ : กรอกหูเขาไปเรื่อยว่า วันนี้พ่อสวดมนต์ไหว้พระมา มีอานิสงส์อย่างนี้ ๆ หนูโมทนานะ แต่ถ้าหนูรออยู่ ว่าจะให้พ่อหุงข้าวให้กินอยู่เรื่อยไป ถ้าพ่อตายแล้วใครจะหุงให้ หนูก็ต้องทำเองบ้าง

ถาม : ทะเลาะกันใหญ่โตเลย กลายเป็นผมอารมณ์ร้อนไป เขาร้องไห้เลย
ตอบ : นั่นเกิดจากว่าเราหวังดี แต่ไม่เข้าใจจิตวิทยาเด็ก เด็กต้องเชิญชวน ถ้าหากบังคับอย่าหวังว่าจะสำเร็จ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ ลูกเขารู้ว่าถ้าแหกปากร้อง พ่อแม่ก็เลิกบังคับแล้ว

เถรี 10-06-2010 12:37

ถาม : อยากทราบที่มาที่ไปของวันอัฐมีบูชา และวัดในปัจจุบันมีการเวียนเทียนในวันนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : วันอัฐมีบูชา จะตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ หรือถ้ามี ๘ สองหน ก็เป็น แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗

เป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธจำนวนหนึ่งก็เลยถือว่าเป็นวันสำคัญที่ควรแก่การระลึกนึกถึง ก็จะมีการจัดการทำบุญ โดยเฉพาะมีการเวียนเทียนด้วย แต่จะมีบางวัด น่าจะเป็นวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เขาจะจัดให้มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพจำลองทุกปี


ถาม : แล้ววัดอื่น ๆ ในประเทศไทยละคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่วันอัฐมีบูชาจะไม่เป็นที่นิยมกัน เขาจะนิยมเฉพาะวันมาฆะ วันวิสาขะ วันอาสาฬหะ เป็นต้น ดูง่าย ๆ คนเขามักจะคิดว่าเป็นวันที่ควรแก่การเศร้าโศกมากกว่า ก็เลยไม่ได้จัดอยู่ในเทศกาลทำบุญอย่างเป็นทางการ แต่จัดอยู่ในวันสำคัญวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา

เถรี 10-06-2010 13:19

"เรื่องวันอัฐมีบูชาที่โยมเขาถามเมื่อครู่นี้ เกี่ยวเนื่องด้วยการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นความรอบคอบของพระอานนท์ ถ้าพระอานนท์ไม่สอบถามไว้ก่อน จะไม่มีใครรู้ว่า ควรจะจัดการกับพระสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อปรินิพพานแล้วอย่างไร

เรื่องนี้ต้องไปดูในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้นำรางเหล็ก ใส่น้ำมันหอมให้เต็ม แล้วนำสรีระของพระองค์ท่านห่อด้วยผ้าขาว...ซ้อนด้วยสำลี...ห่อด้วยผ้าขาว...ซ้อนด้วยสำลี ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้ ๕๐๐ ชั้น แล้วใส่ลงในรางเหล็กที่เต็มไปด้วยน้ำมันหอม ยกขึ้นบนจิตกาธาน

เป็นความรอบคอบมากอีกอย่างหนึ่งที่ใส่ไว้ในรางเหล็ก เพราะถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไป เวลาเผากระดูกก็กระจัดกระจาย ถ้าเป็นเมรุทั่วไป ก็ไม่รู้กระดูกใครต่อกระดูกใครที่เหลือตกหล่นปนกันอยู่ แต่การเผาด้วยวิธีนี้ ต่อให้เผาคนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า กระดูกหรืออัฐิธาตุก็ไม่กระจัดกระจายไปไหน เพราะอยู่ในรางเหล็ก

แต่ของพระพุทธเจ้าท่านพิเศษตรงที่ว่า ไฟไหม้แล้วเว้นเอาไว้ชั้นหนึ่ง ดังนั้น..พระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดก็เลยอยู่ในห่อผ้าขาวและสำลีชั้นสุดท้าย

จากการที่เผาพระพุทธสรีระภายใน ๗ วัน ก็เลยเป็นแบบอย่างที่เขายึดถือกันต่อ ๆ มาว่า เมื่อพระมรณภาพก็ควรจะเผา"

เถรี 10-06-2010 17:10

"อดีตเจ้าคณะจังหวัด ท่านพูดหลายทีว่า "ท่านเล็ก..ปรึกษาคณะกรรมการวัดว่าเผาหลวงปู่สายซะทีสิ" ก็ถามว่า "ทำไมละครับ ?" ท่านบอกว่า "พระพุทธเจ้ายังไว้แค่ ๗ วันเอง"

ตามที่ท่านว่ามาก็ใช่ แต่ถ้าเรามาคิดดูอีกที องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้มีคำสั่งไว้ว่า บรรดารุ่นหลัง ๆ จะจัดการกับสังขารอย่างไร โดยเฉพาะในยุคที่เขายึดวัตถุมากกว่าหลักธรรม การมีสังขารครูบาอาจารย์อยู่ อย่างน้อยก็เป็นเครื่องยึดเกาะให้เขาได้

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็บอกว่า ถ้ายังเก็บสังขารท่านอยู่ ตราบนั้นก็ยังเลี้ยงวัดได้ ท่านบอกว่า คนคิดถึงข้า เขาก็มาไหว้ อย่างน้อย ๆ เขาก็เอาสตางค์ใส่ตู้ พวกแกก็จะได้มีเงินไว้ สำหรับเลี้ยงดูหรือว่าซ่อมแซมถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาได้

ดังนั้น..ความเห็นในข้อนี้ที่ว่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเผาก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันหลายต่อหลายท่าน ก็ได้รับคำสั่งมาโดยตรงเช่นกันว่าให้เก็บไว้ เพียงแต่ว่าท่านที่พูดในลักษณะนี้ มักจะไม่รู้ตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่รู้...ก็เลยถือเอาเป็นมาตรฐานว่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตั้งพระศพไว้เพียง ๗ วัน"

เถรี 10-06-2010 17:30

ถาม : ถ้าเก็บพระศพของพระพุทธเจ้าไว้เกิน ๗ วันจะเป็นเรื่องไหมคะ ?
ตอบ : เมืองกุสินาราอาจจะจนไปเลย เพราะคนแห่กันมาเป็นหมื่นเป็นแสน จะเอาอะไรให้เขากิน

หลวงปู่มั่น ก่อนท่านจะมรณภาพ ท่านยังบอกให้เอาศพท่านเข้ามาในเมือง เพราะว่าในเมืองมีตลาด มีข้าวปลาอาหารให้ซื้อหาได้ ถ้าเอาไว้ในวัดเล็ก ๆ ในป่า เวลาคนแห่กันไปเป็นพันเป็นหมื่น เขาต้องเอาหมูเอาไก่ ไปเชือดไปเลี้ยงกัน ท่านเกรงว่าสัตว์จะตายอีกเยอะ และเป็นการตายโดยเจตนาด้วย นั่นเป็นความรอบคอบของท่าน

แต่เราลองนึกถึงพระสังขารอายุ ๘๐ แล้วป่วยหนักขนาดนั้น โดนย้ายเดินทางขนาดนั้น ไม่มีรถเบนซ์หรือเครื่องบินอย่างสมัยนี้ อย่างดีก็ขี่เกวียน เวลาเดินทางก็คงทรมานสังขารน่าดู

เถรี 10-06-2010 21:15

"สมัยก่อนทางภาคเหนือ ครูบาอาจารย์ท่านเดียวที่ไม่ได้เผา คือ หลวงปู่ครูบาอภิชัย (ขาวปี) เพราะเขาถือว่าท่านไม่ใช่พระ จับท่านสึกกลายเป็นผ้าขาวไปแล้ว เขาจึงเก็บสังขารท่านเอาไว้ และในที่สุดก็พบว่าสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย

องค์ต่อมาที่เขาเก็บตามแบบลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ก็คือ ถ้าหากสังขารอยู่ก็เลี้ยงวัดได้ เราจึงได้มีสังขารของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย สังขารหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ สังขารหลวงปู่เกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ไม่อย่างนั้นทางเหนือเขานิยมเผากันเกลี้ยง..!

ถ้าจะเอาอย่างที่หลายท่านถือพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์ ว่ายังไว้แค่ ๗ วัน คงต้องไปขุดภูเขาเพื่อเอาพระมหากัสสปะออกมาเผาด้วย..! สองพันกว่าปีแล้วสังขารท่านยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้"

เถรี 10-06-2010 21:22

ถาม : ครูบาอภิชัยขาวปี ทำไมถึงโดนสึกเป็นผ้าขาวคะ ?
ตอบ : ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย เป็นมือขวาเลย

เขากล่าวหาว่าหลวงปู่ครูบาศรีวิชัยซ่องสุมผู้คนเพื่อจะก่อการกบฏ เนื่องจากว่าท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนจะตามท่านไปบวชมาก ฆราวาสไปปฏิบัติธรรมกับท่านมากด้วย

ตัวอย่างที่ชัดที่สุด ก็คือ การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยประกาศว่า ถ้าทางไม่เสร็จ ครูบาจะนั่งไม่ลุก เท่านั้นแหละ คนก็แห่กันมามืดฟ้ามัวดิน ทำทางขึ้นดอยสุเทพโดยที่รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว แย่งกันทำด้วย

ที่ขำ ๆ ก็คือ เขาบอกว่า บางคนจับจองที่เอาไว้แล้ว ถากถางจนเหนื่อยแล้วก็หลับ ตื่นขึ้นมาปรากฏว่าคนอื่นถางที่ตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว เพราะเขาหาที่ไม่ได้ ในเมื่อเหลือที่อยู่ เขาเห็นเขาก็จัดการถางเลย

เถรี 10-06-2010 21:27

ผู้ปกครองสมัยนั้น บางทีก็อยากได้หน้า อยากได้ผลงาน และอาจจะไม่ชอบปฏิปทาอะไรบางอย่างของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย อาจจะรู้สึกขัดหูขัดตาหรือไม่ยอมให้ผลประโยชน์ต่อเขา ก็เลยฟ้องร้องเข้ามาทางกรุงเทพฯ

สมัยนั้นพวกโทษกบฏ โดนตัดหัวถึงเจ็ดชั่วโคตร ตอนแรกบรรดาพระเณรและฆราวาสทั้งหลายก็จะแห่ลงมากรุงเทพฯ กัน เพื่อช่วยแก้ต่างให้ แต่หลวงปู่ครูบาท่านบอกว่าขอมาคนเดียว เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนคนเขากล่าวหาหนักขึ้นว่า ใช้กำลังมาบังคับกัน จะเป็นลักษณะกบฏชัดเจน

พอมาสอบสวนแล้ว ก่อนที่ครูบาศรีวิชัยจะกลับขึ้นไปก็หลายเดือน ช่วงนั้นเขาก็ตามกวาดล้างบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญของครูบา หลวงปู่ขาวปีก็เลยโดนจับสึก

สภาพการจับสึกต้องบอกว่าใจคนมันด้าน ก็คือ เขาถอดสังฆาฏิที่ถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระออก หลวงปู่ครูบาขาวปีท่านอธิษฐานให้เทวดาฟ้าดินเป็นพยานว่า ถ้าท่านไม่ผิดอย่างที่เขาว่า ขอให้แสดงอะไรเป็นประจักษ์พยานด้วย ท่านถอดสังฆาฏิพาดไว้บนต้นไม้ที่ยืนแห้งตาย ต้นไม้แตกใบใหม่เดี๋ยวนั้นเลย..!

แต่คนก็ยังไม่เชื่อ จับท่านสึกจนได้ เอาผ้าขาวให้ท่านนุ่ง พอท่านนุ่งผ้าขาวเสร็จ กะเหรี่ยงก็เอาช้างมาแห่ท่านไปเลย กะเหรี่ยงบอกว่า "ตุ๊เหลืองตุ๊พวกเจ้า แต่ตุ๊ขาวตุ๊ของเฮา" เพราะกะเหรี่ยงเขานิยมพวกฤๅษีซึ่งนุ่งขาวห่มขาวอยู่แล้ว

เถรี 16-06-2010 10:33

หลวงปู่ครูบาท่านอยู่ในสภาพไหนท่านก็เป็นพระอยู่แล้ว ท่านก็ไปสร้างประโยชน์ให้เขาทุกที่ และที่ร้ายที่สุด ระยะหลัง ๆ พวกทางการ พวกอำเภอไปขอร้องให้ท่านสร้างโรงเรียน สร้างสาธารณสุขบ้าง ไม่ได้คิดถึงตอนที่พวกเขาจับท่านสึกเลย..!

ฉะนั้น...หลวงปู่ครูบาอภิชัยขาวปี เป็นสังขารแรกของพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือที่รอดจากการเผามาได้ เพราะว่าส่วนหนึ่งเขาไม่ถือว่าท่านเป็นพระ เขาถือว่าท่านเป็นผ้าขาว ถ้าหากเรียกเต็ม ๆ ก็คือ "ครูบาผ้าขาวจำปี" แต่เขาเรียกสั้น ๆ ว่า "ครูบาขาวปี" เพราะท่านชื่อจำปี

ถาม : ขนาดต้นไม้แสดงปาฏิหาริย์แตกใบออกมาใหม่แล้วเขายังไม่เชื่ออีก ?
ตอบ : เขาจะสึกท่านให้ได้ แต่ขอให้เชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายผู้ซึ่งไม่ประทุษร้ายตอบ จะพบกับความวิบัติ ๑๐ ประการ

ถาม : ครูบาขาวปีตอนนี้อยู่วัดไหนเจ้าคะ ?
ตอบ : วัดพระพุทธบาทผาหนาม อยู่ใกล้ ๆ กับวัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ สมัยที่หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะไปเปลี่ยนผ้าครองให้ทุกปี

เถรี 16-06-2010 10:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันพระส่วนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาสูง ๆ มักจะขาดความเชื่อ ความเลื่อมใส เกี่ยวกับคุณของพระรัตนตรัย เพราะว่าเขาสอนให้สงสัยทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าไม่สงสัยเขาก็ไม่คิดที่จะทำวิจัย

บรรดานักวิชาการกลุ่มหนึ่งเขาไม่ยอมรับในเรื่องปาฏิหาริย์ เขาถือว่าไม่เป็นสากล เขาก็เลยพยายามจับพระพุทธเจ้าให้ลงมาเดินดินเหมือน ๆ กับเขา โดยการใช้ความคิดของตัวเองไปคาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ เรื่องอภินิหารต่าง ๆ เป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังจับยัดเข้าไปในพระไตรปิฎก เพื่อที่จะยกย่องพระศาสดาของตนเท่านั้น"


ถาม : แล้วอย่างนี้ผลที่พวกเขาจะได้รับเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็คงจะประสบความเจริญมาก..!

เถรี 16-06-2010 21:35

ถาม : ถ้าเราฝึกสติปัฏฐานสี่ไปเรื่อย ๆ เราจะมีสิทธิ์บรรลุได้ไหมครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าหวังผลแค่สองอย่าง คือ พระอนาคามีและพระอรหันต์ แล้วคุณว่ามีสิทธิ์บรรลุไหมเล่า ?

เถรี 16-06-2010 22:08

ในเรื่องการไหว้ผู้อื่นนั้น พระอาจารย์สอนว่า ถ้าเขายังวุ่นด้วยงานอยู่ โดยไม่ทันมองเห็นเรา ก็อย่าเพิ่งไปไหว้เขา

"พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าพระผู้ใหญ่ยังวุ่นด้วยกิจของท่านอยู่ อย่าเพิ่งไหว้ เพราะว่าถ้าหากท่านไม่รับ เดี๋ยวเราจะไปโกรธท่าน"

เถรี 16-06-2010 23:41

ถาม : ผมไม่แน่ใจว่านั่งสมาธิผิดหรือเปล่า คือ เวลานั่งจะมีแสงอยู่ในตา เคยไปถามพระที่อื่น เขาบอกว่าเป็นตัวรบกวน แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ครับ ถ้านั่งดี ๆ แสงในตามันจะจ้า สวย ๆ ถ้าสมมติว่าเป็นแสงสวย ๆ อย่างนี้แล้ว เราจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : ถ้านับเป็นการเรียนหนังสือ ก็อยู่ประมาณอนุบาลสาม..! ถ้าเราติดอยู่ตรงนั้น ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องได้อะไร ที่พระท่านบอกว่าเป็นสิ่งรบกวน ท่านบอกถูกแล้ว พอจิตเป็นสมาธิจะเกิดความเป็นทิพย์ขึ้น พวกแสงสีจะมา ถ้าเรามัวไปสนใจอยู่ จะไม่เป็นสมาธิสูงขึ้นไปและติดอยู่แค่นั้นแหละ

ถาม : แล้วเราควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา อยู่กับคำภาวนาของเรา แสงสีจะมาอย่างไร ไม่ต้องไปใส่ใจ

ถาม : แล้วการนั่งสมาธิจะไปสุดที่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นรูปฌานก็ฌานสี่ ถ้าเป็นอรูปฌานก็ฌานแปด

ถาม : แล้วเราจะสังเกตได้อย่างไร ว่าเราได้ฌานสี่หรือฌานขั้นไหนแล้ว ?
ตอบ : ไปศึกษาเอาว่าแต่ละอารมณ์ฌานว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง แล้วจะรู้

ถาม : คือสังเกตที่อารมณ์หรือครับ ?
ตอบ : เปิดตำราดูว่าแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง อธิบายตอนนี้แล้วยาว เสียเวลาคนอื่นเขา

ถาม : แล้วการเพ่งกสิณใช่ตัวนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เพ่งกสิณเขาดูวัตถุ หลับตาลง จำภาพแล้วนึกถึง ถ้าหากว่าหายไปก็ลืมตาดูแล้วนึกถึงใหม่ จนกระทั่งหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น

ถาม : ภาพนี้จะเป็นภาพในใจหรือภาพที่ติดตา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าถามอย่างนี้ก็ต้องบอกว่า เป็นภาพในใจเพราะว่าหลับตาก็เห็น

เถรี 17-06-2010 01:42

ถาม : ทรงฌานเดินแล้วหนัก ๆ
ตอบ : ก็ทำให้ไม่หนักสิ..!

ถาม : ก็ต้องเป็นไปด้วยความระวังตลอด
ตอบ : นั่นมันเด็กหัดใหม่ ถ้าทำให้คล่องตัวถึงขนาดไม่ต้องระวังก็จะไม่หนัก

เถรี 17-06-2010 01:56

ถาม : เห็นตัวเองร้ายทุกวันค่ะ ดูเฉย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : รู้แล้วอย่าคล้อยตามไป ถ้าเราคล้อยตามไป ยอมให้กิเลสอยู่เหนือเรา ก็พาเราเละไปเรื่อย ๆ หัดดื้อกับกิเลสบ้างสิ..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:50


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว