กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกวัดธรรมยาน วันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=990)

เถรี 31-08-2009 18:39

เก็บตกวัดธรรมยาน วันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
 
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ ทางคณะสะพานบุญ ได้แก่ อาคนเก่า พี่ทิดตู่ พี่นรินทร์ พี่อ่องอ๋า และเถรี ได้ยกขบวนไปกราบพระปลัดวิรัช โอภาโส ที่วัดธรรมยาน จังหวัดเพชรบูรณ์

ทั้งนี้ได้ยังความปีติยินดีแก่ชาวคณะเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลวงพ่อวิรัชท่านเป็นพระที่ถ่อมตนมาก อย่างที่หลวงพ่อเล็กท่านเคยกล่าวไว้ "พี่วิรัชเป็นพระที่เวลาคุยไม่เคยยกตัวเองขึ้นมาในด้านที่ทำให้คนอื่นศรัทธา มีแต่จะยกเอาความเสล่อเฟอะฟะของตัวเองขึ้นมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งคนลักษณะนี้หายาก เพราะถ้าคนยึดตัวเองเป็นใหญ่อย่างน้อยเผลอไม่ได้หรอก มันจะต้องมียกตัวเองขึ้นมา" ที่สำคัญ หลวงพ่อวิรัชท่านเป็นหนึ่งในพระลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ได้ถวายการรับใช้พระเดชพระคุณท่านมาเป็นเวลา ๑๒ ปี

สำหรับหลวงพ่อวิรัชนั้น ท่านอุปสมบทที่วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔ และได้มีโอกาสติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปต่างประเทศหลายครั้ง (เนื่องจากท่านเรียนจบมาจากสหรัฐอเมริกา สามารถพูดภาษาอังกฤษได้) จนเมื่อปี ๒๕๓๕ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระเลขาของหลวงพ่อวัดท่าซุง และสนองการรับใช้จนกระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงละสังขารไป พอถึงปี ๒๕๓๗ หลวงพ่อวิรัชจึงตัดสินใจออกมาจากวัดท่าซุงและแสวงหาความสงบวิเวกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดได้ก่อตั้งสำนักสงฆ์ธรรมยานเมื่อปี ๒๕๔๗ และกลายเป็นวัดธรรมยาน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ ๓๐๐ กว่าไร่ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

เนื่องจากหลวงพ่อวิรัชเป็นพระที่ใกล้ชิดพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง และสนองการรับใช้ท่านมาเป็นระยะเวลานาน ท่านจึงมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายของหลวงพ่อวัดท่าซุงซึ่งพร้อมจะเล่าให้พวกเราฟัง ทางคณะจึงขอความเมตตาท่าน สอบถามและบันทึกเสียง นำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่านค่ะ

เถรี 31-08-2009 19:52

ลาพุทธภูมิ
 
ลาพุทธภูมิ

ในเรื่องการลาพุทธภูมินั้น หลวงพ่อวิรัชได้เล่าให้พวกเราฟังว่า คนที่ลาพุทธภูมิ แล้วบอกว่าลาไม่ขาด "หลวงพ่อบอกว่า คนอย่างนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าโง่ มันต้องเลือกทางใดทางหนึ่งให้เด็ดขาด จิตใจไม่มั่นคง "

แล้วท่านก็เล่าถึงเหตุการณ์สมัยหลวงพ่อฤๅษีให้ฟังว่า
"ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพไม่กี่อาทิตย์ มีผู้หญิงคนหนึ่งมากราบหลวงพ่อ บอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ หนูลาพุทธภูมิแล้วค่ะ หลวงพ่อก็บอกว่า เออดี....แสดงว่าเราเข้าถึงปรมัตถบารมี จะได้ไปนิพพานในชาตินี้"
ผู้หญิงคนนั้นก็กล่าวต่ออีกว่า "แต่หนูเป็นห่วงบริวาร..." เท่านั้นฟ้าก็ผ่าลงเปรี้ยง !

"โง่! ไม่พูดเสียดีกว่า พูดออกมาแสดงความโง่ออกมา แสดงว่าไม่อยากไปนิพพานจริง จะไปนิพพานจะมัวห่วงบริวารทำไม" ผู้หญิงคนนั้นก็เลยเงียบ คนอื่นก็เงียบกันหมดเลย

เถรี 31-08-2009 20:12

ทางคณะได้ถามต่อว่า "คำว่าบริวาร นี่รวมทั้งพ่อแม่ทุกคนที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมดหรือครับ"

หลวงพ่อวิรัชก็บอกว่า "เราห่วงแบบหลวม ๆ แต่ไม่ยึด รู้ว่าคนนี้เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นอะไร แต่เวลาไปจริง ๆ ต้องตัดหมดเลย มันตัดอารมณ์ พอเราไปนิพพานแล้วมาช่วยคนอื่นได้

อย่างหลวงพ่อตอนนี้ไปทั่วโลก เดี๋ยวคนนั้นเห็นคนนี้เห็น เมื่อวานมีคนหนึ่งมาที่นี่ เล่าให้ฟังว่าตอนบวช กำลังภาวนา เห็นหลวงพ่อ เดินถือไม้เท้ามาหา
หลวงพ่อท่านบอกว่า "เออ อย่าไปคิดอะไรทั้งสิ้น ทำใจให้สะอาดภาวนาไปเรื่อย ๆ" หลวงพ่อมาประมาณ ๕ นาที พูดจบแล้วก็หายไป
ผู้ชายคนนั้นเขาก็ทำตามหลวงพ่อ ทำไปแล้วก็จิตก็เบา ๆ ลอยไปโผล่ข้างบน เมื่อวานนี้เขามาที่นี่ก็น้ำตาไหล เพราะเขามาเห็นรูปองค์พระวิสุทธิเทพ บอกว่านี่ ๆ ที่ผมขึ้นไปเห็นแบบนี้เลย"

คิมหันต์ 31-08-2009 22:27


เถรี 01-09-2009 13:18

จิตใจอยู่กับธรรมะ
 
หลวงพ่อวิรัชเล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อไปที่ไหน ท่านก็จะพูดเรื่องตายกับเรื่องทุกข์ ตอนไปที่พระราชวังแวร์ซายน์ คนที่นั่นเยอะแยะมากมาย เขาก็เดินชมความสวยงามของพระราชวัง เดิน ๆ ไปหลวงพ่อท่านก็ชี้ให้ดูตลอด คนนี้เขาทุกข์ไหม แล้วคนนี้เขาทุกข์ไหม จิตใจท่านอยู่กับธรรมะตลอด"

แล้วหลวงพ่อวิรัชยังเล่าให้ฟังอีกว่า "มีผู้หญิงคนหนึ่งจะมาเรียนมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านก็บอกให้พวกหมอสมศักดิ์ หมอวิสูตร พวกนี้ออกไป ท่านบอกว่าพวกแกไปเถอะ ข้าจะอยู่

เห็นใครตั้งใจมา ท่านก็ตั้งใจสอน ท่านบอกว่า ถ้าข้าไม่ได้สอน ข้าตายดีกว่า จะเห็นได้ว่าจิตใจของท่านอยู่กับธรรมะอย่างเดียว"

เถรี 01-09-2009 13:30

หลวงพ่อวิรัชท่านบอกว่า "คนที่จะก้าวเข้าสู่โสดาบันได้ ก็ต้องรู้อริยสัจ รอบตัวเราคืออริยสัจ เราไม่เห็นอริยสัจ เราก็ไม่ก้าวเข้าสู่ความเป็นอริยะได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อริยสัจ
ดังนั้นเราจึงเห็นความทุกข์รอบ ๆ ตัวเราทุกอย่าง เมื่อเห็นแล้วก็เอาไตรลักษณ์เข้ามาควบคู่"


ท่านก็กล่าวต่ออีกว่า "สมมติกับวิมุติมันตัวติดกัน มันพลิกกลับไปกลับมา ทีนี้เราซึมซับโลกนี้มาตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือ สะสมความรู้ความคิดต่าง ๆ มากมาย จึงต้องค่อย ๆ แกะออกทีละชั้น ๆ จนมันบางเข้าไป กว่าจะแกะออกได้ต้องเข้าไปชนก่อน ชนหลายรูปแบบ ชนแล้วก็ต้องเอาธรรมะมาแก้ เวลาที่เราชนกับอารมณ์กระทบต่าง ๆ แล้วใจเราเศร้าหมอง ใจเศร้าหมองมันก็เหมือนจิตเราดำ คนจะไปนิพพานได้ใจมันต้องสะอาด สว่าง สงบ"

เถรี 01-09-2009 13:33

หลวงพ่อวิรัชท่านบอกว่า เวลาที่ท่านเจอกับอารมณ์กระทบแล้วใจเศร้าหมอง ท่านก็จะด่าตัวเองว่า "อย่างนี้หรือจะไปนิพพาน เรื่องแค่นี้ก็ทนไม่ได้ นิพพานละเอียดกว่านี้นะ"

เถรี 03-09-2009 13:51

หลวงพ่อวิรัชได้เล่าให้ฟังว่า เคยนั่งเครื่องบินไปกับหลวงพ่อฤๅษี ทีนี้ฝรั่งเขาก็ขึ้นมา พยายามหาช่องที่จะใส่ของ เขาก็เปิดนั่นเปิดนี่ไปเรื่อย เปิดมาช่องนี้ก็เต็ม เปิดไปช่องนี้ก็เต็ม หลวงพ่อวิรัชก็นั่งมองดู รู้ว่าช่องไหนมันว่างอยู่ ก็เลยตะโกนบอกฝรั่งว่า "ตรงนั้นว่าง"

เท่านั้นแหละ โดนหลวงพ่อฤๅษีท่านว่า "เอ็งไม่ต้องเสือก ! เขาไม่ได้ถามแกสักหน่อย ทีหลังรอให้เขาถามก่อน"

หลวงพ่อวิรัชท่านก็บอกว่า หลวงพ่อสอนไม่ให้ไปคิดแทนคนอื่น มันไม่ใช่หน้าที่เรา หน้าที่นักปฏิบัติอย่างเราต้องสงบเสงี่ยม

เถรี 03-09-2009 14:22

กล้องระยำ


หลวงพ่อวิรัชท่านบอกว่า "หลวงพ่อท่านดุเพื่อขัดเกลาเรา ขัดให้เราสะอาด แต่ถ้าท่านไม่ดุ ตามใจเรา เราก็จะกลายเป็นคนที่ผิดไปเรื่อย ๆ บางครั้งท่านดุเดี๋ยวท่านก็ปลอบ เวลาท่านปลอบท่านดูด้วยนะ ว่าเราได้ปรับปรุงตนหรือไม่"

แล้วหลวงพ่อวิรัชก็เล่าให้ฟังว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีคนถวายกล้องถ่ายรูปให้หลวงพ่อฤๅษี พอดีวันนั้นมีคนจะถวายของด้วย หลวงพ่อฤๅษีก็เลยให้หลวงพ่อวิรัชถ่ายรูปให้ หลวงพ่อวิรัชท่านก็ไม่เคยถ่ายรูปมาก่อน ตอนที่จะถ่ายรูป พอจะกดปุ่ม มันก็กดไม่ลง กดกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่ลง หลวงพ่อฤๅษีซึ่งตั้งท่ารอให้ถ่ายก็หันมาดุว่า "เมื่อไหร่แกจะถ่ายสักที"
หลวงพ่อวิรัชก็บอกว่า "ผมกดไม่ลงครับ"
"แกมัวซุ่มซ่ามอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะกดสักที"
"ก็มันกดไม่ลงครับ" พยายามกดเท่าไหร่ก็ไม่ลง แปลกมาก
"มัวซุ่มซ่ามอยู่นั่นแหละ ไปให้อาจินต์กด"

พอหลวงพี่อาจินต์กดปุ๊บติดเลย หลวงพ่อวิรัชก็มานั่งเสียใจ "มันอย่างไรหว่า เราโดนทุกที หลวงพี่อาจินต์รอดทุกที"
แต่ก็เข้าใจว่าหลวงพ่อท่านทดสอบ

พอเวลาผ่านไป ช่วงที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน หลวงพ่อวิรัชก็นั่งทำอะไรไปเรื่อย ๆ สักพักหลวงพ่อฤๅษีท่านก็พูดว่า "แหม ไอ้กล้องระยำ มันไม่ดีจริง ๆ มันทำให้ข้าต้องด่าไอ้แป๊ะไปหลายตลบ"
พอคุยไปเรื่องอื่น หลวงพ่อท่านก็ย้อนมาพูดอีกว่า "กล้องมันระยำจริง ๆ "
หลวงพ่อวิรัชก็บอกไปว่า "ไม่เป็นไรครับ ผมรับได้"

ตรงนี้ท่านเล่าให้เห็นว่าหลวงพ่อฤๅษีท่านทดสอบกำลังใจ และตอนหลังหลวงพ่อท่านก็มาปลอบ

เถรี 03-09-2009 15:03

พุทธภูมิ


พุทธภูมินี่ตื่นเช้าขึ้นมาก็มองดูว่าจะช่วยใครพ้นทุกข์ได้บ้าง มองหาสิ่งที่จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่น พุทธภูมิเกิดมาแต่ละชาติต้องมีหน้าที่ อย่างบารมี ๑๐ ต้องตั้งความปรารถนาว่าชาตินี้เรามาสร้างบารมีอะไร ดูอย่างพระพุทธเจ้าแต่ละชาติมาไม่เหมือนกัน มีอยู่ชาติหนึ่งที่ทำครบหมดเลย เพราะฉะนั้นพุทธภูมินี่เรียกว่า คว่ำแก้วน้ำแล้วไม่เหลือน้ำแม้แต่หยดเดียว คือ ทานก็ทำหมด ไม่ดูว่าคนนี้เป็นคนจนหรือคนรวย ใครมาขออะไร คนนี้ขอก่อนก็ให้เขาไปเลย ชูชกมาขอก็ให้ไปเลย ไม่ดูว่าคุณมีศักดิ์ศรีหรือเปล่า

หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พระเวสสันดรบารมีตัวอื่นเต็ม แต่ขาดเนกขัมมะ เทวดาท่านก็ต้องดลใจให้ชาวเมืองเกลียด เพื่อที่จะให้พระเวสสันดรสร้างบารมีได้เต็ม เมื่อพระเวสสันดรถูกขับออกจากเมือง ท่านก็เลยบวชซะเลย พอบวชแล้ว ได้บริจาคลูกเมียเรียบร้อยแล้ว เทวดาก็คลายให้ชาวเมืองคิดถึงพระเวสสันดร แล้วก็อัญเชิญกลับมา เพราะฉะนั้นก็เป็นอำนาจของเทวดาด้วยว่า คอยประคบประหงมให้ท่านสร้างบารมีให้ครบถ้วน จริง ๆ ถ้ามีบารมีมาก ยิ่งเป็นพุทธภูมิ พรหมเทวดาจะคอยดูแลรักษาเพื่อให้มีกำลังสูงขึ้น

คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาทำอะไรก็จะต้องทำด้วยตนเองทุกอย่าง อย่างหลวงพ่อนี่ใครให้อะไรมา ท่านก็ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองให้ได้หมดเลย วิสัยของผู้นำ ทำอะไรด้วยตนเองทุกอย่าง ต้องเรียนรู้หมดเลย ของทุกอย่างที่ท่านใช้ ท่านทำเป็นหมด อย่างเรานี่น่าจะทำเป็นแต่กลับทำไม่เป็น กล้อง วีดีโอ สารพัดท่านทำได้หมดเลย แม้กระทั่งพิมพ์ดีด ท่านพิมพ์จดหมายเอง บางทีพิมพ์ออกมาบางคำก็ผิด เนื่องจากเครื่องมันเก่ามาก ท่านก็ไม่ยอมเปลี่ยน

พุทธภูมิไม่คิดถึงขันธ์ ๕ ของตนเอง แต่ถ้าใครเป็นห่วงขันธ์ ๕ ของตนเอง แสดงว่าเป็นพุทธภูมิบารมีอ่อน ส่วนท่านที่บารมีเต็มจะเหมือนกับท่านตัดขันธ์ ๕ อยู่ตลอดเวลา ไม่อาลัยอาวรณ์ในร่างกาย ตนเองจะเป็นอย่างไรก็ช่าง คิดแต่จะช่วยเขา พอท่านทำหน้าที่เสร็จแต่ละชาติแล้วก็ไป ไม่ต้องถือว่าตนเองต้องมีอายุยืนเท่านั้นเท่านี้ ทำหน้าที่จบก็ไป ส่วนมากก็มากู้ชาติอะไรแบบนี้ ต้องเป็นทั้งหมดตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานขึ้นมาทุกอย่าง อย่างสมถะก็ต้องเรียนให้หมด ๔๐ กอง ต้องรู้อารมณ์ต่าง ๆ ในแต่ละกองว่าเป็นอย่างไร

เถรี 03-09-2009 19:38

หลวงพ่อวิรัชท่านก็กล่าวต่ออีกว่า

อย่างสาวกภูมินี่ไม่ต้องอะไรมาก ท่านให้เรารวบรัด เอากองใดกองหนึ่ง แล้วเราก็ทำกองนั้นให้ชำนาญ อย่างเวลาเรานึกถึงความตาย คนที่ป่วยจะทำได้ง่าย แต่ถ้าคนหนุ่ม ๆ บางทีให้นึกถึงความตาย มันก็ยังไม่อยากตาย มันจะเห็นยากหน่อย พอเราเริ่มอายุมากขึ้นมันจึงเริ่มเห็นว่าร่างกายเรามีโทษ มันเริ่มหนีเราทุกวัน

ส่วนพุทธภูมินี่ถ้าใครปรารถนาสร้างบารมีจริง ๆ จะเป็นผู้ที่น่าเคารพกราบไหว้มาก เมื่อเรารู้ปฏิปทาของพุทธภูมิแล้ว เพราะพุทธภูมิเกิดมาเพื่อช่วยเหลือคนอื่นจริง ๆ จึงสมกับเป็นศาสดาเอกของโลก เพราะแต่ละชาติก็ต้องช่วยเขาหมด แม้กระทั่งต้องยอมสละชีวิต เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านสละร่างกายให้เสือกิน

อย่างสาวกนี่ เราเอาแค่ตัดตัวเราก่อน เหมือนจะเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่เชิง ในขณะเดียวกันต้องมีเมตตาด้วย ถ้าไม่มีเมตตาจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะคนที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ก็ต้องมีความพิเศษกว่าปุถุชน มีความเมตตาที่เป็นความเย็น ความชุ่มฉ่ำ อย่างเข้าไปหาพระอรหันต์ หลวงปู่หลวงตา แค่เห็นท่านยิ้มนิดหนึ่งหรือพูดอะไรไม่กี่ประโยคเราก็ชื่นใจแล้ว บางองค์ท่านป่วยหนัก แค่ท่านพลิกตัวมาให้เราเห็นหน้าหน่อย เราก็ชื่นใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรเลย เพราะฉะนั้นความงามของท่านไม่ได้อยู่ที่สังขารเลย

เถรี 03-09-2009 19:53

จับภาพพระ ๒ องค์


หลวงพ่อวิรัชเล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อท่านเป็นคนไม่มีความลับ ถามอะไรท่านตอบหมดเลย อยากรู้เรื่องอะไร ท่านเล่าให้ฟังหมด ไม่มีเรื่องปิดบัง บางทีถามท่านว่าปฏิบัติอย่างไร ก็ไม่เห็นท่านปิดบัง"

พี่ทิดตู่เลยถามว่า "ท่านว่าอย่างไรบ้างครับ"
"ท่านบอกว่า ปกติในแต่ละวัน ท่านจับภาพพระอยู่ในอกและในสมอง อย่างท่านนั่งคุยกับเราอยู่อย่างนี้ ท่านจับภาพพระพร้อมกันสององค์ เราถามคำถามท่าน ท่านก็ถามพระ และท่านก็นั่งฟังเราอีก และตอบคำถามเราอีก ท่านบอกว่า ข้าคุยกับพระในอกและสมอง ทั้งสององค์ จับอยู่แค่นี้แหละ"

เถรี 04-09-2009 09:39

หลวงพ่อวิรัชเคยถามหลวงพ่อฤๅษีเกี่ยวกับการใช้มโนมยิทธิขึ้นไปบนพระนิพพาน ท่านบอกว่า "ตรงนั้นก็เท่ากับว่าเป็นวิปัสสนาญาณสูงสุดแล้ว เพราะใจเราไม่เกาะร่างกาย มันแยกออกไปชั่วคราว แต่ว่าเป็นชั่วคราวที่สะอาด"

เถรี 04-09-2009 09:42

หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า ถ้าพระโสดาบันพอยุงกัดก็จะรีบเกา โดยไม่มองดูก่อน พอเกาเสร็จก็จะเห็นเลือดติดมือ แต่จริง ๆ ใจของท่านไม่มีเจตนาจะฆ่ามัน
แต่ถ้าขึ้นไปอีกขั้น (พระสกิทาคามี) ทีนี้พอรู้สึกคันจะเริ่มดูว่ามียุงเกาะหรือเปล่า จะไม่รีบเกาทันที เพราะความละเอียดของพระสกิทาคามีจะมากขึ้น มีสติมากขึ้นก็จะเริ่มระวัง

เถรี 04-09-2009 09:48

หลวงพ่อวิรัชเล่าให้ฟังว่า สมัยอยู่ท่าซุงถ้ามีเวลาว่างก็จะหาเวลานั่งสมาธิ บางทีก็จะอ่านโน้ตที่บันทึกธรรมะของหลวงพ่อ ซึ่งปกติจะวางไว้บนหัวนอน มีอยู่หลายเล่มด้วยกัน ตรงที่จดบันทึกคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีนี้ อย่างเวลาท่านรับแขก ท่านพูดธรรมะอะไรดี ๆ ท่านก็จะรีบจดใส่กระดาษโน้ต แล้วเอาไปบันทึกในสมุดอีกที

ก่อนนอนท่านก็จะอ่านไปเรื่อย ๆ ทบทวนดูว่าทั้งวันนี้จิตเราเศร้าหมองหรือเปล่า เวลาทำงานเราพูดอะไรให้ใครสะเทือนใจหรือเปล่า แล้วก็สำรวจกรรมบถ ๑๐

ท่านบอกว่า เวลาอยู่วัดท่าซุงจะไม่ค่อยพูดกับใครเท่าไร จะแยกโต๊ะมานั่งคนเดียว ดังนั้นเวลาญาติโยมมาจึงไม่ค่อยจะถามชื่อท่าน นอกจากใครจะมาบ่อย ๆ จึงจะจำชื่อท่านได้ เพราะท่านไม่ค่อยจะไปสุงสิงกับใคร โดนหลวงพ่อฤๅษีท่านสอนมาว่าอย่าไปยุ่ง ไปประจบชาวบ้าน ท่านก็เลยพยายามไม่นั่งคุยกับโยม

เถรี 04-09-2009 10:06

หลวงพ่อวิรัชก็เล่าให้ฟังต่อว่า มีโยมคนหนึ่งเขาก็มาชวนคุย แต่หลวงพ่อวิรัชก็ไม่พยายามตอบ
เขาก็ถามว่า "หลวงพี่วิรัช หลวงพี่จะสึกเมื่อไหร่" ท่านก็ไม่กล้าตอบ เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร
พอดีหลวงพ่อฤๅษีท่านนั่งอยู่ใกล้ ท่านได้ยิน เลยพูดว่า
"ว่าอะไรนะ เมื่อกี้"
หลวงพ่อวิรัชก็บอกว่า "เขาถามผมว่าจะสึกเมื่อไหร่"
"ตอบไปเลย ไม่สึกแล้ว!"

บางอย่างท่านได้ยิน ท่านหันมาเลย

เถรี 04-09-2009 10:09

เอาเข้า ๑๐ เอาออก ๑๐
บันไดเข้านิพพาน เราก็เห็นแล้วว่ามีบันได ๑๐ ขั้น เอาเข้า ๑๐ เอาออก ๑๐
ก็คือ เราต้องสร้างบารมี ๑๐ ให้เข้ามาอยู่ในจิตใจ และก็เอาสังโยชน์ ๑๐ ออกไปจากใจ

หลวงพ่อฤๅษีเคยพูดไว้ว่าให้เอาบารมี ๑๐ ติดไว้ที่หัวนอนเลย แล้วเราก็เอาตรงนี้ไปใคร่ครวญดู

เถรี 04-09-2009 11:01

ของหาย


การที่เราทำงาน คอยตามรับใช้หลวงพ่อ จริง ๆ แล้วก็คือการปฏิบัติ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็คือการปฏิบัติ ต้องประคองสติไว้ให้ดี ถ้าโดนหลวงพ่อดุนี่ต้องเตรียมใจรับไว้เลย จะต้องทำหน้ายิ้มให้ได้ บางคนนี่โดนแล้วไม่กินข้าวเลยเป็นอาทิตย์

บางอย่างเราคิดว่าที่เราทำนั่นดีแล้ว แต่ท่านคิดไม่เหมือนกับเรา
อย่างไปต่างประเทศ โยมเขาก็ถวายกล่องมาเยอะแยะ แล้วหลวงพ่อท่านก็เอามาวางไว้บนตู้...สูงเลย เราก็ไปดู กลัวมันจะหล่น ท่านเรียงเอากล่องใหญ่วางข้างบน กล่องเล็กอยู่ข้างล่าง ใครให้ของใส่กล่องมาท่านก็มาวางซ้อน ๆ

เราก็บอกกับหลวงพี่อาจินต์ว่า "หลวงพี่อาจินต์ เราไปช่วยจัดห้องหลวงพ่อกันเถอะ"
เราก็รื้อออกมาเรียง ๆ เอากล่องใหญ่ไว้ข้างล่าง กล่องเล็กไว้ข้างบน จัดจนกระทั่งเรียบร้อยดี

พอหลวงพ่อท่านมา ท่านบอกว่า "ของที่เขาถวายข้ามา มันหายไปไหนหมด"
ตายห่าแล้ว...ของหาย ก็เลยบอกท่านว่า "ของไม่หายครับ ก็อยู่ข้างบน"
"ใครมาจัดไว้นี่"
"พวกผมมาจัดครับ"
"ทีหลังไม่ต้องเสือกมาแตะของ ๆ ข้านะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครถวายอะไรมา"


คือ ท่านจะจำ ใครถวายของอะไรมาท่านก็จะเอาวางเรียง คนที่สองถวายมาท่านก็วาง ท่านก็จะจำของท่านได้ เราไปเรียงสลับตำแหน่งหมดเลย ท่านจำไม่ได้แล้ว ทีหลังเราเลยไม่แตะ

เราก็ต้องคอยประคับประคองสติอยู่เรื่อยเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเราก็โดนเขี่ยไปนานแล้ว เพราะต้องทำงานให้ท่านละเอียดให้ได้ ทำแล้วต้องทุ่มเท ไม่ใช่ทำแล้วอยากได้หน้า สมัยแรก ๆ นี่ทำแล้วอยากได้หน้า หลวงพ่อท่านรู้ ท่านเดินมาสะบัดหน้าใส่เราเลย รู้สึกขายหน้าท่านมาก

เถรี 04-09-2009 11:11

หลวงพ่อทดสอบ


เรารู้ว่าหลวงพ่อท่านแก้ไขให้เราตลอดเวลา ขัดเกลาให้เราตลอด เรารู้สึกว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์พูดแต่ละคำกับเรานี่ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสอนเราตลอด ถ้าท่านปล่อยเรานะ ท่านจะไม่มาว่า ไม่มาตวาดอะไร พระในวัดบางที กว่าท่านจะคุยด้วยเป็นเดือน ๆ เลยนะ เรานี่ได้คุยทุกวัน

บางทีหลวงพ่อท่านก็ทดสอบ ตอนนั้นกำลังสร้างศาลา ๑๒ ไร่ กำลังจะไปตรวจงานตอนเช้า ทีนี้ท่านก็ทดสอบเราว่า
"เอ..ช่างคิดนี่ ปูกระเบื้องไปได้เท่าไหร่แล้ว เอ็งลองดูซิว่าปูไปได้สักกี่เมตร" เราก็นั่ง กะเอาเท่านั้นเท่านี้บอกท่านไป (ใช้มโนฯ)

พอไปถึงเราก็เห็นแล้วว่าเราทายผิด เราก็นึกว่าหลวงพ่อท่านลืมไปแล้ว เห็นท่านเดินไปรอบศาลา ๑๒ ไร่ เดินไปคุยไป นึกว่าท่านลืมแล้ว ปรากฏว่าท่านเดินถือไม้เท้ากลับมา
"แป๊ะมาตรงนี้ซิ"
"นี่เมตรใคร !"
"เมตรใคร เมตรแกหรือเปล่า !" (ทายจำนวนเมตรผิด)

ท่านก็ฝึกให้เราใช้มโน ฯ บางทีท่านก็ถาม
"กี่โมงแล้วแป๊ะ"
เราก็บอกว่า "ประมาณ....เก้าโมง...สี่สิบ...เจ็ดครับ" พอดีว่านาฬิกาอยู่ตรงหน้า
"เท่าไหร่!"
"เก้าโมงสี่สิบเจ็ดครับ"
"เท่าไหร่กันแน่"
"ผมดูนาฬิกาตรงนี้"
"ขี้หมา! ข้านึกว่าแกใช้มโนฯ"

เถรี 04-09-2009 11:45

กลัวจนตัวสั่น


ตอนนั้นพอดีคุณอมร เขาจะมาหารองเจ้าอาวาส แล้วรองเจ้าอาวาสเขาไปต้อนรับหลวงพ่ออยู่ เราก็มอง ๆ เห็นหลวงพ่อกำลังห่มผ้า โยมน้อยก็มา
"เข้าไปเลยหลวงพี่"
"ไปได้เหรอ"
"ได้สิ เดี๋ยวไปส่ง"
"ไปเลย"

เท่านั้นแหละ เปรี้ยงทันที
"ออกไปเดี๋ยวนี้นะ !" เสียงท่านมีอำนาจมากเลย
เรานี่ตัวสั่นหมด ก็วิ่งหนีกันออกไป พากันไปแอบตรงห้องน้ำ "นี่ ๆ อยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวท่านจะออกมาแล้ว"

ผ่านไปสักพัก หลวงพ่อสั่งให้คนมาตาม บอกว่า "หลวงพ่อจะไปแล้ว สั่งให้พาคุณอมร มาหาหลวงพ่อเดี๋ยวนี้เลย"
เราก็บอกว่า "ไม่ไปแล้วนะ คุณไปคนเดียวเถอะ ผมไม่ไปด้วย" เขาก็ไปกันหมด ส่วนเราก็เดินกลับกุฏิ ไปนั่งสั่นอยู่ในนั้น นั่งคิดทั้งวันเลย เป็นครั้งแรกที่โดน ตัวสั่นเลย สั่นแบบไม่กล้าเจอหน้าหลวงพ่อไปหลายวัน หลบแล้วหลบอีก ท่านออกมาทางนี้ก็หลบไปอีกทาง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว