กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3285)

เถรี 10-04-2012 07:57

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
 
ถาม : กลุ้มใจ อยากทำตามใจกิเลสค่ะ
ตอบ : ก็ทำไปสิ..ถึงเวลาจะได้รู้ว่านรกมีจริง..! กิเลสชวนให้เราทำตามใจอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างแย่ที่สุดก็อย่าให้หลุดกรอบของศีล อันดับแรก..อย่าทำศีลขาดด้วยตัวเอง อันดับที่สอง..อย่ายุให้คนอื่นทำ อันดับที่สาม..เห็นคนอื่นทำก็อย่ายินดีด้วย แค่นั้นแหละ..ไม่ได้ละเอียดมากหรอก ได้ยินก็เหนื่อยแล้ว..ใช่ไหม ?

ถาม : แล้วถ้าเราอยากได้อะไรมาก ๆ
ตอบ : อยากได้ก็หามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม จะขนมาสักเท่าไรไม่มีใครว่า เขาเรียกว่าสัมมาอาชีวะ แต่ถ้าถึงขนาดลักขโมย หยิบฉวย หลอกลวง ช่วงชิงของเขามา อันนั้นผิดเต็ม ๆ เพราะเกิดจากโลภะจริง ๆ

ถาม : แล้วถ้าเราขอ ?
ตอบ : ถ้าขอแล้วเขาให้ก็เอาสิ ถ้าบุญเก่าทำไว้ดี เวลาขอเขาก็ให้เอง

ถาม : แล้วบุญใหม่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : บุญใหม่ช่วยไม่ทัน บุญใหม่ต้องรอชาติต่อไป ยกเว้นว่าชาตินี้เราทำต่อเนื่องยาวนานสักระยะหนึ่ง ๕ - ๑๐ ปีติดต่อกันไม่เลิกเลย ถ้าอย่างนั้นพอจะช่วยได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบุญในอดีตจะส่งผลให้ในปัจจุบัน ถ้าในอดีตกำลังไม่แรงพอก็ส่งไม่ถึงปัจจุบัน ต้องรออนาคตโน่น

ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องทำให้แรงพอ คำว่าแรงพอไม่ได้หมายความว่าทำมาก แต่ให้ทำแบบคนฉลาด คนฉลาดเลือกทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ อย่างเช่น สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน เป็นต้น แต่ว่าให้ทำในลักษณะต่อเนื่องยาวนานพอ อย่างเช่นทำทุกเดือน ๆ ติด ๆ กัน ๕ - ๑๐ ปีก็รู้ผลแล้วจ้ะ อย่าชิงตายเสียก่อนแล้วกัน

ที่บอกว่าอยากตามใจกิเลส ตอนนี้อยากจะทำอะไรบ้างจ๊ะ ?

เถรี 10-04-2012 08:02

ถาม : ไม่อยากคุยกับชาวบ้าน
ตอบ : อะไรนะ..! ไม่อยากคุยกับชาวบ้าน ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าคุยมากก็ฟุ้งซ่านมาก ทำให้ควบคุมใจตัวเองลำบาก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ :ถ้ามีสติรู้ตัวอยู่ก็ปล่อยไปตามสภาพ ปฏิสันถารกันตามปกติ ทักทายกันตามปกติ ถึงเวลาก็สนใจเฉพาะหน้าที่ของเรา แต่ถ้าถึงเวลาไม่มีสติ ต้องคุยกันชั่วโมงหนึ่งไม่เลิก ก็ข่มใจไว้ดีกว่า

เตือนอะไรไว้อย่างหนึ่งจะเชื่อไหม ? อย่าทำอะไรเสี่ยง ๆ นิสัยเราชอบอย่างนั้น รู้สึกสนุก แต่การเสี่ยงมักจะต้องไต่ขอบเหว พลาดเมื่อไรก็เยิน..! แค่นั้นแหละ เอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตเลย ว่าอะไรที่จะต้องเสี่ยงขึ้นมาแล้วให้นึกถึงคำนี้ไว้ อาตมาได้เตือนแล้ว

เรามีนิสัยทำพวกนั้นแล้วสนุก เสี่ยงต่อการผิดศีล เสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย เสี่ยงต่อการผิดระเบียบวินัย ข้อบังคับของหน่วยงาน ขับรถแหกกฎจราจร โอ๊ย...มีความสุขที่ได้ทำ ถ้าวันไหนย้อนศรไปเจอรถมาพอดี ไม่มีใครเขาพุทโธ่หรอก มีแต่สมน้ำหน้า..! อาตมาประกาศไว้ชัดแล้ว คนไหนขับรถย้อนศรแล้วโดนชนตายไม่ต้องเอามาสวดที่วัดท่าขนุนเลยนะ ประกาศให้ชาวบ้านรู้ไว้เลยว่า ถ้าทำอย่างนั้นอาจารย์ไม่รับเผาหรอก..!

ดังนั้น..อะไรเสี่ยงที่ว่ามา เสี่ยงต่อการผิดศีลผิดธรรม เสี่ยงต่อการผิดกฎหมายบ้านเมือง เสี่ยงต่อการผิดข้อบังคับของที่ทำงาน อย่าไปเสี่ยงเด็ดขาด

เถรี 10-04-2012 12:32

พระอาจารย์กล่าวถึงการแต่งกายในงานศพว่า "ธรรมเนียมการไว้ทุกข์หรือเข้าทุกข์ของคนไทยโบราณ นิยมแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน เป็นการไว้ทุกข์แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รวมถึงการไว้ทุกข์ถวายเจ้านายด้วย

การไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวปลอดนี้ บางทีเรียกว่า "เข้าทุกข์ใหญ่" เป็นการไว้ทุกข์เต็มยศแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใส่แขนทุกข์หรือปลอกผ้าสีดำอีก ต่างจากการแต่งเครื่องแบบที่เป็นการแต่งกายตามปกติ แต่ยังไม่ได้ไว้ทุกข์ จึงต้องใส่แขนทุกข์ด้วย

อาตมาพูดมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว เห็นเด็กแต่งชุดดำไปงานศพผู้ใหญ่แล้วรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก สมัยโบราณคนที่อายุน้อยกว่าไปงานศพผู้ใหญ่กว่าต้องใส่ชุดขาวไป ถ้าหากว่าไปงานศพคนที่เด็กกว่า อายุน้อยกว่า หรือว่ายศต่ำกว่า ถึงใส่ชุดดำได้ อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว ตั้งแต่งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ งานถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนี งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เห็นแล้วเบื่อสุด ๆ ว่าแต่ละคนที่ไปนี่ใหญ่กว่าท่านทั้งนั้นเลย

ต่อให้งานศพทั่ว ๆ ไปก็เหมือนกัน คนอยู่บนเมรุนั่นอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ปี เด็กเมื่อวานซืนก็ใส่ชุดดำไป คราวนี้คนรู้ธรรมเนียมอย่างอาตมา พอเห็นแล้วก็สยอง แต่พอว่าไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจกัน งานศพที่วัดท่าขนุนอาตมาเตือนอยู่ ๒ เรื่องทุกครั้ง เรื่องหนึ่งก็คือการไว้ทุกข์ ถ้าคนตายอาวุโสกว่าให้ใส่สีขาวไป อีกเรื่องหนึ่งก็คือเราเป็นคนส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ไปแย่งพระจูงศพ..!

ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาไปแย่งกันจับสายสิญจน์จูงศพ เรื่องของการจูงศพเป็นหน้าที่ของพระของเณร ถ้าจะเดินนำศพจริง ๆ อนุญาตให้คนถือรูปผู้ตายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นทุกอย่างไปเดินตามอยู่ข้างหลัง เตือนทุกครั้ง เตือนจนตอนนี้เริ่มเข้าหูแล้ว ถึงเวลาจึงวิ่งไปอยู่ท้ายโลง เพราะถ้าขืนมาหน้าโลงอาจจะโดนด้ามตาลปัตรจากพระอาจารย์..! เคาะกบาลเข้าถึงจะนึกได้

เขาก็บอกชัด ๆ แล้วว่าไปส่งศพ ไม่ได้ไปจูงศพ แล้วบางคนไม่รู้ไม่พอ ดุพระเณรด้วยนะ “ปล่อยสายสิญจน์ยาว ๆ หน่อยสิ ไม่พอจูง” ปล่อยให้หมดม้วนก็ไม่พอหรอก เพราะบางงานคนมาเป็นพันเลย อย่างงานศพร้อยตำรวจตรีประเสริฐ บุญยงค์ โยมพ่อของท่านนายกเทศมนตรีประเทศ บุญยงค์ แขกเกิน ๒,๐๐๐ คนแน่นอน ถ้าขืนไปจูงศพแล้วจะเอาสายสิญจน์ที่ไหนมาให้จูง ๕๐๐ เมตรก็คงไม่พอ"

เถรี 10-04-2012 12:44

"บุคคลที่จะแต่งชุดสีดำ ต้องอาวุโสด้วยวัยวุฒิคืออายุมากกว่า หรืออาวุโสด้วยคุณวุฒิก็คือยศตำแหน่งสูงกว่า อย่างสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีวัยวุฒิและตำแหน่งของพระองค์ท่านสูงมาก บุคคลที่จะแต่งดำได้จริง ๆ ปัจจุบันนี้จะมีอยู่แค่ ๔ พระองค์เท่านั้น ก็คือ ในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วก็สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพราะว่าพระอิสริยยศสูงกว่า

แต่คราวนี้ในหลวงทรงพระราชทานอิสริยศประดับฉัตร ๗ ชั้น พอได้สัปตปฎลเศวตฉัตรไป ก็เหลือแค่ ๒ พระองค์เท่านั้นที่จะแต่งดำได้ ก็คือในหลวงกับพระบรมราชินีนาถ ความจริงฉัตร ๗ ชั้น พระยศเท่ากับสมเด็จพระราชินีนาถเลยนะ แต่เนื่องจากว่าสมเด็จพระราชินีนาถดำรงตำแหน่งที่สูงกว่า จึงสามารถที่จะแต่งดำได้

เพราะฉะนั้น..ต่อไปชาววัดท่าขนุน ถึงเวลาไปงานศพผู้ใหญ่ให้แต่งสีขาวไป สุภาพเรียบร้อยกว่าเยอะเลย แต่ว่าระยะหลังนี่มีค่านิยมอย่างหนึ่งที่เห็นแล้วหงุดหงิด อยากจะเรียกมาโบกเสียที..! ก็คือพวกที่ไปงานศพแล้วแต่งตัวเป็นแฟชั่น เคยเห็นไหม ? เขาตั้งใจแต่งตัวไปอวดกันจริง ๆ นั่นเขาเรียกว่าไม่ดูกาลเทศะ

แต่งตัวอย่างกับจะไปเดินแฟชั่นโชว์ ไม่ดูว่าเป็นงานศพ ต่อให้เป็นชุดขาวชุดดำอะไรก็เถอะ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติผู้ตาย จะไปไว้อาลัย ไปเพราะเห็นความดีของท่าน ไปเสริมเกียรติยศของท่าน แต่ดันไปทำตัวเพื่อลดเกียรติยศของท่านเสียนี่

สรุปว่าอาตมาแก่เกินไป ตกยุค เดี๋ยวนี้เขานิยมอย่างนั้น แต่เป็นการนิยมที่ผิดกาลเทศะ"

เถรี 10-04-2012 14:45

ถาม : แล้วที่ท่านธุดงค์กันทำให้รถติด ?
ตอบ : แล้วอย่างไร ? รถติดก็หน้าที่ของตำรวจสิจ๊ะ อย่าไปยุ่งกับท่านเลย โบราณท่านเก่ง ท่านกันตัวเองออกไปเลย เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระเถรเณรชี ท่านจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรียกว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ คำว่า "ชี" สมัยก่อนก็คือพระ แม่ชีต่างหากที่หมายถึงชีในสมัยนี้ อย่างสมัยก่อนเขาใช้ศัพท์บางคำว่า "ชีบานาสงฆ์" เป็นต้น

เมื่อเป็นดังนั้นเขาจะกันตัวเองออกไป ไม่ยุ่งเรื่องพระเถรเณรชีด้วย เพราะว่าคนเราเวลาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงพอ ก็จะอยู่ในลักษณะใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย เกิดโทษกับตัวเองได้ง่าย แล้วอีกประการหนึ่ง ถึงจะว่ากันตรงไปตรงมาตามเหตุตามผลก็ตาม คนส่วนมากเขาเคารพเลื่อมใสบุคคลเหล่านั้น เราไปพูดตรงไปตรงมา แต่ว่าอยู่ในลักษณะไปลดความน่าเชื่อถือของเขาลง ก็มีโทษเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจคนส่วนใหญ่จะเสีย

สมัยนี้ก็เลยมีประเภทพวกมากลากไป ทำผิดจนกลายเป็นถูก กลายเป็นกาเมสุมิจฉาจารไป
กาเมสุ เป็นสัตตมีวิภัตติ ก็คือวิภัตติที่ ๗ ของศัพท์คำว่ากามะ แปลว่าในกาม มิจฉาจาระ ก็คือความประพฤติผิด แต่คราวนี้เราดันไปกล่าวเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ก็เลยกลายเป็นผิดแล้วดี เพราะ สุ แปลว่า ดี ถ้าพระที่ท่านเข้าใจศัพท์ตัวนี้ เวลาให้ศีลท่านจะว่า กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมณี จะเว้นตรงสุไว้นิดหนึ่งให้คนรู้ว่าเป็นศัพท์คนละตัว แต่โยมรับศีลเมื่อไรก็เป็น กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี ติดกันไปอีกจนได้ ฉะนั้น เมื่อเป็น สุมิจฉาจาร จึงแปลว่า ผิดแล้วดี..!

เถรี 10-04-2012 14:52

แรก ๆ พวกเราปฏิบัติธรรม กำลังใจของพวกเรามักจะไปแยกดีชั่ว ขาวดำอย่างชัดเจน จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พอทำไป ๆ ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้ว่า ผิดถูกเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม

บุคคลที่ทำอกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีดำ ก็คือไหลลงไปเรื่อย ๆ บุคคลที่ทำกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีขาว ก็คือไหลขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้ทั้ง ๒ กระแส ไปไม่ถึงที่สุดหรอก ถ้าจะหลุดพ้นได้จริง ๆ ต้องผ่ากลางไปให้ได้ ก็คือเว้นชั่วทำดี แล้วท้ายสุดเลิกเกาะดีก็จบ แต่กำลังใจกว่าจะเลิกเกาะดีได้นี่ยากมาก เพราะเราต้องอาศัยดีเป็นบันได เพื่อที่เราจะก้าวหลุดพ้นไป

เพราะฉะนั้น..กว่าจะรู้ตัวว่า ดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ต้องเกิดตายกันจนนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น..การที่เรามองอะไรขาวดำชัดเจนนั่นดี แต่ให้เราเกาะขาว ทำด้านที่ขาวเอาไว้ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า สุกะธรรมะ ก็คือธรรมอันขาว ถ้าหากว่า กัณหะธรรมะ ก็คือธรรมอันดำ ก็คือบรรดาสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมต่าง ๆ

ท่านก็บอกว่า กัณหังธัมมัง วิปะหายะ สุกังพาเว จะ ปันฑิโต บัณฑิตย่อมละเว้นการกระทำกรรมอันดำ กระทำแต่กรรมที่ขาวเท่านั้น ก็คือเว้นจากความชั่ว ทำแต่ความดีเท่านั้น พอทำไป ๆ ความดีเต็มอยู่ในจิตในใจของตัวเอง ปัญญาเกิดถึงที่สุด จะเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น ท้ายสุดก็วางความดีนั้นลง ก่อนที่จะวางได้ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ไม่ใช่ประเภททำนิดหนึ่งแล้วก็ไปวาง แล้วเราจะมีอะไรให้วาง ? ต้องทำจนเต็มที่แล้วถึงจะปลดวางลงไปเอง

เมื่อเราเลิกเกาะดี ไม่ติดทั้งดีทั้งชั่วก็จะหลุดไปได้ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามในระยะแรกเริ่ม ถ้าสามารถเอาคนเข้าวัดมารักษาศีลปฏิบัติธรรมได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด แม้ว่านานไปแล้ว สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่ความดีที่แท้จริง แต่คนที่ก้าวเข้ามาถึงจุดนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็เหมือนกับคนหิว คนหิวต้องรีบกินก่อน แต่พออิ่มแล้วต่อไปก็จะเลือกแล้วว่าอะไรอร่อยถูกปากหรือเปล่า

ถาม : ไม่มีถูกไม่มีผิด ต้องเว้นศีลไว้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ต่อให้ผิดศีล เขาก็ไม่ได้ทำผิด เพราะเขาคิดว่าดีเขาถึงทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดี เขาก็พยายามที่จะเลิก ในเมื่อทำเพราะเห็นว่าดี เขาย่อมไม่คิดว่าเป็นความผิด เพราะฉะนั้น..ในความเป็นจริงแล้วคนเราไม่มีถูกไม่มีผิดหรอก เพียงแต่ว่าให้พยายามทำในสิ่งที่ถูก ที่เขาสมมติกันขึ้นมา ละเว้นในสิ่งที่ผิดเสีย พอถึงเวลาทำได้เต็มที่เมื่อไรก็เป็นอันว่าพ้นไปได้

เถรี 11-04-2012 11:40

ถาม : ผ้ายันต์พิชัยสงคราม บูชามาแล้วควรจะติดบ้านหรือติดตัวไว้ก่อน ?
ตอบ : ติดตัวได้จะดี หรือไม่ก็ติดบ้านอธิษฐานคลุมทั้งตึกทั้งที่ดินของเราเลยก็ได้

ถาม : เก็บไว้กับตัวได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อุตส่าห์บูชามาทั้งทีก็เอาติดตัวไว้สิ

เถรี 11-04-2012 11:41

ถาม : บทสวดอิติปิโสถอด ?
ตอบ : เขาถอดไม่รู้ตั้งกี่อุปเท่ห์ อิติปิโสแปดทิศก็มี อิติปิโสรัตนมาลาก็มี ถ้าเป็นอิติปิโสรัตนมาลาก็ ๑๐๘ บทพอดี เขาถอดอักขระแต่ละตัวออกมาเป็นพระคาถา ๑ บท อย่างเช่น อิ ก็เป็น อิฏโฐ สัพพัญญุตะญานัง อิจฉันโต อาสะวักขะยัง อิฏฐัง ธัมมัง อะนุปปัตโต อิทธิมันตัง นะ มามิหัง นี่คืออิตัวเดียว กว่าจะครบก็ตาย..ตั้ง ๑๐๘ ตัว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่ใจเรา ถ้ากำลังใจมั่นคง ต้องการให้เป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เรื่องของคาถาไม่ได้สำคัญที่คาถา สำคัญที่ใจของเรา คาถาดีแค่ไหนถ้ากำลังใจไม่ได้เรื่องก็ไม่มีประโยชน์

เถรี 11-04-2012 11:43

ถาม : มารอาศัยอยู่กับคนหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยความชั่วของเราเป็นเชื้อ ทุกอย่างที่เราทำไปถ้าผิดศีลผิดธรรม มารจะอาศัยความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ แทรกเข้ามาในใจของเราตลอดเวลา สามารถชักจูงกาย วาจา ใจ ของเราให้ทำผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็หลงตามเขา ห่างพระไปทุกที สรุปว่าโทษมารไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ชั่วมารก็แทรกไม่ได้

ถาม : แล้วถ้าไปแทรกคนอื่น
ตอบ : จะไปยุ่งอะไรกับเขา ไปเสือกยุ่งเรื่องชาวบ้านเดี๋ยวเขาก็อัดเราแทน รู้เรื่องคนอื่นไม่มีประโยชน์ ต้องรู้เรื่องของตัวเอง

เถรี 11-04-2012 11:52

ถาม : มีโยมเป็นเจ้าภาพจัดสร้างหลวงพ่อโสธรจำลอง แต่ผมไม่มีความรู้ในแต่ละขั้นตอน ว่าโรงงานเขาทำแบบไหน หล่ออย่างไร มีพิธีการอะไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าโรงงานเขาทำ เราจะให้เขารวมพิธีต่าง ๆ เข้าไปด้วยก็ได้ หรือเราจะทำด้วยตัวเราเองก็ได้ สำคัญที่เราเองนั่นแหละว่ายินดีแบบไหน

หากว่าเป็นทั่ว ๆ ไปอย่างของอาตมา ก็บวงสรวงบอกกล่าวขออนุญาตท่านทำ จะเป็นพิธีพราหมณ์หรือพิธีพุทธก็อยู่ที่เรา เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ติดต่อโรงงานที่เราพอใจ ให้เขาออกแบบหรือว่าเราหาแบบไปให้เขา เซ็นสัญญากัน ตกลงราคา กำหนดวันเวลาที่แล้วเสร็จ

ถาม : ถ้าเขาจะหล่อหรือเท ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาจะดูฤกษ์ที่เหมาะสม ถ้าเราไม่มีความรู้ก็ขอคำแนะนำจากทางโรงงานเขาก็ได้

เถรี 11-04-2012 12:52

พระอาจารย์กล่าวถึงสำนวนว่า "สำนวนขี่ม้าชมสวน คนที่ไม่เข้าใจมักคิดว่า แหม..ขี่ม้าชมสวนช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน แต่ที่ไหนได้ขี่ม้าชมสวนหมายถึงไม่เอารายละเอียด พรวด ๆ ผ่านไปเลย

สำนวนบางอย่างพอนาน ๆ ไปแล้วคนเขาไม่เข้าใจความหมาย แค่สำนวนอย่าเอามือไปซุกหีบ ก็ไม่มีใครรู้เรื่องแล้ว คำว่า "หีบ" ในที่นี้ไม่ใช่หีบใส่เสื้อผ้า แต่หีบที่ว่านี้เป็นเครื่องหีบอ้อย เป็นเฟืองเหล็กหมุนเข้าหากัน ลองแหย่มือไปสิ ออกมาแบนเป็นกระดาษ สามารถบดมือเราเละได้เลย

อย่าเอามือไปซุกหีบ แปลว่า อย่าหาเรื่องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ หรืออย่าหาเรื่องเดือดร้อนโดยใช่เหตุ"



เถรี 11-04-2012 12:57

พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนกำลังภายในว่า "กระบี่เย้ยยุทธจักรล่าสุดเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นเดชคัมภีร์เทวดาไปแล้ว เรื่องเดียวกันนั่นแหละ ถ้าสำนวนแรกเลยคือผู้กล้าหาญคะนอง เป็นหนังสือที่ตีแผ่ความเป็นนักการเมืองในยุทธจักรได้อย่างถึงแก่นจริง ๆ มีทั้งประเภทชั่วอย่างตรงไปตรงมา อย่างพวกพรรคมาร ชั่วอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครว่าหรอก เพราะรู้ว่าพวกมารต้องชั่ว

นอกจากนี้มีประเภทที่ครึ่งชั่วครึ่งดี ก็คือหน้าฉากเป็นค่ายสำนักฝ่ายธรรมะ แต่วิธีการกระทำเป็นฝ่ายอธรรมชัด ๆ เลย แล้วก็มีประเภทชั่วเนียน ๆ หน้าฉากนี่สุดยอดความดีเลย แต่หลังฉากชั่วสุด ๆ เขาบอกว่ากิมย้งเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะตั้งใจที่จะงัดข้อกับระบบคอมมิวนิสต์ ช่วงนั้นไม่รู้กิมย้งรอดมาได้อย่างไร หรือว่าเขาเขียนเนียนจนกระทั่งอีกฝ่ายตามไม่ทัน

อ่านเรื่องนี้แล้วจะเห็นว่าคนที่ทำชั่วโดยที่มีหน้าฉากเป็นคนดีนั้น เป็นคนที่น่ากลัวที่สุด กิมย้งจะเขียนเรื่องพวกนี้อยู่ ๓ - ๔ เรื่องด้วยกัน จะออกมาแนวนี้เต็ม ๆ อีกเรื่องหนึ่งก็เหล็กคลั่งเลือด ตอนหลังเปลี่ยนเป็นหลั่งเลือดที่นานกิง อันนั้นก็เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่หลอกใช้ลูกศิษย์ให้ไปทำความชั่วแทนตัวเอง"


เถรี 11-04-2012 13:16

"หนังสือนิยายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ประทับใจ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับพวกหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดกับคนมาก เรื่องหมาที่เขียนได้ดีมาก ๆ เลยก็เรื่องเสียงเพรียกจากพงพี และไอ้เขี้ยวขาวของแจ๊ค ลอนดอน ช่วงหลัง ๆ ก็มีไชโลห์ ดิ โอลด์เยลเลอร์ แซมเถื่อน ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นแซมจอมอำมหิตกระมัง ? แล้วก็มีลิตเติ้ลอาร์ลิตที่เป็นเจ้านายของแซม มีอยู่ ๓-๔ เรื่อง คล้าย ๆ กับเป็นเรื่องชุด เขาเขียนแล้วสนุก คนอยากอ่านต่อ ก็เลยเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จบภาค ๒ ต่อภาค ๓ จบภาค ๓ ต่อภาค ๔

เรื่องเกี่ยวกับม้าก็มีลูกม้าสีแดงของจอห์น สไตน์เบ็ค มีแบล็กสตอลโลนเปลี่ยนชื่อเป็นไทยว่าอะไรก็ไม่รู้ ตัวล่าสุดคือเซบาสเตียน เป็นม้าแข่ง หุ่นห่วยแตกมาก แต่ชนะทุกสนาม ถ้าไม่ใช่นักเล่นม้าจริง ๆ จะดูไม่ออกว่าม้าหุ่นแบบนี้จะเก่งได้อย่างไร

ส่วนนิยายที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับคนก็จะมีชุดพรานล่าม้า พรานล่าหมา พรานล่าคน ที่มาลา แย้มเอิบสินแปลไว้ เป็นชุดต่อกันเลย ก็คือเขาได้ม้าคู่ใจ แล้วก็ได้หมาคู่ใจ จากนั้นไปตามล่าผู้ร้าย เรื่องนี้มี ๓ เล่ม

หนังสือของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชจะมีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ เช่น ชีวิตสัตว์ป่า เสือขาว กระรอกเทา - เจ้าพอสซั่ม ฯลฯ เหมาะสำหรับเด็กอ่านหลายเล่มด้วยกัน มีนิทานสำหรับเด็กหลายเล่มด้วยกันที่น่าอ่าน แต่เป็นนิทานที่ไม่มีรูป ประเภทบทหนึ่งจะมีรูปประกอบสักหน้าหนึ่ง"

เถรี 11-04-2012 13:21

ถาม : ถ้าเราเจอปัญหา แล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ควรจะเริ่มพิจารณาจากตรงไหน ?
ตอบ : ก็พิจารณาที่ตัวเองว่าเสือกไปสร้างปัญหาขึ้นมาทำไม ? เราสร้างปัญหานั้นขึ้นมาเพราะเหตุใด ? แล้วก็อย่าทำอย่างนั้นอีก ปัญหาใหม่ก็จะไม่เกิด ปัญหาเก่าพอระยะเวลานานไปก็จะจางลงไปเอง

ถาม : กรรมที่กำลังให้ผล ถ้าเราหาวิธีสะเดาะเคราะห์ จะมีผลอย่างไร ?
ตอบ : สะเดาะเคราะห์มีผลน้อย แต่ว่าส่วนที่น่าทำคือ ถ้าเป็นปัญหาระหว่างบุคคล ไปขอขมาเขาดีกว่า แต่ควรจะให้เขาเข้าใจด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาว่าเราบ้า..!

เถรี 11-04-2012 20:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมามีโอกาสไปเมืองจีน ตั้งใจจะไปที่ Buddhist Palace จะไปดูความอลังการของที่นั่น เป็นสถานที่ในพระพุทธศาสนาที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งรัศมีกับนครรัฐวาติกันของคริสต์

คนจีนมีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมากเป็นพิเศษ ตรงนั้นเป็นเมืองเก่าที่ฆ่ากันมาจนนับศพไม่ถ้วน จึงเป็นที่ซึ่งไม่มีใครต้องการ แต่เขาก็สร้างขึ้นมาเป็นพุทธสถานได้ อาศัยบารมีพระไปข่มเอาไว้ โดยเฉพาะหลวงพ่อโตเขาหลิงซาน เป็นพระหล่อด้วยโลหะองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ซ้ำเข้าไปอีก เขาวางตามจุดที่เห็นว่าฮวงจุ้ยไม่ดี พอเอาพระไปวาง สิ่งที่ไม่ดีก็กลายเป็นดีไปเอง

แบบเดียวกับโค้งตะลุเก้ ทางช่วงทองผาภูมิขึ้นสังขละบุรี ตรงนั้นตายซับตายซ้อนจนเกินโค้งร้อยศพ มีแต่ศาลพระภูมิเกลื่อนกลาดไปหมด แม้กระทั่งหลวงพ่ออุตตมะก็ลงโค้งนั้นจนซี่โครงหักไป ๒ ซี่ ตอนแรกท่านไม่ยอมไป ท่านบอกว่าเคราะห์ไม่ดี ไม่ไป ๆ แต่ลูกศิษย์ก็ตื๊อท่านไปจนได้ พอลงโค้งนั้นท่านต้องรักษาตัวไปครึ่งค่อนปี

มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาขึ้นไปบรรยายที่หน่วยจัดการต้นน้ำซองกาเลีย ขาขึ้นเห็นเขากำลังตั้งศาลอยู่ แสดงว่าลงไปอีกศพแล้ว วันรุ่งขึ้นบรรยายเสร็จอาตมากลับลงมา ศาลหลังนั้นราบไปอีกแล้ว มีรถแหกโค้งลงไปกวาดศาลเสียเรียบเลย พอเกิดเหตุการณ์นี้มากเข้า ๆ ก็ตั้งศาลไม่ไหว ไม่รู้เขาไปได้รับคำแนะนำจากใคร จึงทำแท่นซีเมนต์เล็ก ๆ แล้วก็เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ตั้งหันหน้าเข้าหาโค้ง ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ยังไม่มีใครตายอีกเลย

เราจะเห็นในเรื่องบารมีพระชัดมาก ถ้าในสายตาของเราคือพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ไปอยู่ตรงโค้งร้อยศพ แทบจะไปกันอะไรไม่ได้เลย แต่ปรากฏว่าองค์เล็ก ๆ นั่นแหละเอาอยู่ เพราะว่าเล็กที่ขนาด แต่ไม่ได้เล็กที่พุทธบารมี"

เถรี 11-04-2012 20:12

"หลวงปู่ปานเคยบอกหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า “แกคิดว่าพระพุทธเจ้าเล็กหรือ ?” หรือไม่ก็ลูกศิษย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ได้พระของขวัญจากหลวงพ่อสดไป ก็ว่า “ว้า..องค์เล็กนิดเดียว” กลางคืนฝันเห็นองค์พระขยายใหญ่ขึ้นเต็มท้องฟ้า แล้วถามว่า “ใหญ่พอหรือยัง ?” ต้องโดนอย่างนั้นถึงจะเข็ด ไปว่าท่านองค์เล็ก ตอนกลางคืนท่านทำให้ดูว่าบารมีพระไม่มีเล็ก จะเอาใหญ่แค่ไหนก็ได้

เพราะฉะนั้น..เขาก็เลยสร้างพระใหญ่ขึ้นมาบริเวณตรงจุดนั้น กลายเป็นว่าสามารถสะกดข่มสิ่งที่ไม่ดีได้ ทำสถานที่จนมีลักษณะเหมือนกับพุทธมณฑล แต่เป็นพุทธมณฑลของจีน อาตมาตั้งใจจะไปดูแค่นั้นแหละ เพราะเซี่ยงไฮ้ไม่มีอะไรให้เราดูหรอก ที่นั่นเจริญ ความเจริญอาตมาเห็นมาเยอะแล้ว แต่ต้องการดูว่าพระพุทธศาสนาเจริญอย่างไร ไปดูที่เดียวนี่น่าจะไปวันหนึ่งกลับวันหนึ่งได้ทันนะ"

เถรี 12-04-2012 08:48

ถาม : เราไปไหว้บรรพบุรุษกับทำสังฆทาน..?
ตอบ : ให้ทำทั้ง ๒ อย่าง เราไปไหว้บรรพบุรุษเพื่อกันบรรพบุรุษด่าเรา โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้ อย่างแรกเราทำเพื่อรักษาประเพณีและกันคนเป็นด่า จนกว่ารุ่นเราจะเป็นรุ่นที่อาวุโสที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานอย่างเดียว แต่ถ้ามีคนใหญ่กว่า อาวุโสกว่าก็ไหว้ไปก่อน

ผู้ใหญ่เขาทำตามประเพณีมาเรื่อย ๆ บางอย่างเขาไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร รู้แต่ว่าต้องทำ ในเมื่อกลายเป็นประเพณีแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำตามเขาไป ที่บ้านอาตมานอกจากพี่ชายคนโตแล้วก็ไม่มีใครไหว้เจ้าแล้ว ที่พี่ชายคนโตยังไหว้เจ้าอยู่เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก อายุ ๗๐ กว่าปีแล้วก็ยังทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฝังหัวไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เข้าวัดทำบุญกัน

ถ้าเริ่มจากตอนแรกเลย ที่บ้านอาตมานับถือเจ้าแม่กวนอิม ไหว้เจ้า ไม่กินเนื้อ พออาตมาเริ่มปฏิบัติ ทุ่มเทจริง ๆ ก็ช่วงเรียนมัธยมอายุ ๑๐ กว่าปี ช่วงแรกเขาก็ว่าอาตมาบ้ากันทั้งนั้น พอทำไปแล้วเกิดผล เขาก็ค่อย ๆ มั่นใจ แล้วก็คล้อยตามมา

โดยเฉพาะตอนที่ถูกหวยนี่มั่นใจมาก..! พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ทำมาใช้ได้จริง ขนาดดูหวยยังถูก อย่างอื่นก็ต้องถูกสิน่า ความจริงเขาเข้าใจผิด การดูหวยถูก แต่การตั้งกำลังใจในการปฏิบัติอาจจะผิด แต่คราวนี้ไปทำให้เขาศรัทธาแล้ว ท้ายสุดพี่น้องลูกหลานก็ตามมาหมด แต่ถึงจะตามมาหมด กำลังใจแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

บางคนเข้าวัดก็เพราะว่าอยากได้หวย บางคนเข้าวัดเพราะอยากได้วัตถุมงคล บางคนเข้าวัดเพราะตามคนอื่นเขาไป บางคนเข้าวัดเพราะอยากจะมาปฏิบัติธรรม บางคนก็อยากเก่งเหมือนหลวงน้าหลวงตาก็ไปกันเรื่อย โดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ อยากเก่งเหมือนหลวงน้า อยากเก่งเหมือนหลวงตา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีความอดทนไม่พอ บวชได้คนละไม่กี่วันก็สึกไปกันหมด

เถรี 12-04-2012 08:55

ยิ่งมาเจอรายล่าสุดที่เพิ่งบวชมาไม่นาน ญาติโยมคงไม่อยากมีใครเอาลูกมาบวชที่วัดท่าขนุนแล้ว เพราะอาตมาฟาดกบาลด้วยด้ามตาลปัตร..! เขามาอยู่วัดก่อนล่วงหน้า ๗ วันแต่ขานนาคไม่ได้ เพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ อาตมาก็เลยบอกว่า "ประโยคละที" บอกเสร็จประโยคหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงทีหนึ่ง กว่าจะบวชเสร็จก็นั่งร้องไห้คาโบสถ์ไปเลย

หลังจากนั้นให้เวลาเขา ๓ วันท่องให้ได้ เมื่อวานนี้ครบ ๓ วัน เขาท่องได้หมดเลย คิดดู..อยู่มาตั้ง ๗ วันท่องไม่ได้สักคำ แต่ ๓ วันกลับท่องได้เพราะกลัวโดนฟาดกบาลอีก ก็เลยบอกว่า “จำไว้เลยนะ ไอ้พวกทำดีก็ทำได้แต่ไม่ทำ อย่าให้เจออีก..!” บรรดาญาติ ๆ คงไปลือกันอีกเยอะ

ตอนแรกที่เข้มงวดกับพวกเขา หลวงพ่อวัดท่ามะขามท่านบอกว่าระวังจะต้องอยู่คนเดียว แต่ไม่ใช่แล้ว...ตอนนี้วัดท่าขนุนเป็นวัดที่มีพระเณรมากที่สุด เพราะเขาเห็นว่าเข้มงวด เอาลูกเขาอยู่ ก็เลยยัดเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ลูกไม่อยากบวชหรอก อยากไปบวชที่อื่นเพราะสบายกว่า แต่พ่อแม่อยากให้บวชที่นี่

นี่อาตมากลับไปก็มีพระใหม่ ๒ รูปต้องมาปลงอาบัติปากเปล่า ห้ามเปิดหนังสือ กติกาวัดท่าขนุน ๓ วันต้องปลงอาบัติได้ ให้เวลาตั้ง ๓ วัน เพราะอาตมาเองครึ่งวันก็จำได้หมดแล้ว นี่อาตมาให้เวลาเขามากกว่าตั้ง ๖ - ๗ เท่าแล้ว ถ้ายังไม่ได้มีเฮ..!

เถรี 12-04-2012 16:12

ถาม : ขอวิธีสอนการปฏิบัติที่ง่ายครับ
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก มองให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แค่นั้นแหละ วิธีสอนง่ายที่สุด แต่วิธีทำยากฉิบ..!

เถรี 12-04-2012 16:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อยืนองค์ใหญ่ที่วัดท่าซุง ชื่อของท่านคือ "หลวงพ่อไหลมาเทมา" เท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้เขาลงว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" บางรายก็บอกชื่อว่า "หลวงพ่อเงินไหลมา" ต้องบอกว่าเขาพอใจแค่นั้น

ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงว่าไว้ก็จะเป็น "หลวงพ่อไหลมาเทมา" คือเรื่องดีทุกเรื่องจะไหลมาเทมา แต่พวกนั้นเขาจำกัดจะเอาเรื่องเดียว พอนาน ๆ ไปแล้วชื่อก็จะเพี้ยน..เปลี่ยนไปเรื่อย"

เถรี 14-04-2012 11:30

พระอาจารย์กล่าวถึงมีดสั้นว่า "พวกมีดที่ทำจาก Cold Steel จะอยู่ในลักษณะขึ้นรูปด้วยเครื่องมือ ไม่ใช่เหล็กที่ใช้วิธีอบความร้อนแล้วตีขึ้นมา ก็เลยเป็น Cold Steel เทคโนโลยีของฝรั่งด้านนี้เหนือชั้นกว่า แต่ว่าความประณีตและความคิดของเขาสู้เราไม่ได้ มีดของคนไทยเราทำทีละเล่ม มีเครื่องขึ้นคม ตั้งองศาได้เลยว่าจะเอาความคมขนาดไหน เวลาจะเก็บควรเช็ดให้สะอาดก่อน เพราะเวลาที่มือเราจับจะมีเหงื่อเค็ม ๆ ถึงเป็นเหล็กสเตนเลสก็จะขึ้นสนิม

วิธีการใช้มีดสั้นหลัก ๆ ก็มี แทง เชือด ปาด ฟัน ถ้าไม่ใช่ระดับสุดยอดจริง ๆ ประเภทที่ใช้ เกี่ยว ดึง กด ดัน เรายังทำไม่เป็นหรอก"


ถาม : มีดสั้นฟันอย่างไร?
ตอบ : ใช้ฟันตรง ๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะ อย่างพวกเราเวลาจะใช้ต้องชักมีดออกมาก่อนแล้วค่อยใช้ ส่วนคนที่เป็นเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก พอชักออกมาเขาปาดใส่ขึ้นเลย เอากำไร ๑ ทีก่อน ลักษณะกึ่งปาดกึ่งฟัน ดึงพรวดขึ้นมาก็ไปแล้ว ๑ ที ชักปาดขึ้น ถ้าหากว่าพลาดก็ก้าวตามฟันลงซ้ำอีกที ถ้าหากว่า ๒ ทีแล้วยังพลาดก็ก้าวตาม ครั้งที่ ๓ แทง หัดแค่ ๓ ท่าพอ เอาให้ชินเท่านั้นแหละ

อย่าลืมสืบเท้าตามไปนะ ถ้าไม่สืบเท้าตามไปเป้าจะออกห่าง ปาดขึ้น ฟันลง แล้วก็แทง เอาแค่ ๓ ท่าก่อน ถ้าใครหลบได้ทั้ง ๓ ท่านั่นต้องระดับสุดยอดแล้ว

การสู้กับมีดสั้นถ้าไม่ใช่คนชำนาญจริง ๆ มักจะต้องถอยห่างซึ่งเป็นจังหวะให้เราโจมตีซ้ำได้ ถ้าพวกชำนาญจริง ๆ จะประชิดตัวเข้ามา ทำให้ยิ่งใช้ยากขึ้น เราต้องหัดหักข้อมือพับแขนตัวเองให้ได้จังหวะ ไม่อย่างนั้นจะทำอันตรายเขาไม่ได้เพราะเขาอยู่ใกล้ อย่างเช่นเราปาดขึ้น ถ้าเขาประชิดเข้ามาเราต้องพลิกข้อมือให้เป็น ถ้าพลิกข้อมือเป็น คมอาวุธจะพลิกเข้าหาเขา เขาต้องถอยออก หรือไม่ก็ต้องพลิกตัวเปลี่ยนเป็นมุมอื่นเหลี่ยมอื่น

ต้องซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกับตีเทนนิส ใครตีเทนนิสบ่อย ๆ นี่ตบใครเข้าไปทีหนึ่งก็เสร็จแล้ว ตบเสร็จเราอาจจะเจ็บมือ แต่อีกฝ่ายร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว

เถรี 14-04-2012 12:07

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปลายเดือนมีนาคมไปกราบหลวงพ่อมณฑล (พระครูสุชาติกาญจนโกศล) ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สายรุ่นแรก ๆ เลย อยู่วัดท่าขนุนจนสอบได้นักธรรมเอกแล้วท่านถึงออกธุดงค์ ปัจจุบันที่อยู่ของท่านถือว่าอยู่ในป่า

ก่อนหน้านี้ที่อาตมายังไม่ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับท่าน รู้แต่ว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์คนหนึ่งของทองผาภูมิที่มีคนเคารพนับถือมาก ด้วยความที่ท่านเป็นคนเด็ดขาด ทำอะไรทำจริง ดูแลพื้นที่ป่าอยู่ ๖,๐๐๐ กว่าไร่ คราวนี้ก็มีพวกล่าสัตว์บ้าง พวกตัดไม้บ้าง เข้ามาบุกรุกพื้นที่ท่านบ่อย ท่านก็จัดการพวกนั้นเสียสะบักสะบอมเลย พวกนั้นทำอะไรด้วยอาวุธไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีทำไสยศาสตร์

ท่านบอกว่านั่งอยู่ดี ๆ ก็ปวดท้องมาก หมดแรงนอนแผ่ ท้องก็โตขึ้น ๆ ต่อหน้าต่อตาเลย ท่านก็ทำอะไรไม่ถูก พอดีแม่ชีดาวเคยมารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน เอาน้ำมันมาเข้าพิธี แม่ชีดาวก็เลยเอาน้ำมันทาให้ ท้องก็ยุบไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงถามแม่ชีดาวว่าน้ำมันของใคร แม่ชีบอกว่าของหลวงพ่อเล็ก ก็เลยเป็นอันว่ารู้จักกันครั้งแรกโดยที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน

พออาตมาขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนปีแรกก็นิมนต์ท่านมาเป็นประธานงานทำบุญหลวงปู่สาย ถือว่าท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ พอปีต่อ ๆ มานิมนต์แล้วไม่ได้ตัว เพราะท่านไปจำพรรษาต่างประเทศ ปีละ ๑ ประเทศ ปีนี้ยังไม่แน่ว่าท่านจะไปไหน พูดง่าย ๆ ว่าออกพรรษาแล้วถึงกลับเมืองไทย

ที่พูดมาถึงตรงนี้คือว่า หลวงพ่อมณฑลตั้งแต่โดนไสยศาสตร์ครั้งนั้นเข้าไป ด้วยความที่รู้ว่าของพวกนี้อันตรายแบบไหน ท่านก็เลยพกวัตถุมงคลรอบตัวเลย ถ้าถามว่ารอบตัวมากแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าน่าจะถึงร้อยองค์..! เวลาอาตมาเห็นคนอื่นพกวัตถุมงคลเยอะ ๆ อาตมาก็รู้สึกว่าหนัก ถึงได้บอกกับเต้ยว่ามีเยอะ ๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าตายก็ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมาก อะไรที่เผาได้ก็เผาตัวเองไปเลย อะไรที่เผาไม่ได้ก็เอาไว้แจกในงานศพ..!"

เถรี 14-04-2012 12:22

พระอาจารย์เล่าว่า "เขาโทรมาบอกยกเลิกการอบรมครู แหม..ดีใจ เพราะเขามีคติกันว่า บุคคลที่อบรมยากที่สุด หนึ่ง..พระ สอง..ครู ยิ่ง "พระครู" นี่ยิ่งอบรมยากเข้าไปใหญ่ เป็นทั้งพระเป็นทั้งครู

ส่วนใหญ่ครูจะชินกับการสอนคนอื่น พอต้องไปเข้ารับการอบรมซึ่งตัวเองโดนสอนก็ไม่เคยชิน ส่วนพระนี่ใหญ่จนเคยตัว ไม่ค่อยจะฟังใครอยู่แล้ว"

เถรี 16-04-2012 10:26

พระอาจารย์เล่าว่า "กรุงรัตนโกสินทร์อายุครบ ๑๕๐ ปี เมื่อปี ๒๔๗๕ เนื่องจากว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาอย่างลึกซึ้ง ตรวจดูดวงเมืองแล้ว ถ้าหากว่าเป็นดวงเมืองเดิมอยู่ จะมีอายุแค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น ก็เลยทรงทำการเปลี่ยนแปลงผูกดวงเมืองเสียใหม่ ปักเสาหลักเมืองใหม่

ดังนั้น..เราจะเห็นว่ามีเสาหลักเมือง ๒ ต้นเคียงกันอยู่ ก็แปลว่าทำให้อายุของราชวงศ์จักรียืนยาวต่อไปได้อีก แต่มีนักโหราศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า เนื่องจากดวงเมืองแบ่งเป็น ๒ เพราะฉะนั้น..จะมีการแตกแยกในบ้านเมืองเป็นปกติ

วันนี้เป็นวันสถาปนาราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนาราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ นับมาถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ก็เป็นเวลา ๒๓๐ ปีถ้วน ใครกัดฟันทนอยู่อีก ๒๐ ปี ก็จะได้เห็นงานฉลองใหญ่ ๆ

เสาหลักเมืองหายาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะใช้เสาไม้ราชพฤกษ์ ก็คือต้นคูณ ต้นคูณขนาดใหญ่พอจะกลึงเป็นเสาหลักเมืองได้นั้นหายากมาก เสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช พ่อปู่ขุนพันธฯ เอาไม้ตะเคียนทองเลย สำหรับไม้ตะเคียนนั้นพอจะหาง่าย ต้นขนาดใหญ่มี แต่เชิญยาก เพราะส่วนใหญ่นางตะเคียนฤทธิ์มาก ไม่ค่อยจะฟังใคร

จริง ๆ น่าจะเอาเสาไม้สักทองไปเลยนะ เอาต้นไหนไม่ได้ก็เอาต้นที่น้ำปาด ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ไหน ๆ ก็ทำลายสถิติโลกแล้ว ตัดมากลึงเสาหลักเมืองไปเลย..!"

เถรี 16-04-2012 10:31

"ก่อนหน้านี้ต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในประเทศพม่า เป็นเพราะความใหญ่ต้นสักต้นนั้นก็เลยโดนฟ้าผ่าตาย ต้นสักของไทยจึงกลายเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน แต่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เห็นอยู่นั่นไม่ใหญ่เท่าของสมัยก่อน ภาษิตจีนโบราณเขาบอกว่า "ยามเมื่อท้องทะเลไร้ปูปลา กุ้งฝอยก็หาญกล้าเป็นราชันย์" เพราะไม่มีใครอีกแล้ว จึงต้องเป็นคนตัวสูงที่สุดในหมู่คนแคระ...

ต้นสักใหญ่ ๆ โดนบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าของอังกฤษตัดเสียเกลี้ยงแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้นเล็ก ๆ ของสมัยก่อนก็เลยกลายเป็นต้นใหญ่แทน

ถ้าพวกเรามีโอกาสก็แวะไปดูต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พอไปดูต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกแล้วก็จะได้แวะดูเขื่อนสิริกิติ์ แวะบ่อเหล็กน้ำพี้ ไปครั้งหนึ่งเอาให้ครบไปเลย ต้นสักอยู่อำเภอน้ำปาด บ่อเหล็กน้ำพี้อยู่อำเภอทองแสนขัน

อุตระ แปลว่า ทิศเหนือ ภาคเหนือ ด้านเหนือ ดิตถะ แปลว่าท่าเรือ แสดงว่าสมัยก่อนเขามีท่าเรืออยู่ทางด้านนั้น เพื่อนอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าพูด ก็เลยเป็นพระครูวรดิตถานุยุต คำว่า วรดิตถะ แปลว่า ท่าเรืออันประเสริฐ"

เถรี 16-04-2012 11:44

พระอาจารย์เล่าว่า "พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เก็บงานฝีมือระดับสุดยอดของศิลปาชีพเอาไว้ ลองเข้าไปดูได้ จะได้ภูมิใจว่าคนไทยเรามีความประณีตละเอียดอ่อนขนาดไหน

ในพระที่นั่งวิมานเมฆ เก็บเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกเอาไว้ด้วย เขาทำเป็นคทาถวายในหลวง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนฉลองกาญจนาภิเษก อาตมาเข้าไปแล้วได้แต่ชะโงกดูไกล ๆ มีคนนั่งเฝ้าอยู่ ๒ ข้าง

อาตมาเดินเข้าพระที่นั่งวิมานเมฆนี่ไม่มีความสุขเลย ต้องคอยตะแคงข้างไป เพราะเขาปูพรมแดงแทบทุกห้อง เป็นลาดพระบาท พอเป็นลาดพระบาทแล้วเดินบนลาดพระบาทไม่ได้ ต้องเขย่งข้างไป คนอื่นเขาก็ย่ำกันโครม ๆ

พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระที่นั่งไม้สักทองใหญ่ที่สุดในโลก ตอนสร้างก็ไม่ได้คิดจะให้ใหญ่ที่สุดในโลกหรอก เอาแค่พออยู่สบาย พอหาไม้สักทองไม่ได้ในปัจจุบัน จึงกลายเป็นใหญ่ที่สุดในโลก เพราะไม่มีใครสร้างแข่งด้วย"

ถาม : สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ?
ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อรัชกาลที่ ๖ เพราะช่วงนั้นพระองค์มีโอรสธิดามาก ถึงเวลาก็ต้องสร้างวังตรงนั้นหลังหนึ่ง ตรงนี้หลังหนึ่ง พอสมัยรัชกาลที่ ๖ ต้องบอกว่าเกิดดอกออกผล ก็คือบรรดาพระญาติพระวงศ์ที่ไปเรียนต่างประเทศ จบกลับมารับราชการ ทรงกรมกันเป็นแถว เพื่อให้สมพระเกียรติก็ต้องมีวังให้

ถาม : สมัยก่อนประทับในพระบรมมหาราชวังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประทับในพระบรมมหาราชวังก็มีอยู่แต่ว่าไม่มาก ส่วนใหญ่จะใช้พระบรมมหาราชวังตอนงานพระราชพิธีเท่านั้น

เถรี 16-04-2012 12:22

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ผ่านมาไปปฏิบัติธรรมของมหาวิทยาลัยรอบสุดท้าย ๑๕ วัน สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า คนอื่นมาปฏิบัติแล้วทุกข์ทรมานมากเพราะใจไม่ยอมรับ ส่วนอาตมารู้ว่าต้องทำตามกติกาก็ทำไป แค่นั้นก็จบแล้ว คนอื่นก็ไปนั่งกลุ้มใจ เครียด ไม่เป็นอันเดิน ไม่เป็นอันนั่ง ส่วนอาตมาทำเต็มที่เลย ชาร์จแบ็ตฯ จนกระทั่งหม้อแบ็ตฯ เกือบจะไหม้ วันดีคืนดีก็ไปเดินเหยียบผึ้งหลวงเข้า ผึ้งมาเล่นไฟแล้วตกอยู่บนพื้น พอเหยียบก็โดนต่อยที่ง่ามนิ้วเท้าพอดี ตรงที่เขาเรียกประตูลม จนเท้าบวมอืด

ที่ขำที่สุดก็คือ บวมได้แค่ข้อเท้า ขึ้นสูงกว่านี้ไม่ได้ คนอื่นเห็นก็ขำกันว่าทำไมบวมแปลก ๆ สรุปว่ายันต์เกราะเพชรยังอยู่ เจ็บก็ไม่เจ็บ ได้แต่คันอย่างเดียว เดินไม่ถนัดอยู่ ๒ วัน จึงขออนุญาตพระวิปัสสนาจารย์นั่งภาวนาแทน คราวนี้สบาย เพราะนั่งยาวไปเลย ตั้งแต่ตีสี่ครึ่งจนถึงเจ็ดโมงเช้า

พอฉันเช้าเสร็จ ได้พักผ่อนหน่อยแล้วก็ไปปฏิบัติอีกตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง ที่เขาให้เวลาถึงแค่ ๑๐ โมงครึ่งเพราะว่าตอนเดินไปหอฉัน นักปฏิบัติเขาให้เดินช้า ๆ เดินครึ่งชั่วโมงยังไปไม่ถึงเลย หลังจากฉันเพลพักผ่อนแล้ว เวลาบ่ายโมงยันสี่โมงเย็นก็มาปฏิบัติอีก จากนั้นก็มีเวลาสรงน้ำซักผ้า แล้วก็มาปฏิบัติช่วงหกโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มทุกวัน

ระยะหลังพระนิสิตต่อรองขอเวลาทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์จึงให้เลิกสามทุ่ม ตอนแรกผู้อำนวยการขอให้พระนิสิตเลิกทุ่มครึ่ง พระวิปัสสนาจารย์ไม่ยอม ลากไปจนถึงสามทุ่ม ให้เอาเวลาที่เหลือไปถ่างตาทำวิทยานิพนธ์กันเอง

มีแต่พระครูธรรมธรเล็กนั่นแหละ (ในบัญชีเขายังไม่เปลี่ยนชื่อให้) เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก อยู่แต่ในหอกรรมฐาน เพราะทำวิทยานิพนธ์เสร็จนานแล้ว ได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไป"

เถรี 16-04-2012 13:29

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนเรียนปริญญาตรี เวลาอาตมาทำรายงานจะเขียนบรรทัดท้าย ๆ ไว้ว่า "ผู้ใดเห็นประโยชน์ของรายงานเล่มนี้ สามารถคัดลอกเอาไปใช้ได้ โดยผู้จัดทำไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์แม้แต่ประการใด" ไป ๆ มา ๆ ท่านอาจารย์เอาผลงานของอาตมาไปขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ แล้วก็มาชวนไปเลี้ยง ไม่ได้เลี้ยงอาตมาคนเดียว เลี้ยงทั้งห้องเลย

อาตมาช่วยท่านอาจารย์แก้ตำราเรียนไปเล่มหนึ่ง อาจารย์ท่านจะสั่งพิมพ์ แต่ท่านไม่แน่ใจจึงส่งเนื้อหามาให้อาตมาช่วยตรวจให้หน่อย ตรวจไปตรวจมาทนอ่านไปได้ครึ่งบท บอกกับท่านว่า “ท่านอาจารย์ครับ ขออนุญาตล้มข้อมูล แล้วทำใหม่ได้หรือเปล่าครับ ?” ข้อมูลเดิมของท่านอาจารย์นั่นแหละ แต่ขอล้มรูปแบบแล้วทำใหม่ เพราะจัดเรียงแบบอาตมาจะอ่านได้ง่ายกว่า สรุปแล้วเนื้อหาของท่านอาจารย์บทหนึ่งอาตมาย่อเหลือ ๗ บรรทัด เล่นเอาท่านอาจารย์เครียดไปเลย

พอย่อเหลือ ๗ บรรทัดพิมพ์ไปให้ท่านดู บอกว่า “ท่านอาจารย์อ่าน ๗ บรรทัดนี้เท่ากับอ่านเนื้อหาของท่านอาจารย์ทั้งบทไหมครับ ?” อาตมามองว่าไม่จำเป็นต้องน้ำท่วมทุ่งวนไปวนมาเยอะขนาดนั้น คนเรียนจะรำคาญเปล่า ๆ เนื้อหาทั้งหมดเท่ากับ ๗ บรรทัดแค่นั้นเอง

ที่บังอาจที่สุดก็คือ อาตมาไปแก้เนื้อหาของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เอาเนื้อหาของท่านมา ๑๔ หน้า เปลี่ยนแปลงเหลือแค่ ๗ หน้า หายไปครึ่งหนึ่ง..! ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ถือว่าเป็นสุดยอดของ มจร. แล้ว ยังโดนอาตมาแก้เลย เพราะว่าท่านเจ้าคุณฯ มีความรู้มาก เวลาท่านเขียนอธิบายก็จะแลบไปทางนั้นแลบไปทางนี้ กว่าจะเลี้ยวกลับมา บางทีคนลืมไปแล้วว่าหัวข้อเดิมคืออะไร เพราะฉะนั้น..ส่วนที่แลบไปก็ไม่จำเป็นต้องมี อาตมาจึงตัดทิ้งหมด เอาเฉพาะเนื้อมาแล้วเกลาให้เข้ากัน

ส่วนท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ทำตำราพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ สรุปแล้วว่าตำราของท่านอาจารย์อาตมาเป็นคนเขียนเอง เพราะท่านอาจารย์เอารายงานของอาตมาไปทั้งเล่มเลย แล้วท่านให้เครดิตตรงคำนำไว้นิดหนึ่งว่า "ได้รับข้อมูลจากพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ นิสิตปริญญาตรี ห้องเรียนวัดไร่ขิง" แต่ขายแล้วเงินเข้ากระเป๋าของท่านอาจารย์เอง..!"

ถาม : ติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ติด..เพราะว่าอาตมาบอกแล้วว่าไม่สงวนลิขสิทธิ์

เถรี 16-04-2012 13:44

ท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ท่านเป็นนักกลอน นามปากกา ช.ศรีนอก ได้ทุนไปเรียนด็อกเตอร์แต่ไม่จบ ทุนหมดต้องกลับมาเมืองไทย ต้องควักกระเป๋าแม่ยายไปเรียนด็อกเตอร์ที่ มจร.ให้จบ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถจะใช้วุฒิด็อกเตอร์ได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศไม่ได้แจ้งจบการศึกษากลับมา เป็นอะไรที่อนาถมากเลย

พอท่านอาจารย์ ดร.สมชัยเรียนปริญญาเอกที่ มจร. ต้องไปเข้ากรรมฐาน ๔๕ วัน กลับมาท่านบอกว่า “ผมเกือบจะเสียคนแล้ว” อาตมาถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า “ไปบ้ากับคำถามเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่ง คิดฟุ้งซ่านไปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย” ท่านอาจารย์เล่าว่าพอถึงเวลาปฏิบัติ เขาให้แยกปฏิบัติกันคนละห้อง ตอนเดินออกไปกินอาหาร เพื่อนนักศึกษาผู้หญิงร่วมชั้นเรียนเดียวกัน เขามากระซิบว่า “จำได้ไหม..ชาติก่อนเราเป็นอะไรกัน ?”

แค่นั้นแหละ..ท่านฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย อาตมาจึงบอกกับท่านไปว่า “ท่านอาจารย์ตอบเขาไม่ทัน ถ้าเป็นผม..ผมจะบอกว่าชาติก่อนแกเป็นหนี้ฉัน ยังไม่ได้จ่ายคืน แล้วยอดเท่าไรเราก็แจ้งไปเลย” นี่เป็นเรื่องจริงนะ ถ้าอยู่ ๆ พวกเราโดนอย่างนั้นก็ต้องฟุ้งเหมือนกัน ปฏิบัติไปไม่คิดว่าอยู่ ๆ เขาจะมาถาม เล่นเอาฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย ดีเหมือนกัน เวลา ๔๕ วันมีอะไรให้คิดเยอะดี

เถรี 16-04-2012 13:56

ท่านแบงก์ เป็นพระใหม่ที่วัดท่าขนุน จบปริญญาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มา ไฟแรงมาก มาปรึกษาว่า “ท่านอาจารย์ครับ..หนังสือวัดเรา ต้องทำเป็นอีบุ๊กอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาเอาไปฝากที่ตู้หนังสือ เวลาใครจะมาดูก็โหลดไปเลย ไม่ต้องไปแจกเขาให้เสียเวลา” อาตมาบอกว่า “เออ..ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ว่ะ เอาไว้เดี๋ยวหายเหนื่อยก่อน” ท่านก็รอจังหวะ

พอเห็นว่าอาตมาหายเหนื่อยก็วิ่งมาอีกแล้ว “ท่านอาจารย์ครับ ผมเอาหนังสือที่ผมทำมาเสนอครับ” ท่านก็ทำให้ดูอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาก็เปิดในไอแพดได้ทีละหน้า ๆ ให้ดู ว่าต้องไปฝากตู้หนังสือที่นี่ อาตมาจึงถามว่า “ดี..ตอนนี้ทำวัตรเช้าเย็นท่องได้ครบหรือยัง ?” “ยังครับ” “ไปท่องซะ..!”

อีกสองสามวันก็ค่อยมา “ท่านอาจารย์ครับ..ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมฟุ้งซ่านขนาดนั้น ถ้าท่านอาจารย์ไม่ถามว่าทำวัตรเช้าเย็นได้หรือยัง ผมยังฟุ้งไปอีกนานเลย” เห็นหรือยังว่าหลงออกนอกงานตัวเองไปไกลแค่ไหน ? หน้าที่ของพระใหม่ การสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ไปฟุ้งซ่านจะทำหนังสือให้กับทางวัด

นั่นต้องบอกว่าท่านเป็นคนรู้ตัวเร็ว โดนแค่นั้นท่านคิดทัน ถ้าเป็นคนอื่นจะคิดทันไหม ? ไปเจอประเภท “ยังครับ..ยังท่องไม่ได้ ผมจะทำหนังสือให้กับท่านอาจารย์ก่อน” ก็บรรลัยสิ..ไม่ดูตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงได้กำหนดไว้ว่า พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษายังต้องถือนิสัย คือรับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลงไปไกล สร้างบ้านแปลงเมืองไปเลย

หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชวรเวที วัดราชคฤห์ ท่านนึกถึงขนาดเจาะภูเขาทำกุฏิเสร็จสรรพเลย เวลาทำกรรมฐานนั่งนึกว่าจะปรับถ้ำสักหน่อยหนึ่ง ตรงนี้ทำเป็นห้องโถงปฏิบัติธรรม ตรงนั้นทำเป็นห้องพระ ตรงนั้นทำเป็นหอฉัน นึกเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ เลย ท่านบอกว่าคิดได้เป็นคืน ๆ ดังนั้น..เวลาพวกเราโดนหลอกให้คิดนี่ต้องรู้เท่าทัน ถ้าไม่รู้ทันเดี๋ยวก็ได้สร้างวิมานกลางอากาศเป็นหลัง ๆ

เถรี 17-04-2012 12:53

ถาม : ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมฝัน แล้วก็คิดว่าน่าเป็นจะนิมิต แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า ? ปกติผมจะฟังธรรมะก่อนนอนเป็นครั้งคราว แต่คืนนั้นจำได้ว่าเวลาใกล้รุ่ง ฝันว่าได้ไปที่ที่หนึ่งที่กว้างใหญ่มาก มีสภาพคล้ายถ้ำ ในใจก็คิดกลัวมากว่าในนั้นคืออะไร ? จิตคิดว่าอาจจะเป็นนรกหรืออาจจะเป็นดินแดนที่เราไม่เคยไป พอมองไปทางซ้ายเจอท่านหนึ่งเป็นผู้ชาย ผมก็ถามท่านว่าผมต้องมาที่นี่หรือเปล่าครับ ? ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวตรวจดูให้ แล้วท่านก็กลายร่างคล้ายยมทูต แล้วก็เปิดสมุด ถามว่าชื่ออะไร ? ผมบอกชื่อท่านไปครับ ท่านก็พูดออกมาว่า ๑๑ เดือน สักพักหนึ่งผมก็ค่อย ๆ ตื่นจากที่นอนทีละนิด ๆ ครับ ไม่ทราบว่าตรงนั้น...?
ตอบ : สรุปว่าฝัน ?

ถาม : ครับ
ตอบ : แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับฝันเล่า ? ถ้าคิดแบบไม่ประมาทมีเวลา ๑๑ เดือนก็ทำความดีให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง ฝันดีเอาไว้เป็นกำลังใจของตัวเอง ฝันไม่ดีก็ลืมเสีย อย่าเก็บมาวิตก ฝันว่าจะตายก็เร่งทำความดีให้มากที่สุด หลุดพ้นไปพระนิพพานได้เลยยิ่งดี

เถรี 17-04-2012 13:48

ถาม : เจ็บหมอนรองกระดูก เป็นนานแล้วยังไม่หายค่ะ เจ้ากรรมนายเวรต้องการอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้นจ้ะ ไปหาหมอที่เป็นหมอนวดจัดกระดูก อย่าไปหาหมอสมัยใหม่ ไปหาหมอสมัยใหม่เดี๋ยวโดนผ่า หมอนวดจัดกระดูกดี ๆ มีอยู่หลายที่ ราคาไม่กี่สตางค์ จับ ๆ ดัน ๆ กด ๆ เหยียบ ๆ เดี๋ยวก็หาย

สังเกตไหมว่าสมัยนี้เขานิยมโรคกรดไหลย้อน อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่ากรดไหลย้อนไว้ก่อน เป็นโรคอะไรไม่รู้แต่บอกกรดไหลย้อนไว้ก่อน สมัยก่อนก็นิยมโรคอาหารเป็นพิษ อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่าอาหารเป็นพิษ สรุปแล้วคือป่วยตามแฟชั่น

มีโยมอยู่คนหนึ่งเป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น ไปให้หมอเขาตรวจแล้ว ผลออกมาค่าตัวเลขสูงมาก หมอรับประกันว่าต้องมีเชื้อมะเร็งแน่นอน ถ้าเป็นเนื้อก็คือเนื้อร้ายเลย เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นเดือน ทางครอบครัวพาเขาไปตรวจใหม่อีกทีเพื่อความแน่ใจ ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งผลออกมาเป็นลบ เขาก็งง ๆ ไปตรวจอีกโรงพยาบาลหนึ่งผลออกมาบวกอีก บวกเยอะด้วย

ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนติดต่อเขาเก่ง เขาไล่ถามว่าห้องแล็บนั้นใช้น้ำยาอะไร ห้องแล็บนี้ใช้น้ำยาอะไร ไล่ไปไล่มาผลที่เป็นบวกเพราะเขาใช้น้ำยาที่ไวต่อผลมากเป็นพิเศษ คนไม่เป็นก็รายงานว่าเป็น ก็เลยเป็นโรคที่หมอทำ ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดจากตัวเอง ถ้าเจ้าหน้าที่เขาไม่กระตือรือร้นสอบหาสาเหตุให้คงเครียดตายเลย อยู่ ๆ ตัวเองเป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น..ไปหาหมอเก่า ๆ อย่าไปหาหมอสมัยใหม่

ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บบางโรคเกิดจากแรงโฆษณา ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้เขานิยมพวกอาหารเสริมแคลเซียมสูง เราก็กินกันกระจายเลย ปรากฏว่ากระดูกงอกทับประสาท เพราะแคลเซียมเยอะก็ต้องหาที่ไป ดังนั้นถ้าหากว่าเรากินอาหารครบหมู่ มีการออกกำลังกายบ้าง โดนแดดบ้าง เรื่องกระดูกผุกระดูกพังอะไรคงไม่เป็นกันง่ายนักหรอก ปู่ย่าตายายของเราทำงานเช้ายันค่ำไม่เห็นเป็นอะไรเลย

เถรี 17-04-2012 14:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "การมีครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า โกวเล้งเขาเปรียบไว้ว่า มีคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดไม้ข้างป้อมศิลา คนข้างในป้อมมองออกมา อิจฉาว่าคนข้างนอกอยู่บนยอดไม้เย็นสบายเหลือเกิน ส่วนคนที่ยอดไม้มองเข้าไปข้างในป้อมก็อิจฉาว่า เขาอยู่ในป้อมปลอดภัยดีเหลือเกิน ต่างคนก็ต่างอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี คนข้างในก็อยากออกมาปีนยอดไม้ คนข้างนอกก็อยากจะมุดเข้าไปในป้อม

คราวนี้เรื่องของชีวิตคู่ โกวเล้งเขาเปรียบว่าเหมือนกับเม่น ๒ ตัวในฤดูหนาว ถึงเวลากลัวหนาวเบียดเข้าหากัน ขนก็แทงกัน ถ้าไม่อยากให้ขนแทงกัน ห่างออกไปก็หนาวอีก สรุปแล้วว่าน่าเวทนามาก เขาใช้คำว่า "ถ้าท่านมิต้องการความเจ็บปวด ก็ต้องทนกับความหนาวเย็น ถ้าท่านจะหลีกหนีความหนาวเย็น ก็ต้องยอมทนต่อความเจ็บปวด" สรุปแล้วเละทั้งคู่..!

ตอนที่ระบายความในใจ เขาบอกว่า "อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก" พอมีคนถามกลับไปว่าตอนนี้กำลังสนุกอยู่ใช่ไหม ? เขาดันไม่เข้าใจ เพราะอยู่สองครองทุกข์ แสนสนุกแต่ไม่สบาย พอโดนคนเขาถามกลับดันไม่เข้าใจเสียนี่"

เถรี 17-04-2012 14:47

ถาม : ไปเห็นคนเขาเอาอาหารหรู เช่น กุ้งมังกร มาถวายพระ แต่พระฉันไม่ได้อาจเพราะไม่คุ้นเคย อานิสงส์เขาจะได้เป็นอาหารหรูแต่กินไม่ได้ เช่นกันหรือเปล่า?
ตอบ : ไม่ใช่ เขาจะได้ของดี แต่คงจะเก็บเอาไว้อวดคนมากกว่า อาจจะต้องไปเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะกุ้งมังกร ถ้าคนกินไม่เป็น มีหวังต้องใช้ทั้งมีดทั้งค้อน เพราะเนื้อกุ้งเหนียวอย่าบอกใคร

เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง อาตมาคิดว่าถ้าเกิดสึกออกไปหาอะไรที่สบาย ๆ ทำ แบบไม่ต้องให้ใครมาเป็นนายเรา เคยคิดว่าจะไปจับกุ้งมังกรมาขายภัตตาคารอาหารทะเล จับแค่วันละ ๒ ตัวก็พอแล้ว ก็เรารู้นี่ว่ากุ้งอยู่ตรงไหนบ้าง

สมัยก่อน ตอนที่นิตยสาร อสท. ออกได้ไม่นาน มีภาพคนงมกุ้งมังกร แล้วก็มีคำบรรยายว่า

"..สองกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก
สุขกับโศกยังไม่สิ้นอยู่สับสน
หนึ่งเป็นกุ้งเก้งก้างกลางสายชล
หนึ่งเป็นคนคอยล่ากุ้งการัง.."

เขาทำหนังสือ อสท. เป็นหนังสือกฎแห่งกรรมไปเลย แต่ว่าหนังสือยุคนั้นเขาบรรยายเป็นกลอนหมด อย่างเช่นภาพปกเป็นคนปาดตาลเพชรบุรี

"..พะองโยนก้าวตีนปีนทะยาน
กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง.."

หนังสือสมัยเก่าเทคโนโลยีการพิมพ์ยังไม่ค่อยดี จำได้ว่าพอพิมพ์ ๔ สีได้ครั้งแรก โอ้โห..ตีโฆษณากันสนั่นหวั่นไหว แต่ความละเมียดละไมเขามีเยอะกว่ามาก อย่างหนังสือนิตยสารสมัยก่อน หน้าปกใช้รูปวาดแข่งกัน คุณเปี๊ยก โปสเตอร์รวยอื้อไปเลย

อีกรายคือคุณพรเทพ วาดรูปพวกนิยายกำลังภายใน เท่ากับเขาได้อ่านนิยายฟรีเลย อย่างเล่มหนึ่งคุณต้องการกี่หน้า เอาเท่านั้นหน้าไปให้เขาอ่าน เขาอ่านเสร็จแล้วเขาก็จะตัดสินใจว่าจะวาดรูปตอนไหนดีในเรื่องช่วงนั้น เพราะฉะนั้น..เนื้อหารูปปกกับเนื้อหาข้างในจะตรงกัน

เถรี 17-04-2012 15:36

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "คนจีนเขามีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ก็คือ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวได้รับการคัดตัวจากแม่สื่อให้แต่งงานกัน ด้วยความรอบคอบ ต่างฝ่ายก็ต่างขอพบอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วแม่สื่อก็นัดวันเวลาให้ เจ้าบ่าวขี่ม้ามา เจ้าสาวยืนอยู่หน้าประตูถือดอกไม้ดมอยู่ ต่างคนต่างเห็นก็ตกลงแต่งงานกันเดี๋ยวนั้นเลย

ปรากฏว่าแต่งงานกันไป ฝ่ายเจ้าสาวจมูกแหว่ง ที่ถือดอกไม้ไว้ก็เพื่อบังจมูก ส่วนเจ้าบ่าวขาเป๋ ที่ขี่ม้ามาเพราะไม่กล้าเดินเอง สรุปได้ว่า..อะไรก็ตามที่ฉาบฉวยผิวเผินมักจะไม่ดี สมัยนี้ยังมีไหม ? ไม่มีแล้วนะ สมัยนี้เขาตกลงกันเองทั้งนั้น พ่อสื่อแม่สื่อไม่เกี่ยว..ไปห่าง ๆ เลย

แต่สำหรับพระ พระพุทธเจ้าทรงห้ามเด็ดขาดเลยนะ ภิกษุชักสื่อชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสสขาดความเป็นพระไปเลย จนกว่าจะไปอยู่ปริวาสชดใช้คืนครบถ้วนแล้ว ให้สงฆ์ ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระได้อีก ต้นเหตุมาจากพระอุทายี ท่านไปบ้านนั้นก็ชมว่าลูกสาวบ้านนี้สวย ไปบ้านนี้ก็ชมว่าลูกชายบ้านนี้หล่อ ท้ายสุดเขาก็ขอให้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้หน่อย ปรากฏว่าพอแต่งงานไปแล้วไม่ดีจริงอย่างที่ว่า เขาก็ไปด่าพระสิ ท่านก็เลยกลายเป็นต้นบัญญัติศีลข้อนี้

การชักสื่อน่ากลัวตรงพระหมอดู พระที่เป็นหมอดูแล้วเขามาถามว่าดวงสมพงศ์กันไหม ? ถ้าเราไปพูดว่าดวงสมพงศ์กันแล้วเขาไปแต่งงานกัน โดนอาบัติสังฆาทิเสสเลย เพราะถือว่าไปชักสื่อ แต่ถ้าอย่างหลวงพ่อพระครูสุมนสุนทรกิจ วัดทะเลบก พวกเราฟังแล้วหัวเราะกันแทบตาย โยมเขาก็พาซื่อ เอาวันเดือนปีเกิดของทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาให้ แล้วก็ถามว่า “หลวงพ่อ..ไอ้คู่นี้มันเข้ากันได้ไหม ?” หลวงพ่อบอกว่า “โอ๊ย..มันเข้ากันได้ทุกคู่แหละ..!” จบเลย แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง"

เถรี 17-04-2012 15:39

ถาม : แต่ถ้าเขามาขอฤกษ์หมั้น ฤกษ์แต่งจากพระ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเขาตกลงกันแล้ว ให้ฤกษ์เขาไปได้ จะขอฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งอะไรก็ให้เขาไปเถอะ แต่ถ้าหากว่าเราไปบอกว่าดวงสมพงศ์กัน คู่นี้แต่งแล้วจะดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แล้วเขาไปแต่งกันนี่ซวยจริง ๆ

ถาม : ถ้าไปอยู่ปริวาส อยู่กี่วัน?
ตอบ : ถ้าหากว่าสารภาพในวันนั้นเลยก็โดน ๖ วัน ๖ คืน ถ้าปิดบังไว้เท่าไรก็ใช้เท่านั้นบวก ๖ วัน ๖ คืน ถ้าจำไม่ได้ท่านให้นับตั้งแต่วันที่บวชจนถึงอายุปัจจุบัน ถ้าเป็นอาตมาก็หวิด ๓๐ ปี อยู่ปริวาสกันจนอ้วกไปเลย..!

ถาม : ถ้าสมมติไปอยู่ปริวาส ๕๐ วัน ต้องอยู่ติดต่อกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ติดต่อกันจ้ะ ถ้าหากว่าจะขาดเพราะมีธุระสำคัญ เขาใช้คำว่าตัดรัตติเฉท เสร็จแล้วก็มานับต่อได้

เถรี 17-04-2012 16:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๑ มีนาคมนะจ๊ะ ถ้าดูไม่ผิดวันที่ ๓๑ มีนาคม น่าจะตรงกับวันอาทิตย์

ปีนี้ญาติโยมมามากกว่าที่คิด ทำให้พระปิดตาหมดภายใน ๓๐ นาที อีกครึ่งหนึ่งที่เข้าแถวอยู่ไม่ได้อะไรเลย เรื่องของวัตถุมงคล มีหลายสำนักซึ่งส่วนใหญ่เป็นสำนักเรียนด้วย กล่าวตำหนิว่าเป็นการทำให้ญาติโยมยึดติด ถ้าว่ากันตามแบบของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านบอกว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"

แต่ว่าความจริงแล้วเป็นเพราะโบราณาจารย์ท่านมีความเข้าใจสภาพของบุคคล หรือสภาพของพุทธศาสนิกชนมากกว่าคนปัจจุบัน เพราะถ้าใครศึกษามาเกี่ยวกับภาพสถิติของพุทธศาสนิกชน จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนกับพีรามิด หรือว่า ๓ เหลี่ยม ส่วนฐานที่กว้างที่สุด ก็คือบุคคลที่ยึดติดในพิธีกรรมและสิ่งมงคลต่าง ๆ ส่วนตรงกลางคือบุคคลที่พยายามจะศึกษาให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสั่งสอนอะไรบ้าง ส่วนยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

เมื่อเป็นดังนั้น โบราณาจารย์ท่านจำเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่มายึดโยงกำลังใจของพุทธศาสนิกชนให้อยู่กับพระพุทธศาสนาจนได้ ก็คือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ขึ้นมา การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมานั้นมีประโยชน์หลายอย่าง

ประการแรก คือตัวผู้สร้างเองจะต้องทรงความดีในระดับหนึ่ง สมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ แต่ละขั้นตอนของการสร้างวัตถุมงคลก็คือ เขียนด้วยมือ ปั้นด้วยมือ เป็นต้น โดยเฉพาะถ้าหากว่าศึกษาการสร้างวัตถุมงคลด้วยการลบผงวิเศษต่าง ๆ เช่น ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ก็ต้องเข้าสมาบัติ เขียนอักขระ เขียนยันต์ ลบยันต์ เพื่อให้เกิดผง จนกว่าจะได้จำนวนตามที่ต้องการ เท่ากับบังคับว่าเกจิอาจารย์ผู้สร้างนั้น จำเป็นที่จะต้องทรงความดีให้ได้ถึงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถสร้างวัตถุมงคลให้เกิดอานุภาพ เกิดความขลังขึ้นมาได้"

เถรี 17-04-2012 16:28

"ประการที่ ๒ ก็คือ พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่กำลังใจยังยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ อยู่ ก็จะได้มีสิ่งที่ยึดเกาะอยู่ในกรอบ อยู่ในขอบเขตที่ถูกต้องและสมควร อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปจากกรอบของพระพุทธศาสนา

ประการที่ ๓ การสร้างวัตถุมงคลเป็นการสืบพระพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง ก็คือมีครูบาอาจารย์หลายต่อหลายรูป ที่มีความสามารถ มีคนให้ความเคารพศรัทธา สนับสนุนในการสร้างวัตถุมงคล เพื่อบรรจุกรุไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ต้องสร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นต้น

ประการที่ ๔ ก็คือวัตถุมงคลที่มีอานุภาพอย่างแท้จริงนั้น สามารถช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ผู้ที่นำไปใช้ โดยเฉพาะว่าช่วยในการป้องกันรักษาประเทศชาติของเรา สมัยก่อนทหารเวลาออกรบต้องมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าคุ้มครองรักษาตัวเองได้ ส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางแคล้วคลาด หรือคงกระพันชาตรี เป็นต้น บรรพบุรุษของเราก็อาศัยวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านี้ในการสู้รบกับข้าศึกศัตรู จนกระทั่งสามารถปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ หรือว่าช่วงชิงแผ่นดินไทยของเรากลับคืนมา เป็นที่ตั้งของพุทธศาสนา เป็นเรือนอยู่เรือนตายของพวกเราทั้งหลายได้

ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลจะว่าไปแล้วมีคุณอนันต์ แต่ว่าปัจจุบันนี้จะมีการทำในลักษณะของเชิงพาณิชย์มากเป็นพิเศษ จะมีการกำหนดราคาเพื่อเอากำไร การสร้างวัตถุมงคลส่วนใหญ่แล้ววัดไม่ได้สร้างเอง แต่ว่ามีนายหน้าที่เล็งเห็นว่า ครูบาอาจารย์วัดไหนมีชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก ก็จะขออนุญาตไปสร้างวัตถุมงคลจำนวนเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็จะแบ่งส่วนหนึ่งถวายให้แก่ทางวัด เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายทำนุบำรุงเสนาสนะ บางเจ้าที่ตรงไปตรงมาก็มี บางเจ้าที่หลอกลวงกันก็มาก"

เถรี 18-04-2012 10:11

"หลวงปู่พระศีลมงคล (หลวงปู่เจ้าคุณทอง) วัดสำเภาเชย อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ความจริงสนิทสนมคุ้นเคยกันกับอาตมามาก ลงปักษ์ใต้แต่ละครั้งถ้าผ่านปัตตานี อาตมาต้องแวะไปกราบท่านก่อน ปรากฏว่าวันนั้นอาตมาโทรศัพท์เข้าไป ลูกศิษย์บอกว่า "ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งมาเลยครับ พ่อหลวงกำลังเครียด"

อาตมาถามว่าเครียดเรื่องอะไร ? เขาบอกว่ามีคนมาขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล แล้วจะถวายพ่อหลวงเพื่อสร้างเจดีย์ ๒๐ ล้าน พ่อหลวงก็อนุญาตให้ไป ปรากฏว่าเขาก็ไปออกวัตถุมงคลแล้วเปิดรับจอง ทั้งทางศูนย์พระเครื่องและสื่อมวลชนต่าง ๆ ได้เงินไปเท่าไรไม่รู้ แต่เขาไปแล้วไปลับไม่กลับมา

อาตมาถามว่า "ไอ้คนที่มาขอสร้างวัตถุมงคลเป็นใคร ? หลวงพ่อท่านถึงได้เชื่อถือและยอมอนุญาตให้เขาสร้างได้ ?" ลูกศิษย์ก็บอกว่า "อย่าไปเอ่ยถึงเลยครับ เขาเป็นคุณนายของท่านแม่ทัพภาค" แม่ทัพภาคก็แปลว่าคุมทั้งภาค เขามาจึงน่าเชื่อถือ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วก็ทนโลกธรรมไม่ได้

แรก ๆ ทุกคนที่เข้าวัดเข้าวาก็จะเหมือนกัน คือตั้งใจทำความดี แต่พอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังของตัวเองนั้นสามารถรับได้เท่าไร ถ้าหากว่าภูมิต้านทานน้อยก็จะเป็นอย่างที่ว่านี่แหละ ตั้งใจจะทำความดีแท้ ๆ ท้ายสุดก็มีอเวจีเป็นที่ไป..!

ดังนั้น..พวกเราเข้าวัดให้ระมัดระวังไว้อย่าให้ขาดทุน โดยเฉพาะบุคคลบางจำพวก พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้วก็ลืมตัว เห็นพระเป็นเพื่อน ไม่ได้เห็นพระเป็นพระ อันนี้ก็แปลว่ากำลังหานรกใส่ตัวโดยใช่เหตุ แล้วก็มีทุกที่ ท่านที่ลืมตัวเพราะขาดสติยังพอให้อภัย มีบุคคลบางจำพวกตั้งใจลืมตัว คือทำท่าสนิทสนมคุ้นเคยเพื่อที่จะอวดคนอื่น ในเมื่อตั้งใจจะลืมตัวก็แปลว่าตั้งใจที่จะลงนรก..!

เรื่องของพระ ถึงจะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ ถ้าหากว่าเราทำดีทำถูกก็จะมีคุณมาก แต่ถ้าเราทำผิดพลาดจะเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องสังวรระวังเอาไว้เสมอ"

เถรี 18-04-2012 10:27

"อย่างที่อาตมาเคยพูดว่าให้ทำตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ คือต้องรู้จักเกรงใจกัน อย่างที่สมัยก่อนเขาบอกว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ได้ศึกษาสมบัติผู้ดีแล้ว รุ่นอาตมานี่เวลาผู้ใหญ่ด่า ท่านด่าเจ็บมากเลย แต่เราสมัยนี้ฟังอาจจะเฉย ๆ เขาด่าว่า "ไปเอาสมบัติผู้ดีมาต้มกินบ้างนะ" เพราะว่าหนังสือสมบัติผู้ดีสมัยก่อนนี้เขาจะระบุว่า ทำตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับกาลเทศะของสังคมในช่วงนั้น แบ่งออกเป็น ๑๐ ตอนด้วยกัน อาตมายังจำได้แม่นอยู่ว่า

"สมบัติผู้ดีมีข้อ กล่าวย่อพอยกหยิบอ้าง ภาคหนึ่งระวังท่าทาง รู้วางไว้ตัวชั่วดี ภาคสองสำรวมนิสัย มิให้เสื่อมเสียราศี ภาคสามน้อมกายวจี ท่วงทีคารวะผู้ควร ภาคสี่มีกริยา วาจาน่ารักเสสรวล ภาคห้ากว้างขวางทางชวน ชักมวลหมู่เพื่อนนิยม ฯลฯ" เป็นต้น

ถ้าเราไปศึกษาจะเห็นว่าในแต่ละด้านต้องปฏิบัติตัวอย่างไร รวมแล้ว ๑๐ ด้านด้วยกัน แล้วท่านผู้รู้ก็ประพันธ์เป็นโคลงเป็นกลอนไว้ จะได้จำง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..เวลารุ่นอาตมาโดนด่าว่า "ให้ไปเอาสมบัติผู้ดีต้มกินบ้าง" นี่อายหัวหูแดงหมด ก็แปลว่าเขาด่ายันพ่อยันแม่ ยันครูบาอาจารย์เลยว่าไม่ได้อบรมเรามา สมัยนี้ด่าเด็กไม่รู้จักสมบัติผู้ดี เด็กก็นั่งหัวเราะกัน

สมัยที่เรียนหนังสือชั้นมัธยมอยู่ มีท่านอาจารย์สง่า เดชารัตน์ เวลาด่าเด็กแรงมาก คำด่าของอาจารย์ก็คือ “น่าอายมาก” คราวนี้เด็กหน้าด้านไม่อายขึ้นมา แล้วท่านอาจารย์จะทำอย่างไรได้ ? ก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว