กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   จิตของเรานี้มีพลัง คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1273)

ลัก...ยิ้ม 06-11-2009 15:59

จิตของเรานี้มีพลัง คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
 
จิตของเรานี้มีพลัง คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ

บางทีพวกเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับจิตใจของตัวเองเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่เราทุกคนอยากจะมีความสุข แต่จิตใจของตนก็ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านไป สร้างทุกข์เพิ่มขึ้น ๆ แล้วบ่นว่า ฉันเป็นทุกข์เพราะเขาไม่ดี พ่อแม่พี่น้อง สามีภรรยา ลูกหลาน เพื่อน เจ้านาย สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมืองไม่ดี หรือแม้แต่สุขภาพกายของตน จริง ๆ แล้วจิตใจของเราเองที่คิดไม่ดี สุขภาพจิตไม่ดี คิดอะไร ๆ ในแง่ร้าย แต่เรามักจะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้ คือปัญหาของชีวิตและสังคมของเราทุกวันนี้

ถ้าพูดถึงเฉพาะคนไทย ประเทศไทยมีประชากร ๖๕ ล้านคน พลิกคิดผิดให้คิดถูก พลิกคิดไม่ดีให้คิดดี เพียงเท่านี้ประเทศชาติจะสันติสุขและประชาชนจะมีความสุขมากขึ้น ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมจะค่อย ๆ หมดไปโดยอัตโนมัติ

เพื่อจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต ไปจนถึงปัญหาของสังคม ประเทศชาติ เราควรสร้างค่านิยมใหม่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจให้รู้จักคิดใหม่ คิดถูก เป็นอันดับแรก ชีวิตเราทุกคนไม่ว่าเกิดมาดีพร้อมสมบูรณ์ขนาดไหน ต่างก็มีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย การคิดถูกเท่านั้นจึงจะดับทุกข์ได้

ลัก...ยิ้ม 06-11-2009 16:14

อย่างไรจึงเรียกว่า คิดถูกดับทุกข์ได้

เมื่อเจ็บป่วย เปรียบเทียบจิตเป็นเสมือนพ่อแม่ กายเป็นลูก สมมติว่าลูก ๆ ของเราขี้เกียจ ชอบดูโทรทัศน์ เล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ชอบอ่านหนังสือเรียน ลูกของเราอาจประพฤติไม่ค่อยดี ถ้าพ่อแม่พูดพร่ำบ่นอยู่สม่ำเสมอว่า ลูกฉันไม่ดี ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ไม่ดี ถึงแม้ว่าลูกเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ตาม คำพูดในแง่ลบของพ่อแม่ จะไม่ช่วยให้ลูกดีขึ้นได้ กลับทำให้ลูกรู้สึกเสียใจ ต่อต้าน และอาจประพฤติตัวแย่ลง ผู้รู้แนะนำว่า การสอนลูกให้พยายามพูดในแง่บวก แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ในทางที่ดี หากเทียบเป็นสัดส่วน ให้พูดในแง่ดี ชื่นชม ๙ ส่วน พูดตำหนิเพียง ๑ ส่วนเท่านั้น ลูกจึงจะรับได้และได้ผลดีมากกว่า

ร่างกายของเราก็เหมือนกันกับลูก ถึงแม้เราสุขภาพไม่ดี กำลังป่วยอยู่จริง ๆ ก็ตาม เช่น สมมติว่าเป็นโรคหัวใจ แล้วเราก็คิดกังวลอยู่ตลอดว่าสุขภาพกายไม่ดี หัวใจไม่ดี เมื่อจิตคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนดึงดูดให้สิ่งที่เราคิดนี้เกิดขึ้น ความคิดในแง่ลบของเราจึงมีอิทธิพลทำให้สุขภาพกายแย่ลงจริง ๆ

ในทางตรงข้ามกัน การคิดดี คิดถูก คิดสร้างสรรค์คือ จินตนาการว่าหายแล้ว แม้ความเป็นจริงเราก็รู้อยู่ว่าเป็นโรคหัวใจ แต่ให้จินตนาการว่าเราหายป่วย ส่งจิตเพ่งไปที่หัวใจ หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ ส่งกระแสความรู้สึกที่ดี แผ่เมตตาไปที่ “หัวใจ” ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทุก ๆ วัน ในส่วนของการรักษาทางกาย ก็ต้องกินยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ตามปกติ ปฏิบัติตามนี้แล้วสุขภาพจิตก็จะดีขึ้น มีกำลังใจ โอกาสที่สุขภาพกายจะดีขึ้นก็มีมาก

ลัก...ยิ้ม 09-11-2009 11:25

ทุกข์เพราะความอยาก

คนเราก็ล้วนมีความอยากหลากหลายไม่สิ้นสุด อยากจะมีเงินทอง อยากจะรวย อยากมียศ มีตำแหน่ง อยากจะมีแฟน “ความอยากจะมี” แสดงถึง “ความไม่มี” ความคิดอยาก ๆ จึงเหมือนดึงดูดความรู้สึกว่าขาด ดึงความรู้สึกว่าไม่มีให้เด่นชัดขึ้นมา

คิดดี คิดถูก คือ ให้จินตนาการว่า เรามีพอเพียงแล้ว เรามีความสุขความพอใจในสิ่งที่เรามี ในการดำเนินชีวิตก็ให้ยึดหลักอิทธิบาท ๔ อยากจะมีอะไรก็ตั้งเป้าหมายไว้ตามสมควรแก่ฐานะ เมื่อปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท ๔ แล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราก็มีความสุขอยู่ได้ในปัจจุบัน เพราะใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ เมื่อมีจิตใจดี มีความสบายใจแล้ว โอกาสที่ชีวิตจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาก็มีมากขึ้น แม้จะรับประกันไม่ได้ เพราะตามธรรมชาติของวัฏสงสารก็ไม่แน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นไปจากความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ได้ ไม่มีใครในโลกที่สมหวังไปหมดทุกอย่าง แต่มองดูที่จิตใจ ถ้าเราทำใจได้มีจิตใจหนักแน่น เป็นปกติ มีความสบาย พอใจในปัจจุบัน และไม่ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป โอกาสผิดหวังก็มีน้อย

“มีความหวังมาก โอกาสผิดหวังก็มีมาก
มีความหวังน้อย โอกาสผิดหวังก็น้อย
ไม่ตั้งความหวังอะไร ก็ไม่ต้องผิดหวัง”

อย่างอริยบุคคลท่านก็ไม่มีผิดหวังเพราะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง

ลัก...ยิ้ม 09-11-2009 12:08

ทุกข์เพราะกลัวตาย

คนเราส่วนใหญ่กลัวความตาย ไม่อยากให้ความตายมาถึง ทั้งความตายของบุคคลที่เรารักและความตายของตัวเราเอง แต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความจริงของชีวิต ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เราทุกคนจึงควรรู้จักพิจารณาความตาย เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความตายได้ด้วยใจ

พิจารณาความตาย คือกายของเรานี้เป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ เป็นอีกส่วนหนึ่ง ร่างกายของเราที่กำลังแก่ กำลังเจ็บ กำลังตายนี้ เป็นที่อาศัยของจิตใจชั่วคราว ส่วนใหญ่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เหมือนเราอาศัยอยู่ในบ้านในช่วงชีวิตหนึ่ง หากเปรียบร่างกายเหมือนเป็นบ้าน เป็นรถ ร่างกายก็เป็นวัตถุที่ประกอบด้วยธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อายุใช้งานก็ประมาณไม่เกิน ๑๐๐ ปี แต่ในส่วนของจิตใจก็ไม่ใช่ จิตใจของเราท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารนับภพนับชาติไม่ถ้วน

สำหรับคนที่กำลังใกล้จะตาย มีเวลาเหลือน้อยแล้วก็บอกกับเขาให้พยายามทำใจให้สงบ ทำใจปล่อยวาง สบายใจว่ากำลังจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไปเกิดดี

สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเวลาสำหรับการปฏิบัติ ต้องไม่ประมาทในชีวิต ให้เราพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ความตายนี้ดีสำหรับบางคน ไม่ดีสำหรับบางคน

หมายความว่า สำหรับคนที่ทำความดี สั่งสมบุญกุศลมา มั่นใจในความดีของตน ก็สบายใจได้ว่าจะไปเกิดในทางที่ดี สำหรับคนชั่วก็คงจะไปเกิดไม่ดี ความตายนี้จึงน่ากลัว

ดังนั้นเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่จึงควรทำแต่ความดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
  • อานิสงส์ของทาน ทำให้ฐานะดี ไม่ลำบาก
  • อานิสงส์ของศีล ทำให้รูปงาม ร่างกายสมประกอบ ผิวพรรณดี
  • อานิสงส์ของภาวนา ทำให้สติปัญญาดี
การทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาจะเป็นอริยทรัพย์อันเป็นที่พึ่งพิงอาศัยให้แก่เราได้ แม้จะตายจากภพนี้ไปแล้ว

หากใครเคยทำความชั่วมา ก็ให้หยุดทำชั่ว ตั้งแต่บัดนี้ พยายามเร่งทำความดี ถึงแม้ว่าใครจะเคยทำบาปทำกรรมไว้มากก็ตาม หากหยุดทำกรรมชั่วได้ ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ เจริญภาวนา จนเกิดวิปัสสนาปัญญาแล้ว ก็มีโอกาส มีทางไปที่สูงขึ้น จนถึงขั้นบรรลุอริยมรรค อริยผล นิพพานได้

ลัก...ยิ้ม 09-11-2009 12:09

มาจากหนังสือ "โชคดี" ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

หมายเหตุ มีแก้ไขตามกติกา

กาแฟ 09-11-2009 13:18

กาแฟ
 
ขอบางท่อนบางตอนนำไปเผยแพร่ เป็นธรรมทานนะครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:47


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว