กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5363)

เถรี 14-01-2017 15:35

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ครั้งแรก และรับบ้านใหม่ (บ้านเติมบุญ) แห่งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ก็คือทำ กาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในขอบเขตของ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง

เรื่องของการให้ทานนั้น พวกเราให้กันเป็นปกติ ให้จนไม่รู้สึกว่าหนักใจ จึงถือว่าในเรื่องของการให้ทานเพื่อเป็นการตัดกิเลสใหญ่คือความโลภนั้น เราสามารถที่จะกระทำได้โดยสมบูรณ์

ส่วนการรักษาศีลนั้น หลายท่านยังขาดตกบกพร่องอยู่ เราต้องคอยทบทวนอยู่ทุกเช้าทุกเย็นว่า ศีลทุกสิกขาบทของเราสมบูรณ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ถ้าเป็นฆราวาสทั่วไปก็รักษาศีล ๕ เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็รักษาศีล ๘ เป็นสามเณรรักษาศีล ๑๐ เป็นพระก็รักษาศีล ๒๒๗ ข้อ

คอยทบทวนอยู่เสมอว่าเราตั้งใจละเมิดศีลด้วยตนเองบ้างหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ได้ละเมิดศีลด้วยตนเองแล้ว เห็นคนอื่นละเมิดศีลเรายินดีด้วยหรือไม่ ? เรายังยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติในการละเมิดศีลบ้างหรือไม่ ?

เถรี 14-01-2017 15:39

การปฏิบัติธรรมของเราถ้าหวังผล ศีลจะเป็นพื้นฐานใหญ่ที่สำคัญมาก เพราะการที่เราต้องคอยระมัดระวังรักษาศีลนั้น ก็คือการสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น สติสัมปชัญญะของเราจะต้องคอยจดจ่อระมัดระวังไม่ให้ตนเองละเมิดศีล ไม่ยุให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ก็จะเกิดสมาธิขึ้นมาเป็นพื้นฐานรองรับในลำดับต่อไป

ในเมื่อทานเราทำได้แล้ว ศีลเราทบทวนให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้ ก็เหลือแต่ในเรื่องของภาวนา คำว่า "ภาวนา" ในที่นี้หมายถึงการทำให้เจริญขึ้น ก็คือ การใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาให้เห็นว่า อัตภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็ตาม มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

ไม่ว่าเราจะเกิดมากี่ชาติก็จะพบกับสภาพร่างกายเช่นนี้ ก็คือมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ แล้วท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด

เถรี 16-01-2017 09:21

ถ้าเราจะเอาศีลของเรามาเป็นเครื่องพินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา ก็คือศีลนั้นเป็นเครื่องป้องกันเราไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นให้ทุกข์ยากลำบาก ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเบียดเบียนเราจนได้รับความทุกข์ยากลำบาก ก็แปลว่าเราเกิดมาเมื่อไรก็ตาม ก็จะต้องโดนผู้อื่นเบียดเบียนอยู่เสมอ ถ้าเกิดมาเมื่อไรก็ต้องโดนเบียดเบียนอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เป็นความทุกข์เช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเราไม่มีความต้องการในตรงจุดนี้ ก็ต้องเอาใจเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติภัยอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ก็ให้ทุกท่านประคับประคองรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติเอาไว้ ถ้ายังกำหนดลมหายใจอยู่ได้ ก็กำหนดลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป อย่าไปพยายามทำให้เป็นอย่างนั้น และอย่าดิ้นรนออกจากสภาพนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้เฉย ๆ ให้ทุกคนรักษาอารมณ์ใจเช่นนี้ไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว