กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟังภาค ๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2885)

เถรี 05-09-2011 14:46

เล่าสู่กันฟังภาค ๔
 
1 Attachment(s)
เล่าสู่กันฟังภาค ๔ นี้ เถรีกราบเรียนขออนุญาตพระเมตตาหรือหลวงพี่เอ นำข้อความที่ท่านเคยได้โพสต์ไว้ในเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์มาเผยแพร่ต่อ แต่ละข้อความพระคุณหลวงพี่เก็บเกี่ยวจากประสบการณ์ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้สังเกตจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ พระคุณหลวงพ่อเล็ก แล้วนำมาเรียบเรียง ถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์แก่สมาชิกกระโถนข้างธรรมาสน์ในครั้งนั้น

เถรีเป็นหนึ่งในสมาชิกของเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์ ติดตามอ่านข้อความของพระคุณหลวงพี่มาตลอด จึงขอนำมาเล่าต่อให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกครั้งในเว็บวัดท่าขนุนแห่งนี้ค่ะ

กราบขอบพระคุณหลวงพี่เอ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ _/\_


http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1315399740

พระอาจารย์ และพระเมตตา งานบวงสรวงเปิดบ้านสุมโน

เถรี 05-09-2011 14:51

พระอาจารย์เคยเตือนใครต่อใครให้ได้ยินบ่อย ๆ ว่า เราพยายามละกิเลส แต่ไม่ใช่ไปโยนกิเลสใส่หัวชาวบ้าน หมายความว่าเราทำตัวเหมือนคนไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรกับใคร แต่ในความเป็นจริง ตัวเรานั่นแหละกลับกลายเป็นคนที่ทำความหนักใจ ให้อิดหนาระอาใจ เป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน ทั้งด้วยกาย วาจาและใจ โดยที่เขาก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

''โลกมีไว้ให้เหยียบ มิได้มีไว้ให้แบก'' นี่เป็นอีกหนึ่งคำคมของพระอาจารย์



พระเมตตา
๗ มิถุนายน ๒๕๔๙

เถรี 05-09-2011 14:56

พูดถึงเรื่องความทุกข์นั้น ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราค้นหากันมาทุกภพทุกชาติ และในขณะนี้ความทุกข์นั้นได้มาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลาหาที่ไหนอีก เราควรจะขอบคุณโอกาสอันดี ที่เราจะได้เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะเพราะประโยชน์จากความทุกข์นั่นเอง


สำหรับนักปฏิบัติ การที่เราได้เกลือกกลั้วอยู่บนกองทุกข์นั้น เปรียบเสมือนว่าเราได้เงินทองกองใหญ่เป็นทุน รู้จักใช้ทุนให้เป็น ด้วยความสมบูรณ์แห่งสติและปัญญาก็จะทำให้เราไปถึงจุดที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว สาธุชนทั้งหลายท่านจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด


พระเมตตา
๕ กรกรฎาคม ๒๕๔๙

เถรี 05-09-2011 15:04

ครั้งหนึ่งเคยนั่งอันดับเพื่อจะบวชพระที่วัดท่าขนุน ก่อนที่นาคจะเข้าโบสถ์ก็ต้องมีการเวียนรอบอุโบสถ บรรดาญาติโยมเจ้าภาพก็ต่างโห่ร้อง เต้นแร้งเต้นกาตามภาษา

พระอาจารย์หันมาอมยิ้มแล้วบอกว่า "ไม่รู้ว่าคุณเห็นเหมือนผมหรือเปล่า?
ผมมองพวกคนเหล่านั้นที่เต้น ๆ กันอยู่ เหมือนกับส้วมในสมัยก่อนที่ยังไม่มีคอห่าน เวลาถ่ายก็เล็งให้ตรงร่องแล้วก็ว่ากันให้จบ เมื่อมองลงไปก็จะเห็นหนอนยั้วเยี้ยไปหมด ไม่ต่างอะไรกับคนเหล่านี้เลย

เรามองในมุมที่สูงกว่าจึงเห็นได้อย่างนี้
แต่คนเหล่านั้นกลับมองไม่เห็น เหมือนกับหมู่หนอนที่รื่นเริงอยู่ในอาจม แล้วก็คิดว่าโลกเรานั้นเป็นดินแดนแห่งความสุขที่สุดแล้ว"
ขณะนั้นอาตมาก็เห็นจริงอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ และรู้สึกว่าเราโชคดีที่มีครูบาอาจารย์ที่แสนประเสริฐคอยชี้นำหนทางให้เสมอ

ในเวลาทุกข์ ในเวลาที่เราเดือดร้อน ท่านจะคอยแนะนำและเป็นกำลังใจให้เสมอ อาตมาคิดต่อทันทีว่า แล้วเราจะทำอะไรเพื่อท่านได้บ้าง? ใจก็ตอบทันทีว่า เราจะต้องทำให้ท่านเหนื่อยน้อยที่สุด พยายามทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองให้มากที่สุด อาจารย์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับเรา ถือว่าเป็นการแบ่งเบาและเป็นการตอบแทนคุณท่านด้วย

ทุกวันนี้ก็พยายามอยู่
และก็ต้องขอเป็นกำลังใจให้กับญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านที่มีความปรารถนาจะหลุดพ้นเหมือน ๆ กัน โดยไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดบนโลกที่เหมือนกองอาจมใบนี้อีก



พระเมตตา
๗ มิถุนายน ๒๕๔๙



เถรี 05-09-2011 19:45

คาถาอีกาวิดน้ำ

อะปิ นุ หะนุกา สันตา มุ ขัน จะ ปะริสุดสะติ
โอระมามะ นะ ปาเรมะ ปูระเตวะ มะโห ทะทีติ


พระอาจารย์บอกว่า เป็นคาถาทวงหนี้และตามของหาย ท่านยังบอกอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นคาถาใด ๆ จะผิดหรือจะถูกก็ตาม ถ้าท่องด้วยสมาธิแล้วจะได้ผลสำเร็จทั้งนั้น ขอให้มีศรัทธา เชื่อมั่น และตั้งใจจริง

ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ หรือการทำสมาธิด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ต้องการให้เราเป็นผู้มีจิตหยุดนิ่ง การสวดมนต์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเกิดสมาธิได้ง่าย ยิ่งถ้าสวดจนใจโปร่งสบาย รู้สึกว่าการสวดมนต์ของเราช้าลงจนถึงขั้นอยากจะหยุดสวด ก็ไม่ต้องแปลกใจ ไม่ต้องฝืนกำลังใจ ดึงกลับมาสวดใหม่ เพราะบทสวดมนต์ก็เหมือนกับคำภาวนานั่นเอง

สมาธิจิตที่สูงขึ้น ๆ คำภาวนาก็จะค่อย ๆ หายไป ฉันใดฉันนั้นจิตก็จะชุ่มชื่นและเป็นสุขอยู่กับความสงบนั้น ส่วนอานิสงส์แห่งคาถาเราได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว เคยได้ยินพระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า บางทีท่านสวดพระคาถาเงินล้านยังไม่ถึงจบก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ขอให้ญาติโยมจงเป็นผู้ไม่ประมาท แบบอย่างที่ดีเราก็มีแล้ว อะไรที่ควรรู้เราก็รู้มากแล้ว จงรีบตามครูบาอาจารย์ไปเถอะ เดี๋ยวท่านจะไม่รอนะ

ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๗ สิงหาคม ๒๕๔๙

เถรี 06-09-2011 07:32

ว่ากันเรื่องของคาถาท่านปู่พระอินทร์กันดีกว่า เป็นคาถาที่มีความสำคัญกับพวกเรามาก โดยเฉพาะคนที่กำลังเรียนหรือศึกษาอยู่ จะมีผลมากด้านความจำ หรือการทำข้อสอบก็จะมีความถูกต้องแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ อันนี้ต้องลองถามจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงหลายต่อหลายท่าน สำหรับคนที่ไม่ทราบก็จะขอพิมพ์ไว้ให้ ดังนี้

สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ

ที่สำคัญต้องต่อด้วย

อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู

จะยิ่งได้ผลมาก

ว่าไปแล้วยุคนี้เราจะมีแค่ทาน แค่ศีลนั้นไม่พอแล้ว
หากแต่เราต้องเน้นตัวภาวนาให้มากเข้าไว้ เพราะตัวภาวนาจะช่วยให้เราอยู่อย่างปลอดภัย และอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขอย่างที่บอกแล้วว่า คาถาต่าง ๆ เป็นวิธีที่จะช่วยให้เกิดสมาธิได้ดี ถ้าเรารู้สึกว่าคำภาวนาสั้นไป ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นคาถาสั้น ๆ หรือบทสวดมนต์ที่ไม่ยาวนัก อย่างคาถาเงินล้าน เป็นต้น

ไม่ต้องสวดกันยาวยืดจนเหนื่อย และเราอาจใช้ประคำช่วยในการภาวนาก็ได้ พระอาจารย์ท่านก็ใช้เหมือนกัน ท่านบอกว่าช่วยเรื่องสมาธิได้ดี ที่ผ่านมาท่านก็แจกประคำอยู่เป็นระยะ ๆ ท่านบอกว่าให้คอยสังเกต ถ้าท่านแจกประคำก็หมายความว่าอยากให้ภาวนาให้มาก ๆ นี่เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะพอแนะนำได้ สำหรับพวกทีจิตใจฟุ้งซ่านลองนับลูกประคำดูบ้างก็ได้ ผลก็จะเกิดกับตัวเราเองไม่ใช่ใครที่ไหน


พระเมตตา
๘ สิงหาคม ๒๕๔๙




เถรี 06-09-2011 09:23

ส่วนใหญ่การตอบคำถามของพระอาจารย์ ท่านมักจะดูคนถามด้วย คำถามเดียวกันอาจตอบไม่เหมือนกัน อยู่ที่กำลังใจของแต่ละคน คนที่จะไปพระนิพพาน สิ่งที่สำคัญก็คือความมั่นใจและศรัทธาแท้ในพระรัตนตรัย เชื่อในคำที่ครูบาอาจารย์สอนโดยไม่สงสัย เพื่อผลการปฏิบัติที่สมบูรณ์ที่สุด การฝึกมโนมยิทธิก็เช่นกัน การตัดสินใจทันทีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องเด็ดขาดและไม่ลังเล ผลจึงจะปรากฏชัด

ในการปฏิบัตินั้น พระอาจารย์ท่านต้องการความสม่ำเสมอในการปฏิบัติมากกว่า คือ ต่อเนื่อง ไม่ละทิ้ง การที่เราเร่ง ๆ ๆ ปฏิบัติ จนหมดแรง พอเลิกปฏิบัติก็ถือว่าเลิกทุกอย่างนั้นไม่ควร พยายามรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องตลอดเวลาได้ยิ่งดี

ท่านบอกว่าที่เราทำแล้วไม่ค่อยได้ผล ก็เพราะว่าเราทำไม่ต่อเนื่อง
พอทำได้ดีสักหน่อยก็หยุด โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าที่เรารู้สึกสบายใจก็เป็นเพราะผลที่เราเพิ่งทำมา ถ้าเราทำต่อเนื่องไปก็จะช่วยประคับประคองกำลังใจให้ดีได้ ถือว่าเป็นการแบ่งเบาภาระของท่านอาจารย์ ไม่ต้องหิ้วปีกกันมาตอนต้นเดือน เพื่อเยียวยากัน


คนเราถ้าเอาจริง มีความตั้งใจจริง เรียกได้ว่าแทบจะสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อย่ามัวแต่ไปสนใจจริยาของชาวบ้าน ถ้าเราปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้ว่าในใจเราของเราเองยังมีเรื่องที่ต้องทะเลาะ ต้องจัดการกับตัวเองอีกมากทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอยู่เต็มในใจ รอแต่เราที่จะเป็นผู้สะสางได้คนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะฉะนั้น..จงเฝ้าระวังใจของตนให้ดี


เถรี 06-09-2011 09:27

พระอาจารย์ท่านพูดให้ฟังอยู่ว่า "ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพียงแต่การตอบคำถามของผม เป็นการตอบเพื่อยืนยันการปฏิบัติที่พวกเขาทำมาแล้ว รู้มาแล้ว ให้มั่นใจยิ่งขึ้นก็แค่นั้นเอง ความจริงเขาก็ทำกันได้อยู่ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรกัน ไม่ค่อยมีความมั่นใจกันเลย"

คล้ายกับคำถามที่ว่า "ผมปรารถนาพุทธภูมิ ผมจึงอธิษฐาน ขอคำว่า "ลา" จงอย่าเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีก จะถูกต้องไหมครับ ?" ดูคนถามจะภูมิใจเล็ก ๆ แต่คำตอบที่ได้ กลับเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางกระหม่อม พระอาจารย์ตอบว่า "กำลังใจยังห่วยแตกมาก..!"

คราวนี้คนถามหน้าถอดสีไปหน่อย แล้วท่านก็อธิบายว่า
"คนที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น ถ้าบารมีเข้มข้นจริง ๆ เขาไม่มามัวนั่งกลัวการลาหรอก เขาเห็นว่าการเกิดเป็นขนมหวานของเขาอยู่แล้ว มีอะไรก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเดี๋ยวก็ถึง" อย่างนี้เป็นต้น


พวกเราก็เช่นกันในฐานะนักปฏิบัติ ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง ก็คืออดีตและอนาคต สนใจแต่เรื่องของปัจจุบันก็พอ พยายามอยู่กับลมหายใจของเราให้มาก จงมั่นใจว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนั้น ท่านทำมาหมดแล้ว จึงเอาผลที่งดงามมาให้ ไม่ผิดแน่ พวกเราถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเอง เหลือแต่ทำอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อความสุขของตัวเราเอง


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๔ ตุลาคม ๒๕๔๙


เถรี 06-09-2011 21:29

การภาวนานั้น มีกุศโลบายต่าง ๆ มากมายในการที่จะทำให้การภาวนาสัมฤทธิ์ผลมากที่สุด การนับลูกประคำก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้การทำภาวนามีผลดี โดยส่วนตัวจะภาวนาคาถาเงินล้านเป็นปกติ โดยการว่าคาถา ๑ คำต่อ ๑ เม็ด (ลูกประคำ) เพราะถ้าเป็น ๑ จบ ต่อ ๑ เม็ด (ลูกประคำ) รู้สึกจะนานไป อันนี้สุดแท้แต่ความชอบหรือความถนัดของแต่ละคน


ความจริงแล้วจะใช้คาถาอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ได้บังคับ แล้วแต่ความสบายใจของแต่ละบุคคล เคยถามพระอาจารย์ว่า ท่านมีวิธีการในการนับประคำอย่างไร ? ท่านบอกว่า "ผมทำอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน แต่ก็ถูกและได้ผลทุกที"

ท่านแนะนำว่า
เวลาที่ท่านนับลูกประคำ ท่านจะนึกว่าลูกประคำ ๑ เม็ด คือพระ ๑ องค์ พร้อมกับนึกถึงภาพองค์พระแต่ละองค์เลื่อนไปตามเข็มนาฬิกา ตามจังหวะของการนับลูกประคำ ทำไปพร้อม ๆ กัน ถ้าทำได้จิตจะเพลิดเพลินและเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก จะว่าคาถาอะไรก็สัมฤทธิ์ผล ถ้าทำกันจริง ๆ จัง ๆ ถือว่าเป็นของไม่ยาก ที่ว่ายาก คือยากที่จะทำมากกว่า (ไม่ยอมทำ)

เถรี 06-09-2011 21:43

ลองคิดดูว่า ถ้าต่างคนต่างนับลูกประคำ หรือภาวนาตลอดด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง จะมีเวลาที่จะไปเกะกะ หาเรื่องชาวบ้านได้ตอนไหน ? เพียงแค่เริ่มจากกลุ่มนักปฏิบัติ กลุ่มเล็ก ๆ นี้ไปก่อน ความสงบสุขก็จะค่อย ๆ บังเกิดขึ้นเอง

การบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่มีใครช่วยใครได้ ทุกคนต้องลงมือทำเอง การยึดติดแต่ครูบาอาจารย์จนประมาทเกินไปนั้นไม่ควรอย่างยิ่ง พระอาจารย์ท่านพร้อมที่จะไปได้ทุกเวลา เหลือแต่เราเท่านั้น ภาวะต่าง ๆ รอบด้านก็แสนจะบีบคั้น จงเข้าใจไว้ว่า ความทุกข์ก็คือครูที่ดีที่สุดของเรา เราต่างเสาะแสวงหามาทุกภพทุกชาติ บัดนี้ความทุกข์นั้นได้มาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว เป็นกำไรอย่างยิ่ง จงทำความทุกข์ให้ตกผลึก และเร่งก้าวข้ามให้พ้นไป

บางคนอาจจะเห็นว่าพระอาจารย์ยังหนุ่ม ยังแข็งแรง ยังพูดได้ หัวเราะได้สบาย ๆ คงจะอยู่กับเราอีกนาน บ้างก็ว่าเดี๋ยวพระท่านก็คงต่ออายุให้ ไม่เป็นไรมากหรอก พระอาจารย์ท่านฟังแล้วท่านขำ ๆ พร้อมกับพูดว่า "โยมเก่งกว่าผมอีก ที่รู้ชีวิตผมดีกว่าตัวผมเอง" เพราะท่านเองไม่เคยประมาทในชีวิตเลย


เถรี 06-09-2011 21:52

อีกอย่างหนึ่งท่านเคยพูดว่า "ผมปฏิบัติมาอย่างเต็มที่ ทุกวันนี้ผมเองยังไม่เคยคิดว่าผมพ้นนรกเลย แล้วพวกคุณล่ะ ?"

ทำให้เราเองรู้สึกสลดว่า เรากำลังประมาทเกินไป บางคนอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาลูกสาวของท่าน (ลูกบุญธรรม ) ว่าท่านพูดดีด้วย คอยเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี จนนึกน้อยใจ ทีกับพวกเราไม่เห็นท่านพูด ท่านทำอย่างนี้เลย ข้อนี้ท่านเคยบอกว่า "ถ้าผมตายตอนนี้ คนที่น่าสงสารที่สุด คือบรรดาลูกสาวของผมนั่นแหละ..!"

เพราะฉะนั้น...เราอย่าได้ชื่อว่าเป็นบุคคลผู้น่าสงสารเลย พยายามยืนด้วยตัวเองให้ได้ นอกจากจะสร้างประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนเองแล้ว ยังสามารถสร้างประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่นได้ด้วย ร่วมด้วยช่วยกันทำไปวันละนิดวันละหน่อย อาจท้อได้แต่ห้ามถอย เดี๋ยวก็ถึงเอง


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๙


เถรี 07-09-2011 16:09

สำหรับบางคนที่ถูกพระอาจารย์ตำหนิแรงบ้าง เบาบ้าง ต้องถือว่าเป็นผู้โชคดีแล้ว เพราะยังอยู่ในสายตา บางทีท่านอาจจะเห็นว่า ถ้าช่วยสะกิดตรงนี้ให้อีกนิด ก็จะทำให้คนนั้นมีกำลังใจที่ก้าวหน้าขึ้น แต่วิธีการที่ท่านจะช่วยสะกิดนั้นยากที่จะคาดเดา เพราะเป็นของเฉพาะบุคคล หากว่าเราจะทำอะไรถูกหรือผิดก็ตาม แล้วท่านกลับไม่มองไม่สนใจไยดีเลย อันนี้สิน่ากลัวมากกว่า

บางครั้งท่านเปรย ๆ ว่า เดี๋ยวนี้ใจมันจืด ๆ เหมือนคนใจดำ แต่ถึงอย่างไร ความเมตตาของท่านก็ยังล้นออกมาให้เรารับสัมผัสได้เสมอ

ถ้าเราถูกเลือกให้เป็นผู้เข้าสอบ ก็จงทำข้อสอบให้เต็มความรู้ความสามารถเถิด อย่าพยายามใช้คำว่า "สอบตกเดี๋ยวซ่อมได้" อะไรทำนองนั้น พระอาจารย์เองก็เตือนให้ระวังเสมอเรื่องของข้อทดสอบในรูปแบบต่าง ๆ แม้แต่ตัวท่านเองก็อาจจะเป็นเครื่องมือของมารในการเข้าทดสอบเราได้

ท่านว่า มารเขาเก่ง เขาจะใช้คนทุกคน หรือเรื่องทุกเรื่องที่จะทำให้เราหวั่นไหว และพ่ายแพ้ บางทีคนที่เรารักและบูชาที่สุดอาจทำให้เราเสียใจที่สุด แล้วในที่สุดเมื่อรู้ความจริงภายหลังก็สายเสียแล้ว

ดังนั้น..ความเป็นผู้มีสติจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด นักปฏิบัติบางคนที่ปฏิบัติมานาน แต่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน กลับไร้สติ ทำอะไรไม่เป็นเลยก็มีมาก

จึงทำให้สรุปได้ว่า อย่าหวังพึ่งใครเลย ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าท่านชมก็อย่าเพิ่งดีใจ ถ้าท่านติก็อย่าเพิ่งเสียใจ พระอาจารย์พูดเสมอว่า ถ้าเรายังฟูหรือยังแฟบอยู่อย่างนี้ใช้ไม่ได้ พยายามรักษากำลังใจของเราให้ทรงตัวตลอดเวลายิ่งดี อย่าหวั่นไหวในโลกธรรม ใจจะเป็นสุข


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๙

เถรี 07-09-2011 16:15

สำหรับคนที่รักกรรมฐาน การปฏิบัติภาวนาถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด โดยเฉพาะพวกเราที่ปรารถนาพระนิพพาน ยิ่งต้องทำภาวนาให้จงหนักเพื่อความหลุดพ้นของตน ภาวนาจะดีได้ก็ต้องเกิดจากทาน และศีลที่ดีในเบื้องต้นก่อน การภาวนาจึงจะได้ผล

พระอาจารย์บอกว่า ในตอนเช้าเราควรเข้าสมาธิให้สูงที่สุดตามความสามารถที่เราพึงจะทำได้ ความร่มเย็นของสมาธิจะช่วยให้ใจของเราไม่หวั่นไหวไปในอารมณ์ต่าง ๆ ใหม่ ๆ ก็อาจจะร่มเย็นได้ไม่กี่ชั่วโมง นานเข้า ๆ ถ้ายังไม่ละความเพียร ความร่มเย็นของสมาธิก็จะขยายเวลามากขึ้น เป็นครึ่งวันหรือหนึ่งวันเต็มได้ในที่สุด

ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ใหม่ ๆ ช่วงที่ท่านทำงานอยู่ที่วัดท่าซุง วันนั้นที่วัดมีงานใหญ่ ท่านเองต้องเจอกับคนมาก พอตกบ่ายท่านรู้สึกว่ากำลังของสมาธิที่ท่านทำไว้ตั้งแต่ตอนเช้าเริ่มหมด โดยสังเกตจากการที่ตัวเองเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพูดกับโยม ท่านรู้ว่าขืนอยู่ต่อคงต้องแสดงอาการที่ไม่ดีออกไปแน่ ๆ จึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำสมาธิใหม่

ท่านว่าเข้าไปนั่งรวบรวมกำลังใจอยู่พักใหญ่ จนกำลังใจเต็มที่ พร้อมที่จะออกมาทำงานได้อีก จึงออกมาใหม่ พระที่ทำงานด้วยกันยังแซวท่านว่า ทำไมเข้าห้องน้ำนานจัง ? ท่านว่าท้องผูก..!

เถรี 07-09-2011 16:27

สำหรับคนที่มีแต่ความขี้เกียจจนตัวเป็นขน แต่ก็อยากจะไปพระนิพพาน อาตมาขอนำพุทธพจน์ของสมเด็จพระพุทธกัสสปที่ตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ มาแสดงอีกรอบดังนี้

"ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกสี ให้เขาคิดเห็นว่า โลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไร ในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายเราเองเราก็ไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน

แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ? ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังปรารถนาอะไรภายนอกอีก ? เราไม่ต้องการ เราจะไปนิพพาน

ถ้าเขาคิดเท่านี้เพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะสัมพเกสีนะ ลูกหลานของเธอพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน"

เถรี 07-09-2011 16:28

การคิดง่าย ๆ เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยให้เราหลุดพ้นได้ เพราะเป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูงสุดที่พระองค์เมตตาแนะนำไว้ให้ แต่ขอให้เราคิดทุกวัน คิดจนชิน จิตจะได้จำไว้ ความชินก็เป็นฌาน จิตจะมีเป้าหมายที่จะไป ไม่ยากเลยใช่ไหม ?

จะเห็นว่าในสายของเรานั้นอบอุ่นมาก มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ที่คอยสงเคราะห์ เริ่มตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม จนกระทั่งถึงท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านลุง ท่านอา ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่สำคัญก็คือหลวงปู่หลวงพ่อของเรา เรื่อยมาจนถึงพระอาจารย์ที่เราเคารพ ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรถึงจะได้ไปกับเขา..!


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๙

เถรี 07-09-2011 18:46

"ถ้าอะไร ๆ ก็ไม่ถูกใจเราไปเสียหมด แสดงว่าใจเรามันเลว" นี่เป็นคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


พระเมตตา
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๙

เถรี 07-09-2011 18:50

มีคาถาอยู่ช่วงหนึ่งในคาถาเงินล้าน พระอาจารย์เมตตาบอกว่า ใช้ท่องเวลาจะเจออุปสรรคหรือเรื่องติดขัดต่าง ๆ ก็จะผ่านพ้น คนที่เอาไปท่องก็กลับมาบอกว่าได้ผลดี จึงเก็บมาฝาก ดังนี้

พรหมา(อ่าน พรม-มา)จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ

แค่นี้นะ จะได้ชนะอุปสรรคต่าง


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๙

เถรี 07-09-2011 19:08

เจโตปริยญาณ เป็นหนึ่งในญาณ ๘ สามารถรู้วาระน้ำจิตของคนอื่นได้ และทราบความคิดของคนอื่นได้ แต่ก่อนที่เราจะรู้จิตคนอื่นได้ เราต้องรู้จิตของตนเองให้ได้ก่อน ความจริงแล้วเจโตปริยญาณนั้นมีจุดประสงค์ที่สำคัญ คือการเอาไว้ดูใจตนเอง ว่าขาดตรงไหน ? บกพร่องตรงไหน ? มีความหวั่นไหวในดวงจิตอย่างไร ? แล้วค่อย ๆ ปรับปรุงแก้ไขให้สะอาด ให้ใสสว่าง

พระอาจารย์ท่านเคยแนะนำถึงการทำสมาธิ โดยมีผลพลอยได้ในเรื่องเจโตปริยญาณว่า ในขณะสวดมนต์ให้เราพยายามนึกถึงบทสวดมนต์ไปด้วย โดยการนึกบทสวดให้ปรากฏเป็นตัวอักษรให้ชัดเจน ซึ่งถ้าเราทำได้อย่างคล่องแคล่ว เวลาเราคุยกับใคร หรือใครคิดอะไร ความคิดของเขาก็จะขึ้นมาเป็นตัวอักษร ปรากฏอยู่บนหัวของเขา ให้เราอ่านแบบสบาย ๆ ยิ่งถ้าคนที่ได้มโนมยิทธิ ยกจิตขึ้นสวดมนต์ต่อหน้าพระที่พระนิพพาน โดยให้ปรากฏเป็นตัวอักษรแล้ว ยิ่งได้ผลดีมากหลายประการด้วยกัน

ส่วนเวลาที่เราไปไหว้พระที่ไหนก็ตาม เราจะมีความสบายใจ พระอาจารย์ท่านเมตตาแนะนำถึงเรื่องของการอธิษฐานว่า ท่านเองมักอธิษฐานเสมอ ๆ เวลาไปไหว้พระว่า ขอให้ภาพพระนี้จงมาปรากฏกับข้าพเจ้าแม้วาระสุดท้ายแห่งลมหายใจ อย่างที่เรารู้กันว่าอารมณ์จิตก่อนตายมีความสำคัญที่สุด นี่เรียกว่าท่านไม่ยอมประมาทแม้แต่น้อย

ญาติโยมสามารถนำไปใช้ได้ วิธีการใดที่จะช่วยจรรโลงใจให้กันและกัน เป็นกุศโลบายให้ถึงฝั่งฝันโดยเร็ว ก็จะพยายามนำมาฝากกัน เพื่อความอยู่เป็นสุขของทุกคน


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา
๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙

เถรี 07-09-2011 19:17

ข้อความต่อจากนี้ เถรีไม่ได้บันทึกวันเดือนปีที่ท่านโพสต์เอาไว้ค่ะ :4672615:

เถรี 07-09-2011 19:26

ถ้าเราต้องการไปเจรจากับใครแล้วอยากให้เขาเชื่อเรา หรือยอมเรา พระอาจารย์ท่านเคยแนะว่า ให้ภาวนา "สัมปฏิจฉามิ" จนอารมณ์ทรงตัว ก่อนที่เราจะไปเจรจา สัก ๑ ชม. ท่านว่าเราจะปั้นเขาให้เป็นอย่างไรก็ได้ตามที่เราต้องการ แต่ต้องไม่ผิดศีลผิดธรรม

พระอาจารย์ยังสอนอีกว่า การฟังต้องรับฟังให้ได้ทุกเรื่อง โดยที่ไม่มีอารมณ์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องถึงจะดี ให้ถือว่าเราเป็นเพียงผู้ดูละคร จะร้ายหรือดี ก็เป็นเพียงแค่ผู้ดู อย่าไปมีอารมณ์ร่วมเพราะจะกลายเป็นปฏิฆะ (แรงกระทบ)

เคยได้ยินพระอาจารย์ท่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับนิทานในธรรมบทให้ฟัง (ถ้าจำผิดก็ขออภัยไว้ก่อน) สมัยหนึ่ง มี ๓ คนพี่น้อง มีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ คนหนึ่งช่างขโมย คนหนึ่งช่างกิน คนหนึ่งช่างนินทา ทั้งสามจึงโดนจับลอยแพ มีโจรมาพบเข้า รู้สึกสงสาร เลยช่วยไว้

คนช่างกินเอาไปไว้ที่โรงครัวจนเบื่อกิน คนช่างขโมยก็ยกสมบัติให้หมดจนเบื่อ เลิกขโมย เหลือแต่ช่างนินทาแก้ไม่ได้ จับลอยแพไปเลย พอไปถึงกลางทะเลเจอนกอินทรีผัวเมีย นกเกิดสงสารจึงช่วยไว้ โดยจับไม้ตัวละด้าน ให้ช่างนินทาจับตรงกลาง ช่างนินทาก็แอบไปกระซิบตัวที่เป็นสามีพักหนึ่ง แล้วเธอก็ไปบอกตัวเมียว่า "ผัวเธอมาจีบฉัน"

ตัวเมียโมโห จึงจับไม้ฟาดผัว ช่างนินทาจึงตกทะเลตาย ศพไปติดฝั่ง พระมาพบเข้าจึงเผาศพให้ วันหนึ่งพวกขี้เมาคว้าเอากะโหลกของนางไปตั้งก้อนเส้า ต้มเหล้าในป่าช้า ปรากฏว่าขี้เมาตีกันยุ่งไปหมด พระสงสารอยากให้นางได้บุญ จึงเอากะโหลกของนางไปตั้งเทียน แต่พระเณรกลับสวดมนต์ไม่สามัคคี ทำเอายุ่งไปหมดเหมือนกัน ในที่สุดพระจึงต้องนำกะโหลกของเธอไปทิ้งทะเล...

พระอาจารย์ท่านก็เล่าแบบขำ ๆ ว่า นี่เป็นปิสุณาวาที คือผู้มีวาจาส่อเสียดเป็นปกติ ขนาดตายแล้วยังเป็นได้ขนาดนี้ อยู่ที่ไหนก็มีแต่สร้างความวุ่นวายไม่มีใครเอาด้วย

เอามาฝากญาติโยมได้อ่านเล่นเพลิน ๆ


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 07-09-2011 19:36

1 Attachment(s)
เคยได้ยินพระอาจารย์ท่านท่องกลอนให้ฟังดังนี้


"บวชทั้งนอกบวชทั้งในนั้นดียิ่ง
บวชแต่ในนอกทิ้งท่านไม่ห้าม
บวชแต่นอกในงดก็หมดงาม
ไม่บวชเลยเลวทรามอย่างแน่นอน"


รู้สึกประทับใจจึงเก็บมาฝาก



ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา



พระเมตตาและพระอาจารย์ ณ บ้านสุมโน

เถรี 07-09-2011 20:04

พระอาจารย์ท่านกรุณาตักเตือนว่า "ถ้าคุณเห็นใครทำอะไรไม่ถูก ให้กองเอาไว้ตรงนั้น เรามีหน้าที่แค่ช่วยยกกำลังใจของเขาไม่ให้ตก ไม่ให้ออกนอกทางเท่านั้น นอกนั้นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าปล่อยวางได้ ก็จะไม่เสียกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรรมของเรา"

คำสั่งสอนเพียงเท่านี้ ถ้าคิดให้ดี สามารถเข้าสู่คุณธรรมระดับปรมัตถ์ได้เลย โอวาทนี้จึงถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เห็นว่ามีประโยชน์ จึงเก็บมาฝาก


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 07-09-2011 22:01

วิธีทำให้ ว่าง พระอาจารย์เคยแนะนำว่า "ให้ตัดไม้เอกออกซะ"

ส่วนการทำดีเพราะอยากทำ ถึงเวลาความดีจะปรากฏ แต่ถ้าทำดีเพราะอยากดี นานไปความดียังไม่ปรากฏ เมื่อนั้นเราเองจะท้อถอย แย่เสียเอง พระอาจารย์กล่าวพร้อมกับสรุปว่าจงทำดีเพราะอยากทำ แต่อย่าทำเพราะอยากดี


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:14

ไหว้พระพุทธ อย่าติดอยู่ที่ทองคำ ไหว้พระธรรม อย่าติดอยู่ที่ใบลาน ไหว้พระสงฆ์ อย่าติดที่เป็นลูกหลานชาวบ้าน" เคยได้ยินพระอาจารย์ท่องให้ฟัง และท่านก็ให้โอวาทอีกพอสมควร แต่สุดท้ายท่านเลี้ยวเข้ามาหา การไม่ติดใจในสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ พร้อมทั้งพูดอีกว่า เห็นอะไรใครไม่ดีอย่าว่าหรือซ้ำเติมเขา แต่ให้เอาสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงตัวเราแทน

หรือแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์คน ให้พูดทั้งในด้านดีและไม่ดีไปด้วยจะได้ยุติธรรมที่สุเพราะส่วนใหญ่เรามักจะพูดเพียงด้านเดียว มองเพียงด้านเดียว ซึ่งพระเมตตาก็เห็นจริง พร้อมรับโอวาทแล้วน้อมนำไปปฏิบัติ


พระอาจารย์ท่านสอนอีกว่า การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีความอิ่ม ไม่มีความเบื่อ ดังนั้น...ถ้ามีใครคิดว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ให้มาก ๆ จะได้เบื่อไม่ทำอีก ท่านว่าต้องระวังให้ดี ส่วนใหญ่เสร็จกิเลสทุกราย


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:17

พระพุทธวจนะ

อานันทะ...ดูกร อานนท์....ตถาคตจักไม่ปฏิบัติต่อเธอทั้งหลายอย่างทะนุถนอม ประดุจช่างหม้อที่ปฏิบัติต่อหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่

อานันทะ...ดูกร อานนท์...เราจักกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสารผู้นั้นจึงจักทนอยู่ได้

เป็นหนึ่งในพุทธพจน์ที่พระอาจารย์ติดไว้ตามผนังในเกาะพระฤๅษี เป็นสิ่งที่คอยเตือนใจเราให้ตระหนักถึงหน้าที่และพระคุณของครูบาอาจารย์ ตลอดจนถึงหน้าที่ของพวกเราด้วย


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:18

ถ้าเป็นเรื่องของการพูดสอนพระอาจารย์ท่านได้แนะนำ ดังนี้
๑. พูดเน้นการปฏิบัติ
๒. พูดให้เคารพพระรัตนตรัย
๓. พูดให้คลายกำหนัด
๔. พูดให้ห่างจากการครองเรือน เป็นต้น

ขอเป็นกำลังใจให้ญาติโยมทุกคนผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายในยุคนี้ไปได้อย่างสะดวก


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:31

วิธีการบรรลุมรรคผลนั้น มีด้วยกัน ๔ วิธี คือ

๑. ปฏิบัติลำบากบรรลุช้า
๒. ปฏิบัติลำบากบรรลุเร็ว
๓. ปฏิบัติสบายบรรลุช้า
๔. ปฏิบัติสบายบรรลุเร็ว

ถ้าว่าไปแล้วพวกเราในสายของหลวงพ่อฤๅษีฯ น่าจะถือว่าเป็นแบบสุดท้ายได้ โดยเฉพาะวิชามโนมยิทธินั้น ถ้าวางกำลังใจได้ตามที่ครูบอกแล้วต้องถือว่าไม่ยาก เพราะมโนมยิทธิไม่ต้องใช้กำลังใจสูงมากนัก เพียงแค่อุปจารสมาธิผลก็เริ่มปรากฏ

ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ผ้าเหลืองเท่านั้น ผ้าลายก็มีมากที่สามารถทรงอภิญญาสมาบัติกันได้เป็นปกติ เขาเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน หากแต่อยู่รวมปะปนกับเราในชีวิตประจำวันนี่เอง ถ้าเรามีกำลังใจไม่เหนือไปกว่าเขาหรือเท่าเขา เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นเช่นไร

เถรี 08-09-2011 10:15

การเห็นพระนิพพานได้จัดเป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าไปได้ จัดเป็นฌาน ๔ บางทีก็เป็นฌานแบบใช้งาน อาจไม่หนักแน่นนัก หรือคนที่ได้ก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองได้แล้ว

ในขณะฝึก บางคนจึงรู้สึกเหมือนกับว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น เรียกว่าเป็นฌาน ๔ อย่างหยาบ ครูจึงต้องหมั่นนำให้เราอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ และที่สำคัญ ศีลต้องดีจะส่งผลถึงวิปัสสนาญาณที่เด็ดขาดและชัดเจน

คำว่า "เด็ดขาด" นั้นอยากจะบอกญาติโยมทั้งหลายว่า เป็นเรื่องของการตัดสินใจนั่นเอง คือการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมั่นคง เชื่อตามนั้นไม่ลังเลสงสัย ครูว่าอย่างไรว่าตามกัน เหมือนคนในสมัยพุทธกาล เขาฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเพียงจบเดียวหรือประโยคเดียวก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ ทั้งนี้ก็เพราะเขาเชื่อตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเป็นเรื่องจริง ธรรมะนั้นเข้าไปในใจ คือเข้าใจและยอมรับจากใจจริง ๆ ผลจึงเกิดทันที อย่างนี้เป็นต้น

เถรี 08-09-2011 10:21

การภาวนา คือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติ ถ้าเราภาวนาอยู่ตลอดจนกระทั่งหลับไป จิตอาจยังตื่นโพลงอยู่ เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่ได้หลับ บางคนถึงขนาดได้ยินเสียงกรนของตัวเอง

ความจริงร่างกายได้พักและหลับไปแล้ว ซึ่งถ้าเรามัวแต่กังวลว่าเรายังไม่ได้นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เกรงจะลุกไม่ไหว หรือคอยสั่งบังคับฝืนให้หลับไปอะไรทำนองนี้ เราจะรู้สึกเหนื่อยและทรมาน ไม่สดชื่นเมื่อตื่นขึ้น ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้รู้ไว้ว่าร่างกายได้พักแล้ว ปล่อยให้เขานอนไปไม่ต้องกังวล ถ้ารู้ตัวอยู่ตลอดก็ให้ภาวนาต่อเนื่องไปเลย ถือว่าไม่ขาดทุน ตื่นมาก็จะรู้สึกสดชื่น เพราะที่เหนื่อยก็เนื่องจากเราไปฝืนให้หลับนั่นเอง

พระอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนท่านฟังเทปหลวงพ่อจนเคลิ้มจะหลับ วินาทีนั้นเองที่ท่านพยายามกระชากและดึงความรู้สึกของท่านให้ตื่นขึ้นมา ไม่ยอมให้หลับ ใหม่ ๆ ท่านว่ามันหลับไปก่อนทุกที เมื่อพยายามฝึกเข้าบ่อย ๆ สติก็เริ่มตามทัน ในที่สุดก็ไม่หลับ

แต่ความจริงร่างกายหลับไปแล้ว จิตที่ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะต่างหากที่ไม่หลับ กลายเป็นผู้ตื่นตลอดเวลา ช่วงนี้เอง ท่านว่าเราจะได้ยินธรรมะที่เราไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนบางทีก็เป็นธรรมะเฉพาะกิจ คือสอนเฉพาะเราเท่านั้นก็มี

เถรี 08-09-2011 10:37

แต่ท่านกระซิบบอกว่าคุณเอ๋ย..วิธีนี้ฝึกยากมาก เพราะคุณจะต้องหาจุดที่กำลังจะหลับให้ได้พอดี ๆ แล้วพยายามกระชากหรือฝืนความรู้สึกไม่ให้หลับไป พยายามประคองสติให้ทันช่วงนั้น ต้องยอมรับว่ายากจริง ๆ เพราะบางครั้งเราอาจเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากับงานในระหว่างวัน ขนาดผมยังใช้เวลาฝึกถึง ๓ ปี ฟังเทปหลวงพ่อขาดเป็นม้วน ๆ ไปแล้ว

เมื่อฟังแล้วจงอย่าเพิ่งท้อ จงมองว่าเป็นแนวทางและกำลังใจให้เรารู้ว่า เมื่อเราเอาจริงอย่างที่พระอาจารย์ท่านทำ ผลย่อมต้องเกิดอย่างแน่นอน โดยที่ไม่ต้องให้ท่านมาคอยรักษากำลังใจให้เราอยู่ตลอดเวลา


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 17:20

การระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ถือได้ว่าเป็นอนุสติอย่างหนึ่ง การตามระลึกถึงคุณของครูบาอาจารย์อย่างคนผู้ไม่ขาดทุนนั้น เราต้องพยายามนึกถึงความดี หรือคุณธรรมของท่าน ปฏิปทาของท่านที่ทำให้ท่านเป็นที่ชื่นชมโสมนัสแก่ลูกศิษย์ แล้วเร่งปฏิบัติตาม จงอย่ามองแต่ความเก่งของท่าน แต่จงมองว่าท่านเก่งเพราะอะไร และทำอย่างไรเราจึงจะเก่งได้เท่าท่าน

พระอาจารย์กล่าวเสมอ ๆ ว่า
ธรรมะหรือวิชาทุกอย่างที่ท่านได้มาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เป็นธรรมะที่เปิดเผย ไม่มีการปิดบัง เมื่อท่านได้มาเช่นไร ท่านก็จะปฏิบัติเช่นนั้นคือ ถ่ายทอดหมดทุกอย่าง ไม่หวงวิชา ศิษย์รู้มากเท่าไรท่านก็เหนื่อยน้อยเท่านั้น อยู่ที่ว่าเราจะรับได้แค่ไหน ?

เหมือนดังที่พระอาจารย์ท่านเคยเล่าว่า ท่านออกจากวัดท่าซุงมาตัวเปล่า แทบไม่ได้เอาอะไรออกมาจากวัดเลย แต่สิ่งที่หล่อหลอมอยู่ในตัวท่าน ในจิตวิญญานของท่าน นั่นก็คือธรรมะอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดโดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตลอดจนถึงปฏิปทาต่าง ๆ ตกทอดมาถึงพวกเรา ซึ่งถือว่าเป็นผู้โชคดีที่สุด เพราะครูบาอาจารย์ท่านคัดสรรธรรมะมาอย่างดีแล้วก่อนจะมาถึงพวกเรา

เถรี 08-09-2011 17:22

ดังนั้น..การเดินทางของเราจึงแทบไม่ต้องคิด เนื่องจากมีคนลองผิดลองถูกมาก่อนเรา เหลือแต่ทำจริง ๆ พระอาจารย์เคยพูดว่า กว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์คนได้ ต้องเลือดโชกแผลเหวอะทั้งตัวประเภทหมอไม่รับเย็บมาก่อนแล้วทั้งนั้น พวกเราจึงถือว่ามีผู้ประกันความเสี่ยงให้เรามาก่อนแล้ว จงมุ่งหน้าต่อไป

พูดถึงความศรัทธาก็เป็นอีกสิ่งที่มีความสำคัญมาก เป็นข้อที่หนึ่งในอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ซึ่งถ้าเราไม่มีความศรัทธาเป็นตัวนำ ย่อมหาความสำเร็จไม่ได้ในที่สุด และพลังแห่งความศรัทธานี่เองที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์อย่างมากมาย เช่นเรื่องที่พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับคำบริกรรมว่า "นะ โม พุท ธา แยะ"

มีพระรูปหนึ่งเรียนกรรมฐานจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง โดยให้บริกรรมว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" แต่พระรูปนั้น ท่านจำผิดว่า "นะ โม พุท ธา แยะ" เมื่อท่านเข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่า ด้วยคาถา นะ โม พุท ธา แยะนี้ ท่านสามารถเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ได้ สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้

ถึงแม้ว่าจะเป็นคำบริกรรมที่ผิด แต่เพราะความศรัทธาและมั่นใจในตัวคาถาตลอดจนครูบาอาจารย์ จึงทำให้ท่านไม่มีความลังเลสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างจึงสัมฤทธิ์ผล

เถรี 08-09-2011 17:25

จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคณะพระภิกษุเข้าไปธุดงค์ในป่า ไปพบภิกษุรูปนี้เข้า ท่านเองจึงเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ถวายด้วยฤทธิ์ที่เกิดจากการบริกรรมพระคาถา "นะ โม พุท ธา แยะ" นี้เอง เพื่อเป็นการต้อนรับ ทำให้คณะพระธุดงค์เกิดความเลื่อมใส จึงถามว่าท่านบริกรรมคาถาอะไรถึงได้เก่งขนาดนี้

พระองค์นี้จึงตอบว่า นะ โม พุท ธา แยะคณะพระธุดงค์ถึงกับตกใจ และตอบไปว่า ท่านท่องคาถามาผิดแล้วนะ อันที่จริงต้องท่องว่า นะ โม พุท ธา ยะ ต่างหาก พระรูปนี้ถึงกับจิตตกที่ตนท่องผิด เมื่อจิตมีความเศร้าหมอง การแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จึงไม่เป็นผล ท่านเกิดความร้อนใจจึงรีบออกจากป่าไปหาพระอาจารย์ที่เคยเรียนวิชามา

เมื่อไปถึง ท่านจึงถามพระอาจารย์ว่า "ผมท่องคำบริกรรมผิดหรือครับ ?" ด้วยความฉลาดของพระอาจารย์ ท่านรู้ว่าถ้าตอบตรง ๆ จะทำให้เสียหายใหญ่ จึงตอบว่า นะ โม พุท ธา ยะ นั้นเป็นตัวผู้ นะ โม พุท ธา แยะนั้นเป็นตัวเมีย จะใช้อย่างไหนก็ได้เหมือนกัน" ที่ตอบอย่างนี้ก็เป็นการรักษากำลังใจไม่ให้จิตตก

เถรี 08-09-2011 17:27

เมื่อพระลูกศิษย์ได้รับคำตอบแล้ว รู้สึกดีใจ จึงรีบกลับเข้าไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อท่านเข้าใจว่าคำบริกรรมทั้งสองนั้นไม่ผิด จิตของท่านจึงไม่มีความกังวลใด ๆ ความผ่องใสแห่งจิตจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ว่าจะบริกรรมด้วยคาถาใดก็ตามสามารถแสดงฤทธิ์ได้ทั้งนั้น

ดังนั้น..ความศรัทธาและความมั่นใจจึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับนักปฏิบัติ ที่สำคัญศรัทธาจะต้องมาคู่กับปัญญาด้วยจึงจะไม่เดือดร้อน

อีกอย่างหนึ่ง คือ การรักษาความผ่องใสของจิตที่เราสร้างมาได้ให้ต่อเนื่องยาวนานที่สุด พระอาจารย์ท่านจะพูดเสมอว่า "จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สำคัญต้องรักษากำลังใจเราไว้ให้ทรงตัว"

และอีกหนึ่งคำพูดที่พระเมตตาประทับใจมาก ๆ ก็คือ "ผมไม่ยอมให้จิตที่ผ่องใส ที่ผมสู้อุตส่าห์บำเพ็ญมานับอสงไขย จะต้องขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะเรื่องพวกนี้หรอก ไม่คุ้มกัน" คิดเห็นเช่นไรลองพิจารณาดู


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 21:48

"ชนเหล่าใด ถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแส เหมือนแมงมุมตกไปตามใยข่ายที่ตนเองทำไว้
ชนเหล่าใด ตัดกระแสราคะได้แล้ว ไม่เยื่อใย ย่อมละจากกามสุข แล้วออกบวช "


พุทธพจน์แห่งพระบรมศาสดา ตรัสสอนพระนางเขมาเทวี เมื่อจบพระคาถา พระนางบรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 27-09-2011 18:32

ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่จะประกันคุณภาพของพระพุทธศาสนา? ทุกคนนั่งนิ่ง ตัวอาตมาเองอยากจะตอบว่าศีล แต่ท้ายสุด ท่านอาจารย์ก็เป็นคนเฉลยเองว่า สัมมัปปธาน ๔ หรือความเพียร ๔ ประการนั่นเอง ได้แก่

๑. เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในจิตใจ (สังวรปธาน)
๒. เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว (ปหานปธาน)
๓. เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในจิตใจ (ภาวนาปธาน)
๔. เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อม (อนุรักขณาปธาน)

ท่านว่าความเพียรเหล่านี้จะเป็นเครื่องรับประกันคุณภาพของพระพุทธศาสนาไว้ได้ ถ้าเราจะพิจารณาให้ดี สัมมัปปธาน ๔ จะครอบคลุมคุณธรรมแทบทุกเรื่อง เพราะที่สุดก็คือการทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสนั่นเอง จึงรวมทั้งศีล สมาธิและปัญญาเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดก็อยู่บนพื้นฐานของความเพียรเป็นสำคัญ

ญาติโยมลองพิจารณาตามดูนะว่า จริงอย่างที่ท่านว่าหรือเปล่า? ความเพียรเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าท่านทรงชี้แนะแนวทางของการทำความเพียรให้ถูกทางไว้แล้ว เหลือแต่เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ปฏิบัติตาม

พระเมตตาได้สังเกตญาติโยมส่วนใหญ่ที่บอกว่าเป็นนักปฏิบัติมานาน ทำมานาน แต่ไม่เกิดผล โดยมากมักขาดความเพียร ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงก็คือขี้เกียจ เหมือนการลงทุนน้อยแต่ต้องการกำไรมาก ๆ ลองนึกดูว่าจริงหรือไม่? อันนี้ไม่ใช่มาว่ากันนะ เป็นห่วงญาติโยมจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ เพราะสังเกตมาตลอด แต่คนอื่นที่ตั้งใจปฏิบัติเอาจริงเอาจังแต่ยังไม่เกิดผล ก็ขอยกไว้ก่อน

อย่างไรก็ให้มาปรึกษาท่านอาจารย์ช่วงที่ท่านรับแขกตอนต้นเดือนแล้วกันนะ ท่านอาจารย์ท่านคงมีเหตุผล ที่อยู่ ๆ ท่านก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อาจเพราะทนญาติโยมไม่ไหว ที่คอยมานั่งถามอย่างเดียวโดยไม่นำไปปฏิบัติ พระเมตตาเห็นว่ามีประโยชน์ จึงเก็บมาฝากกัน


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 05-01-2012 11:33

โลกเราทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างนับวันจะมีแต่ความเร่าร้อนรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อประเทศชาติบ้านเมือง ส่วนรวม จนกระทั่งถึงตัวเราเองมากบ้างน้อยบ้าง

โดยเฉพาะตัวเราเองอาจจะกระทบถึงจิตใจ
ซึ่งหากเราไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอ ก็อาจจะหลงเข้าวังวนจมปลักอยู่ในกระแสโลกอันเร่าร้อนนี้ได้ ฉะนั้น เราจึงควรไม่ประมาท เราควรที่จะรีบขวนขวายหาวิธีที่จะทำให้จิตใจของเรามีความเข้มแข็งมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสโลกให้จงได้

วิธีที่จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคง
ตามแนวทางการปฏิบัติในสายครูบาอาจารย์ของเรา มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านพระอาจารย์เป็นที่สุด ก็คือ การมั่นคงในทาน ศีล ภาวนา และมั่นคงในพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์

ซึ่งหากเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา
มั่นคงในพระรัตนตรัย มั่นคงในครูบาอาจารย์อย่างแท้จริงแล้ว กระแสแห่งความดีเหล่านี้ก็จะปรากฏเข้าสู่จิตใจของเรา ทำให้จิตใจของเรามีความเข้มแข็ง มีความมั่นคงขึ้น ทำให้จิตใจของเราไม่หวั่นไหวไปตามกระแสโลก และเมื่อจิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคงแล้ว เราก็จะเป็นที่พึ่งของตนเองได้ และยังเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้อีกด้วย

พระอาจารย์ เคยกล่าวไว้ว่า "ท้อได้ แต่ห้ามถอย ถ้าถอย เราจะแพ้ยาวเลย.." ขอให้ทุกท่านจงจดจำคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ไว้ให้ขึ้นใจ

ป.ล. ถ้าหากไม่ติดภารกิจ ทุกวันพระพระวิริยาจะนำสิ่งที่ดีเช่นนี้มาบอกกล่าวทุกท่าน เพื่อประโยชน์และเป็นธรรมทานต่อไป


หมายเหตุ : ข้อความนี้เป็นของพระวิริยาค่ะ :4672615:

เถรี 05-01-2012 12:33

พระอาจารย์ปรารภบทสวดพาหุง ท่านว่ามีคนสวดแยกแต่ละบทสำหรับอุปสรรคแต่ละอย่างด้วยค่ะ ท่านว่า

๑) พาหุง...........ปราบพญามาร
๒) มาราติเรก...... ปราบพวกยักษ์
สองบทนี้ใช้สวดเพื่อเอาชนะพวกมิจฉาทิฐิ

๓) นาฬาคิริง........ปราบช้างนาฬาคิรี - เอาชนะสัตว์ร้าย
๔) อุกขิตตะ..........ปราบองคุลีมาล - เอาชนะคนร้าย
๕) กัตวานะ..........ปราบนางจิญจมานวิกา - เอาชนะเมื่อโดนกล่าวหา

๖) สัจจังวิหายะ........ปราบสัจจกนิครนถ์ - ใช้โต้วาที ถกเถียงคน
๗) นันโทปนันทะ........ปราบนันโทปนันทนาคราช - ใช้เมื่อเผชิญกับสัตว์เลื้อยคลาน
๘) ทุคคาหะ.............ปราบท้าวผกาพรหม - ใช้เมื่อเผชิญกับเจ้านายที่ไม่ฟังใครเลย
๙) ชยปริตร - พระพุทธเจ้าประกอบไปด้วยชัยชนะ


อ้างอิงข้อความมาจาก พี่นางมารร้าย

หมายเหตุ : ตั้งแต่ข้อความนี้เป็นต้นไป พี่นางมารร้ายเป็นคนโพสต์ในเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์ค่ะ

เถรี 05-01-2012 13:14

พระอาจารย์เตือนสติว่า การเตรียมรับมือวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ ให้พวกเรามีสติ ซื้อแต่ของที่จำเป็นจริง ๆ และซื้อของที่คุณค่าใช้สอยที่แท้จริงของมัน

สังเกตไหมว่ามือถือรุ่นใหม่ ๆ ทำได้สารพัดอย่าง แต่คุณค่าใช้สอยของมันจริง ๆ อยู่ที่การรับเข้าโทรออกใช่ไหม? สินค้าอื่น ๆ เช่นกัน อย่าไปหลงกระแสโฆษณา ซื้อของแพงเพื่อเอาคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นมาให้สิ้นเปลือง

มีโยมคนหนึ่งถามว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจแกจะดีไหม? ได้ยินพระอาจารย์ตอบว่า ถ้าท่องคาถาเงินล้านได้วันละ ๑๐๘ จบละก็...จะดีกว่าปีที่แล้วอีก


คัดลอกจากเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์

เถรี 05-01-2012 13:16

ในจำนวนครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อแนะนำในยุคแรก หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์งานหนักที่สุด ไปช้าที่สุด..!

จะเห็นได้ว่า หลวงพ่อฤๅษีท่านไม่ได้ผูกขาดลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์ที่ไหนดีท่านก็แนะนำให้ไปหา ใครที่ว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน ถ้ายังหวงวิชา หวงครูบาอาจารย์ ผูกขาดเฉพาะที่ คงต้องทบทวนตัวเองใหม่แล้ว..!


คัดลอกจากเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว