กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5001)

เถรี 19-05-2016 11:37

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙
 
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดหรือเราชอบมาแต่เดิม ถ้าเผลอสติหลุดจากลมหายใจเข้าออกไปคิดเรื่องอื่น รู้ตัวเมื่อไรก็ให้รีบดึงกลับมาหาลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ แรก ๆ ก็จะมีการยื้อแย่งกันอย่างนี้อยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งสมาธิเริ่มทรงตัว สภาพจิตจึงยอมผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ดิ้นรนไปไหน

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ จะขอกล่าวถึงอานิสงส์ของการปฏิบัติภาวนาของเรา การปฏิบัติภาวนานั้นจะว่าไปแล้วความจริงมีพื้นฐานมาจากศีล คือการที่เราตั้งสติระมัดระวังไม่ให้ล่วงสิกขาบทต่าง ๆ ก่อให้เกิดสมาธิขึ้นมาได้ คราวนี้สมาธิที่เราทำนั้น เป้าหมายก็คือความอยู่เย็นเป็นสุขในปัจจุบัน ความเป็นสุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุดคือพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ประโยชน์สุขในปัจจุบันของเราก็คือการที่จิตใจของเราสงบระงับจาก รัก โลภ โกรธ หลง ด้วยอำนาจของสมาธิ ประโยชน์สุขในอนาคต ก็คือ บุคคลที่สมาธิตั้งมั่นทรงตัวเป็นปกติ ย่อมไปเกิดในสุคติโดยเฉพาะเกิดเป็นพรหม ประโยชน์สูงสุดก็คืออาศัยกำลังสมาธิหนุนเสริมปัญญา ให้มีกำลังในการตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเข้าสู่พระนิพพานได้

คราวนี้การที่เราบำเพ็ญภาวนาไปเรื่อยจนกำลังใจทรงตัวได้ ย่อมมีอานิสงส์ส่งไปเกิดในเขตแดนของตนตามลำดับดังนี้คือ ถ้าหากว่าได้ปฐมฌานขั้นหยาบจะไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ที่เรียกว่า ปาริสัชชาพรหม ถ้าปฐมฌานขั้นกลางจะได้ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ที่เรียกว่า ปโรหิตาพรหม ถ้าได้ปฐมฌานขั้นละเอียดจะไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๓ ที่เรียกว่า มหาพรหม

ถ้าได้ฌานที่สองอย่างหยาบจะไปเกิดเป็น ปริตตาภาพรหม ถ้าได้ฌานที่สองอย่างกลางจะไปเกิดเป็น อัปปมาณาภาพรหม ถ้าได้ฌานที่สองอย่างละเอียดจะไปเกิดเป็น อาภัสราพรหม

ถ้าได้ฌานที่สามอย่างหยาบจะไปเกิดเป็น ปริตตสุภาพรหม ถ้าได้ฌานที่สามอย่างกลางจะไปเกิดเป็น อัปปมาณสุภาพรหม ถ้าได้ฌานที่สามอย่างละเอียดจะไปเกิดเป็น สุภกิณหาพรหม

ถ้าหากว่าได้ฌานที่สี่อย่างหยาบจะไปเกิดเป็น เวหัปผลาพรหม ถ้าได้ฌานสี่อย่างละเอียดจะไปเกิดเป็น อสัญญีสัตตาพรหม ซึ่งพรหมชั้นนี้จะไม่รับรู้อาการภายนอก เพราะว่าสภาพจิตดิ่งลึกอยู่ภายใน บางคนก็เรียกว่า พรหมลูกฟัก ซึ่งในส่วนของฌานสี่นั้น ท่านแบ่งเป็นสองคือหยาบกับละเอียดเท่านั้น

เถรี 25-05-2016 11:57

ลำดับที่สูงขึ้นไปกว่านั้น ถ้าหากว่าจะเกิดเป็นสุทธาวาสพรหม ท่านทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ก็คือสามารถตัดโลภ ตัดโกรธได้อย่างแน่นอน พระอนาคามีก็ประกอบไปด้วยสุทธาวาสพรหม ๕ ชั้นคือ อวิหาพรหม ๑ อตัปปาพรหม ๑ สุทัสสาพรหม ๑ สุทัสสีพรหม ๑ และ อกนิฏฐพรหม ๑ ซึ่งสุทธาวาสพรหมทั้ง ๕ ชั้นนั้น การเข้าถึงและการทรงอยู่มีความแตกต่างกันไป

ประกอบไปด้วยอันตราปรินิพพายี ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะก้าวล่วงกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานในระหว่างอายุ อย่างเช่น ถ้าหากว่าต้องเกิดอยู่ ๑๐,๐๐๐ มหากัป ในช่วงระหว่างนี้ก็อาจจะไปตั้งแต่ หนึ่งพัน สองพัน สามพัน สี่พัน ห้าพัน ก็ได้ แล้วแต่ว่ากำลังใจของตนเข้าถึงมรรคผลตอนระดับอายุช่วงไหน

อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี เป็นสุทธาวาสพรหมที่จะเข้าสู่พระนิพพานในกึ่งหนึ่งของอายุ สมมติว่ามีอายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป ก็ต้องอยู่อย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ มหากัป ปฏิบัติไปจนกระทั่งสภาพจิตหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ ประเภทที่สามเรียกว่า สสังขาราปรินิพพายี ประเภทนี้ท่านบอกว่าต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมากในการก้าวล่วงกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน บางท่านบอกว่ามากด้วยวิริยินทรีย์ คือมีความเพียรเป็นใหญ่

ประเภทที่สี่เรียกว่า อสังขาราปรินิพพายี ก็คือไม่ต้องใช้ความเพียรมากเหมือนประเภทที่สามที่ผ่านมา ส่วนประเภทสุดท้ายท่านเรียก อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องไปตามลำดับจิตของตนทีละขั้น ๆ จนกระทั่งล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งท่านอื่น ๆ อาจจะกระโดดข้ามได้ แต่อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีจะไม่มีการรวบรัดตัดตอนแบบคนอื่นเขา

เถรี 25-05-2016 12:00

ดังนั้นเราจะเห็นว่าในส่วนของสมาธิภาวนานั้น แม้ได้เพียงปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ เราก็เกิดเป็นพรหมได้แล้ว คำว่าพรหมก็ต้องประพฤติพรหมจรรย์ คำว่า พรหมจรรย์ หรือ พรหมจริยา ก็คือ แบบอย่างของพรหม คือ การอยู่คนเดียว ปราศจากคู่ เพราะว่าถ้าอารมณ์สมาธิทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง โดนกดดับลงชั่วคราว ความต้องการมีคู่ก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้น...จึงใช้คำว่าพรหมจรรย์คือประพฤติอย่างพรหม อยู่องค์เดียว วิมานหนึ่งมีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวารเหมือนเทวดาต่าง ๆ

แล้วถ้าหากว่ากำลังสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่นได้มากกว่านั้น สามารถนำไปเสริมปัญญาในการตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหานเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เพราะว่าส่วนของสมาธิภาวนาเป็นการเพาะสร้างกำลัง เมื่อจิตมีกำลังก็ช่วยปัญญาที่แหลมคมตัดฟันกิเลสให้เด็ดขาดลงไปได้ เพราะว่าสมาธิเป็นกำลัง ปัญญาเป็นอาวุธ กำลังไม่พอ ยกอาวุธไม่ขึ้น ก็ตัดฟันอะไรไม่ได้ มีแต่อาวุธ ไม่มีกำลัง ก็ไม่สามารถจะใช้งานได้เช่นกัน

ดังนั้น...สมาธิจึงทำให้เราเกิดประโยชน์สุขในปัจจุบันคือจิตใจสงบระงับจาก รัก โลภ โกรธ หลง เกิดประโยชน์สุขในอนาคต คือถ้าอารมณ์ใจทรงตัวปักมั่น สามารถไปเกิดเป็นพรหมชั้นต่าง ๆ ได้ และประโยชน์สูงสุด คือ สามารถตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหานเข้าสู่พระนิพพานได้ การทำสมาธิของเราถึงเรียกว่าไม่เป็นหมัน แม้ว่าเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยก็ยังหนุนเสริมให้เกิดอานิสงส์ดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:21


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว