กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5025)

เถรี 06-06-2016 11:39

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙
 
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นเรื่องแปลก...พระขุนแผนเกราะเพชรคนกลับไม่นิยมที่ฝังตะกรุดเนื้อนาก ทั้ง ๆ ที่ตะกรุดเนื้อนากนอกจากจะทำยากที่สุดแล้ว ยังเป็นโลหะถอนอาถรรพ์ได้ เพราะสมัยก่อนเทคนิคการผสมโลหะยังไม่ค่อยดี บรรดาพวกคนที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ก็สร้างตัวคาถาขึ้นมาบ้าง วิชาบ้าง ที่สามารถป้องกันอาวุธได้ แต่คราวนี้อาวุธที่ป้องกันได้นั้นมักจะทำจากโลหะชนิดเดียว เขาก็เลยต้องมีการทำโลหะผสมขึ้นมา โลหะผสมที่ทำขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้แก้เรื่องการป้องกันพวกนี้แหละ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ในเรื่องของนากก็เหมือนกัน ที่สมัยก่อนเขาเล่นแร่แปรธาตุกันขึ้นมาจนได้โลหะนาก ซึ่งมีส่วนผสมของเงิน ทองแดง ทองคำ ฯลฯ ถ้าใช้ถอนอาถรรพ์ต้องจัดอยู่ในส่วนของตรีโลหะ คือ ผสม ๓ อย่าง แล้วก็มีปัญจโลหะ ผสม ๕ อย่าง สัตตโลหะ ผสม ๗ อย่าง นวโลหะ ผสม ๙ อย่าง อย่างหอกที่ใช้แทงชาละวัน พญาจระเข้หนังเหนียว อาวุธอะไรก็ทำไม่ได้ ต้องเล่นถึงสัตตโลหะ อยากกันได้หลายอย่างดีนัก ก็ล่อเสีย ๗ อย่างไปเลย

นวโลหะเป็นผลพลอยได้ของการเล่นแร่แปรธาตุ เขาอยากจะทำทองคำ แต่ปรากฏว่าทองคำจริง ๆ เป็นสัตตโลหะ ผสม ๗ อย่างก็ได้ทองคำ ส่วนนวโลหะ ผสม ๙ อย่างได้เป็นนาก อันนี้อุตส่าห์ผสมทำตะกรุดนาก ม้วนยากม้วนเย็น กลับจองกันมาหน่อยเดียว ดู ๆ แล้วก็ขำ ของที่ทำยากและมีอานุภาพแปลกประหลาดกว่าเพื่อน กลับไม่มีใครใส่ใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก....อย่างไรเสียอาตมาก็ไปเชิญ "ขุนแผน" มาเรียบร้อยแล้ว"

เถรี 06-06-2016 11:44

"ทองคำเป็นโลหะผสม แต่พอผสมแล้วธาตุกลับเป็นของเฉพาะตน ก็เลยกลายเป็นว่าส่วนผสมเดิมป่านนี้ยังไม่มีใครแยกออกได้ วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งมาบอกว่า สามารถแยกส่วนผสมของทองคำออกมาได้แล้ว อาตมาหัวเราะก๊ากเลย ส่วนที่เขาแยกออกมาก็คือโลหะผสมที่ทำให้ทองแข็งตัวขึ้นเพื่อทำเป็นทองรูปพรรณได้ แยกออกมาก็เหลือโลหะผสมกับเนื้อทองบริสุทธิ์แค่นั้นเอง ก็กลายเป็นทองคำ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ว่าแยกส่วนที่ผสมแล้วเป็นทองคำออกมาได้เสียเมื่อไร

ส่วนทองคำขาวเป็นโลหะแพลทตินั่ม ความแกร่งมีมากกว่า จุดหลอมเหลวสูงกว่า ก็เลยเรียกทองคำขาว แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ทองคำดำถึงเกี่ยวกัน ทองคำดำโบราณเรียกว่า สุวรรณขีด บางคนเรียกว่า เจ้าน้ำเงิน พวกเราที่ไม่รู้ว่าเจ้าน้ำเงินที่ผสมนวโลหะคืออะไร ก็คือ ทองคำดำ สมัยใหม่เขาเรียกว่า รูทีเนียม (Ruthenium) กระมัง ?

ต่อไปก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเสาะแสวงหาตามป่าตามเขา สั่งชาวต่างชาติทำให้เลย แพงหน่อย คือถ้าเขารู้ธาตุแน่ชัดแล้วก็ทำได้ ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดก็ทำไม่ได้ ทองคำดำนี่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า แร่โคตรเศรษฐี คุณสมบัติเหมือนทองคำทุกอย่าง แต่เป็นสีดำเท่านั้น ไม่ค่อยนิยมเพราะไม่ค่อยมี ร้อยวันพันปีจะเจอสักหน่อยหนึ่ง ตอนนั้นแม่ชีปทุมก็ถือว่าโชคดี น่าจะประมาณเทวดาเอามาให้ ก็เลยสร้างพระแร่โคตรเศรษฐีขึ้นมาชุดหนึ่ง"

เถรี 06-06-2016 12:02

ถาม : ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยอาราธนาบารมีพระพุทธชินราชให้ฝนตก อยากทราบว่าท่านมีวิธีอาราธนาหลวงพ่อพุทธชินราชขอฝนให้ท่านสงเคราะห์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : วิธีอาราธนาที่หลวงพ่อท่านใช้ ก็คือ อาราธนาให้ถูกองค์ ไม่ใช่ว่าไปอาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชที่วัดใหญ่ พิษณุโลก และก็ไม่ใช่อาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชองค์อื่น ๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา แต่ว่าต้องเป็น องค์นั้น ของตอนนั้น ที่วัดบางนมโคเท่านั้น องค์อื่นก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น...อยากรู้วิธีก็ไม่ยากหรอก หาองค์นั้นให้เจอเท่านั้นแหละ...!

ถาม : แล้วปีนี้องค์ไหนละคะ ?
ตอบ : ก็นั่นน่ะสิ...! อาตมาย่องไปดูที่วัดบางนมโคหลายรอบแล้วแต่ไม่เจอ คาดว่าน่าจะโดนคนเอาไปชั่งกิโลขายหรือยกเอาไปอยู่วัดอื่นแล้ว

เถรี 06-06-2016 12:13

ถาม : การถวายอาหารพระพุทธรูป พระภูมิเจ้าที่ เทพเจ้าอื่น ๆ รวมทั้งสัมภเวสี ด้วยอาหารที่ยังอยู่ในถุงพลาสติก ปิดปากถุงด้วยหนังยางรัดไว้ หรืออยู่ในกล่องที่ปิดอยู่ หรือน้ำขวดที่ไม่ได้เปิดฝาจีบ หรือฝาหมุน นมกล่องที่ไม่ได้เจาะหลอด หรือขนมห่อใบตองที่ไม่ได้แกะไม้กลัดออก รวมทั้งผลไม้ที่ไม่ได้ปอกเปลือก และไม่ได้ถวายภาชนะ จะทำให้การถวายอาหารเหล่านั้น มีผลไปถึงท่านที่เราตั้งใจถวาย เหมือนกันหรือแตกต่างจากการถวายอาหารด้วยการจัดอาหารออกวางลงบนภาชนะ เปิดขวด ใส่หลอด รินน้ำลงแก้ว ปอกเปลือกผลไม้ และตัดแต่งให้พร้อมรับประทาน อย่างที่คนเราทำกันเพื่อรับประทานกันครับ ?
ตอบ : ถ้าหากถวายพระหรือถวายเทวดาอย่างไรก็ได้ จัดให้ดูเรียบร้อยงดงามหน่อยก็พอ จะอยู่ในภาชนะปิดกี่ร้อยชั้นก็ไม่ว่า แต่ถ้าตั้งใจจะเลี้ยงผีหรือสัมภเวสี โปรดกรุณาแกะออกให้เรียบร้อยด้วย เพราะเขามีกฎบังคับอยู่ว่า ถ้าเป็นของมีเจ้าของจะไปแตะของเขาไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้ายังไม่ได้แสดงอาการให้อย่างแท้จริง ยังอยู่ในหีบในห่อหรือยังอยู่ในถุงในไถ้นี่ เขาหมดสิทธิ์ที่จะแตะต้องเลย

ถาม : และถ้าเอาอาหารให้สัมภเวสีโดยการปักธูปให้กิน สามารถเรียกให้มารับได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียกประจำ เพราะผู้ใหญ่เขากลัว ส่งธูปให้กำหนึ่งให้ไปเรียกมา คนจีนเขาไหว้กันทุกปี เขาเรียก "ไป้ห่อเฮียตี๋" ใครเคยบ้างล่ะ ? อาตมาลองดูแล้ว เขามาทีเป็นหลักพันเลย

เถรี 06-06-2016 14:40

ถาม : มีคนรู้จักได้คลอดบุตรในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา แล้วตั้งชื่อลูกพยางค์เดียวว่า "พุทธ" ที่แปลว่าผู้รู้ ไม่มีอะไรต่อท้าย ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกสงสัยว่าจะเป็นการไม่สมควรหรือไม่ ที่ตั้งชื่อลูกออกมาพ้องกับพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : ก็ตั้งไปแล้วนี่ มาสงสัยอะไรเล่า ? ตั้งไปเถอะ ชื่อเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น เจอหน้าลูกก็ยกมือไหว้ทุกครั้ง แล้วนึกถึงพระก็ใช้ได้แล้ว ...(หัวเราะ)...

เถรี 06-06-2016 15:01

ถาม : คำว่า "อิสสา" กับ "อรติ" คือสิ่งเดียวกันหรือไม่ ? มีลักษณะอย่างไร ? การเจริญมุทิตาสามารถกำจัดอารมณ์สองอย่างนี้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : อิสสา ภาษาไทยคือ อิจฉา ก็คือ ความริษยาในขณะที่เห็นคนอื่นเขาดีแล้วทนไม่ได้ ส่วน อรติ ก็คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ ลักษณะเป็นปฏิฆะ คือ การกระทบที่เกิดจากพื้นฐานของโทสะ

เป็นคนละอย่างกันแต่มาจากตัวปฏิฆะ คือ พื้นฐานของโทสะเหมือนกัน การแผ่เมตตาหรือเจริญเมตตาเป็นปกติ ถ้าหากกำลังถึงก็สามารถที่จะระงับทั้งสองตัวนี้ลงได้


ถาม : ตอนนี้ที่เป็นหลัก ๆ คือ อารมณ์โทสะ โกรธ น้อยใจ กับอีกอย่างคือความเศร้าใจหดหู่ ตอนตื่นนอนตอนเช้าจะมีอาการเศร้าอยู่ในใจเสมอ หรือบางครั้งก็จะมีความโกรธขึ้นมาเฉย ๆ เป็นมาเป็นปี ๆ แล้วครับ มีความทุกข์มาก ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ภาวนาให้หลับไป ถ้าภาวนาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา อารมณ์ใจจะเคว้งอยู่นิดหนึ่ง พอนึกได้ก็จะภาวนาต่อ หรือถ้าอารมณ์ใจละเอียด ตื่นขึ้นมาแล้วคว้าอารมณ์ภาวนาต่อได้เลย ถ้าละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือรู้อยู่ตลอดว่าเราภาวนา ถ้าทำแบบนี้แก้ได้ทุกอารมณ์เลย ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น

ถาม : พยายามเจริญพรหมวิหาร ๔ แต่บางครั้งได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เหมือนกับว่าหมดกำลัง สู้ความโกรธหรือความอิจฉาไม่ได้ ในขณะนั้นต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็หนีก่อน ไปให้พ้นจากเหตุการณ์ตรงนั้นก่อน หลังจากนั้นค่อยไปซักซ้อมภาวนาแผ่เมตตาของเรา

การแผ่เมตตาก็ให้คนที่เรารักก่อน เพราะจิตใจไม่ต่อต้าน สามารถให้ได้ง่าย หลังจากนั้นก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไป แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดมาก ถ้าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าจริง ๆ ตั้งแต่แรก ก็หงายท้องอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะกำลังของเราไม่พอ


ถาม : ขณะที่เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วไม่มีกำลังพอจะสู้กับความโกรธ จึงเปลี่ยนไปใช้วรรณกสิณแทน หรืออย่างบางทีมีราคะก็ใช้อสุภะ กับกายคตาสติแทน ทำอย่างนี้จะเป็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ก้าวหน้าแน่นอน เพราะเรื่องของกรรมฐานถ้าจะใช้งานต้องทำให้ได้จริง ๆ ก่อน ถ้าทำไม่ได้จริงก็เท่ากับเราแค่รู้วิธีเท่านั้นว่าจะน็อกคู่ต่อสู้อย่างไร แต่การฝึกซ้อมตลอดจนกระทั่งกำลังไม่มี ก็มีแต่จะโดนคู่ต่อสู้น็อกไปตลอด

ถาม : สำหรับโทสะจริต ที่ให้ใช้พรหมวิหาร ๔ กับ วรรณกสิน ๔ กรรมฐานสองอย่างนี้สามารถกำจัดโทสะให้หายขาดได้หรือไม่ ? หรือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจะกำจัดโทสะให้หายหรือเบาบางลง ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าทำถูกก็กำจัดได้เลย ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แค่ชั่วคราว คำว่าทำถูกในที่นี้ก็คือต้องต่อด้วยวิปัสสนาญาณ ท้ายที่สุดก็ปล่อยวางลงได้จนหมด เพราะไม่ว่าเขาหรือเราก็ตายหมดเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นสภาพจิตของเราก็จะปลดออกจากตรงจุดนั้นมา ตัวโกรธก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แต่ระงับชั่วคราวเท่านั้น

เถรี 06-06-2016 15:42

ถาม : ในขณะที่ตั้งใจเจริญพระกรรมฐาน จิตคิดว่าเราเป็นคนไม่มีศีล ทำผิดศีล ทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันเราตั้งใจรักษาศีล ๕ ไม่ได้ละเมิดเลยสักข้อเดียว จะห้ามเท่าไร ถึงขนาดบอกจิตตนเองว่าวันนี้ศีลบริสุทธิ์ จิตก็ไม่เชื่อ จิตคิดอย่างนี้จะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไร บอกไปเถอะว่ากูทำดีแล้ว เพราะลักษณะอย่างนั้นแสดงว่ากิเลสมารเขามาหลอกเรา อาตมาเคยโดนกลั่นแกล้งมาเยอะแล้ว ถึงขนาดรัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลาย กลายเป็นคนชั่วช้าสารเลวชนิดหาข้อดีไม่ได้เลย แต่อาตมานั่งอยู่หน้าพระประธาน มึงมีปัญญามึงบอกไปสิ กูจะนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้ากูไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เสียอย่าง มึงมีปัญญาก็พากูไปชั่วให้ได้สิ

เป็นวิธีที่หน้าด้านหน่อย แต่ถ้ากำลังยังสู้ไม่ได้ก็ต้องอาศัยลูกตื๊อแบบนั้น ก็คือเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ เรื่องของกายและวาจา เราก็ไม่ทำชั่ว เราไม่พูดชั่วอยู่แล้ว เหลือแต่ใจให้คิดไป เราชนะสองในสาม อย่างไรเสียก็ได้เข้ารอบชิงแน่..!

ถาม : ช่วงนี้ไม่ทราบเป็นมาอย่างไร รู้สึกกังวลใจเรื่องการรักษาศีลอย่างมาก ทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่าเป็นการละเมิดศีล ก็จะฟุ้งซ่านคิดว่าตนเองทำผิดศีลไปแล้ว อย่างผมเห็นว่าบ้านหลังนี้สวย อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เราไปถ่ายมาโดยไม่ได้ขอเจ้าของบ้าน จะถือว่าเป็นการผิดศีลข้อลักขโมยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แอบถ่ายแล้วได้บ้านหลังนั้นตกมาเป็นของเราไหม ? ถ้าได้มาก็เป็นการลักขโมย แต่เห็นว่าบ้านยังตั้งอยู่ที่เดิมนี่

ถาม : ถ้าไปถ่ายรูปคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกถ่าย ผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ไปถ่ายใต้กระโปรงของเขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก..!

เถรี 06-06-2016 15:52

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้นำน้ำมันชาตรีไปสงเคราะห์รถยนต์โดยการเจิมที่ตัวรถได้ แต่ถ้าเรานำไปเจิมพระพุทธรูปที่ยังไม่ได้เข้าพิธีหรือวัตถุอื่น ๆ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาแนะนำให้แช่เลยดีกว่า แหม...ใช้คำว่าไปสงเคราะห์รถยนต์ ทำอย่างกับน้ำมันชาตรีเป็นช่างซ่อม...! จะเจิมอะไรก็เจิมไปเถอะ ถ้ามั่นใจในคุณพระก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่เหมือนกัน

ถาม : ถ้าเจิมที่พระพุทธรูปจะทำให้มีผลเหมือนพระพุทธรูปที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ยึดเกาะ จะเข้าพิธีหรือไม่เข้าพิธีก็แย่พอกัน

ถาม : น้ำมันชาตรี ผมนำไปผสมทั้งน้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ตั้งใจว่าจะกินวันละช้อน เผื่อไว้ไปมีเรื่องกับใครหรือถูกสิบล้อชนจะได้เป็นลูกเบาบ้าง แต่ไม่ไหวจริง ๆ ครับ กินไม่ได้ ถ้าผมจะนำไปผสมในกับข้าวหรืออาหารโดยการเททับหลังสุด อานุภาพจะเสียไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เสีย แต่ถ้ารังเกียจเสียตั้งแต่แรกก็คงกินไม่ได้อยู่ดี เอาไปใส่อะไรก็คงรู้สึกว่ารสชาติแย่พอกัน อาตมาไม่เห็นว่ากินยากตรงไหนเลย อร่อยเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ถ้าเปลี่ยนเป็นเจิมหัว เจิมหน้าผาก พอจะไหวไหมคะ ?
ตอบ : ปกติเขาก็เจิม นี่ทะลึ่งจะกิน ก็จะได้ความอ้วนมาโดยอัตโนมัติ

เถรี 06-06-2016 16:05

ถาม : คุณแม่อ่านหนังสือไม่ได้ เมื่อไปบวชเนกขัมมะที่วัด ต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะต้องวางกำลังใจและปฏิบัติอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกคุณแม่ว่า "พุทโธ" คำเดียว ดีกว่าสวดมนต์ทั้งวัน ให้นั่งภาวนา "พุทโธ...พุทโธ" ไป

เถรี 06-06-2016 16:15

ถาม : การที่พระสงฆ์สามเณรต้องออกไปนอกวัดด้วยกิจต่าง ๆ เช่น ไปทำธุระของท่านเองคนเดียว เมื่อถึงเวลาเพล ต้องมีการฉันอาหาร แต่ไม่มีญาติโยมมาถวาย มีแต่ร้านอาหารที่เปิดขายตามข้างทาง ในกรณีนี้ พระสงฆ์สามเณรสามารถสั่งอาหารจากโยมร้านอาหารมาถวายได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งน้อยไม่ได้ ถ้าสั่งมาก ๆ ก็ได้...! โดยปกติพระเข้าร้านอาหารกัน สั่งอาหารมาไม่ต้องประเคน พระก็ฉันได้ เพราะไม่ใช่ของโยม แต่เป็นของเรา ฟังเข้าใจกันไหม ? ก็คือ ข้าวของที่ต้องประเคน คือข้าวของที่เป็นของโยมเอามาถวายพระ การประเคนคือการแสดงออกว่าให้อย่างแท้จริงแล้ว แต่ของที่เราซื้อ ไม่ว่าจะซื้อจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารก็ตาม...นั่นเป็นของเรา เพราะเราแลกเปลี่ยนมาด้วยเงิน ไม่จำเป็นต้องประเคนก็เป็นของเรา

แสดงว่ามีเยอะเลย ประเภทเข้าร้านแล้วให้โยมประเคนให้ แบบนี้ไปต่างประเทศอดฉันแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าประเคนคืออะไร..!

เถรี 06-06-2016 20:36

ถาม : ผมไปบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในวัดนั้นจะมีห้องสำหรับเก็บของสังฆทานที่ญาติโยมนำมาถวาย เช่น เครื่องดื่ม ตอนที่บวชเข้ามา หลวงพี่ที่ท่านทำหน้าที่ดูแลพระซึ่งมีอาวุโสรองจากเจ้าอาวาส ได้บอกว่า สิ่งใดที่พระเณรจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถไปหยิบจากห้องสังฆทานได้เลย ในส่วนที่ผมเป็นเณร ถ้าผมไปหยิบตามคำที่ท่านได้บอกไว้ ผมจะผิดศีลผิดวินัยไหมครับ ?
ตอบ : สามเณรไม่มีอาบัติปาราชิก แต่ถ้าตั้งใจขโมยก็ศีลขาด แต่สามเณรดีตรงที่ว่าสามารถต่อศีล ก็คือรับศีลใหม่ได้ พูดแบบนี้เดี๋ยวขโมยกันใหญ่เลย...!

แต่ถ้าตั้งใจจะบวชเป็นพระต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าสิ่งใดไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าไปแตะต้อง เพราะถ้าเป็นพระเกิดมีเถยยจิตคิดต้องการขึ้นมา เจ้าของไม่ได้ให้ หยิบออกจากฐานก็เป็นอันขาดจากความเป็นพระไปเลย ฉะนั้น...ระมัดระวังไว้ตั้งแต่แรกจะปลอดภัยกว่า

เถรี 06-06-2016 21:52

ถาม : ยันต์ครูและยันต์องค์พระ ที่อยู่ด้านหลังเหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์ของทางวัด ยันต์ทั้งสองนี้มีอานุภาพด้านไหนบ้างครับ ?
ตอบ : แพง...! อานุภาพนี้เด่นชัดที่สุดของวัดท่าขนุน ไม่มีราคาถูกเลย ยันต์องค์พระก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ ใครจะไปบรรยายหมด อรรถกถาจารย์บอกว่าพระพุทธเจ้าสององค์มานั่งถามตอบกันถึงความดีความสามารถของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ถามตอบกันเป็นร้อยปี ยังตอบไม่หมดเลย

เถรี 06-06-2016 22:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๙ มิถุนายน นาคโกนหัวเสร็จก็บวชเณรก่อน เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ในหลวง เพราะว่าในหลวงครองราชย์ครบ ๗๐ ปีวันที่ ๙ มิถุนายนพอดี หลังจากนั้นวันที่ ๑๕ ค่อยบวชพระ เอาอานิสงส์บวชเณรถวายในหลวงก่อน เราเองก็ได้อานิสงส์ไปด้วย

วันที่ ๑๕ บวชพระ กะว่าฉันเช้าเสร็จ เข้าห้องน้ำห้องท่าแล้ว ก็ว่ายาวไปยัน ๑๑ โมง ฉันเพลเสร็จพักเสียหน่อย แล้วก็น่าจะเริ่มประมาณเที่ยง คิดว่าไม่เกิน ๓ ทุ่มน่าจะจบ นั่งกันตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้ายัน ๓ ทุ่มนี่สาหัสเหมือนกัน เพราะกะว่าชุดหนึ่งประมาณ ๒๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งได้ ๓ ชุด ๓๐ ชุดก็ ๑๐ ชั่วโมง คราวนี้มี ๓๔ ชุด ก็อีกชั่วโมงกว่า ก็เท่ากับ ๑๑ ชั่วโมงกว่า ตีเสียว่า ๑๒ ชั่วโมง รวมเวลาเพลรวมอะไรด้วย ก็น่าจะประมาณ ๑๕ ชั่วโมง คาดว่า ๓ ทุ่มน่าจะเสร็จ"

เถรี 07-06-2016 15:50

ถาม : คาถาหัวใจหมี ใช้ด้านไหนได้บ้างครับ ?
ตอบ : หลวงพี่สมาน ตอนนี้ท่านสึกไปแล้ว ท่านได้คาถาหัวใจหมีมาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส แล้วท่านก็ไปตีผึ้ง ปรากฏว่าเพื่อนโดนผึ้งต่อยจนหัวหูปูดหมดเลย ท่านบอกเพื่อนว่า "มึงปีนขึ้นไป เดี๋ยวกูท่องคาถาอยู่โคนต้นนี่เอง...! คนปีนก็เลยซวย

ความจริงคาถาหัวใจหมีเขาใช้ทางอยู่ยงคงกระพัน ลักษณะเหมือนกับลูกเบา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า เวลาหมีตกใจจะทิ้งตัวลงพื้นเลย และหมีก็ไม่เคยเป็นอันตรายจากการตกจากที่สูง

เถรี 07-06-2016 15:52

ถาม : การเรียกภูตในตำราวิชาทางไสยศาสตร์นี้ ภูตในส่วนนี้คืออะไร ? แล้วการเรียกภูตนี้มีอันตรายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตอบแบบง่าย ๆ ภูตก็คือผีตายโหง ส่วนอันตรายนั้น ถ้าเขาอยู่ของเขาดี ๆ แล้วเราไปกวนเขา ถ้าเอาไม่อยู่ก็ตัวใครตัวมัน...!

เถรี 07-06-2016 15:54

ถาม : ในการนำมีดหมอมาเข้าพิธี เช่น พิธีมีดหมอเพชราวุธที่ผ่านมา ถ้าบุคคลหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า แล้วอีกบุคคลหนึ่งเป็นคนทุศีล ของที่นำมาเข้าพิธีจากสองบุคคลนี้ จะมีอานุภาพต่างกันตามความบริสุทธิ์ของจิตไหมครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพเท่ากัน ของเข้าพิธีไม่ได้เกี่ยวกับตัวคน แต่ตอนเอาไปใช้กำลังใจ ของใครเข้มข้นและศรัทธามากกว่าก็มีอานุภาพมากกว่า

เถรี 07-06-2016 16:01

ถาม : วัตถุมงคลซึ่ง
๑. สำเร็จจากชนวนมวลสารของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เช่น พระผงอุณาโลมพิมพ์ทรงจิตรลดา พระผงนางพญา สก. เป็นต้น
๒. ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ได้รับการอธิษฐานจิตปลุกเสก จากพระเถราจารย์หลายท่าน เช่น พระกริ่งนเรศวรวังจันทน์ พิธีจักรพรรดิ เป็นต้น จะสามารถกล่าวได้ไหมครับ ว่าวัตถุมงคลนั้นเป็นวัตถุมงคลที่รวมกระแสญาณบารมีของครูบาอาจารย์ท่านทั้ง ๒ ข้อดังกล่าวข้างต้น ?
ตอบ : ถ้าเป็นผงก็ไม่แน่นัก เพราะผงบางทีก็เอามาจากว่านบ้าง เกสรดอกไม้บ้าง ดินในที่สำคัญบ้าง ยังไม่ได้ผ่านพิธีอะไร จะไปเรียกว่ามีกระแสญาณตามที่ว่ามาก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นการพุทธาภิเษกโดยพระเกจิต่าง ๆ อย่างน้อยก็มีกำลังที่ท่านตั้งใจจะบรรจุลงไปให้

ดังนั้น...ในส่วนของพระผงที่รวมมาจากของสำคัญต่าง ๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าพิธีก็ถือว่าไม่มีอะไร จะได้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นผงสำคัญที่ได้มาจากการเข้าพิธีไปแล้วก็เป็นอันว่าจบกันตั้งแต่ยกแรก

เถรี 07-06-2016 16:10

ถาม : ลูกมีโอกาสใกล้ชิดครูบาอาจารย์และท่านเมตตาแก่คนที่ไปกราบท่าน พร้อมกับแจกของที่ระลึก ใจลูกอยากจะได้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ เมื่อพอได้อยู่ตรงหน้าหลวงปู่แล้ว พร้อมกับคนอื่นที่พากันแย่งชิง (กราบขอเมตตาหลวงพ่อ แย่งชิงอย่างหนักหน่วงเจ้าค่ะ) ของที่ระลึกจากหลวงปู่ ลูกก็มีอาการไม่ปกติเจ้าค่ะ

ในขณะที่ลูกนั่งตรงหน้าหลวงปู่ ลูกอยากจะถามเรื่องการภาวนา แต่ปากไม่ยอมอ้า พร้อมกับเห็นใจตัวเองมันนิ่ง เห็นแต่ข้างใน ไม่เห็นกาย นิ่งจ้องหลวงปู่อยู่อย่างนั้น เห็นอาการเข้าสมาธิ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วมันว้าบ กราบขออภัย ไม่ทราบจะใช้ถ้อยคำใดแสดงอาการ มีแสงพุ่งเข้าไปในช่องอก แต่ลูกไม่ได้นั่งหลับตาแน่นอนเจ้าค่ะ ลูกจ้องหลวงปู่ตาแป๋วเลย หลวงปู่ก็มองแล้วมองอีก ลูกก็ยิ้มหวานให้หลวงปู่ คนภายนอกจะเป็นอย่างไร ข้ามหัวห้ามหู มือไม้มาโดนลูกอย่างไร ลูกก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ เห็นภาพหลวงปู่องค์เดียวตรงหน้า

ลูกตกใจกับสิ่งที่ลูกเป็น เพราะใจลูกมันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นร่างที่ไม่ใช่ร่างกายในปัจจุบัน มันรู้ตัวนะเจ้าคะ ไม่มีอารมณ์มึนงง เห็นอย่างชัด มันใส ขาว เรือง รูปร่างมันดีเกินกว่าปกติที่เป็น (คล้ายแปลงร่างก็ได้เจ้าค่ะ) แล้วเข้าไปพิจารณาอารมณ์ดูหลวงปู่ ดูอากัปกิริยา ดูอาการ พร้อมกับเปรียบเทียบอารมณ์ของผู้คนที่มารายล้อมหลวงปู่ แล้วคิดว่า ใจท่านทำไมทำได้ขนาดนี้ อดทนได้ขนาดนี้ นิ่งเย็นขนาดนี้ ทำอย่างไรหนอถึงจะทำได้แบบนี้ ต้องทำให้ได้แบบนี้ ตัวอย่างต้องทำแบบนี้ เราจะไปทางนี้ (ลูกต้องบ้าแน่ ได้มองตัวเองแบบประหลาดใจแท้) ลูกเหมือนมี ๒ คนในร่างเดียว คนหนึ่งบอกว่าให้ลุกไปเสีย (แต่เห็นเป็นคนใส่ชุดสวยยืนบอกให้ลุก ยืนบ่นว่าลูกกำลังปรามาสพระ) อีกคนหนึ่ง จับจ้องหลวงปู่อยู่เช่นนั้น หลวงปู่ก็พอทราบ มีลูกคนเดียวที่ท่านไม่ได้ถามว่าจะรับของที่ระลึกของท่านไหม สุดท้ายลูกสะกดจิตตัวเองลุกออกตรงนั้นได้ ด้วยอารมณ์อิ่มใจในความเมตตาของหลวงปู่

ลูกกำลังจะเป็นบ้าหรือไม่เจ้าคะ ทำไมลูกเพี้ยนไปได้แบบนี้ ? ตัวที่แปลงร่างได้ เป็นลูก หรือเป็นผีมาสิงลูกหรือไม่เจ้าคะ ?

ตอบ : ได้ตบปากตัวเองหรือยัง ? แล้วได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝาไหม ? ถ้ายังไม่ได้ตบปากตัวเอง และยังไม่ได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝา ก็แสดงว่ายังไม่บ้า สองตัวที่อยู่ข้างนอกเป็นเทวดานางฟ้าที่เขามาดูแลเรา ส่วนที่อยู่ข้างในคือตัวเราเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับสภาพจิตที่เข้าถึง

เถรี 07-06-2016 16:13

ถาม : ประโยคที่ว่า ธรรมะเป็นของเย็น และรีบร้อนไม่ได้ ขอหลวงพ่อเมตตาอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ ?
ตอบ : เราทุกคนเร่าร้อนด้วยไฟรัก โลภ โกรธ หลง ต้องดับด้วยธรรมะที่เป็นของเย็นเท่านั้น ส่วนการที่จะรีบร้อนทำเป็นความอยากจนเกินไป เอาตัณหานำหน้า ทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน สมาธิเลยไม่ทรงตัว จึงต้องใจเย็น ๆ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง

เถรี 07-06-2016 16:18

ถาม : ในสมัยพุทธกาล พระนางปฏาจาราเถรี เมื่อประสบความทุกข์ขนาดนั้น ท่านสามารถทำใจได้เช่นไรครับ ?
ตอบ : ท่านเห็นชัด ๆ แล้วว่า สามีก็ตาย ลูกก็ตาย พี่ก็ตาย พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า น้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเสียใจเพราะญาติพี่น้องตายในแต่ละชาติที่ผ่านมา รวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ ท่านก็เลยได้สติ พอได้สติก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน

คนที่เห็นทุกข์ขนาดนั้นคงไม่มีใครคิดว่าโลกนี้ดี และก็คงไม่มีใครคิดว่าร่างกายนี้ดี ในเมื่อไม่เห็นความดีในร่างกายของตนเอง ก็แปลว่าไม่เห็นความดีในร่างกายของคนอื่น และไม่เห็นความดีในโลกนี้ ในเมื่อสภาพจิตปลดลงได้ วางลงได้ ก็เป็นอันว่าหลุดพ้นไป

เถรี 07-06-2016 16:27

ถาม : สมัยที่พระอาจารย์เจอคู่บุพเพสันนิวาสแล้วต้องตัดเขาไป ช่วงนั้นท่านวางกำลังใจแบบไหนครับ ?
ตอบ : วางกำลังใจว่า เรื่องของมึง...! เรื่องเหล่านี้น่าเสียดายว่านักปฏิบัติมากต่อมากด้วยกัน ที่ไปเสียท่าเสียทางจนกระทั่งกลายเป็นครอบครัวขึ้นมา แล้วทำให้ปฏิบัติธรรมได้ยากขึ้น

อาตมาเองก็ไม่ได้เก่งกาจกว่าญาติโยมทั้งหลายเลย เพียงแต่นิสัยเฉพาะตัวก็คือ ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา แล้วดันไปรู้ว่าตัวเองจะต้องบวช ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา รับผิดชอบชีวิตของเขา ก็แปลว่าไม่สามารถที่จะบวชได้ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องอดใจไว้ว่า...อย่าไปยุ่งกับเขา...เท่านั้นเอง

เถรี 07-06-2016 16:32

ถาม : การปฏิบัติบารมีอย่างกลาง ๗ เดือน ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ทำไมไปเอา ๗ ปี ? ก็ทำในศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน เอา ๗ วันสิ...!

จริง ๆ แล้วเขาถามผิด เรื่องของ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เป็นเรื่องของการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานิสงส์ของมหาสติปัฏฐานสูตรก็คือ ผู้ใดตั้งใจปฏิบัติ อย่างช้า ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็ว ๗ วัน แล้วก็มี ๖ วัน ๕ วัน ๔ วัน ๓ วัน ๒ วัน ๑ วันเหมือนกัน ก็จะสามารถเข้าถึงมรรคผลซึ่งหวังได้แค่สองอย่าง ก็คือ พระอนาคามีและพระอรหันต์ ก็แปลว่า ถ้าใครทุ่มเทให้กับมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างแย่ที่สุด ๗ ปี ต้องได้เป็นพระอนาคามี แต่กลัวว่าจะทำผิด กลายเป็น ๗ ชาติก็ยังไม่ได้อะไร...!

เถรี 07-06-2016 16:40

ถาม : กำลังฝึกกรรมฐานและคิดว่าอารมณ์จะเข้าฌานสี่ แต่ไม่สามารถตัดร่างกายได้เพราะกลัวตาย กราบขอคำชี้แนะด้วยค่ะ ?
ตอบ : ถ้ายังกลัวตายอยู่ ฌานหนึ่งก็ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปหวังฌานสี่ เพราะถ้ายังกลัวอยู่แสดงว่าจิตไม่รวมตัว ถ้าสภาพจิตรวมตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป มีแต่ความอาจหาญ ความตายอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น แสดงว่าเข้าใจผิดว่าที่ตัวเองแหย่ ๆ อยู่นั้นกำลังเป็นฌานสี่ ...(หัวเราะ)...

อารมณ์ปฐมฌานมีแต่ความสุขสดชื่นเบิกบาน จิตใจไม่หวั่นไหวต่อ รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟใหญ่สี่กองโดนอำนาจฌานกดดับลงชั่วคราวแล้ว คำว่ากลัวตายแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะมัวแต่สุขกับอารมณ์ใจตรงหน้า จึงบอกว่าถ้ากลัวตายอยู่ฌานหนึ่งยังไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าจะฌานสี่แล้วกลัวตาย

เถรี 07-06-2016 18:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอุปสมบทหมู่ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าใครเป็นญาติเป็นโยมจะไปโกนหัวนาค ให้ไปเช้าวันที่ ๙ ถ้าไปช้าก็จะไม่ทันเพราะอาตมาไม่รอ โกนหัวนาคเสร็จจะบวชเณรไปก่อนเลย เพื่อถวายพระราชกุศลแด่บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองราชย์ ๗๐ ปี ประมาณ ๗ วัน แล้วพอวันที่ ๑๕ ก็บวชพระต่ออีก ๗ วัน สรุปว่าบวชครั้งนี้ได้กำไร ๒ ต่อ ได้ทั้งอานิสงส์ในการบวชพระ และอานิสงส์ในการบวชเณร"

เถรี 07-06-2016 19:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ลูกศิษย์ของท่านแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท

ประเภทที่ ๑ เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่
ประเภทที่ ๒ เป็นลูกศิษย์รุ่นกลาง
ประเภทที่ ๓ เป็นลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว


ท่านบอกว่า ลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของท่าน ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ลูกศิษย์รุ่นกลาง อย่างน้อยต้องทำมโนมยิทธิหรือทรงฌานสมาบัติได้ ส่วนลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว อย่างน้อยต้องรักษาศีล ๕ ได้

อาตมาเองก็อยากจะแบ่งลูกศิษย์ตัวเองเป็น ๓ รุ่นเหมือนกัน รุ่นที่ ๑ เรียกว่า รุ่นเป็นง่อย...! คือ ไม่คิดจะช่วยตัวเองอะไรเลย นอกจากโดดเกาะอย่างเดียว เกาะเฉย ๆ ก็ไม่ว่า รัดคออีกต่างหาก...! อาจารย์ไม่ตายก็บุญโขแล้ว พยายามจะถีบจะผลักให้เดินอย่างไร ก็ไม่สนใจทั้งนั้น กูจะเกาะอย่างเดียว แถมยังมีการไปต่อว่าอีกว่าพระอาจารย์ใจร้ายใจดำ ไม่ยอมให้เกาะ

ประเภทที่ ๒ กึ่งเป็นง่อย...! ก็คือ ช่วยงานอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เป็นภาระมากนัก ก็ถือว่าพอใช้ได้อยู่ ส่วนประเภทที่ ๓ มาช่วยงาน แต่ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง มีน้ำใจแต่ไร้ฝีมือ ยิ่งช่วยยิ่งมีปัญหา กับประเภทช่วยแบ่งเบาภาระงานได้จริง ประเภทที่ ๓ นี่มักโดนประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ มาอิจฉาอยู่เสมอ หาว่าทำไมรุ่นนี้ถึงใกล้ชิดได้ ทำไมเขาใกล้ไม่ได้ ฟังแล้วเครียด...!

การที่จะทำตัวเป็นภาระให้กับครูบาอาจารย์นั้น ในความรู้สึกของเขารู้สึกว่าดีเหลือเกิน โดยที่ไม่ได้รู้ว่าการที่แบกภาระนั้นหนักแค่ไหน จนกว่าจะเป็นครูบาอาจารย์เองนั่นแหละ"

เถรี 07-06-2016 19:09

"เมื่ออาทิตย์ก่อนน้องพลอย (ลูกสาวคุณชวง) ตอนนี้เป็นรองประธานนักเรียนอยู่ บอกว่าเพื่อนมาปรึกษาว่าจะหนีออกจากบ้าน คราวนี้นอกจากในฐานะเพื่อนแล้วยังในฐานะรองประธานนักเรียน ที่ทำหน้าที่แทนประธานทุกอย่าง เพราะประธานงอมืองอเท้า ไม่ทำอะไรเลย จึงต้องพยายามเกลี้ยกล่อมจนเพื่อนเปลี่ยนใจ ไม่หนีออกจากบ้าน แล้วน้องพลอยก็หงายผลึ่ง...! สลบเหมือด บอกว่า หมดแรงเลยค่ะหลวงพ่อ

อาตมาก็เลยบอกว่า "หนูแบกภาระคนแค่คนเดียว อาศัยกำลังตัวเองไปพลิกเปลี่ยนกำลังใจของคน ยังรู้สึกหมดแรงขนาดนี้ แล้วหลวงพ่อแบกคนตั้งครึ่งค่อนประเทศ รสชาติเป็นอย่างไร ? แล้วในหลวงแบกคนทั้งประเทศ รสชาติเป็นอย่างไร ? มีทางเดียว...หนูต้องไปทำสมาธิให้เข้มแข็งกว่านี้ จะได้แบกภาระได้มากขึ้น" เพราะฉะนั้น...บรรดาท่านที่เป็นง่อยและกึ่งเป็นง่อยทั้งหลาย กรุณาเดินเองได้แล้ว หาไม่...ตอนนี้ไม่ใช่ถีบส่งเฉย ๆ แต่จะถีบลงเหวไปเลย...!"

เถรี 07-06-2016 19:12

...(ทิดเต้ยยิ้ม)... "ไม่ต้องยิ้ม...เอ็งด้วย ช่วยงานไม่ได้ไม่พอ หาภาระมาเพิ่มให้ตูตลอด...! แค่สำรวมกาย วาจา ใจของตัวเอง ตรวจดูว่ามีความชั่วอยู่ในใจหรือเปล่า ? ถ้ามีก็ไล่ออกไป ไล่ออกไปได้แล้วก็ระวังอย่าให้เข้ามาอีก ความดีมีอยู่ในใจหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา เมื่อมีแล้วก็รักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แค่นั้นเอง แต่ทำไม่ได้สักที เจอหน้ากี่ครั้งก็เหมือนเดิม

นอกจากไม่เป็นภาระแก่ครูบาอาจารย์ ก็ยังเป็นการส่งเสริม เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ครูบาอาจารย์อีกด้วย ว่าเรารักดีใฝ่ดี ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้สมกับเป็นคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วเปล่าเลย กระโดดเกาะอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอาเลย ประเภทนี้ต้องไปเจอคุณมงคล คุณมงคลบอกไว้ตั้งแต่สมัยบ้านอนุสาวรีย์แล้ว บอกว่า “หลวงพี่...ถ้าประเภทนี้นะ ผมปล่อยแม่ง...ตายห่....หมดเลย...!” สมควรปล่อยสักทีนะ...!"

เถรี 07-06-2016 19:18

"ถ้ายืนหยัดด้วยตัวเองได้ ก็ผ่อนคลายภาระครูบาอาจารย์ไปตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว ไม่ต้องถึงกับมาช่วยงานก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือครูบาอาจารย์แล้ว ก็คือช่วยทำตนไม่ให้เป็นภาระ

แต่บางคนช่วยงานไม่ได้ไม่ว่า ยังพยายามทำตนเป็นภาระอีกต่างหาก แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่ากำลังใจของพระก็คือสงเคราะห์เฉพาะหน้า นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ถือว่าแล้วกันไป แต่ดันมีการโวยวายน้อยอกน้อยใจว่าทำไมถึงสนใจแต่คนโน้น ทำไมไม่สนใจคนนี้ ตัวเองอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปีแล้ว เรียกร้องจะเอาเท่ากับเด็กอายุ ๑๐ กว่าปี ตูจะบ้า...! ต้องเรียกว่าเติบโตเพราะกินข้าว แก่เฒ่าเพราะอยู่นาน หาความดีอะไรไม่ได้เลย

ว่าอย่างไรนาทาม ? ถ้ามีคุณป้าคุณยายมาเรียกร้องให้หลวงพ่อสนใจมากเท่ากับสนใจหนูนี่จะน่ารักมากไหม ? น่าเหวี่ยงใช่ไหม ?"

เถรี 08-06-2016 15:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่ญาติโยมมาน้อยส่วนหนึ่งละลายไปเพราะลม ไม่ใช่ฝนนะ แค่ลมเท่านั้น ทิดดอยบอกว่าฝนตกแน่ แต่อาตมาบอกว่าไม่ตก นั่งเถียงกันอยู่สองคน เชื่อเถอะ...อาตมาชนะตลอด..!

การที่เราใช้ความเป็นทิพย์ จะมีตัวอุปาทานทำให้เฝือ ทำให้ผิด ก็คือ ลักษณะอย่างที่ทิดดอยว่า "ตกแน่" ตกแน่ตัวนี้ไม่ใช่ความเป็นทิพย์ที่แท้จริง แต่เกิดจากการไปยึดของเก่าว่า ลมลักษณะอย่างนี้ฝนจะต้องมา การยึดของเก่าเขาเรียกว่า อุปาทาน คนที่ฝึกมโนมยิทธิที่ไปเกาะอุปาทาน โอกาสผิดมีตั้งแต่เริ่มคิด จะไปยึดของเก่าไม่ได้เลย ต้องเชื่อกำลังใจแรกอย่างเดียว

กำลังใจตอนนั้นบอกว่าอะไร ให้เชื่อตามนั้น แต่พวกเราก็มักจะมีความดี เพราะมีประสบการณ์เก่าเยอะ ก็คือไปยึดอุปาทานเก่า ๆ ในเมื่อเราไปยึดของเก่า "ฮื้อ..ไม่ใช่กระมัง ?" "เอ๊ะ..น่าจะเป็นอย่างนี้นะ" เจ๊งเลย แล้วไปพิสูจน์ดูเถอะ อารมณ์ใจที่บอกครั้งแรกถูกทุกทีแหละ"

เถรี 08-06-2016 15:32

"มีญาติโยมถามว่า ทำไมอาตมาไม่สอนมโนมยิทธิ ? มโนมยิทธิเป็นกรรมฐานที่ช่วยให้เข้าพระนิพพานได้ง่ายที่สุด แต่ทำให้คนหลงยึดติดได้มากที่สุดเช่นกัน ตัวหลงยึดติดส่วนใหญ่ก็คือ เพราะว่าเราเห็น เราจึงเชื่อ แล้วใครบอกก็ไม่ฟังด้วย เพราะว่าเห็นมาด้วยตัวเอง

อาตมาเคยเปรียบเทียบมาหลายทีแล้วว่า เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย จะโดนเขากระทืบตายเพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่..! เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นไม่ใช่เรื่องจริง เป็นหนังที่เขากำลังแสดงกัน ลักษณะการทดสอบมโนมยิทธิก็แบบนั้น เรายิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร การทดสอบก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น การใช้มโนมยิทธิจึงต้องระวังจนตัวลีบ เหมือนกับเดินอยู่บนเชือกที่ข้ามเหว พลาดเมื่อไรก็ลงเหวทันที"

เถรี 08-06-2016 15:45

"รุ่นของอาตมา หลังจากเจริญกรรมฐานรอบค่ำที่ตึกธัมมวิโมกข์เสร็จ ก็มานั่งวิเคราะห์อารมณ์ใจกัน ขนาดนั่งวิเคราะห์วิจัยกันอยู่ทุกวันก็ยังพลาด กลายเป็นทาสให้เขาใช้งานอยู่ถึงสามปี ถึงเวลาแล้วคนอื่นเขาชมก็ก้นกระดก พอเขาบอกว่า "ทำไมรู้ชัดเจนอย่างนี้ ?" "แหม...แจ่มใสเหลือเกิน" "พูดอะไรก็ถูกไปหมด" ปลื้มใจ...ตัวพองเบ้อเร่อ คงพอ ๆ กับอึ่งอ่างตัวที่โดนวัวเหยียบตาย...! กว่าจะรู้ว่าตายตอนนั้น พระนิพพานที่เราหวังก็คงไม่ต้องหวังเลย มัวแต่เป็นขี้ข้าไปดูให้ชาวบ้านเขา

ฉะนั้น...ใครฝึกมโนมยิทธิโปรดทราบว่า ปัจจุบันที่ทำ ๆ กันอยู่ ส่วนใหญ่แล้วผิดทั้งนั้น มโนมยิทธิหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้เรารู้เพื่อละ รู้แล้วจะได้เข็ด เกิดมากี่ชาติก็ยังทุกข์อยู่ ควรที่จะพอกันทีหรือยัง ? ไม่ใช่ไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดจะกลัว กลับไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ คนที่กำลังว่ายน้ำอยู่ แทนที่จะตะกายขึ้นฝั่ง ดันไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ..!

โดยเฉพาะที่โดนกระทืบมาแล้วก็คือ ไปบอกเมียชาวบ้านว่า ในอดีตเคยเป็นเมียตัวเอง แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอดีต อะไรเป็นปัจจุบัน
สมน้ำหน้ามัน...! "

เถรี 08-06-2016 15:56

"ขนาดอาตมานั่งวิเคราะห์วิจัยกันอยู่ทุกวันกับพระพี่พระน้อง ยังโดนเขาหลอกอยู่ตั้งสามปี วิจัยกันอยู่ทุกวันแต่วิจัยไม่ถึง เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีแล้ว ก็เลยไม่ได้ยกมาเป็นบทเรียน

ถ้าถามวิจัยกันขนาดไหน ? ก็แค่เดินบิณฑบาต มาถึงหน้าวัดโยมก็ดักใส่กันเยอะ มีสาวสวยคนหนึ่งใส่น้ำหอมฟุ้งมาเชียว อาตมาได้กลิ่นปุ๊บกลั้นใจปั๊บเลย รู้ว่าสู้ไม่ได้ ตั้งใจดูปรากฏว่าพระพี่พระน้องทั้ง ๑๑ รูปที่เข้าแถวอยู่ด้วยกันกลั้นใจทุกคนเลย...!

ไปหอฉัน เทข้าวลงส่วนกลาง ล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย นั่งรอสายอื่นเขามาก็นั่งวิจัยกัน ว่าที่เราทำเป็นตัวปัญญาหรือเปล่า หรือเราหนีปัญหา ? สรุปว่าเป็นตัวปัญญาแท้ ๆ เลย รู้ว่าสู้ไม่ไหว ก็ต้องหนี โดยเฉพาะหลวงตาวัชรชัยบ่น "ไอ้ห่...Chanel No.5 ของโปรดกูเลย"

ส่วนพวกเราไม่ค่อยจะวิเคราะห์วิจัยอะไรกัน ส่วนใหญ่ก็เปะปะมั่วไปเรื่อย ได้ผลขึ้นมาก็เริงร่าหน้าบาน แบบทิดน็อต พอเวลาไม่ได้ผลก็ "พระไม่เห็นช่วยผมเลย" มารดามันคิดแบบนี้คงจะได้ผลอยู่หรอก...!"

เถรี 08-06-2016 16:01

"ไม่รู้จักใช้ธัมมวิจยะ ก็คือ พยายามศึกษา สืบสาวไปให้ถึงต้นตอ ว่ากำลังใจของเราที่ดีแบบนี้เกิดจากอะไร พอถึงเวลาผิดพลาดขึ้นมา กำลังใจตกต่ำ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เกิดจากสาเหตุอะไร

ในเมื่อเราไม่เคยวิเคราะห์หาสาเหตุ ก็แปลว่า ไม่มี ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา ก็คือ ขาดสัปปุริสสธรรม ๗ ในเรื่องของการรู้เหตุรู้ผล ในเมื่อไม่รู้เหตุก็แก้ไขไม่ได้ จึงหกล้มหกลุกไปเรื่อย เพราะฉะนั้น...หัดใช้สมองบ้าง เก็บไว้คั่นใบหูมานานแล้ว...!"

เถรี 08-06-2016 19:52

ถาม : วัตถุมงคลที่เป็นมหาเสน่ห์นี่เรียกตีนด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในราศีตีนก็โดน...! โบราณเขาบอกว่า "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ" ถ้าใช้วัตถุมงคลหรือคาถาสายเสน่ห์จริง ๆ ต้องทำให้ได้ผล ถามว่าทำให้ได้ผลขนาดไหน ? ตัวอย่างสมัยก่อนก็ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เสกน้ำมันทาให้แมว ทาให้หนู แล้วก็จับใส่กรงเดียวกัน ก็เห็นนัวเนียอยู่ด้วยกัน ไม่เห็นหนูจะหนีแมวหรือแมวจะกินหนู หรือไม่ก็อย่างหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ทำสีผึ้งเสร็จทาให้ไก่เพื่อทดสอบดู ไก่เดินตามทั้งวันเลย ต้องให้ได้ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็หนีตีนไม่พ้น เพราะคนหมั่นไส้มี ทำอย่างไรจะให้คนที่หมั่นไส้เปลี่ยนเป็นควักกระเป๋าไปซื้อขนมให้เรากิน ?

ถาม : ไม่ใช่สังคหวัตถุ ๔ หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ใช้กำลังสมาธิล้วน ๆ เรื่องของคาถาเป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ ถ้ากำลังใจทำถึง ใครอยู่ในบริเวณนั้นก็เสร็จเราหมด สมัยก่อนที่เขาศึกษากันนักหนา เพราะว่าบรรดาว่าที่พ่อตาส่วนใหญ่โคตรดุเลย บางบ้านนี่ถือลูกซองเฝ้าลูกสาวอยู่ ไปถึงริมรั้วพนมมือ "โอมศรีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามคือพระแมน แขนกูงามคือพระนารายณ์..." ท่องไม่ทันจบ ลูกปืนมาแล้ว...! วิ่งกันตีนพลิก จำไว้ว่าคาถามหาเสน่ห์อย่าใช้บทยาว ...(หัวเราะ)... ยาวเกินไปภาวนาไม่ทันลูกปืน

ถาม : อย่างอันนี้ (ปรอทสำเร็จ) เป็นขั้นป้องกันตัวหรือมหาเสน่ห์ครับ ?
ตอบ : เอาเป็นอันว่าเริ่มต้นแล้วกัน

ถาม : ขั้นแรกคือ ?
ตอบ : ก็คือมหาเสน่ห์

ถาม : เราสามารถเลือกได้ใช่ไหมครับว่าเป็นเสน่ห์กับเพศตรงข้ามเท่านั้น ?
ตอบ : ดูท่าจะเลือกไม่ได้...! บอกแล้วว่าถ้าทำได้ หมูหมากาไก่ก็โดนหมด..!

เถรี 08-06-2016 19:54

ถาม : ผมขึ้นรถเมล์โดนขยำแก้มก้นครับ ?
ตอบ : นึกว่าให้ทานเขาเถอะ...! ถ้าประเภทเห็นดีเห็นงามด้วยก็แกล้งปิดป้องแต่พองาม..!

ถาม : แล้วอย่างนี้ต้องคิดว่า ตัวเราไม่ใช่ของเรา เพราะเป็นกรรมเก่าของเราใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ...! ป้องกันได้ก็ไม่ป้องกัน โง่ตายห่..!

ถาม : ผมง้างมือกำหมัด จะหันไปข้างหลัง พอหันไปดูเห็นหุ่นเขาแล้ว ผมก็เลยลงป้ายหน้าเลย..?
ตอบ : ถ้าเห็นว่าหล่อหน่อยก็ไปด้วยกัน...! อย่าว่าแต่คุณเลย สมัยก่อนอาตมาขึ้นรถเมล์ก็โดน แต่เป็นพวกสาว ๆ เด็กนักเรียนวัยรุ่น ดูหน้าก็รู้ว่าเพิ่งจะมัธยมต้น อะไรจะรีบขยันหาผู้ชายขนาดนั้น บังเอิญอาตมาตายด้าน ก็เลยไม่ไปเออออห่อหมกกับเขาด้วย

น่าเห็นใจเหมือนกันนะ อาตมามีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เกิดราศีตีนเหมือนกัน ไปด้วยกัน พวกจิ๊กโก๋จ้องกระทืบเขาอยู่คนเดียว ขนาดเดินอยู่ด้วยกันเขาก็โดนคนเดียว แสดงว่าเกิดราศีตีนจริง ๆ เรียกตีนได้ดีมาก..!

เถรี 11-06-2016 11:27

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานวันพฤหัสบดี ปกติแล้วจะต้องไปทำหนังสือเดินทางเพื่อไปอังกฤษ ปรากฏว่าหนังสือรายชื่อผู้ได้รับอนุมัติให้เดินทางของสำนักพุทธฯ ออกไม่ทัน อาตมาก็เลยไปวัดท่าซุงแทน ไปกราบเรียนหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า บวชพระถวายท่าน ๑๐๐ รูป แล้วก็ไปเชิญ "ท่านขุนแผน" มาปลุกเสกพระวันเป่ายันต์เกราะเพชร กราบขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมช่วยสงเคราะห์ในงานพุทธาภิเษกและเป่ายันต์เกราะเพชร รู้สึกว่าเป็นงานใหญ่เหมือนกัน จึงต้องจัดเครื่องบูชาชุดใหญ่ถวายท่าน"

เถรี 11-06-2016 11:34

ถาม : พระที่วัดนั้นฉันข้าวเย็น ?
ตอบ : อย่าไปสนใจเขาสิวะ...! เรารู้ว่าศีลพระเป็นอย่างไร พระธรรมวินัยเป็นอย่างไร ก็ทำของเราไป แล้วเขาก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่าของเราไปเองแหละ ถ้าอยากจะเป็นพวกเดียวกับเขาก็ไปกินข้าวเย็นกับเขาก็หมดเรื่อง...!

เดี๋ยวนี้จะหาวัดที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนพระให้ละอายชั่วกลัวบาปก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้สอนบางทีท่านเองก็ปากเปียกปากแฉะ แต่พวกนั้นดันไม่ฟัง แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นลูกท่านหลานเธอ คนที่ให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากวัด บางทีท่านก็ไม่กล้าด่าไม่กล้าไล่เหมือนกัน บอกพวกนั้นว่าไปบวชวัดท่าขนุนดูสิ แล้วจะซาบซึ้งในอนาคต...!

เถรี 11-06-2016 12:00

ถาม : เรื่องศีลข้อสามครับ ถ้าคนที่เขามีคู่ครอง ไม่ว่าจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน หรือประกาศตัวว่ามีแฟนแล้ว ถ้าเราไปยุ่งกับเขาอันนี้ศีลขาดแน่ ที่สงสัยก็คือ คนที่เขาประกาศตัวว่าเขาโสดอยู่ แต่ก็มีคนคุยด้วย ถ้าเราไปยุ่งกับเขา (มีเพศสัมพันธ์) ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของทางโลก เราเอาเรื่องของทางธรรมสิ เรื่องของทางธรรมพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลนั้นมีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง จนกระทั่งมีญาติปกครอง มีคนจองแล้วด้วยพวงมาลัยก็คือมีคนหมั้น มีคนให้ผ้าก็คือลักษณะที่ว่าซื้อตัวไป ท้ายสุดก็มีธรรมปกครอง ซวยฉิบหา...ไม่รอดสักราย เพราะฉะนั้น...ความประพฤติในปัจจุบันเป็นมาตรฐานไม่ได้ พูดง่าย ๆ คือไปยุ่งเมื่อไรก็ซวยเมื่อนั้นแหละ

เถรี 11-06-2016 12:11

ถาม : ฉายาต้องให้พระอุปัชฌาย์ตั้งให้ ?
ตอบ : ให้ท่านตั้ง คนอื่นตั้งให้ถือว่าผิดมารยาท ฉายาเป็นหน้าที่อุปัชฌาย์ ขึ้นว่า ตาวะเทวะ ฉายา เมตัพพา อุตุปปะมาณัง อาจิกขิตัพพัง ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น เป็นหน้าที่พระอุปัชฌาย์บอก ทิวะสะภาโค อาจิกขิตัพโพ ให้บอกส่วนของวัน ส่วนของวันสมัยนี้ไม่ต้องบอกแล้ว เพราะว่าเป็นนาฬิกาแน่นอน สมัยนั้นต้องบอกว่าเป็นช่วงเช้า ช่วงสาย ช่วงเพล ช่วงเที่ยง ช่วงบ่าย ช่วงค่ำ สังคีตี อาจิกขิตัพพา ต้องบอกการรวมองค์ในการบวช ประกอบไปด้วยพระอุปัชฌาย์ พระคู่สวด พระอันดับเท่าไร

ความจริงบาลีเขาบอกรายละเอียดไว้ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ศึกษา แปลไม่ออกอีกต่างหาก ก็ไปกันใหญ่เลย

เถรี 11-06-2016 12:20

ถาม : พระอุปัชฌาย์ที่วัด ท่านรู้จักหลวงพ่อด้วยครับ พอบอกว่าเป็นลูกศิษย์วัดท่าขนุน ท่านก็ว่า อ๋อ...ท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม พระอาจารย์เล็ก ?
ตอบ : ท่านที่เรียนหนังสืออย่างหลวงพ่อเจ้าอาวาสของคุณ ที่ไม่รู้จักพระอาจารย์เล็กไม่มีหรอก ตูทำชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเลย

ตอนที่รับปริญญาตรี เขาหาตัวอาตมากันให้ควั่ก เขาสงสัยว่า อาตมาสอบอย่างไรได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของประเทศ ? ก็คือเกียรตินิยมอันดับหนึ่งคะแนนสูงสุดของประเทศ และทำอย่างไรทั้งห้องได้เกียรตินิยมหมดเลย ? ก็คือได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ๙ รูป ที่เหลือได้เกียรตินิยมอันดับ ๒ เขาไล่ตามตัวเพื่อสัมภาษณ์ ก็เลยกลายเป็นคนดังไปโดยปริยาย

ท้ายที่สุด มจร.ก็ไม่ยอมปล่อย ล็อกคอให้เป็นอาจารย์ไปเลย ปัจจุบันเวลาที่เขานั่งเถียงกันเรื่องอาจารย์ปล่อยเกรด “ถ้าคุณทำให้ยากเขาก็ไม่มาเรียน” อีกฝ่ายหนึ่งก็ “ถ้าหากว่าทำให้ง่ายผู้ที่จบออกไปก็ไม่มีคุณภาพ” เถียงกันอยู่อย่างนั้น ท้ายที่สุดก็มีคนสรุปว่า “ปล่อย ๆ ไปเถอะ ถ้ามีคนอย่างพระครูเล็กสักรุ่นละรูปสองรูปรวม ๆ กัน ก็เยอะไปเอง” สรุปว่าตูไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่โดนเขายกตัวอย่างทะเลาะกันในวงประชุมไปด้วย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:28


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว