กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   หนังสือ...เย็นหิมะในรอยธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1117)

ตัวเล็ก 23-09-2009 20:59

หนังสือ...เย็นหิมะในรอยธรรม
 
หนังสือเย็นหิมะในรอยธรรม
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)
ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

“...ข้าพเจ้าจะไม่มีจิตยินดีน้อมไปในศาสนาอื่น นอกจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมอันพระองค์ได้ตรัสรู้ชอบดีแล้ว กับทั้งพระสงฆ์หมู่ใหญ่ อันได้ประพฤติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลย เป็นอันขาด จนกว่าจะสิ้นชีวิต...”
พระราชปฏิญาณแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงกระทำไว้ต่อหน้าพระสงฆ์เถรานุเถระ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในบรมมหาราชวัง เมื่อ ร.ศ. ๑๑๕ ก่อนเสด็จประพาสยุโรป ตรงกับ พุทธศักราช ๒๔๓๙

ตัวเล็ก 23-09-2009 21:00

พระพุทธศาสนา คือ ลมหายใจแห่งแผ่นดิน
 
พระพุทธศาสนาในเมืองไทยมีภัยรอบด้าน

ในโลกปัจจุบัน การที่จะรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้พระเณรได้มีความรู้ มีการศึกษา ทั้งธรรมะและวิชาการทางโลก ความรู้อย่างพระก็ต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องพระศาสนา แต่ก็ต้องรู้ความรู้ชาวบ้านเขาด้วย ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการวางแผน เพื่อให้พระพุทธศาสนา ไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ผู้ที่จะรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงนี้ได้ ก็คือ พระเณรนั่นเอง จึงจำเป็นจะต้องให้พระเณรมีการศึกษา รู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

อายุยังน้อยต้องเรียน เรียนอะไรก็ได้ ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย อย่าอยู่เฉย ๆ เพราะพระเณรจะต้องรับภาระธุระพระศาสนา แต่หลวงพ่อแก่แล้ว คนแก่จะทำอะไรได้ แค่ให้หายใจอยู่เฉย ๆ ก็ยังแย่แล้ว

พระพุทธศาสนาเมืองไทยมีภัยรอบด้าน ซึ่งกำลังแทรกเข้ามาทุกรูปแบบ พระพุทธศาสนาอาจจะล้มครืนลงวันใดก็ได้ แต่พระก็ยังเหมือนปลาอยู่ในน้ำเย็น จึงตายใจว่า พระพุทธศาสนาตั้งมั่นเจริญรุ่งเรืองในเมืองไทย เลยไม่รู้สึกถึงความล่มสลาย ซึ่งกำลังใกล้เข้ามา

ให้มองไปข้างหน้าอีก ๕๐ ปี โดยกำหนดดูผลแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งละ ๑๐ ปี ในทุก ๑๐ ปีก็ต้องดูความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี แล้วในแต่ละปีนั้น ก็ต้องดูความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วันอีกด้วย จนกว่าจะถึง ๕๐ ปี เพื่อให้คาดการณ์ว่า อีก ๕๐ ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แล้วเราจะทำอย่างไร มองให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอดีต ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ของสังคม และของโลก

ตัวเล็ก 24-09-2009 23:15

ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกับพระพุทธศาสนา
 
ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกับพระพุทธศาสนา มิเช่นนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาในอินเดีย ในปากีสถาน บังกลาเทศ และในอัฟกานิสถาน เป็นตัวอย่าง ก็คงไม่ล่มสลาย

ถ้าสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตของสังคม และของโลก ที่จะเกิดขึ้นในอีก ๕๐ ปีข้างหน้า ก็จะทำให้สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทยได้ด้วย ซึ่งก็คือ อนาคตของพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั่นเอง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอดีต จนเป็นเหตุให้พระที่ยอมสละชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา ต้องถูกฆ่าตายหมู่พร้อมกันมากกว่า ๘,๐๐๐ องค์ เหตุการณ์นี้ เป็นสิ่งที่พระและชาวไทยควรจะนำมาเตือนสติอยู่เสมอว่า “อย่าประมาท” อย่านึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มองไปที่ไหน ก็มีแต่วัด มองไปที่ไหนก็เห็นแต่จีวรเหลืองอร่าม แล้วเหตุการณ์อย่างมหาวิทยาลัยนาลันทาจะเกิดขึ้นไม่ได้ “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย” ชั่วเพียงวินาทีเดียว ทุกอย่างก็พลิกได้

นี่มองอย่างประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มันมี มันเกิดมาแล้ว อย่าประมาท ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

หมายเหตุ มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ที่นาลันทคาม บ้านเกิดพระสารีบุตร เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระสาวกองค์สำคัญของพระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัยนาลันทา รุ่งเรืองมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือราว ๑,๗๐๐ ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ โดยกองทัพมุสลิมเตอร์ก เฉพาะที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มีพระสงฆ์ถูกทหารมุสลิมเตอร์กฆ่าตายกว่า ๘,๐๐๐ รูป บางแห่งระบุว่าว่า ๑๐,๐๐๐ รูป

ตัวเล็ก 25-09-2009 07:56

การพัฒนาประเทศไทย ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทางบ้านเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งพระพุทธศาสนา

ที่จริง การพัฒนาประเทศไทยที่เรียกว่า “ความเจริญ” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เพิ่งเริ่มมาได้ ๕๐ ปีนี้เอง ให้รู้ว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมายังเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ถ้าลองนับต่อไปอีก ๕๐ ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เปลี่ยนสมัยก่อนนั้น มันเปลี่ยนแปลงช้า ในระยะเวลา ๑๐ ปีสมัยก่อน เท่ากับ ๑ ปีในปัจจุบัน และ ๑๐ ปีในสมัยก่อนเดี๋ยวนี้ก็เพียงปีเดียวเท่านั้นเอง

นี่ความเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างนี้

ทุกวันนี้ ให้ดูความเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน “ให้จำคำหลวงพ่อไว้” ไม่เกิน พ.ศ. ๒๕๙๔ บ้านเมืองจะไม่ใช่อย่างนี้แล้ว ถึงปีนี้นับไปอีกก็เท่ากับ ๕๓ ปี เหตุการณ์ต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปมาก ลองคิดดูว่าถ้านับไปอีก ๕๓ ปีข้างหน้า ความเปลี่ยนแปลงของสังคมจะเป็นไปถึงขนาดไหน ความจริงที่จะพูดอย่างนี้ คิดอย่างนี้ และเตรียมการวางแผนเพื่ออนาคตอย่างนี้ ไม่ใช่พวกเราพระหนุ่มเณรน้อยหรอก

แต่ว่าต้องเป็นพระระดับมหาเถรสมาคม ระดับเจ้าคณะภาคที่ต้องคิดต้องพูดกัน ถ้าเป็นทางบ้านเมือง ก็ต้องเป็นรัฐบาล ที่จะต้องคิดเรื่องพวกนี้ ต้องวางแผนเพื่อ ๕ ปี ๑๐ ปีข้างหน้า

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดอย่างนี้

หมายเหตุ พระสงฆ์ทั่วประเทศ รวมเรียกว่า “สังฆมณฑล” มีองค์กรปกครองสูงสุด เรียกว่า “มหาเถรสมาคม” แบ่งการปกครอง ออกเป็นระดับชั้น ดังนี้ เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาส มีกฎหมายรองรับสถานะองค์กรปกครองสงฆ์ เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์” ซึ่งสมัยรัชกาลที่ ๑ เรียกว่า “กฎหมายสงฆ์”

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ถูกตราขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑” และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบประชาธิปไตย จึงเปลี่ยนเป็น “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔”

ตัวเล็ก 26-09-2009 08:23

๓ ปีที่แล้วหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ให้ดูช่วง ๑๐ ปีข้างหน้า ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร นี่ผ่านมา ๓ ปีแล้ว ยังเป็นถึงขนาดนี้ ยังมีความวุ่นวายเกิดขึ้นกับพระศาสนา กับบ้านเมืองขนาดนี้ ลองคิดดูแล้วอีก ๗ ปี ต่อไปจะเป็นอย่างไร อีก ๑๐ ปีหลวงพ่อก็อายุ ๘๘ ปี ถ้าหลวงพ่ออยู่ไปอีก ๑๐ ปี อาจไม่ได้นั่งอย่างนี้แล้ว

นี่เฉพาะความเปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกายคนเรา

แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเราที่เปลี่ยนแปลงนั้นมันต้องแรงกว่านี้ อย่างพระพุทธศาสนาในเมืองไทยอีก ๕๐ ปี อาจไม่ใช่อย่างที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้ก็ได้ ประเทศไทยตรงนี้อาจไม่ใช่ประเทศไทย สำหรับพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว

ความไม่เที่ยงพระสอนเก่ง แต่ไม่รู้จักคิด วันข้างหน้าบ้านเมืองมันจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร ส่วนมากพระไม่ได้คิด ส่วนเรื่องความไม่เที่ยงอย่างสูงสุด แต่ไม่ได้คิดถึงความไม่เที่ยงอย่างธรรมดาที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา

ความไม่เที่ยงสูงสุด พระพุทธเจ้าหมายเอาความไม่เที่ยงของเบญจขันธ์ แต่ความไม่เที่ยงในโลกนี้ เหมือนกันหมดทุกอย่าง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว ย่อมมีผลกระทบทอดกันไปหมด ไม่มากก็น้อย

ความไม่เที่ยงอย่างธรรมดาที่ต้องการให้คิด ก็คือความไม่เที่ยงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งมีมาแต่เดิม เมื่อรู้ว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แล้วทำไมเราไม่เคยเตรียมการ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา อย่างรู้เท่าทัน

แม้การให้มีพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ การสร้างวัดขึ้นในต่างประเทศ การให้พระได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ก็เพื่อเตรียมต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา ให้อยู่ในโลกต่อไป ไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน

ที่ทำนี้ก็ทำตามพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ก็เพราะพุทธบริษัท แล้วพุทธบริษัท คือ ใคร ที่เห็นชัด ก็คือ พระเณร ถ้าพระเณรไม่ทำแล้วใครจะทำ

ตัวเล็ก 26-09-2009 23:07

ข้อนี้คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจ แม้แต่พระระดับมหาเถรสมาคมบางองค์เองก็ยังไม่เข้าใจ ยังคิดไม่ถึง กลับคิดไปว่า พระไปทำไมเมืองนอกเมืองนาพระไปเที่ยวเหมือนชาวบ้าน ไปแล้วก็ผิดศีล รักษาวินัยไม่ได้ ถ้าพระจะผิดศีลผิดวินัยอยู่เมืองไทยก็ผิด ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกเมืองนาหรอก แต่ไม่ได้มองทะลุไปไกลกว่านั้น ไม่ได้มองไกลออกไปจนเห็นว่า เพื่อเป็นการอนุเคราะห์โลก ไม่ได้มองไกลออกไปจนเห็นว่า เพื่อเป็นการอนุเคราะห์โลก อันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนเป็นอันมาก

ไม่ต้องเอาอื่นเอาไกล ที่เมืองไทย หากพระโสณะ และพระอุตตระ ไม่เสียสละเดินทางมา แล้วจะมีพระพุทธศาสนาไหม สุวรรณภูมิ ก็คือ ต่างประเทศของอินเดีย สมัยโน้นนั่นเอง

หากวันหนึ่งข้างหน้าเมืองไทยจะไม่มีที่สำหรับพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย อย่างน้อยพระพุทธศาสนาก็มีลมหายใจอยู่ต่อไปได้ในต่างประเทศ

อีกร้อยปีเมืองไทยจะไม่มีพระพุทธศาสนาอย่างทุกวันนี้

ทุกวันนี้เกิดขึ้นแล้ว เราก็เห็น เพราะดาบที่ฟันคอเณร อายุ ๑๓ ปี ก็เป็นดาบเล่มเดียวกันกับดาบที่ฟันคอพระที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในประเทศอินเดีย เณรน้อยอายุ ๑๓ ปี ถือบาตรออกไปเดินบิณฑบาต ไม่มีอาวุธอะไรมีแต่บาตร อยู่ดี ๆ ก็เอาดาบมาฟันคอ ไม่รู้ว่าเณรน้อยอายุ ๑๓ ปีไม่มีพิษมีภัยอะไรกับใคร จนถึงต้องทำอย่างนั้น

ตัวเล็ก 28-09-2009 07:30

นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทย พระไปอยู่ต่างประเทศได้สบาย มีวัดเยอะไปนอนได้ คนอื่นก็ได้วิ่งกันหัวซุกหัวซุน อย่างนี้เรามองไม่เห็น ปัญหามันจะเกิดขึ้นวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน แต่ไม่ได้เกิดวันนี้ เพียงแต่จะเกิดข้างหน้า เอานานหน่อยก็ ๑๐๐ ปี แถวกรุงเทพฯ นี้จะเป็นของใครก็ไม่รู้ คนไทยอาจกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไป ถ้าไม่คิดกันให้ดี เอานานหน่อย อีก ๑๐๐ ปี เมืองไทยจะไม่มีพระพุทธศาสนาอย่างทุกวันนี้
แม้เมืองไทยจะยังมีอยู่ แต่ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไม่มีพระพุทธศาสนาเลยนะ แต่ไม่มีพระพุทธศาสนาอยู่ในลักษณะอย่างปัจจุบันนี้ แต่จะอยู่ในอีกลักษณะหนึ่ง อย่างหลวงพ่อนี่ไม่ทันได้เห็นหรอก แต่พวกเราไม่แน่

แต่ก็มีข้อแม้ว่า ถ้าคิดให้ดีแก้ให้ดี ก็อาจยืดออกไปได้อีกหน่อย อย่างหลวงพ่อไม่ทันหรอก

พูดถึงความเปลี่ยนแปลง วัดสระเกศเมื่อหลวงพ่อมา ทีแรกถนนยังไม่มี รถยนต์เข้าวัดไม่ได้ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ที่หลวงพ่ออยู่ด้วย ท่านพูดว่า ถ้ารถยนต์เข้ามารับถึงหน้าบันได้กุฏิได้เมื่อไร จะไปสระบุรีไหว้พระบาท

หลวงพ่อพริ้งท่านเป็นอาจารย์หลวงพ่อ และท่านก็เป็นเพื่อนกับเจ้าคุณธรรมเจดีย์ด้วย สมัยนั้นมีโยมศรัทธาจะพาท่านไปไหว้พระบาทที่สระบุรี จึงมานิมนต์ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปด้วย ท่านก็บอกว่า ถ้ารถเข้ามารับได้ถึงหน้าบันไดกุฏิเมื่อไร จึงจะไป

สมัยนั้น ไปสระบุรีไหว้พระบาทต้องออกตั้งแต่ ๖ โมงเช้า บ่ายจึงถึง ไหว้เสร็จแล้วกลับถึงกรุงเทพก็พอดีค่ำ เพราะทางสมัยนั้นเป็นทางลาดยางไปถึงแค่รังสิต เลยนั้นไปเป็นลูกรังทั้งนั้น รถสมัยนั้นเป็นรถสองแถวแบบสี่ล้อเท่านั้น ถ้าเดี๋ยวนี้ไปกลับเป็น ๑๐ เที่ยวก็ยังไม่มืด

ตัวเล็ก 28-09-2009 23:04

ภายในวัดสระเกศสมัยนั้นสภาพไม่ได้เป็นอย่างนี้ ถนนสำหรับเดินในวัดทำด้วยอิฐวางซ้อนเรียงเป็นแถว เป็นต่างประเทศ เช่น ที่ฝรั่งเศส ถนนทำด้วยอิฐอย่างนี้ถือว่ามีคุณค่ามาก หลวงพ่อเป็นเณรเข้ามาในวัดครั้งแรกรู้สึกแปลกเพราะวัดเป็นตึก ๒ ชั้น ทำไมวัดเป็นอย่างนี้ คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา พระโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างมองดู ท่านคงสงสัยว่าเป็นใคร เพราะได้ยินเสียงเท้าเดินผ่านเข้ามา นึกว่า เอ๊ะ! ทำไมพระอยู่กันอย่างนี้ เพราะเคยอยู่กุฏิแบบพระในต่างจังหวัด จำได้เลย เป็นเณร ตอนนั้นอายุ ๑๓ ย่าง ๑๔ ขวบเท่านั้น

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดสงครามโลก ทหารเอาปืนใหญ่ ปตอ. (ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน) มาตั้งรอบภูเขาทอง พวกเณรก็สนุกมาดูปืนใหญ่กัน ตามประสาเด็ก มีระเบิดมาทิ้งภูเขาทอง แต่ไม่ถูก ระเบิดไปตกที่สะพานผ่านฟ้า น่าอัศจรรย์ ภูเขาทองออกใหญ่โตไม่น่าจะพลาด คงเป็นพระบารมีพระธาตุ ตอนนั้น ท่านพลเอกประมาณ อดิเรกสาร เป็นทหารม้า มียศพันโท เอาม้ามาเลี้ยงที่ลานพระวิหาร ท่านจึงคุ้นเคยกับที่วัดมาจนถึงปัจจุบัน

พอปี พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ จึงรู้ว่า บริเวณวัดสระเกศนั้นสูง เพราะที่อื่นน้ำท่วมมาก แต่วัดสระเกศน้ำท่วมน้อย บริเวณภูเขาทองไม่ท่วมเลย

ที่เล่ามา อย่างน้อย พวกเราจะได้รู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร

ตอนนี้พระบารมีของพระมหากษัตริย์ยังอยู่ จึงทำให้พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ยังเปลี่ยนแปลงช้ากว่าสิ่งอื่น แต่ต่อไปจะเปลี่ยนแปลงเร็ว ต่อไปสังคมจะหมุนเร็ว พระศาสนาก็จะเปลี่ยนแปลงเร็วตามไปด้วย จะไม่ใช่อย่างทุกวันนี้แล้ว

ทุกวันนี้ พระเณรยังได้เรียนนักธรรม เรียนภาษาบาลี และในหลวงยังพระราชทานสมณศักดิ์ ยังได้เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ ต่อไปข้างหน้าจะไม่มีอย่างนี้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่หลักที่สำคัญ หลักที่สำคัญนั่น ก็คือ การศึกษา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เร็ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ พระเณรต้องมีการศึกษา จึงจะนำพาพระพุทธศาสนาให้อยู่รอดได้

ตัวเล็ก 30-09-2009 08:15

ดังนั้น ในอนาคตมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง จะต้องเป็นหลักให้พระเณรได้ศึกษาเล่าเรียน มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้จะเรียนอะไรกันอย่างไร เลยกลายเป็นพระพุทธศาสนาไร้หลัก ถ้าไม่มีการเรียนการสอนเป็นของเราเอง ก็ต้องไปเรียนกับของชาวบ้าน ถ้าไปเรียนกับชาวบ้าน เณรกับเด็กจะต่างอะไรกัน

ไม่ต้องอื่นไกล ก็เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อสถาบันศาสนาไม่มี พระเณรต้องไปเรียนร่วมกับชาวบ้าน พ.ศ. ๒๕๑๘ ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง วินาทีเดียวเท่านั้นเปลี่ยนหมด ล้มระบบพระมหากษัตริย์หมด ล้มระบบศาสนาหมด ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีสถาบันพระพุทธศาสนา แล้วพระเณรต้องไปเรียนกับชาวบ้านเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป ตื่นเช้าก็ต้องสะพายย่ามถือร่มถือกระเป๋าไปโรงเรียน ไปยืนเข้าแถวร้องเพลงชาติเหมือนเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง แล้วอย่างนี้ศาสนาจะเหลืออะไร

พระเณรถูกสั่งให้เลิกเรียนอย่างพระแล้วให้ไปเรียนอย่างชาวบ้าน พระเณรเลิกการเรียนธรรมเรียนวินัยแล้วจะเหลืออะไร อย่างนี้พระศาสนาก็หมด แม้แต่พระมหากษัตริย์ หากไม่หนีออกนอกประเทศ ก็ถูกส่งออกไปท้องนาทำการกสิกรรม อย่างชาวบ้านทั่วไป


นี่ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง

หลวงพ่อจึงได้บอก มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย ว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งนี้ ต้องทำให้เป็นหลักเข้าไว้ ต้องเป็นหลักในการให้การศึกษาแก่พระเณร หาไม่แล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทย ก็จะไม่ต่างอะไรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้ว

ตัวเล็ก 30-09-2009 08:17

วิสัยทัศน์ผู้นำพระพุทธศาสนาโลก
 
...การเรียนรู้ เป็นเรื่องที่จำเป็น...

หากพระเณรไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจในบ้านเมืองที่ตนอยู่ ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ และไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนปัจจุบัน การที่พระเณรจะสอนธรรมะไม่ได้ผลก็มีมากขึ้น เมื่อสอนธรรมะให้คนเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงว่า จะรักษาพระศาสนาไว้ได้อย่างไร

ที่จริง การที่พระสอนธรรมะให้คนเข้าใจไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีความรู้แตกฉานในธรรมะ แต่เพราะพระไม่มีความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ จึงทำให้ขาดความกล้าหาญ ไม่สามารถประยุกต์ธรรมะ ให้เข้ากับความคิดและชีวิตของคนปัจจุบัน พระสงฆ์ยังคงสอนธรรมะด้วยวิธีการเก่า ๆ ยังคงอ่านธรรมะจากใบลานสอนคน ในขณะที่ชาวบ้านรับข้อมูลข่าวสาร จากทั่วทุกมุมโลกเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว

คนทุกวันนี้สามารถย่อโลกมาไว้บนฝ่ามือ ด้วยกำลังสมองที่แสนมหัศจรรย์ เราสามารถรู้ความเป็นไปของกันและกันเพียงเสี้ยววินาที และสามารถเดินทางถึงกันจากคนละมุมโลกเพียงชั่วข้ามคืน คนจึงเริ่มห่างไกลออกไปจากพระสงฆ์

การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงจำเป็นสำหรับพระเณรในยุคนี้ ไม่ใช่เพื่อพระเณรจะต้องเป็นสิ่งนั้น จะต้องวิ่งตามเขาทุกเรื่อง แต่เพื่อที่จะใช้ความรู้ใหม่ ๆ เป็นสะพานเชื่อมธรรมะไปสู่คนในยุคนี้

ตัวเล็ก 30-09-2009 21:06

พระเณรจำเป็นต้องเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน มิใช่รู้ความเปลี่ยนแปลงของเบญจขันธ์เพียงอย่างเดียว และจำเป็นที่จะต้องเปิดใจรับวิธีการและเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เรียนรู้การประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นมากกว่าการเทศนาจากใบลาน

สมัยก่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศแทบจะไม่มีใครพูดถึง หากพระองค์ใดพูดถึงการไปต่างประเทศ ก็จะถูกตำหนิอย่างแรง ทั้งฝ่ายพระเองแล้วก็ฆราวาส มักจะมองว่าพระไปเที่ยวอย่างชาวบ้าน ใครจะว่าดีไม่ดีอย่างไรก็ช่างเขา เรานึกถึงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นินทากับสรรเสริญ สองอย่างนี้มันคู่กันมากับโลก มีมาแต่ไหนแต่ไร เรามุ่งงานพระศาสนา มุ่งประโยชน์ เป็นหลักใหญ่

ภายหลัง เมื่อการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก หลวงพ่อก็กลับมาคิดอยู่ตลอดว่า ทำอย่างไรจะสร้างวัดในต่างประเทศให้ได้

ฝรั่งชอบเอาของเขามาให้คนไทย เพราะอยากให้เราเป็นอย่างเขา คนไทยเราก็ติดกันงอม เราก็เอาพระไปให้ฝรั่งบ้าง ต่อไปข้างหน้า ฝรั่งคงจะติดพระงอมบ้างเหมือนกัน

อยู่ต่างประเทศ หากไปด้วยกันเป็นคณะ เวลาไปไหนมาไหนอย่าเดินตามหลังเรียงกันเป็นแถว ให้เดินไปด้วยกันเป็นหมู่เป็นคณะ แต่อย่าถึงขนาดชิงกันเดิน ต่างคนต่างเดินไปตามปกติ ฝรั่งเขาไม่มีวัฒนธรรมเดินตามหลังเป็นแถว เพราะเขาถือว่า ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิเสมอกัน เขาจึงมักพูดถึงสิทธิมนุษยชน

การเดินตามหลังไปเป็นแถวตามหลักอาวุโส ใช้ได้แต่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น จะเอาไปใช้ในต่างประเทศไม่ได้

จะเดินไปที่ไหนก็ต้องดู เพราะนิสัยคนไทยเรานั้นแปลก ที่ไหนพอจะเหยียบได้ เหยียบ ที่ไหนพอจะข้ามได้ ข้าม ใครพอจะข่มได้ ข่ม หากพระเอานิสัยคนไทยไปใช้ในต่างประเทศ แทนที่จะนำมาซึ่งความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส ก็กลับจะถูกดูแคลนเอาได้ว่า เราไม่รู้ธรรมเนียม เมื่อเขาเริ่มดูแคลนก็เท่ากับว่าเขาปิดกั้นตนเองในการรับฟัง

นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องรู้ไว้เช่นกัน

ตัวเล็ก 01-10-2009 07:04

ไปพักที่ไหนก็อย่านอน ให้ออกไปดูบ้านดูเมือง ดูผู้คนว่าเขาอยู่กันอย่างไร ไปดูร้านค้าว่าเขาขายอะไร ลองหัดใช้เงินซื้อของเขาให้เป็น แต่อย่าซื้อมาก ซื้อแต่พอใช้เงินเขาให้เป็นเท่านั้น เห็นอะไรที่แตกต่างจากบ้านเรา ก็อย่าคุยกันแบบซุบซิบแล้วหัวเราะกัน ต่างบ้านต่างเมืองต่างวัฒนธรรม ย่อมมีความแตกต่างกันไป อย่าเอาเมืองไทยและวัฒนธรรมไทยเป็นที่ตั้ง

ส่วนร้านอาหารนั้น สังคมเขาถือกันว่า ถ้าไม่สั่งอะไรเขากิน ก็อย่าเข้าไปนั่งคุยกัน เป็นการเสียมารยาท หรือแม้แต่เข้าไปกิน หากอิ่มแล้วนั่งสักพักก็ให้ออกมา อย่าไปนั่งคุยกันเพลิน สั่งอาหารมาแล้ว ต้องกินให้หมด กินไม่หมดฝรั่งเขาตำหนิ คนบ้านเรา สั่งอาหารกินต้องให้เหลือ ถ้าไม่เหลือเฟือกลัวเขาดูถูกว่าไม่มีเงิน เป็นค่านิยมที่ไม่ถูก

มีโยมคนหนึ่ง สั่งอาหารมากินเหลือไว้ในจาน พนักงานภายในร้าน เห็นจึงเดินเข้ามาบอกว่า สั่งมาแล้วต้องกินให้หมด

เวลานั่งรถอย่าอ่านหนังสือ จะเป็นหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออ่านเล่นอย่างอื่นก็ตาม สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) เคยสอนว่า เวลานั่งรถอย่าอ่านหนังสือ ถ้าจะอ่านหนังสือให้กลับมาอ่านที่วัด เวลานั่งรถ ความรู้อยู่ข้างถนน ให้ดูสองข้างทาง

ใช้สติปัญญาปรับตัวให้เข้ากับสังคม

ตัวเล็ก 02-10-2009 10:44

เวลาไปต่างประเทศ หลวงพ่ออยากให้พักโรงแรมมากกว่าพักที่วัด และโรงแรมนั้นจะต้องใกล้สวนสาธารณะ ใกล้สถานีรถไฟ หรือไม่ก็ใกล้สถานีขนส่ง อยากให้พักใจกลางเมือง เพราะสถานที่นั้นจะทำให้เรามีโอกาส ได้พบปะผู้คนมากมาย ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิดของคนในประเทศนั้น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระศาสนาต่อไปในอนาคต

หากไปต่างประเทศไปพักอยู่ตามป่าตามเขา จะไปทำไม ป่าเขาบ้านเรามีเยอะแยะ ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศ ที่ให้ไปต่างประเทศนั้นให้ไปดูคน ดูบ้านเมือง ดูชีวิตความเป็นอยู่ของเขาว่า เขาอยู่กันอย่างไร

เมื่อถึงโรงแรมได้หมายเลขห้องพักแล้ว ให้เข้าห้องไปเลย จำหมายเลขห้องของคนอื่นเอาไว้ หากกลัวลืมก็เขียนหมายเลขห้องของแต่ละคนไว้ก็ได้ อย่ายืนคุยกันหน้าห้อง นอกจากจะเป็นการรบกวนคนอื่นเขาแล้ว ยังถือว่าเป็นการเสียมารยาทอีกด้วย เขาถือกันอย่างนี้ทุกสังคม มีอะไรจะคุยก็ให้คุยกันในห้องหรือใช้โทรศัพท์ภายในคุยกัน ให้ลองหัดใช้โทรศัพท์ในต่างประเทศดูว่าใช้อย่างไร ใช้เบอร์ภายในโรงแรมจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าโทร อย่าไปโทรเบอร์ข้างนอกเพราะค่าโทรศัพท์ต่างประเทศแพงมาก ให้โทรภายในโรงแรม โทรห้องต่อห้อง พอให้ได้รู้วิธีการใช้โทรศัพท์ต่างประเทศ

ให้จำชื่อย่านที่พักเรียกว่าอะไร จะออกจากที่พักไปที่ไหน ให้บอกคนอื่นให้รู้ด้วย ให้มีชื่อ ที่อยู่ และ ถนนของโรงแรมที่พักติดตัวไปด้วยทุกครั้ง จะขอนามบัตรโรงแรมเขาไปด้วยก็ได้ ในต่างประเทศพาสปอร์ตเป็นสิ่งสำคัญ ต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา

ทุกวันนี้คนไทยยังมีความเข้าใจผิด ๆ อยู่มาก ยังติดในภาพเก่า ๆ คิดว่าโรงแรมเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นที่อโคจร ยังมีความรู้สึกไม่ดีกับคำว่า “โรงแรม” พูดง่าย ๆ คือ ยังไม่ยอมลบภาพเก่า ๆ ออกจากสมอง ทั้งที่จริง โรงแรมเขาใช้เป็นที่พัก โลกและสังคมปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว และเราก็อยู่ในสังคมปัจจุบัน นักธุรกิจไปติดต่อการค้าขายในต่างประเทศก็พักโรงแรม ผู้นำประเทศต่าง ๆ ไปต่างประเทศก็พักโรงแรม แขกบ้านแขกเมืองไปต่างประเทศก็พักโรงแรม พระเจ้าแผ่นดินไปต่างประเทศก็พักโรงแรม

โรงแรมทุกวันนี้เขาจัดไว้สะอาดสะอ้านมีระเบียบ และเงียบสงบกว่าบ้านคน หรือเงียบสงบกว่าวัดบางแห่งเสียอีก

ตัวเล็ก 04-10-2009 16:32

แม้พระเองก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่อนุญาตมหาปเทศ ๔ เอาไว้หรอก การอนุญาตมหาปเทศ ๔ ไว้ ก็เพื่อที่จะให้พระรู้จักใช้สติปัญญาปรับตัวให้เข้ากับสังคมในประเทศนั้น ๆ ตามความเหมาะสม รู้กันทุกองค์อยู่แล้ว

โรงแรมสำหรับชาวตะวันตก หรือแม้แต่สำหรับสังคมไทยปัจจุบัน คือสถานที่ที่เงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง เพื่อต้องการพักผ่อน เวลาเขาเดินทางไกลเพื่อติดต่อธุรกิจ หรือติดต่อข้อราชการต่าง ๆ ต้องการพักผ่อน ต้องการใช้ความคิด โดยไม่ต้องการให้มีใครรบกวนเขาก็พักกันที่โรงแรม ไปต่างประเทศแล้วจะเห็นว่า เวลาที่เขาไม่ต้องการให้ใครรบกวน ไม่ต้องการให้มีการใช้เสียง ก็จะมีป้าย หรืออะไรสักอย่างเป็นเครื่องหมายแขวนไว้ที่ประตู แม้จะไม่มีตัวหนังสือบอกว่า “อย่ารบกวน” ก็เป็นอันรู้กันทั่วโลกว่า “เวลานี้ต้องการความเงียบสงบ โปรดอย่ารบกวน” ทุกโรงแรมเขาจะมี

ถ้าเห็นสัญลักษณ์นี้แล้ว แม้แต่คนทำความสะอาดก็ไม่กล้าส่งเสียง

คนไทยมักจะมองโรงแรมในด้านลบ เพราะสมองยังติดในภาพเก่า ๆ ไม่ยอมรับความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน ความจริงโรงแรมก็คือ ห้องพักธรรมดาห้องหนึ่งเท่านั้นเอง สมัยพุทธกาลพระสงฆ์สาวกเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมือง ท่านก็ขอพักตามบ้านเรือนคนทั้งนั้น อย่างบ้านนายช่างหม้อก็เป็นบ้านที่พระนิยมไปขอพักค้างแรม

ทุกวันนี้ สถานที่พักแรมเวลาเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมืองก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย

ไปต่างประเทศ ถ้าไม่ต้องการไปดูคน ไปดูบ้านเมืองเขา แล้วเราจะไปทำไม ถ้าไปแล้วไปนั่งไปนอนอยู่วัดเฉย ๆ ก็อย่าไป จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ไม่ไปยังจะดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องเหนื่อย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ไปแล้วต้องออกไปเดินดูบ้านดูเมืองเขา

ตัวเล็ก 04-10-2009 16:33

ข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ที่เดินทางไปต่างถิ่น จำเป็นต้องอาศัยเรือนชาวบ้าน เป็นที่พัก ปรากฏอยู่ในพระวินัย ว่า “หากพักตามบ้านเรือน ให้กำหนดเอารั้วบ้านเป็นเขตรักษาราตรี ถ้าบ้านไม่มีรั้วหรือกำแพง ให้เอาตัวเรือนนั้น เป็นเขตรักษาราตรี ถ้าอาคารใหญ่โตมีหลายห้อง หรือโกดังใหญ่ ถ้าไม่มีกำแพงหรือรั้วล้อมรอบ ให้กำหนดเอาห้องที่พักนั้น เป็นเขตรักษาราตรี ถ้าสถานที่นั้นมีหลายครอบครัวอยู่รวมกัน พระสงฆ์อยู่พักกับครอบครัวใด ให้ถือเอาบริเวณของครอบครัวนั้น เป็นเขตรักษาราตรี”
(พระไตรปิฏก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ จีวรวรรค)

ตัวเล็ก 05-10-2009 07:51

ที่จริง หากเป็นไปได้ หลวงพ่ออยากให้พระผู้ใหญ่ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะจังหวัด ทุกจังหวัด ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ จะได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่าง ๆ แล้วนำมาพัฒนาพระศาสนา จะได้ไม่มีจิตใจคับแคบ คิดว่าประเทศไทยนั้นใหญ่คับโลก หากมองเมืองไทยในแผนที่โลกแล้ว มันแค่จุดเล็ก ๆ พอเดินทางออกจากเมืองไทยไปไกลเกินญี่ปุ่น ก็แทบจะไม่มีใครรู้จักเมืองไทยแล้ว

เวลานี้พระผู้ใหญ่ยังเข้าใจผิดกันมาก ยังคิดว่าประเทศไทยนั้นใหญ่เหลือเกิน ประเทศไทยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครทั้งนั้น เมืองไทยเท่านั้นเป็นเมืองพุทธและมีสิทธิ์เป็นเจ้าของธรรมะของพระพุทธเจ้า พระที่เดินทางไปต่างประเทศ มักจะถูกตำหนิ ทั้งจากพระผู้ใหญ่และญาติโยมที่ไม่เข้าใจ

เพราะคิดอย่างนี้ พระจึงถูกมองว่าเป็นสถาบันที่ล้าหลังที่สุดในสังคม เป็นสถาบันที่ตามโลกตามสังคมไม่ทัน เป็นสถาบันที่เป็นภาระต่อสังคม จนบางกลุ่มบางคนคิดว่า ปัจจุบันสังคมไทยไม่มีความจำเป็นต้องมีสถาบันสงฆ์ หรือจะกล่าวให้ง่าย ก็คือ พระสงฆ์เป็นสถาบันที่ไม่ควรมีในสังคมไทย อีกต่อไป

คนทุกวันนี้คิดกันว่า ธรรมะเรียนที่ไหนก็ได้ มีสื่อต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด กดปุ๊บก็รู้ธรรมะปั๊บ ไม่จำเป็นต้องเรียนจากสถาบันสงฆ์ พระไม่ได้เรียนหนังสือมาจากเมืองนอกเมืองนา มีความรู้สู้เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับสังคมปัจจุบัน เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้แล้ว พระพุทธศาสนาจะอยู่อย่างไร

ให้พวกเราคิดดู

จริงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง แต่ความไม่เที่ยง ก็ไม่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่คับแคบเช่นนี้ โดยไม่คิดหาวิธีการที่จะรักษาพระศาสนา ให้มั่นคงสืบสถาพรแผ่ไพศาลไปในโลก

ที่จริงก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทั้งนั้น

มีโอกาสไปแล้ว ก็ให้เก็บเกี่ยวเอาความรู้มามาก ๆ ไปพักที่ไหนก็อย่านอนหรือนั่งอยู่เฉย ๆ ถ้าจะนอนให้กลับมานอนที่วัด ขึ้นรถก็อย่าอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออะไรก็ตาม ถ้าอ่านหนังสือแล้วจะไม่เห็นอะไรระหว่างทาง เมื่อขึ้นรถ ความรู้อยู่ระหว่างสองข้างทาง ไม่ได้อยู่ในหนังสือ ดูว่ามีอะไรอยู่ระหว่างทางนั้น

ตัวเล็ก 05-10-2009 08:00

ในปัจจุบัน การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยอย่างเดียว มิอาจจะรักษาพระศาสนาไว้ได้ ในขณะที่นวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ก้าวล้ำหน้าพระสงฆ์ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของสังคมรุ่นเก่าไปแล้ว

หากพระสงฆ์ปิดกั้นตนเอง ไม่พยายามเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ ของคนในยุคนี้ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ไม่พยายามเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนในปัจจุบัน และไม่พยายามที่จะหาวิธีการใช้ความรู้ของยุคสมัย เป็นสื่อในการถ่ายทอดคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ก็ยากที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้

ตัวเล็ก 05-10-2009 21:30

อเมริกาในรอยธรรม
 
“เราตายได้ แต่พระพุทธศาสนาตายไม่ได้”


คนไทยไปเมืองนอก เพื่อไหว้ฝรั่ง
พระไปเมืองนอก เพื่อให้ฝรั่งไหว้


หลวงพ่อไปอเมริกาครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ขณะเป็นเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไปด้วย เพื่อพบปะนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

สมัยนั้นคนไทยยังไม่มาก ส่วนใหญ่คนไทยไปอยู่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การเดินทางและการเป็นอยู่ในสมัยนั้นจึงลำบากมาก แต่ก็ต้องทนเพราะต้องการพบปะกับคนไทย เพื่อจะหาวิธีให้มีวัดเกิดขึ้นให้ได้ บางครั้งพักที่สถานฑูตไทย บางครั้งพักที่สำนักงาน ก.พ. บางครั้งก็พักตามมหาวิทยาลัย แต่โดยมากพักตามบ้านคน

ทีแรกไปอเมริกา เขาจัดให้นอนที่สถานทูตไทยด้วยกันทั้ง ๓ องค์ ภายหลังทั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กับเจ้าคุณประยุทธ์ต่างก็แยกกันไปนอนในที่ต่าง ๆ กัน เพื่อที่จะได้มีโอกาสพบคนมาก สมัยนั้น ท่านทูตสุนทร หงส์ลดารมภ์ เป็นทูตอเมริกา ท่านบอกกับหลวงพ่อว่า “คนไทยยังเชื่อพระให้บอกคนไทยที่มาอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ ให้พากันกลับเมืองไทยทีเถอะ มาอยู่เป็นโรบินฮู้ดอย่างนี้อายเขา เสียชื่อเสียงประเทศชาติบ้านเมือง”

หลวงพ่อบอกท่านว่า “ฝรั่งมาอยู่เป็นโรบินฮู้ดในเมืองไทย ทำไมเราชื่นชมว่าเขาเป็นคนเก่งกล้า แต่พอคนไทยเป็นโรบินฮู้ดไปอยู่เมืองฝรั่งบ้าง กลับเห็นเป็นเรื่องน่าอาย

ความจริงเมืองไทยเราก็มีแต่โรบินฮู้ดทั้งนั้นแหละ และโรบินฮู้ดเหล่านั้นก็มีส่วนในการสร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้กับเมืองไทย ที่เยาวราชมีแต่โรบินฮู้ดจากเมืองจีนทั้งนั้น มีแค่เสื่อผืนหมอนใบ มาเมืองไทย ก็ยังสร้างชาติไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองได้

อย่าถือว่าเป็นเรื่องน่าอายเลย ขอให้หาทางช่วยให้คนไทยเหล่านั้น ได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายเถอะ คนไทยเหล่านั้นล้วนแต่เก่งและมีความสามารถเท่านั้น หากไม่เก่ง ไม่กล้า ไม่มีความสามารถ เขามาได้ไม่ไกลถึงอเมริกาหรอก

การที่เขามาถึงอเมริกาได้ รัฐบาลไทยไม่ได้เสียเงินให้เขาสักบาทเดียว ไม่ได้ขาดทุนแต่ได้กำไร นั่นก็แสดงว่าเขามีความสามารถเป็นทุนอยู่แล้ว หากช่วยเขาให้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายในอเมริกา เขาก็คงจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าให้แก่ชีวิตได้”

กาแฟ 06-10-2009 12:34

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตัวเล็ก (โพสต์ 21452)
“เราตายได้ แต่พระพุทธศาสนาตายไมได้”


คนไทยไปเมืองนอก เพื่อไหว้ฝรั่ง
พระไปเมืองนอก เพื่อให้ฝรั่งไหว้


หลวงพ่อไปอเมริกาครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ขณะเป็นเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไปด้วย เพื่อพบปะนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

สมัยนั้นคนไทยยังไม่มาก ส่วนใหญ่คนไทยไปอยู่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การเดินทางและการเป็นอยู่ในสมัยนั้นจึงลำบากมาก แต่ก็ต้องทนเพราะต้องการพบปะกับคนไทย เพื่อจะหาวิธีให้มีวัดเกิดขึ้นให้ได้ บางครั้งพักที่สถานฑูตไทย บางครั้งพักที่สำนักงาน ก.พ. บางครั้งก็พักตามมหาวิทยาลัย แต่โดยมากพักตามบ้านคน

ทีแรกไปอเมริกา เขาจัดให้นอนที่สถานทูตไทยด้วยกันทั้ง ๓ องค์ ภายหลังทั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กับเจ้าคุณประยุทธ์ต่างก็แยกกันไปนอนในที่ต่าง ๆ กัน เพื่อที่จะได้มีโอกาสพบคนมาก สมัยนั้น ท่านทูตสุนทร หงษ์ระดารมย์ เป็นทูตอเมริกา ท่านบอกกับหลวงพ่อว่า “คนไทยยังเชื่อพระให้บอกคนไทยที่มาอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ ให้พากันกลับเมืองไทยทีเถอะ มาอยู่เป็นโรบินฮู้ดอย่างนี้อายเขา เสียชื่อเสียงประเทศชาติบ้านเมือง”

หลวงพ่อบอกท่านว่า “ฝรั่งมาอยู่เป็นโรบินฮู้ดในเมืองไทย ทำไมเราชื่นชมว่าเขาเป็นคนเก่งกล้า แต่พอคนไทยเป็นโรบินฮู้ดไปอยู่เมืองฝรั่งบ้าง กลับเห็นเป็นเรื่องน่าอาย

ความจริงเมืองไทยเราก็มีแต่โรบินฮู้ดทั้งนั้นแหละ และโรบินฮู้ดเหล่านั้นก็มีส่วนในการสร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้กับเมืองไทย ที่เยาวราชมีแต่โรบินฮู้ดจากเมืองจีนทั้งนั้น มีแค่เสื่อผืนหมอนใบ มาเมืองไทย ก็ยังสร้างชาติไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองได้

อย่าถือว่าเป็นเรื่องน่าอายเลย ขอให้หาทางช่วยให้คนไทยเหล่านั้น ได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายเถอะ คนไทยเหล่านั้นล้วนแต่เก่งและมีความสามารถเท่านั้น หากไม่เก่ง ไม่กล้า ไม่มีความสามารถ เขามาได้ไม่ไกลถึงอเมริกาหรอก

การที่เขามาถึงอเมริกาได้ รัฐบาลไทยไม่ได้เสียเงินให้เขาสักบาทเดียว ไม่ได้ขาดทุนแต่ได้กำไร นั่นก็แสดงว่าเขามีความสามารถเป็นทุนอยู่แล้ว หากช่วยเขาให้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายในอเมริกา เขาก็คงจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าให้แก่ชีวิตได้”


อ่านแล้วชอบตรงนี้มาก ๆ ครับ ขอไปเผยแพร่นะครับ อนุญาตหรือไม่แจ้งด้วยนะครับ
หนังสือหลวงพ่อ ยังมีขายอยู่ที่ ร้านนายอินทร์ใช่ไหมครับ

ตัวเล็ก 06-10-2009 23:56

ท่านทูตสุนทร หงส์ลดารมภ์ มีความคุ้นเคยกันกับหลวงพ่ออยู่ก่อนแล้ว ทั้งพี่น้องของท่านด้วย เพราะคุณพ่อของท่าน คุ้นเคยกับที่วัดสระเกศ มาตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช(อยู่) เลยทำให้คุ้นเคยกัน คุยอะไรก็คุยกันได้ อย่างคนคุ้นเคยกัน แต่เรื่องความเห็นไม่ค่อยตรงกัน เพราะหลวงพ่อเห็นเป็นอย่างหนึ่ง แต่ท่านก็เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่งท่านเห็นแบบคนโบราณที่เคร่งวัด

อย่างคราวหนึ่ง หลวงพ่อบอกกับท่านถึงเรื่องที่อยากจะให้มีวัดในอเมริกาและอยากให้พระมาอยู่ที่นี่ หลวงพ่อเห็นว่าวัดเกิดขึ้นที่นี่ได้ เพราะที่นี่มีคนไทย จึงขอให้ท่านช่วยหาทางที่จะให้มีวัด ท่านก็บอกว่าที่เมืองไทยวัดจะร้างอยู่แล้ว พระอย่ามายุ่งกับต่างประเทศอยู่เมืองไทยก็ยังทำอะไรไม่ค่อยได้ แล้วพระจะมาสอนอะไรที่เมืองนอก

หลวงพ่อก็บอกกับท่านว่า คนไทยไปเมืองนอกกับพระไปเมืองนอกนั้นแตกต่างกัน คนไทยไปเมืองนอกเพื่อไปไหว้ฝรั่ง แต่พระไปเมืองนอกเพื่อให้ฝรั่งไหว้
และ หากใครพูดถึงเรื่องพระไปต่างประเทศ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อก็จะบอกเขาอย่างนี้เสมอมา

ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ หากมีผู้ถวายปัจจัยก็จะไม่นำกลับเมืองไทย แต่จะสมทบทุนไว้สร้างวัดที่ประเทศนั้น ๆ ไปแต่ละครั้ง ก็จะมีคนถวายปัจจัยเยอะมาก ทุกครั้งที่มีการเทศน์ มีการบรรยาย หรือที่เขาทำบุญ ก็จะไม่เอากลับเมืองไทย และจะตกลงกับผู้ที่จะร่วมคณะไปด้วยเช่นนั้นเสมอ

อย่างไปอเมริกาสมัยนั้น คนถวายปัจจัยเยอะมาก บางวันคนนิมนต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เพราะคนไทยยังไม่เคยเห็นพระที่นั่น ทุกคนต่างก็แตกตื่นดีอกดีใจ ไม่นึกว่าจะมีพระไปอเมริกา ต่างก็อยากให้พระไปบ้าน บางคนเห็นพระถึงกับร้องไห้ ปล่อยโฮออกมาเลย

จนในที่สุด ทั้งสมเด็จวัดปากน้ำ ทั้งเจ้าคุณประยุทธ์ที่ไปด้วย ต้องแยกกันไปคนละที่ เพราะไม่ทันเวลา ต่างองค์ต่างไปสวดมนต์บ้านโยม สวดองค์เดียว บางวันสวดมนต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เรื่องปัจจัยที่เขาถวายมา ไปรัฐไหนก็จะมอบไว้ที่รัฐนั้น เพราะเขามีสมาคมของเขา และก็จะแนะนำเขาให้หาวิธีที่จะให้มีวัดเสมอไป

เด็กเมื่อวานซืน 07-10-2009 09:18

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตัวเล็ก (โพสต์ 21614)
ด้วยความยินดีค่ะ หนังสือระบุว่าพิมพ์ครั้งนี้ ๓,๐๐๐ เล่มค่ะ ตัวเล็กหาได้จากร้านนายอินทร์ สาขาที่ตัวเล็กไปซื้อ ทั้งร้านมี ๕ เล่มค่ะ คาดว่าทางร้านคงกระจายไปทั่วประเทศค่ะ ลองหาดูน่าจะยังหาได้ค่ะ

ถ้าไม่รีบ ผมแนะนำว่าช่วงวันที่ ๑๕-๒๕ ตุลาคมนี้ จะมีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ครับ ในงานนี้ ร้านนายอินทร์ มาออกงานด้วย น่าจะมีหนังสือเล่มนี้มาด้วย และถ้าซื้อในงานสัปดาห์หนังสือ น่าจะได้ลดราคากว่าซื้อตามร้านปกติครับ

ตัวเล็ก 07-10-2009 21:21

เวลาหลวงพ่ออยู่องค์เดียวแล้ว คิดแต่เรื่องการพระศาสนา โดยเฉพาะเรื่องการพระศาสนาในต่างประเทศ คิดเรื่องของการบ้านการเมืองการพระศาสนาว่า เราจะประคองพระศาสนาไว้อย่างไร จะอยู่อย่างไร เฉพาะที่วัดสระเกศก็คิดว่าพระในวัดก็ไม่เหมือนกัน บางองค์ก็ดีบางองค์ก็ไม่ดี บางองค์ดีน้อยบางองค์ดีมาก บางองค์ขยันน้อยบางองค์ขยันมาก

นี่เฉพาะที่วัดสระเกศ

แล้วมาดูคณะสงฆ์โดยรวมทั้งประเทศ จะทำอย่างไร พระพุทธศาสนาโดยรวมทั้งหมดจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรให้คณะสงฆ์เป็นเอกภาพ อยากให้คิดไปในแนวทางเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ต่างคนต่างเป็น ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างสำแดงฤทธ์ สำแดงเดช

หลวงพ่อไปอเมริกาทีแรกยังไม่มีวัด พักตามบ้านคน บางบ้านที่นิมนต์ไป มีที่ว่างแต่โรงรถ เขาก็จัดให้พักที่โรงรถ พักโรงรถก็พัก ขอให้ได้พบคนไทย และก็คิดในทันทีที่ไปนั่นแหละว่า “ต้องตั้งวัดที่นี่ให้ได้” เพราะมีคนไทยอยู่ ก็เลยคุยกับคนไทยว่าเขามีสมาคมหรือเปล่า ก็ทราบว่ามีสมาคมอีสาน สมาคมทักษิณ สมาคมเหนือ สมาคมนักศึกษา แหม! ดี เลยยึดเอาสมาคมตั้งวัด ปัจจัยที่ได้มาก็มอบให้สมาคมเป็นทุนในการตั้งวัด ไปรัฐไหนก็ทำอย่างนั้น แล้วก็มีวัดขึ้นในต่างประเทศ

สมัยนั้น พลเอกสุจินดา คราประยูร ยังเป็นนายทหารยศชั้นผู้น้อย ท่านไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารอยู่ที่อเมริกา ยังนึกถึงบุญคุณของท่านที่มีต่อพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา ท่านมีส่วนอย่างมากในการที่จะให้มีวัดในอเมริกา ช่วยวิ่งเต้นประสานงานกับทุกฝ่าย หากไม่มีท่าน ตั้งวัดในต่างประเทศก็ลำบากอยู่เหมือนกัน ท่านคุ้นเคยกับคุณเฉลิม อรรถพิศาลโสภณ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ก.พ. อยู่ที่อเมริกา จึงเป็นเหตุได้มาช่วยเรื่องตั้งวัด

นี่ก็เป็นเรื่องตั้งวัดในต่างประเทศ ที่คนไม่ค่อยรู้ เพราะไม่ได้พูดกัน เล่าให้พวกเราฟังจะได้จำเรื่องไว้

ตัวเล็ก 08-10-2009 21:43

ตอนแรก ที่ลอสแองเจลิส มีคนไทยไปอยู่ยังไม่มากนัก ส่วนมากเป็นคนไทยที่ชอบเรื่องขลัง ๆ ชอบเรื่องขลังก็ไม่เป็นไร เอาอาจารย์ขลังไป เลยเอาอาจารย์ศรีนวลไป อาจารย์ศรีนวลไปอยู่ได้ไม่นานก็ทะเลาะกับโยมที่นั่น ท่านก็เลยกลับ แล้วก็ส่งพระไปเรื่อยจนวัดมั่นคง จากนั้นก็มีวัดที่วอชิงตัน ดี.ซี. มีวัดที่บอสตันตามมา

ตอนหลัง ทางด้านอเมริกาก็ได้เจ้าคุณธรรมราชานุวัตร วัดโพธิ์เป็นหลัก ส่วนทางด้านยุโรปก็ได้เจ้าคุณจำนงค์เป็นหลัก จึงทำให้วัดค่อยเกิดขึ้นที่ละแห่งสองแห่งจนปัจจุบัน

หมายเหตุ พระราชรัตนรังษี (จำนงค์ ชุตินฺธโร) วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

พระผู้ใหญ่และคนไทยที่ไม่เข้าใจ ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น ที่ตำหนิมาก ก็ตำหนิน้อยลง

เมื่อหลวงพ่อไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม คิดอยู่ในใจตลอด เก็บไว้ในใจว่า ต้องมีวัดในประเทศนั้นให้ได้ ไม่พูดเลยสักคำ แต่มันอยู่ในใจ ไม่พูดออกมาทางปากเลย เก็บกลับเมืองไทย แล้วจะทำอย่างไรต่อไป กับคณะสงฆ์ที่ยังไม่เข้าใจ การพระศาสนาในต่างประเทศ จะทำอย่างไร

แต่ในสมัยนั้นต้องค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป จะคิดแล้วทำเลยอย่างทุกวันนี้ไม่ได้ เพราะตอนนั้นหลวงพ่อพรรษายังน้อย ยิ่งตอนนั้น ถ้าพูดเรื่องต่างประเทศก็เป็นเรื่องใหญ่ เขาด่ากันแหลกเชียวทั้งพระทั้งโยม

สู้เพื่อให้พระศาสนาอยู่ได้

แม้ในมหาเถรสมาคมเองก็พูดไม่ได้ ตอนที่หลวงพ่อเข้าไปเป็นกรรมการมหาเถรใหม่ ๆ พรรษายังน้อย ก็เพราะคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นช่องทางให้พระไปต่างประเทศได้ เสนอชื่อพระที่จะไปต่างประเทศแต่ละองค์ ยากเหลือเกินเพราะพรรษายังน้อย พอพูดถึงเรื่องไปต่างประเทศ ท่านก็ด่าเลยว่า ไปแล้วก็ไปผิดวินัย ไม่ได้รักษาวินัยกัน ไปแล้วไปอยู่กันอย่างไรก็ไม่รู้ วัดวาไม่มีให้อยู่ ไปอยู่ตามบ้านเรือนคน

หลวงพ่อก็ต้องนั่งก้มหน้าอย่างเดียว ไม่โต้ตอบ ไม่พูดอะไร นึกภาวนาอยู่ในใจอย่างเดียวว่า ด่าก็ไม่เป็นไร ขอให้ท่านอนุมัติให้ไปตามที่เราขอ

เมื่อก่อนเสนอพระไปต่างประเทศไม่ได้มากอย่างเดี๋ยวนี้ นาน ๆ จึงเสนอสักองค์ เสนอบ่อยไม่ได้ เสนอทีก็ต้องนั่งก้มหน้าให้ท่านด่าท่านว่ากันที เราก็ไม่พูดเลย นั่งก้มหน้า เราต้องการอย่างเดียว ขอให้ท่านอนุมัติ จะด่าจะว่าอย่างไรก็ช่างท่าน พอด่าเสร็จแล้วท่านก็ว่า เอ้า! ให้ไป เท่านั้นแหละ ก็ได้ไป ท่านด่าก็ด่าไป ด่าเสร็จแล้วท่านก็ให้ไป ขอให้ได้ไป

ตอนหลัง เลยได้พระธรรมทูตต่างประเทศเพิ่มเรื่อยมา ปีสองปีได้ องค์หนึ่งสององค์ ก็เพิ่มมาเรื่อย ๆ

ตัวเล็ก 11-10-2009 12:57

บางทีในที่ประชุมมหาเถรสมาคม หลวงพ่อก็ช่วยด่าด้วย ท่านว่า พระไปอยู่เมืองนอกไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อก็ช่วยด่าด้วย แต่ที่จริงเราไม่ได้ช่วยด่าหรอก แต่แกล้งเป็นพวกเดียวกับท่านช่วยด่า ท่านว่าไม่ดีอย่างนั้น ๆ เราก็ว่า เออไม่ดี เลว แต่พอได้จังหวะดี ๆ เราก็ว่า แต่ดูไป บางทีพระที่อยู่เมืองไทยเอง ที่เลวก็มีเหมือนกัน ไม่ต้องไปถึงเมืองนอก

นี่แหละการต่อสู้เพื่อจะให้พระศาสนาอยู่ได้ไม่ใช่ง่าย แม้กระทั่งที่เมืองไทยเอง เมืองที่เป็นพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปคำนึงถึงพระที่จะไปต่อสู้กับความคิดของคนในต่างประเทศ ที่ไม่ใช่เมืองพุทธหรอก ท่านจะลำบากขนาดไหน

นี่เอาแค่ต่อสู้กับความคิดของคนไทยกันเอง ก็ยังยากลำบากกันขนาดนี้

ตัวเล็ก 12-10-2009 07:53

ตอนไปอเมริกาครั้งแรก ๆ หลวงพ่อเห็นจะอายุ ๔๔ ปีไม่เกินนี้ กำลังทำงาน กำลังมีความคิดความอ่าน ร่างกายกำยำแข็งแรง สุขภาพอนามัยไม่มีปัญหา ทำได้ทั้งคืนทั้งวัน คิดได้ทั้งวันทั้งคืน คุยกับคนที่มาแลกเปลี่ยนความคิดคุยได้จนสว่าง

แม้ไปสวีเดน ตอนตั้งวัดทีแรก คุยจนสว่างจึงหยุด พระที่ตามไปด้วยหลับกันไปหมดแล้ว ยังเหลือหลวงพ่อกับฝรั่งคนหนึ่ง ตอนหลังฝรั่งที่คุยด้วยยังอุตส่าห์ตามมาถึงเมืองไทย แต่ตอนนี้ตายเสียแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อมีความสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่คิดแล้วให้คนอื่นที่เขาทำได้ และรับกันไปเป็นช่วง ๆ จะว่าไปก็เหมือนขายความคิด จะทำเองหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้งานที่อยากทำสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาก็เป็นอันใช้ได้

อย่างเจ้าคุณจำนงค์ที่มรณภาพไปแล้ว ท่านรับได้เร็ว หลวงพ่อพูดกับท่านว่า ที่สวีเดนคนไทยอยู่เยอะ พระน่าจะไปอยู่ได้ ท่านก็รับปากว่า จะพยายาม หลวงพ่อบอกท่านว่า ไปแล้วอย่าคิดกลับนะ ต้องคิดเอาหิมะกลบหน้าอยู่ที่นั่นแหละ แล้วท่านก็ต่อของท่าน พอฟังแล้วท่านคิดต่อ ไม่ใช่ฟังแล้วก็เฉย

ที่จริงยังนึกเสียดายพระอย่างนี้ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก พระพุทธศาสนาจะไปถึงทะเลบอลติกทั้งหมด จะเข้าไปในรัสเซียเดิม นี่ก็เพิ่งเริ่มไว้ คงจะมีผู้สานต่อ

หมายเหตุ ปัจจุบัน ได้เกิดวัดไทยในรัสเซียขึ้นแล้ว ภายหลังเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี (จำนงค์ ชุตินฺธโร) มรณภาพลง ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ นับเป็นการสานต่อปณิธานการเผยแผ่พระศาสนาอันแน่วแน่แห่งพระสงฆ์ไทย ไม่มีที่สิ้นสุด

ตัวเล็ก 12-10-2009 21:45

สมัยนั้นพระจะไปต่างประเทศต้องมาหาหลวงพ่อทั้งนั้น เพราะในมหาเถรสมาคม นอกจากหลวงพ่อแล้วก็ไม่มีใครกล้าเสนอที่ประชุม ทุกองค์รู้ว่า หากมาหาหลวงพ่อแล้วเป็นได้ไป

คราวหนึ่ง มีพระขอว่าท่านอยากไปต่างประเทศ ขอให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อก็ถามว่าจะไปประเทศไหน ท่านก็ตอบว่าไปอเมริกา แล้วก็ถามว่าจะไปทำอะไร ท่านตอบว่าอยากไปเที่ยวดูบ้านดูเมืองเขาบ้าง หลวงพ่อบอกว่า เออ! ไปเที่ยวดูบ้านดูเมืองเขานะดีแล้ว แต่อย่าลืมดูด้วยว่ามีบ้านเมืองเขาตรงไหนบ้างที่สามารถสร้างวัดได้ แล้วท่านก็ไป

ภายหลังท่านก็สามารถสร้างวัดในอเมริกาได้

ยังสงสัยว่า ทำไมพระผู้ใหญ่สมัยนั้น จึงไม่อยากให้พระไปต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่เงินทองค่าใช้จ่ายคณะสงฆ์ก็ไม่ได้เสีย ท่านหาเงินของท่านเอง มีชาวบ้านศรัทธาอยากให้ไป ออกค่าใช้จ่ายให้ท่าน คณะสงฆ์กลับจะได้ประโยชน์เสียอีก คือ ได้อย่างเดียว อย่างน้อยก็ได้พระที่หูตากว้างไกลเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

ตัวเล็ก 14-10-2009 00:15

เอาเงินฝรั่ง สร้างวัดให้ฝรั่ง


การสร้างวัดที่ยุโรปตอนแรกนั้นต้องไปเช่าคอนโดอยู่ พยายามแสวงหาพระที่จะไปอยู่นานปี แต่ก็ไม่มีใครอยากไปอยู่เพราะกลัวความหนาวของหิมะ

ต่อมาเจ้าคุณจำนงค์ ท่านรับอาสาว่าอยู่ได้ ก็เอาท่านไป พอไปถึง ก็ยกธงธรรมจักรไว้ที่หน้าต่าง เป็นสัญลักษณ์ ให้รู้กันว่า พระพุทธศาสนามาตั้งในยุโรปแล้ว แต่การอยู่ตอนแรกก็ลำบากมาก เพราะต้องอยู่ปนกับเขาห้องนิดเดียว จนกระทั่งได้ขยายมาเป็นวัดอย่างปัจจุบัน

วัดแรกในยุโรปนั้น เกิดขึ้นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และการสร้างวัดในยุโรปก็ได้ประสบการณ์จากอเมริกา คือ ที่อเมริกาการสร้างวัดต้องใช้เงินจากประเทศไทยอยู่บ้าง ผ้าป่าบ้าง กฐินบ้าง แต่ก็น้อย โดยมากเป็นเงินของอเมริกา

สำหรับที่ยุโรป ตั้งใจว่า จะไม่ใช้เงินไทย วางเป็นนโยบายเลยว่า ต้องเอาเงินฝรั่งสร้างวัดให้ฝรั่ง พระไปอยู่ประเทศไหนก็เอาเงินประเทศนั้นสร้างวัด เพราะถ้าจะเอาเงินไทยไปสร้างวัดในต่างประเทศ เราจะต้องขนเงินบาทออกนอกประเทศเท่าไร จึงจะสร้างวัดได้วัดหนึ่ง ค่าเงินต่างกันมาก พระที่ไปอยู่ต่างประเทศจึงต้องเก่งและมีความอดทนสูง

ตัวเล็ก 15-10-2009 08:37

ที่เนเธอร์แลนด์นั้น ตอนนี้พระที่ไปอยู่เป็นเจ้าคุณชั้นราช อายุ ๗๐ ปี ท่านอยู่วัดสระเกศมานาน สำเร็จปริญญาเอก เมื่อก่อนทำงานมหาจุฬาฯ เป็นเหรัญญิกคุมเงินของมหาวิทยาลัย ทำงานรุ่นเดียวกับท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ผมบอกท่านว่า อย่าไปคุมเลยการเงิน มหาจุฬาฯ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เงินมากขึ้นงบประมาณมากขึ้น เดี๋ยวมีปัญหา เลิกเสียเถอะ หลวงพ่อถามท่านว่า เสียดายเงินเดือนไหม ท่านบอกว่า ไม่เสียดาย ถ้าไม่เสียดายก็หยุดเถอะ มาอยู่ที่วัดดีกว่า ไม่ต้องทำแล้ว ท่านก็หยุดมาอยู่ที่วัด

ต่อมาที่วัดพุทธาราม เนเธอร์แลนด์ เกิดว่างไม่มีพระดูแล หลวงพ่อเลยถามท่านว่า ไปอยู่เนเธอร์แลนด์ได้ไหม ท่านก็ว่าไปได้ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าอยู่ได้ก็ไม่ต้องกลับแล้วนะ อยู่ที่นั่นแหละ เพราะเราอายุ ๗๐ กว่าแล้ว คนที่นั่นเขาเคารพนับถือ ท่านก็เลยต้องอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้

ยุโรปสมัยนั้นคนไทยยังไม่มาก โดยมากเป็นพวกหัวรุนแรงที่หนีการเมืองสมัย ๑๔ ตุลาไปอยู่ หนังสือกล่าวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นก็พิมพ์ที่นี่ทั้งนั้น

แต่เดี๋ยวนี้ความคิดอย่างนั้นเบาไปมากแล้ว

ทุกวันนี้ที่สวีเดนหัวรุนแรงก็ยังมาวัด และพวกนี้แหละที่เป็นกำลังของการตั้งวัดครั้งแรก เมื่อไปอยู่อย่างนั้นแล้วก็คงมีความโดดเดี่ยว เหมือนขาดที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงมีความพยายามที่จะให้มีวัด มีพระเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ

ก็แปลก ตอนอยู่เมืองไทยไม่ชอบพระ หาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระกินอยู่สบาย เอาเปรียบสังคม แต่พอไปอยู่อย่างนั้นเกิดคิดถึงพระขึ้นมา

ขวนขวายทุกอย่างอยากให้มีวัด อยากให้มีพระ

ตัวเล็ก 16-10-2009 07:55

ไปต่างประเทศต้องระมัดระวัง


ตอนที่ไปสมัยนั้น พระจะพูดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ไม่ได้เลย พวกหัวรุนแรงค้านทันที และค้านอย่างรุนแรงด้วย รู้ว่าเขาไม่ชอบเราก็ไม่พูด ขอเพียงให้จุดประสงค์ของเราสำเร็จก็พอ คือ ขอเพียงให้มีวัดเกิดขึ้น แต่บางครั้งเขาก็ตำหนิพระเหมือนกันว่า ทำไมพระถึงไปรับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ และก็รับใช้รัฐบาลเผด็จการ ทำไมพระไม่เป็นตัวของตัวเอง

เรื่องนี้เจ้าคุณพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านทราบดี

เดี๋ยวนี้ความคิดรุนแรงเช่นนี้มันเบาลงไปมากแล้วเพราะรัฐบาลก็ปรับปรุงอะไรต่ออะไรให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น บางทีรัฐบาลเองก็มาจากกลุ่มคนหัวรุนแรงนั้นเยอะ เกือบ ๔๐% ของรัฐบาลปัจจุบันมาจากกลุ่มคนหัวรุนแรง

รวมความแล้ววัดที่ยุโรปเกิดขึ้นได้นั้น ก็อาศัยคน ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มพวกหัวรุนแรง กลุ่มคนไทยที่ไปอยู่ที่นั่น และสถานทูต จากนั้นก็เริ่มขยายเรื่อยมา และพระที่เป็นหลักตั้งแต่ต้น คือ เจ้าคุณจำนงค์นี้ ท่านเป็นผู้บุกเบิกอย่างมาก และท่านก็ทำงานอย่างน่าสงสาร ปีหนึ่งก็มาเมืองไทยสักครั้ง หรือ ๒ ครั้ง

ตัวเล็ก 18-10-2009 10:12

ที่ยุโรป เมื่อก่อนหลวงพ่อไปทุกปี ไปติดต่อกันราว ๓๐ ปี เพื่อต้องการที่จะให้มีวัดขึ้นในยุโรป แต่อเมริกาไปน้อยกว่า เพราะที่อเมริกามีคนไทยมากตั้งวัดได้เร็ว แต่ในยุโรปไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี ต้องไปดูหลายครั้งให้แน่ใจว่า ตั้งวัดได้ ใช้เงินในการเดินทางไปยุโรปมาก เพื่อต้องการที่จะให้มีวัด แต่ค่าใช้จ่ายตอนนั้นก็ยังนับว่าถูกมาก ไปครั้งแรกใช้เงินหมื่นกว่าบาท ไม่ถึงสองหมื่นบาท อยู่เกือบยี่สิบวัน ค่าเครื่องบินไม่ถึงหมื่น

การไปต่างประเทศต้องระมัดระวัง แต่ไม่ใช่ถึงกับระวังจนทำอะไรไม่ถูก ฝรั่งนี้ระเบียบมาก ถ้าไม่ถูกระเบียบเขาไม่เอาด้วย เห็นเป็นที่ว่างเราอยากจะเดินไปตรงนี้ บางทีเขาไม่ให้เดินมันก็ไปเล่นงานเรา อย่านึกว่าว่างแล้วไปได้ บางทีเขาว่าเอา มันก็ไม่ดี พระเราก็เสีย เขาก็จำไว้ว่า ใส่สีเหลืองแล้วเป็นพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวไป

สีเหลืองของจีวรนั้นเป็นสีแปลก จะเพราะเหตุไรไม่ทราบ ทำให้ฝรั่งเกิดความสนใจ เขารู้สึกว่ามันสวย ไปต่างประเทศแรก ๆ ฝรั่งทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ผู้ใหญ่ เด็กหนุ่ม เห็นสีจีวรแล้วสนใจชอบมาดูมาถามว่า อยู่ประเทศไหน พอบอกว่า อยู่ประเทศไทย เขาถามต่อว่า แต่งตัวอย่างนี้เหมือนกันหมดทั้งประเทศหรือเปล่า แล้วก็อธิบายให้เขาฟังว่า เราเป็นพระจึงแต่งตัวอย่างนี้

แต่เดี๋ยวนี้ก็น้อยลง เพราะพระเข้าออกต่างประเทศมาก

ตัวเล็ก 19-10-2009 08:38

ประเทศชาติเป็นเรือนกาย พระศาสนาเป็นเรือนใจ
 
คนไทยนับถือพุทธศาสนาโดยสายเลือด

ขอแสดงความปีตียินดี อนุโมทนาอย่างสูงยิ่ง ต่อน้ำใจที่งดงามของท่านทั้งหลาย ที่ได้แสดงออกต่อพระพุทธศาสนา ให้การปฏิสันถารต้อนรับพระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาในพิธี ตามที่ท่านอัครราชทูตได้กล่าวไปแล้วนั้น

อาตมาขอพูดแบบเป็นกันเอง ไม่เป็นทางการตามที่ท่านอัครราชทูตไทยของเรา ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนท่านเอกอัครราชทูต ได้กล่าวให้เราทั้งหลาย ได้ทราบถึงความเป็นมา โดยละเอียดถี่ถ้วน เป็นเหตุให้เราทั้งหลาย ทั้งฝ่ายพระสงฆ์และสาธุชนญาติโยมทั้งหลาย ได้ทราบร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

วัดพุทธารามนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่ริเริ่มเป็นอย่างไร ทำให้เราทั้งหลายได้มีความภาคภูมิใจร่วมกันว่า เรานับถือพุทธศาสนาโดยสายเลือด แม้จะไม่ได้ทราบถึงหลักธรรมอย่างสูง และปฏิบัติธรรมได้อย่างสูง แต่ในสายเลือดนั้น ทุกท่านก็เป็นชาวพุทธเต็มครบถ้วน

เมื่อมาอยู่ต่างประเทศ ความรู้สึกว่าเป็นชาวพุทธนั้นก็ทำให้ท่านทั้งหลายเกิดความรู้สึกว่า จะทำอย่างไรให้ท่านทั้งหลายที่มาอยู่ประจำ ได้มีวัดเกิดขึ้นและมีพระสงฆ์มาอยู่ประจำ

ความปรารถนาในใจนี้ เหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แต่บางคนก็ได้พูด บางคนก็ไม่ได้พูด บางคนได้ทำด้วยตนเอง บางคนก็สนับสนุนส่งเสริม เพราะเหตุที่มีความเป็นชาวพุทธอยู่ในใจนั่นเอง

ตัวเล็ก 19-10-2009 16:34

อาตมา ได้ทราบความริเริ่มมาตั้งแต่ต้นว่า พี่น้องชาวพุทธที่นี่มีความต้องการอย่างไร จึงได้ปรึกษากับท่านเจ้าคุณที่สวีเดน ที่ท่านทั้งหลายเรียกกันด้วยคำสามัญว่า “หลวงตา” (พระราชรัตนรังสี (จำนงค์ ชุตินธโร) วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน) ว่า ทำอย่างไรจึงจะให้มีพระได้ไปอยู่ประจำที่นอร์เวย์ ทำอย่างไรจะให้มีวัดเกิดขึ้น

ระหว่างที่มีวัด ก็ได้ปรึกษากันว่า เมื่อชาวพุทธที่นอร์เวย์ต้องการพระในโอกาสต่าง ๆ ก็ขอให้เดินทางมา ท่านเจ้าคุณหลวงตาก็ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้

จนกระทั่งต่อมา ท่านพระครูปลัดสำรวจได้มาอยู่ที่สวีเดน ที่วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม เป็นเหตุให้ท่านเจ้าคุณหลวงตา นึกว่า เป็นโอกาสดีแล้วที่จะให้ท่านพระครูปลัดสำรวจมาอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านพระครูปลัดฯ นั้น มีน้ำอดน้ำทนสูง คนที่จะมาอยู่นอร์เวย์นี้ต้องอดทนสูงอีกเท่าตัว จากการอยู่ในประเทศอื่น ๆ เพราะว่าดินฟ้าอากาศ เป็นต้น ทำให้พระสงฆ์อยู่ยาก อย่างที่ท่านนพพร อัครราชทูตได้กล่าวไว้แล้ว

ท่านพระครูปลัดสำรวจ แสดงความมีน้ำอดน้ำทนสูงตั้งแต่เริ่มมาในเบื้องแรก และจนกระทั่งได้เกิดวัดนี้ขึ้น เมื่อเริ่มจดทะเบียนเป็นสมาคม อาตมาก็ได้รับทราบและก็ดีใจว่า อย่างไรวัดต้องเกิดขึ้นแน่แล้ว และพระสงฆ์ก็จะได้ไปอยู่ประจำแน่

ต่อมา ได้ทราบชัดเจนว่า ท่านพระครูปลัดฯ นี้ อยู่เป็นหลักที่นี่แน่นอน และท่านเดินทางกลับเมืองไทย ก็ไปบอกให้อาตมาทราบ ถึงความก้าวหน้าในการสร้างวัดว่า เป็นอย่างไร

ตัวเล็ก 21-10-2009 09:01

ท่านไม่เคยเอ่ยปากบอกอาตมาว่า ให้มาเปิดวัด เพราะว่าเดินทางไกล และเห็นว่า อาตมานี้แก่มากแล้ว เดินทางลำบาก ท่านไม่ได้ขอร้องว่า ให้ช่วยมาเปิดวัด แต่ความประสงค์ของท่านที่คุยกันนั้น ทำให้อาตมารู้ว่า หลวงตาสวีเดนก็ดี ท่านพระครูปลัดฯ ก็ดี ต้องการให้มา อาตมาก็ชั่งใจตัวเองว่า อายุสังขารไม่ค่อยอำนวยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะมาได้อย่างไร

แต่ก็นึกในใจว่า ปีนี้ในหลวงของเราอายุย่างเข้า ๗๒ ปีแล้ว มาเปิดวัดนอร์เวย์ก็ดี ได้ถวายเป็นพระราชกุศล แด่ในหลวงด้วย แล้วก็ตรงกับปี ๒๐๐๐ ตามที่ชาวโลกเขากล่าวกันด้วย ก็เลยตัดสินใจมา

ทีแรกก็นึกว่าจะเดินทางมากันสัก ๒-๓ องค์ แต่ก็คิดว่า ถ้ามาแล้วก็ให้เป็นหมู่เป็นคณะ เป็นกลุ่มเป็นก้อน ทีแรกชวนกันมา ๑๐ องค์ ผลที่สุดก็เหลือ ๙ องค์ เหมือนที่เคยตั้งใจว่า ๙ องค์ เดินทางมาเพื่อร่วมเปิดวัดกับท่านทั้งหลายในวันนี้

นี้ขอเล่าถึงความตั้งใจ สอดคล้องกับที่ท่านเจ้าคุณหลวงตา และท่านพระครูปลัดสำรวจมีความรู้สึก และตรงกับที่ท่านอัครราชทูต ท่านได้กล่าวไปแล้ว

ท่านทั้งหลายทราบดีว่า ประเทศนอร์เวย์กับประเทศไทยนั้นไกลแต่เหมือนใกล้ เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๕ ของเรา เสด็จมานอร์เวย์ ที่นอร์ธเคป ในสมัยโน้นท่านเสด็จมาทางเรือ ลำบาก เพราะอย่างนั้น พวกท่านทั้งหลายที่มาอยู่กันที่นี่ ต้องนึกว่า เรามาอยู่โดยเสด็จพระราชกุศล ตามในหลวงรัชกาลที่ ๕

ปี พ.ศ. เท่าที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จมา ก็พ.ศ.๒๔๕๐ คิดดู พ.ศ.๒๔๕๐ ถึงเวลานี้เท่าไรแล้ว ปีนี้ พ.ศ.๒๕๔๒ รวมแล้วก็เกือบร้อยปี เกือบร้อยปี ที่พระองค์เสด็จมาที่นี่

ตัวเล็ก 22-10-2009 07:59

มหามงคลในรอยธรรม
 
เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าทำไมเราจึงมาอยู่กันที่นี่ แต่เราก็เชื่อว่า คนเราเกิดตายเกิดตาย เวียนมาจนกระทั่งมาเข้ายุคนี้ เลยได้มาอยู่ที่นี่ ยุคนั้นพวกเราคงโดยเสด็จมากับในหลวงรัชกาลที่ ๕ ถึงได้พลัดกันมาอยู่ที่นี่อีก

แต่ในหลวงท่านไม่อยู่เสียแล้ว

อาตมาก็รู้สึกว่า ท่านทั้งหลายนี้ โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๕ มาอยู่ในประเทศนี้ แล้วสมเด็จพระพี่นางก็ได้เสด็จมาเปิดอนุสาวรีย์ของในหลวงรัชกาลที่ ๕ เพราะอย่างนั้น ให้ดีใจว่า แม้เราจะอยู่ต่างกัน ที่จังหวัดนั้นบ้าง จังหวัดนี้บ้าง ล้วนไปเกิดทีหลัง เราไม่รู้บุญกรรมที่เราทำไว้ ส่งให้เราไปเกิดที่จังหวัดนั้นบ้าง จังหวัดนี้บ้าง แต่ผลที่สุดก็ต้องมารวมกันอยู่ที่นี่ โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๕ จึงเป็นเรื่องน่าดีใจ

แล้วในหลวงรัชกาลที่ ๕ นี้ ท่านเคยบวชพระ นับถือพระพุทธศาสนา เรามาตั้งวัดด้วยแล้ว พอดีตั้งวัดนี้อยู่ในช่วงที่ในหลวงของเรา พระองค์ปัจจุบัน พระชนมพรรษา ๖ รอบ ๗๒ ปี เราก็ได้เปิดวัดในปีนี้ ถือว่าเป็นมหามงคล จะได้ถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านด้วย

ในหลวงของเรา พระองค์ปัจจุบันนี้ ท่านก็เป็นหลานของในหลวง รัชกาลที่ ๕ นี่พูดแบบชาวบ้านธรรมดา เราทั้งหลายก็เปิดวัดถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน แม้จะอยู่ต่างประเทศ เราก็สามารถที่จะร่วมกัน ถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านได้ ซึ่งก็ขอฝากท่านนพพร อัครราชทูตเพื่อรายงานต่อท่านเอกอัครราชทูตด้วย
ให้รายงานเข้าไปยังกระทรวงต่างประเทศว่า ที่นี่ เปิดวัดในวันนี้ วันที่เท่านี้ เวลาเท่านี้ โดยพี่น้องชาวไทยที่มาอยู่ที่นี่ได้ร่วมกันสร้างวัด และเปิดวัดถวายพระราชกุศล กระทรวงต่างประเทศก็จะได้แจ้งให้รัฐบาลได้ทราบ ท่านพระครูปลัดสำรวจ เป็นประธานสงฆ์ เป็นหลักในการเปิดวัดถวายพระราชกุศลนี้

คณะที่มา แม้จะมาจากกรุงเทพฯ ก็เช่นเดียวกันเราได้มาร่วมกันเปิดวัดถวายพระราชกุศล ซึ่งจะเป็นบุญอย่างมหาศาลแก่ชีวิตของเรา ท่านอัครราชทูตนพพรพูดว่า ดินฟ้าอากาศก็อำนวยฝนลงมา ถ้าพูดตามบ้านเราก็ฝนลงเป็นมงคล แต่ที่นี่ก็คงจะหนาวจัดขึ้น เอาละเรา ถือตามบ้านเราว่า เป็นมงคล ฝนก็ลงมาในเวลาที่เราจะเปิดวัด

ตัวเล็ก 26-10-2009 09:29

ครั้งแรกอาตมามาที่ประเทศนอร์เวย์นี้ เมื่อปี ๒๕๐๗ มาจนถึงวันนี้รวมแล้ว ก็ ๓๕ ปี บอกท่านทูตนพพรว่าได้มาที่นี่ ๒๐ กว่าปีแล้ว ที่จริงมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ แล้ว

ตอนนั้น นึกว่าคนไทยเรายังมีน้อย และคนไทยมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยรู้จักกัน ต่อไปคนไทยจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เมื่อคนไทยมาอยู่เพิ่มขึ้น แล้วจะทำอย่างไร นึกว่าต่อไปคนไทยเราจะไปอยู่ทั่วโลก ถ้าหากที่นอร์เวย์นี้มีคนไทยมากขึ้นถึง ๕๐ คน ๖๐ คน จะทำอย่างไรให้มีพระอยู่ที่นอร์เวย์นี้ด้วย พระจะได้อยู่คู่กับชาวไทย

ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๗ มาจนถึงวันนี้รวมแล้ว ก็ ๓๕ ปี ไม่ใช่น้อย กว่าจะเกิดวัดนี้ขึ้นที่นอร์เวย์ได้ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธุตาจารย์ที่มาจากวัดสระเกศ อีกองค์ บอกว่าเกิดปี ๒๕๐๗ ปีนี้ก็มีอายุครบ ๓๕ ปีพอดี ท่านเกิดตรงกับปีที่อาตมามาที่นี้ครั้งแรก เข้าใจว่าหลายท่านที่อยู่ที่นี่อาจจะเกิด พ.ศ. ๒๕๐๗ บ้าง

หมายเหตุ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธุตาจารย์ ปัจจุบัน ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ในราชทินนามที่ พระราชปัญญาโสภณ (สุรชัย สุรชโย ป.ธ.๗)

ตัวเล็ก 27-10-2009 17:17

๓๕ ปีก่อนได้มาที่นอร์เวย์ และตั้งใจว่าจะสร้างวัดให้ได้ ก็เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว แม้จะรอนานเป็นระยะเวลาถึง ๓๕ ปี จึงสามารถสร้างวัดที่นี่ได้ แต่ก็นับว่าคุ้มกับการรอคอย

นึกว่าจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทย ไม่ได้มุ่งหมายเอาชาวต่างประเทศอะไรหรอก เอาคนไทยนี่แหละก่อน มุ่งหมายว่าคนไทยเราที่มาอยู่นี้ มีพระแล้วจะได้อบอุ่นใจ

ในเมื่อมีปัญหาอะไรบอกใครไม่ได้ ก็บอกพระพุทธรูปท่าน บอกว่าเวลานี้เป็นอย่างนี้ ๆ เล่าให้ท่านฟัง แล้วท่านก็จะได้ช่วย ไม่ใช่ให้เรางมงายไปทางศักดิ์สิทธิ์ แต่เราไม่สามารถที่จะบอกเรื่องนั้นแก่ใครได้ เราบอกแก่พระสงฆ์ อย่างพระครูปลัดฯ เดี๋ยวนี้ ก็บอกแก่ท่านว่าอย่างนี้ ๆ มีเรื่องอย่างนี้ดีบ้าง ไม่ดีบ้างก็แล้วแต่ ดีก็บอก ไม่ดีก็บอก

ทีนี้บางเรื่องบอกท่านไม่ได้ แล้วจะบอกใคร ก็บอกหลวงพ่อพระพุทธรูป บอกหลวงพ่อพระประธาน อธิษฐานในใจว่า เวลานี้เรากำลังดำเนินการ ดำเนินชีวิตไปกำลังดี ขอให้หลวงพ่อทราบด้วย ขอให้หลวงพ่อช่วยส่งเสริมด้วย เราบอกท่านก็จะทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่า เราจะต้องดีขึ้นแน่ ๆ ถ้ามีปัญหาเราก็นึกว่า ท่านจะต้องช่วยให้บรรเทาปัญหาของเราได้ ก็มาบอก อยู่ไกล ๆ ก็มา เหมือนวันนี้บางท่านบอกว่ามาถึงตั้งแต่ตี ๓ ไกลเท่าไรก็ไม่รู้ มาไกลเหลือเกิน...

ตัวเล็ก 29-10-2009 09:32

ทีนี้ถ้าท่านพระครูปลัดฯ ไม่ไปที่โน่น ก็มาที่นี่ มาไม่เจอก็ไปหาหลวงพ่อ แล้วบอกว่า อยู่ที่โน่นสบายดีให้หลวงพ่อช่วยคุ้มครองด้วย ถ้าไม่สบายก็บอกหลวงพ่อช่วยคุ้มครองรักษาลูกด้วย ช่วยดูแลลูกด้วย

จะเห็นได้ว่าท่านทั้งหลายมีที่พึ่งแล้ว มีหลักแล้ว แม้จะมาไกลแต่เราก็มีหลักมีที่พึ่ง ยึดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บอกพระสงฆ์ไม่ได้ ก็บอกพระพุทธ บางอย่างบอกได้ทั้งพระสงฆ์ บอกได้ทั้งพระพุทธ แล้วเราก็จะได้มั่นใจว่าเราอยู่ได้แน่ และชีวิตของเราก็จะดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาแน่

ที่อาตมาพูดมานี้ ก็ยาวไปหน่อย แต่เมื่อเจอกันแล้วก็ต้องพูดอย่างนี้แหละ ที่จริงอยากจะอยู่ไปอีกสักวันหนึ่ง แต่ได้บอกเมื่อวานแล้วว่า เกิดมีกำหนดเพิ่มเติมว่า ควรจะไปฟินแลนด์ด้วย เพราะว่าเจ้าคุณหลวงตาก็ดี ท่านพระครูปลัดสำรวจก็ดี ได้เคยพูดว่าที่ฟินแลนด์นั้นก็น่าจะไปดู หากจะมีพระไปอยู่ก็จะได้ทำเหมือนที่นี่ อาจทำให้ชาวไทยที่นั่นได้เกิดความอบอุ่น ยังไม่มีวัดแต่ก็ลองไปดูก่อน เหมือนกับอาตมามาที่นี่ เมื่อปี ๒๕๐๗ ยังไม่มีวัด เวลานี้วัดก็เกิดขึ้นแล้ว ดีใจที่ท่านทั้งหลายได้มีหลักในทางใจ ต่อไปฟินแลนด์ก็คงจะมีวัดเช่นกัน

ตัวเล็ก 30-10-2009 08:16

บ้านเมืองของเรานี้เราถือกันว่า ประเทศชาติบ้านเมืองเป็นเรือนกาย พระศาสนาเป็นเรือนใจ เราคนไทยนี้ไม่เหมือนกับประเทศอื่น คือ เรามีทั้งเรือนกายมีทั้งเรือนใจ ประเทศเป็นเรือนกาย พระศาสนาเป็นเรือนใจ ประเทศอื่นเรือนใจเขาไม่มี แต่ว่าประเทศเรานี้มีเรือนใจ คือ พระศาสนา

เพราะอย่างนี้ เมื่อท่านทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ แม้มาไกลแสนไกล แต่ก็มีทั้งสองอย่าง คือ มีทั้งเรือนกายและเรือนใจ จึงขอให้ทุกคนมั่นใจที่จะอยู่ที่นี่ สามารถทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองไปได้

ขออนุโมทนาสาธุการ ชื่นชมยินดี ในความพร้อมเพรียง และอุตสาหะ พยายามจนกระทั่งรวบรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนสามารถจดทะเบียนเป็นสมาคมชาวพุทธไทยขึ้นได้

การรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นเรื่องสำคัญ ชาวไทยของเรารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงได้เกิดประเทศไทยขึ้น ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เรามาอยู่ที่นี่ก็สามารถเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้ เหมือนกันกับบรรพบุรุษของเราแต่อดีตกาล เราจึงได้ดำเนินชีวิต ตามแบบอย่างของบรรพบุรุษ

ตัวเล็ก 02-11-2009 11:32

ที่พูดไปแล้ว ขอให้นึกชื่นใจว่าทุกคนที่มาอยู่ที่นี่ ก็ขอให้นึกว่าเรามาอยู่โดยเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๕ จะเป็นใครก็ตาม มาใหม่ก็ให้บอกกันให้ทราบ มาอยู่ที่นี่แล้วก็ให้นึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๕ ที่เรามาอยู่นี้ เพราะเราเคยเป็นลูกหลานพระองค์ท่าน ที่โดยเสด็จมาในสมัยโน้น ในสมัยนี้เราจึงได้มาอยู่ที่นี่ เพราะเราเป็นลูกหลานของท่าน

เพราะเหตุนี้ เราจึงมีวัดขึ้นเป็นหลักใจ เราจึงมีทั้งเรือนกายและเรือนใจ ตามที่พูดไปแล้ว

บัดนี้ได้เวลาที่เหมาะสม เราทั้งหลายจะได้ร่วมกันประกอบพิธีเปิดวัด เวลาที่เปิดวัดพระสงฆ์ก็จะได้เจริญชัยมงคลคาถา เพื่อความมั่นคงของวัดเรา และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเราทุกคนด้วย

ตัวเล็ก 03-11-2009 17:54

ไปประกาศพระศาสนาต่างประเทศ
 
รักษาสังฆมณฑล
คือ การรักษา สถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์


ขอแสดงความยินดี ที่พระภิกษุผู้มีความสามารถ ได้สมัครใจเข้ามารับการฝึกอบรม เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่เป็นพระธรรมทูตในต่างประเทศ

การที่ทุกท่านได้รับโอกาสเช่นนี้ เพราะเหตุที่มีพระเถระที่เห็นความสำคัญ ของการไปปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูตในต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีท่านเจ้าคุณพระเทพโสภณ อธิการบดี ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานอำนวยการโครงการนี้ พร้อมด้วยพระเถระที่มีภาระหน้าที่บริหารมหาวิทยาลัย มีความคิดเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่า การปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูตในต่างประเทศ เป็นภารกิจที่สำคัญ ต้องใช้ความสามารถมาก ตามที่ท่านเจ้าคุณพระเทพโสภณ อธิการบดีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้กล่าวให้ทราบ ในรายงานแล้วนั้น การที่พระมหาเถระของมหาวิทยาลัยทุกท่าน ได้มีความคิดและปฏิบัติตามความคิดนั้น กล่าวได้ว่า เป็นการจรรโลงพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้แผ่กว้างออกไป เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่เพื่อนร่วมโลก เป็นการปฏิบัติสอดคล้องกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ตั้งแต่คราวแรก ที่ทรงส่งพระสาวกองค์อรหันต์ ออกไปประกาศพระศาสนา ดังที่ทราบอยู่แล้ว

หมายเหตุ ท่านเจ้าคุณพระเทพโสภณ ปัจจุบัน ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ที่ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยูรฯ กรุงเทพมหานคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว