กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=44)
-   -   วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3224)

เถรี 27-02-2012 11:51

วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐
 
อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐

จะเอายานัตถุ์ไหม ? พระที่ออกจากวัดท่าซุง*ไม่เจอหมากก็เจอยานัตถุ์ เว้นอยู่หนึ่งรูปคืออาตมา เพราะว่าช่วงที่มาอยู่ที่นี่ไม่นาน ขณะที่เดินทางเข้าไปรับสังฆทานที่กรุงเทพฯ ความเคยชินก็คือว่า ถ้าขึ้นรถแล้วต้องภาวนา เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า ?

ดังนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับพระไว้ก่อน ปุบปับเป็นอะไรไป อย่างน้อยเราก็ยึดพระเป็นที่พึ่ง กำลังภาวนาอยู่ เสียงเป่ายานัตถุ์ปื้ดอยู่ข้างหู กลิ่นหอมตลบ ผมอยากน้ำลายยืดเลย ด้วยความตกใจ..กูเสร็จแน่งานนี้..! ก็เลยรีบบอกกับ“หลวงพ่อ”** ท่านว่า “หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ..” ท่านถามว่า “แล้วไม้เท้าละจะเอาไหม ?” ตอนนั้นตอบว่าเอาหรือไม่เอาโดนฟาดกบาลแน่ เงียบไว้ก่อนดีกว่า

พอปีนั้น(๒๕๔๘)ไปตัดแว่น เพราะมองหนังสือไม่ถนัดแล้ว เอื้อมสุดแขนเวลาอ่านหนังสือ รำคาญแล้ว เมื่อยมือ อ่าน ๆ วาง ๆ ตัดแว่นเสร็จใส่เข้าไป ท่านหัวเราะ บอกว่า “ทีนี้รู้แล้วใช่ไหม ? ทำอย่างกับว่าข้าอยากใส่มันนักนี่..” ในเรื่องแว่นนี่นะ สภาพร่างกายของเรานั้นจำเป็น แต่หมากกับยานัตถุ์นี่บุคลิกเราไม่ให้ คนอื่นเอาไปเถอะ สัญลักษณ์หลวงพ่อ เป็นอย่างไรก็เป็นกัน อย่างเราไม่เอาเลย

วันนี้ร่างกายไม่ค่อยดี ไม่สบาย เมื่อวานไปให้หมอนวดมา แทนที่จะดีขึ้นกลับไข้จับไปเลย เพราะเจ็บ คำว่าเจ็บนี่อธิบายให้พวกคุณฟังไม่ได้หรอก เพราะถ้าผมเจ็บแล้วพวกคุณเจ็บกว่าเยอะ ถ้าหากว่าใครเคยเห็นหมอนวดผมแล้วจะรู้ นวดเท่าไรก็ไม่มีอิไม่มีแอะเอาเลย เพราะว่าถ้าเราไม่ไปสนใจกับร่างกาย เอาใจอยู่กับการภาวนาหรืออยู่กับพระของเรา จะเป็นการระงับกายสังขารไปในตัว คือ จิตกับประสาทแยกออกจากกัน

ดังนั้น..เจ็บก็เหมือนกับไม่เจ็บ มารู้ตอนที่เลิกแล้ว เดินเป๋ไปเลย ไม่ได้คิดว่าหลวงตาพม่าแกจะอยู่ที่คลิตี้*** ก็เลยใจเย็นออกไปตอนบ่าย ปรากฏว่าพอหลังเพลอาจารย์สมพงษ์****ก็พาท่านไปส่ง

เมื่อหาหมอนวดไม่ได้ แม่ชีก็เลยไปโทรเรียกหมอนวดมืออาชีพมา ถ้านวดแล้วคนไม่ร้องโอ๊ยก็ไม่ใช่มืออาชีพ ส่วนที่บอกว่า ถ้าหากว่าเจ็บ จะเจ็บมากกว่าพวกคุณหลายเท่านี่ เอาไว้ถึงเวลาแล้วก็จะรู้

หลวงพ่อวัดท่าซุง สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านมีความอดทนเกินมนุษย์ทั่วไป สิ่งที่ท่านป่วยก็คือ ป่วยเป็นมาเลเรีย แต่ท่านไม่รู้ เพราะไม่คิดว่าหลังจากเลิกธุดงค์มาสามสี่สิบปีแล้ว มาเลเรียยังตามมาอีก

หมายเหตุ :
*วัดจันทาราม(ท่าซุง) เลขที่ ๖๐ หมู่ที่ ๑ ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ๖๑ - ๐๐๐
**พระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโร ป.ธ.๔) วัดจันทาราม(ท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ๖๑ - ๐๐๐
***วัดคลิตี้ผลธรรมาราม บ้านทุ่งเสือโทน หมู่ที่ ๔ ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑ - ๑๘๐
****พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต วัดท่าขนุน ๒๓๕ หมู่ที่ ๒ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑ - ๑๘๐

เถรี 27-02-2012 12:06

ท่านรู้อยู่อย่างเดียวว่า บ่ายสี่โมงจะต้องอาเจียนทุกวัน มาเลเรียจะขึ้นตรงเวลา พวกนี้มารยาทดี ตอกบัตรทำงานตามเวลา ช่วงบ่ายถ้าอยู่ที่วัด ท่านจะรับสังฆทานบ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น กลับถึงกุฏิเมื่อไรก็คว้ากระโถนมาได้เลย

ท่านบอกว่า “คิดว่าพระท่านช่วย” ตอนที่รับสังฆทานอยู่ก็ไม่เป็นไร พอกลับมาถึงจะอาเจียน กว่าจะรู้ว่าเป็นมาเลเรียก็ตอนที่เกือบ ๆ จะวาระสุดท้ายแล้ว พอวาระกรรมเปิด พระท่านก็แสดงภาพให้ดู ปรากฏว่าท่านเป็นมาเลเรียมาตลอด แต่ท่านไม่รู้

เรื่องของมาเลเรีย ถ้าคุณเป็นเมื่อไรแล้วจะรู้ ถ้ากำเริบขึ้นมา ชีวิตนี้ก็ไม่อยากได้แล้ว มาเลเรียจะไปกระตุ้นอาการเจ็บเก่า ๆ หรือว่าบาดแผลแม้แต่เล็กน้อยของเรา ให้กลายเป็นอักเสบหนักหมดเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่ง พอกำเริบขึ้นมา พอดีหลวงพ่อเป็นแผลร้อนใน เชื่อไหมว่า มันลามลงไปในคอ ลามลงไปในหลอดอาหาร ลามลงไปในกระเพาะ ลามลงไปในลำไส้

ท่านบอกว่าเห็นแกง ตักใส่ปาก พอเข้าปากเท่านั้นแหละ แสบลงไปจนรู้เลยว่าไส้มีอยู่กี่ขด ความเผ็ดของแกงนิดเดียว ที่เราแทบไม่รู้สึก มาแตะปลายลิ้นเท่านั้น ความที่ท่านอักเสบ จึงรู้สึกเป็นจนขนาดนั้น ก็เลยอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่มหาอำพัน* หลวงปู่มหาอำพันท่านมีโรคประจำตัวคือเก๊าท์ จะต้องฉันยาโคลเบเนมิด**อยู่ทุกวัน วันละเม็ด เพื่อคุมเก๊าท์เอาไว้ ปรากฏว่าคุณหมอลูกศิษย์ไปนอก ยาหมด...

วันที่สามเท่านั้นแหละ ท่านนอนครางโอย..โอย.. ผมต้องนวดให้ท่าน แต่ไม่ใช่นวด ต้องเรียกว่าลูบมากกว่าเพราะแตะไม่ได้ คนเป็นเก๊าท์จะเจ็บขนาดหนัก แต่ถ้าหากว่าไม่มีการไปผ่อนคลายบ้างเลย ก็จะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

ท่านนอนครางโอย..โอย..อยู่ ผมก็..อะไรวะ ? พระอรหันต์นี่เจ็บขนาดนี้เลยหรือ ? จนกระทั่งได้ยามา ฉันเข้าไปดีขึ้น ท่านก็ถอนหายใจเฮือก วาระของกรรมถ้ามาถึงก็ต้องรับ โดยปกติแล้วลูกศิษย์จะไปตรวจสุขภาพให้ท่านเกือบทุกวัน อยู่ ๆ จะไปนอกเขาก็ไม่บอกไม่กล่าว

หมายเหตุ :
*พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์(อำพัน อาภรโณ ป.ธ.๖) วัดเทพศิรินทราวาส แขวงยศเส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
**Colbenemid

เถรี 28-02-2012 07:52

พอกลับไปวัดท่าซุง เรื่องนี้ยังคาใจอยู่ พอวันลงโบสถ์หลวงพ่อบอกว่า บุคคลที่เป็นนักปฏิบัติ จิตยิ่งละเอียดเท่าไร การรับรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็จะยิ่งชัดเท่านั้น ท่านว่าพระอรหันต์ไม่ใช่ไม่เจ็บ ท่านเจ็บมากกว่าเราหลายเท่า เพราะจิตท่านละเอียด ท่านรับรู้ได้หมดทุกประการ แต่เนื่องจากจิตของท่านกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน สภาวะทางร่างกายเกิดขึ้น มีทุกข์ ทรมานแบบไหน อาการก็แสดงออกแบบนั้น แต่ว่าจิตของท่านไม่ได้หวั่นไหวตามไปด้วย

ไปดูตัวอย่างในพระไตรปิฎก พระอัสสชิ* ท่านน่าจะเป็นโรคกระเพาะ ปวดท้องจนกระทั่งดิ้นโครม ๆ ร้องโอดโอย ในที่สุดก็ขอให้พระไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา เพราะว่าท่านเองไปไม่ไหว ขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาเยี่ยมหน่อย


พระท่านก็ไปนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จมา พระอัสสชิกราบทูลว่า “สงสัยว่าความดีของข้าพระพุทธเจ้าจะลดลงเสียแล้ว เพราะว่าตอนนี้รู้สึกเจ็บถึงขนาดนี้ ?”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัสสชิ..เธอเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเธออยู่หรือ ?” พระอัสสชิทูลตอบว่า “ไม่เคยเห็นว่าเป็นของตนเลยพระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นความดีของเธอไม่ได้ลดลง อาการเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของร่างกาย จิตยิ่งละเอียดมากเท่าไรก็รับรู้อาการได้มากขึ้นเท่านั้น ..”

นี่คือส่วนที่อธิบายให้พวกเราฟัง เพื่อจะได้เข้าใจว่า ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติแล้ว จะไม่รับรู้การเจ็บการป่วย รับรู้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใส่ใจ ยังจำเป็นต้องใช้งาน ก็ใช้ไปเรื่อย ถึงเวลาเลิกใช้งานเมื่อไหร่ก็นอนแผ่

ถึงได้บอกว่าอธิบายให้ฟังยาก ค่อย ๆ ทำไป พอทำไปพอถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง ว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อท่านบอกว่า พระอรหันต์ฉันอาหารไม่ใช่ว่าไม่อร่อย อร่อยกว่าพวกคุณเยอะเลย เพราะประสาทท่านละเอียด รับรสอาหารได้หมด

เพียงแต่ว่า ท่านฉันแล้วไม่ได้ติดในรส ถ้าหากว่าไม่มี ก็ไม่ไปดิ้นรนแสวงหา หากว่ามี ก็ฉันในลักษณะรู้จักประมาณ ฉันไปพิจารณาไป เพื่อไม่ให้เป็นโทษแก่ใจตนเอง

หมายเหตุ :
*หนึ่งในอสีติมหาสาวก(พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ องค์) อยู่ในกลุ่มปัญจวัคคีย์ที่เป็นพระอรหันต์ชุดแรก

เถรี 28-02-2012 08:00

เรื่องของครูบาอาจารย์ ผมเสียดายแทนพวกท่าน ยุคของผมนี่ ท่านอยู่กันมากชนิดที่แทบจะเดินชนกันเลย ผมเองมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่หลายองค์ มีบางองค์ก็ได้ปรนนิบัติจนวาระสุดท้าย อย่างหลวงปู่ครูบาธรรมชัย* หลวงปู่มหาอำพัน แม้กระทั่งหลวงปู่สาย** ของเรา มรณภาพแล้วผมยังได้ไปช่วยเปลี่ยนผ้าครอง ได้จัดงานศพถวายท่าน มาสมัยนี้ครูบาอาจารย์ที่ทรงความดีขนาดนั้น ส่วนใหญ่ท่านจะอยู่ในป่า

ก่อนนั้นเป็นยุคของพระที่ท่านอยู่ในเมือง มายุคนี้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบส่วนใหญ่อยู่ในป่า เพราะรู้ว่าถ้าอยู่ในเมืองนี่แย่แน่ ถึงเวลาคนเขามาตอมไม่เลิก ดูอย่างเมื่อวานเป็นไร ไล่แล้วไล่อีก เป็นชั่วโมงกว่าจะไป เทียวไปเทียวมา เวียนอยู่ได้เจ็ดรอบแปดรอบ

คือการที่เขายึด ถ้ายึดในด้านดีก็ถือว่า เอาละ..อย่างน้อยเบื้องต้นเขาก็ใช้ได้อยู่ แต่ว่าต้องการจะสอนเขาให้รู้ว่า การที่วางนั้นวางอย่างไร ถึงเวลามาลาแล้ว เออ..กลับไปเถอะ.. คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอาลัยอาวรณ์ แสดงตัวอย่างให้เห็น ๆ

แต่ว่ายิ่งแสดงให้เขาเห็นมาก เขายิ่งอาลัยอาวรณ์มากเข้าไปใหญ่ เดินวนเข้าไปเถอะ คนโน้นมาที คนนี้มาที ผลัดกันไปผลัดกันมา ไม่รู้จักแล้วจักเลิก ยิ่งคนมากเท่าไร เวลาความเป็นส่วนตัวของเราก็น้อยลงเท่านั้น

ถ้าอาการเจ็บป่วยเวทนาเกิดขึ้นกับร่างกาย แล้วต้องไปฝืนนั่งรับเขาอีก ผมเองก็อธิบายให้ฟังไม่ได้ ว่าทรมานขนาดไหน แต่ว่ามีอยู่ท่านหนึ่งก็คือ สามเณรกิตติวงษ์*** สามเณรเป็นคนที่มีจริยาดีมาก แต่มาผิดเวลาทุกที

ถ้าหากว่าเป็นอย่างพวกคุณนี่โดนผมเตะแน่ ๆ เพราะว่าเวลาเจ็บป่วย ถ้าเราทำงานอื่นไปด้วย ไม่ไปนึกถึงก็ไม่เป็นไร แต่สามเณรมาถึงก็ “ดูสีหน้าพระอาจารย์ไม่ค่อยดีเลยนะครับ อาการเวทนาเป็นอย่างไรบ้างครับ..?”

ถามให้ต้องคิดถึงทำไม ? คิดเมื่อไรก็โอ๊ยเมื่อนั้นแหละ คือมารยาทดี แต่ควรจะถามให้ถูกจังหวะ ถ้าถามผิดจังหวะ ก็เหมือนคนกำลังคลานอยู่ แล้วมาถามว่า เป็นอย่างไร ? คลานแล้วสนุกไหม ? อะไรทำนองนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้บางทีพูดไปก็เข้าใจนิดเดียว ถ้าโดนเองเมื่อไรจึงจะเข้าใจจริง


หมายเหตุ :
* พระครูวรเวทย์วิสิฐ(กองแก้ว ธมฺมชโย) วัดทุ่งหลวง หมู่ที่ ๗ ตำบลแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
** พระครูสุวรรณเสลาภรณ์(สาย อคฺควฺโส) วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
*** สามเณรกิตติวงษ์ ปิ่นประดับ วัดประยุรวงศาวาส ถนนประชาธิปก แขวงกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ๑๐-๖๐๐

เถรี 29-02-2012 07:32

แต่ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะช่วยวัดตัวเองได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือว่า เรายังยึดร่างกายนี่อยู่หรือเปล่า ? ถ้ายังยึดร่างกายอยู่ ก็โอดโอยคร่ำครวญไม่รู้จักแล้วจักเลิก ถ้าไม่ยึด ทิ้งแล้วทิ้งเลย อยากเป็นอย่างไรเรื่องของมัน รักษาหายก็หาย ไม่หายจะตายไปก็ช่างมัน อีกส่วนหนึ่งคือ วัดได้เลยว่า สิ่งที่เราปฏิบัติมานั้น ไปถึงแค่ไหน ?

ถ้ามีความคล่องตัวในเรื่องของสมาธิ เรื่องของฌานสมาบัติ ก็สบาย ป่วยแค่ไหนก็ไปได้ ถึงเวลากระโดดข้ามอารมณ์นั้นไปเลย ไปอยู่ในจุดที่เราสามารถบังคับใช้งานร่างกายได้ตามปกติ

ฉะนั้น..ตัวป่วยจะว่าไปแล้วก็เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะว่าทำให้เรามีข้อทดสอบ มีเครื่องวัดตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าเราไปถึงไหนแล้ว ? ทำได้แค่ไหนแล้ว ? ปล่อยวางได้ไหม ? สามารถยกจิตหนีจากร่างกายได้ไหม ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าอยู่ในเบื้องต้นก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าทำไปถึงในเบื้องกลางก็จะเริ่มเข้าใจ เข้าใจว่าเราจะจัดการกับร่างกายอย่างไร ? ทำอย่างไรจะไม่ให้ยึดเกาะ ทำอย่างไรที่จะไม่ยึดมั่นจนเกินไป เพราะร่างกายคือโลก

ร่างกายของเรานี้คือโลก เรายึดเกาะไม่ได้ เรื่องของธรรมะเราก็ยึดมากไม่ได้ ปฏิบัติแล้วก็ไปตามแนวทาง เดินไปทีละขั้น..ทีละขั้น ที่ท่านบอกว่ามัชฌิมาปฏิปทา* ตรงตามนั้นเลย ความดีก็เกาะไม่ได้ ความชั่วก็เกาะไม่ได้

รู้ว่าดีเราก็ทำ รู้ว่าชั่วเราก็ละ ท้ายสุดทั้งดีทั้งชั่วก็ไม่เอา ถ้าพ้นดีพ้นชั่วเมื่อไรก็ไปนิพพาน ฟังอีกเที่ยวนะ..รู้ว่าดีก็ทำ ทำเพราะเป็นเรื่องที่ดี ทำเพื่อเป็นกำลังที่จะส่งเราให้พ้นดี รู้ว่าชั่วก็ละ เพราะว่าถ้าเราไม่ละชั่ว คนอื่นไม่ทราบกำลังใจของเรา มองเราในแง่ที่ไม่ดี ก็เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น ดังนั้น..เมื่อรู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ถ้าไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ผ่ากลางไปเลย

วันนี้ขอฝากไว้เท่านี้ อีกสักครู่ผมต้องออกไปวัดท่าขนุน เพราะว่าทางด้านหอพักนักเรียนบ้านไกล โรงเรียนบ้านดินโส** เขาขอพวกข้าวสารอาหารแห้งไว้ ต้องไปเอาให้เขา

ผมต้องไปฉันเพลที่นั่นสักมื้อหนึ่ง ทิ้งเขาไปนาน ๆ ก็ไม่ดี พระท่านไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า ? แล้ววันนี้ก็ไม่ทราบว่าธนาคารเขาทำงานไหม ? ราชการประกาศให้หยุด บ้านเรานี่วันหยุดมีมากจนเกินไป


หมายเหตุ :
*พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔: พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ : มหาวรรค ภาค ๑ : ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
**โรงเรียนบ้านดินโส หมู่ที่ ๑ ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑ - ๑๘๐


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว