กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4305)

เถรี 04-01-2015 21:09

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘
 
ถาม : บุญกุศลต่าง ๆ ที่เราทำแล้ว และอุทิศให้บิดาหรือญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว บุญที่อุทิศให้อยู่ในขอบเขตของ ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งหมด ถ้าดวงจิตนั้นยังไม่เข้าถึงพระนิพพาน แต่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เราซึ่งเป็นลูกหลานก็ยังทำบุญกุศลและอุทิศบุญให้เรื่อย ๆ อยากเรียนถามว่า บุญกุศลจะส่งผลถึงบิดาหรือญาติพี่น้องที่ลงมาเกิดอีกครั้งที่อุทิศให้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าลงมาเกิดแล้ว ต้องแจ้งให้เขาทราบ จะได้โมทนาเอง

ถาม : เราไม่รู้ครับว่าเขามาเกิดใหม่แล้ว ?
ตอบ : เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าพ้นจากเขตนั้นมาแล้ว ความเป็นทิพย์ไม่มี บอกเขาสักแค่ไหนเขาก็ไม่รับรู้ จึงไม่ได้โมทนา ในเมื่อไม่โมทนา ผลบุญนั้นก็ไม่เกิดกับเขา

เถรี 04-01-2015 21:12

ถาม : เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม ที่ผ่านมา พระอาจารย์ท่านเมตตานำกรรมฐานเช้าก่อนทำวัตรเช้าที่วัด ตอนที่แผ่เมตตานั้น ก็สะดุดที่พระอาจารย์นำว่า '...แผ่กว้างออกไป กว้างออกไป เบื้องบนสูงสุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖' เนื่องจากดิฉันจะชินกับที่ท่านนำว่า '...เบื้องบนถึงพระนิพพาน' มากกว่า จึงขอกราบเรียนถามว่า มีนัยของความแตกต่างนี้หรือไม่ ? อย่างไร ? และที่สะดุด แทนที่จะทำตามท่านไปเรื่อย ๆ นี้ เป็นเพราะสมาธิพร่องหรือฟุ้งใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ฟุ้งแน่นอน สถานที่ซึ่งเขายังใช้บุญกันอยู่ ไม่เกินพรหมชั้นที่ ๑๖ นอกเหนือจากนั้นก็พ้นบุญพ้นบาปไปแล้ว ท่านไม่ได้ใช้อะไรหรอก ฉะนั้น..ให้หรือไม่ให้ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

เถรี 04-01-2015 21:18

ถาม : ตามความเข้าใจของกระผมนะครับ เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคนอื่นนอกจากตัวของเรานั้นไม่มีจริง แต่เจ้ากรรมนายเวรที่ผมเข้าใจ คือจิตของเราเอง ที่คิดดี หรือคิดไม่ดี ที่ติดตัวมาจากชาติปางก่อน หรือชาติภพปัจจุบัน สิ่งที่ไม่ดี ไม่บริสุทธิ์ในจิตของเรา จะส่งผลออกมาเป็นการกระทำ แล้วเราก็มักจะให้เหตุผลกันว่าเป็นกรรมเก่า เจ้ากรรมนายเวรจากอดีตชาติ เรียนขอคำแนะนำจากหลวงพ่อครับ ว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ..! พระพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อกรรม สอนให้เราเชื่อการส่งผลของกรรม ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่ต้องคุยกัน

ถาม : มีเจ้ากรรมนายเวรเป็นตัวตนหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนหนึ่งเป็นการกระทำของเราที่ส่งผล เพราะว่าบุคคลที่เรากระทำไม่ดีด้วย อาจจะไปอยู่อีกภพภูมิหนึ่งแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นพวกที่ผูกอาฆาตพยาบาทอยู่และยังไม่ได้ไปเกิด ตามจ้องจะเล่นงานอยู่ สรุปว่ามีทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน แต่ว่าส่วนที่ส่งผลแน่นอนคือการกระทำของเรา ถ้าการกระทำนั้นส่งผลเมื่อไร ท่านที่มีตัวตนจะฉวยจังหวะนั้นเล่นงานคืน แต่ถ้าหากไม่มีตัวตนแล้ว จังหวะที่ผลกรรมนั้นถึงวาระจรเข้ามา กรรมนั้นก็จะสนองเอง

เถรี 04-01-2015 21:23

ถาม : กราบเรียนสอบถามการแบ่งที่ดินตำราปลูกเรือนของหลวงปู่สายครับ ผมตีตาราง ๓๖ ช่องโดยกำหนดเอาทิศเหนือเป็นหลัก ตารางที่ผมทำตามรูปนี้ ถูกต้องตามตำราปลูกเรือนของหลวงปู่สายใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าที่ดินสมัยก่อนเป็นสิบ ๆ ไร่ ตีเป็น ๓๖ ช่องแล้วปลูกบ้านได้ สมัยนี้อย่างเก่งซื้อ ๒๐๐ ตารางวา ตี ๓๖ ช่องก็สร้างได้แค่ศาลพระภูมิ..!

ถาม : สำหรับอย่างนี้จะใช้ได้กับบ้านในปัจจุบันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะสร้างศาลพระภูมิก็ใช้ได้..! แต่ถ้าใครมีที่ดินหลายไร่ก็ทำได้ ถ้ามีที่ดินอยู่หน่อยเดียว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปทำหรอก

เถรี 04-01-2015 21:44

ถาม : ตามหลักเถรวาทภิกษุณีได้สูญสิ้นไปแล้ว แต่มหายานยังมีการบวชภิกษุณีอยู่ กราบเรียนถามว่า ถ้าภิกษุณีในปัจจุบันที่บวชโดยมหายาน ได้ออกบิณฑบาตและให้ผู้คนกราบไหว้นับถือ โดยที่ไม่ได้เป็นภิกษุณีแบบครบถ้วนสมบูรณ์ ตามหลักวินัยปิฎกของเถรวาท ภิกษุณีที่ปฏิบัติตนดังกล่าวจะบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่นักบวชแล้วไปทำตัวแบบนักบวช ก็แปลว่ารับไปเต็ม ๆ..! กล่าวถึงในเรื่องของภิกษุณีต้องว่ากันตามพระธรรมวินัย ภิกษุณีต้องบวชในฝ่ายภิกษุณีก่อน แล้วก็มาญัตติซ้ำในฝ่ายของภิกษุอีกรอบหนึ่ง เรียกว่าบวชโดยอุภโตสงฆ์ คือสงฆ์ทั้งสองฝ่ายให้การรับรอง จึงจะเป็นภิกษุณีได้ ไม่ใช่นึกอยากจะบวชก็บวชขึ้นมา โดยให้พระภิกษุเป็นฝ่ายบวช แล้วก็กล่าวว่าตนเองเป็นภิกษุณี

เรื่องนี้ว่ากันตามหลักพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ ไม่ใช่การกีดกันสิทธิสตรีอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อเราต้องการเข้ามาอยู่ในธรรมวินัยนี้ ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวินัย ไม่ใช่เอาสิทธิสตรีหรือหลักกฎหมายสมัยใหม่มากล่าวว่าเป็นการกีดกัน แล้วพยายามที่จะเบียดแทรกเข้ามา ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคุณกำลังหาเรื่องเดือดร้อนเอง

บ้านเรามีคำสั่งมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ระบุชัดเจนว่าภิกษุณีและสามเณรีหมดสิ้นขาดหายไปจากประเทศไทยนานแล้ว ห้ามพระภิกษุที่เป็นพระอุปัชฌาย์ทุกรูป บวชสามเณรีและภิกษุณี จนป่านนี้คำสั่งนั้นยังมีผลใช้งานอยู่

ความจริงการบวชในลักษณะบวชใจจะสะดวกกว่า แต่บางทีเขาก็ใช้เหตุผลว่าเป็นการเติมเต็มพุทธบริษัท ซึ่งเหตุผลกับพระธรรมวินัยเป็นคนละเรื่องกัน เหตุผลคุณจะอ้างอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าคัดค้านได้โดยพระธรรมวินัย ก็เป็นอันว่าเหตุผลนั้นใช้ไม่ได้


ถาม : สรุปว่าในเมืองไทย..?
ตอบ : ในเมืองไทยมีภิกษุณีไม่ได้ เพราะคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชถือว่าเป็นกฎหมายคณะสงฆ์

ถาม : ในประเทศอื่นยังมีภิกษุณีที่สืบเนื่องมาจากสมัยพุทธกาลอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสืบเนื่องมาถูกต้องหรือไม่ ? ต้องไปสืบสายค้นหากันเอาเอง เพราะว่าต้องบวชกันในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย


** ไม่อนุญาตให้นำข้อความนี้ไปเผยแพร่นอกเว็บนะคะ เพราะจะเกิดการโต้เถียงกัน


เถรี 04-01-2015 21:45

ถาม : บูชาวัตถุมงคลอย่างไรไม่ให้เป็นกิเลส ?
ตอบ : ให้ตั้งใจว่า เราขอยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อความพ้นทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้

เถรี 04-01-2015 21:48

ถาม : ดารานักร้องศิลปิน ทำกรรมอะไรถึงได้มีชื่อเสียงโด่งดัง ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องเคยทำบุญใหญ่มาในอดีต ในลักษณะเป็นผู้นำบุญคนอื่นเขา

ถาม : จำเป็นไหมครับว่าทำบุญแบบนี้แล้วต้องไปเกิดเป็นดาราศิลปิน ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม มักจะโดนถีบให้ออกหน้าอยู่เสมอ..!

เถรี 04-01-2015 21:52

ถาม : มีคนบอกว่า พระภิกษุเดินบนผ้าขาวแล้วเป็นอาบัติ ไม่ทราบว่าในพระวินัยมีศีลข้อห้ามนี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : มีห้ามไว้อย่างชัดเจน ห้ามภิกษุเดินบนผ้าขาวที่เขาลาดเอาไว้เป็นทางเดิน เนื่องจากสมัยพระเจ้าโพธิราชกุมาร พระองค์ท่านตั้งใจอธิษฐานว่า ถ้าตนเองสามารถมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาได้ ขอให้พระพุทธเจ้าเดินบนผ้าขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อทิ้งหมดเลย และด้วยความที่พระทุกรูปไม่ได้มีทิพจักขุญาณ บางท่านอาจจะเสียท่า ไปเดินบนผ้าขาวที่โยมตั้งใจอธิษฐานเอาไว้ พระพุทธเจ้าจึงตัดปัญหาด้วยการห้ามเดินบนผ้าขาวไปเลย

เถรี 04-01-2015 21:57

ถาม : พระที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นเดือน ท่านเอาจิตไปไว้ที่ไหน ท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่าง ๆ หรือว่าอยู่กับการพิจารณาธรรม ?
ตอบ : อยากทำใช่ไหม ? ถ้าอยากทำจะตอบให้ การเข้านิโรธสมาบัติมีสองลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรกก็คือส่งจิตไปอยู่เฉพาะที่พระนิพพาน ลักษณะที่สองคือเอาจิตท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ แต่ว่าทั้งสองลักษณะนั้น จิตจะไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ทิ้งร่างกายไปเหมือนกับตายเลย

ถาม : แตกต่างกับมโนมยิทธิเต็มกำลังหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเต็มกำลังสามารถใช้ในลักษณะการเข้านิโรธสมาบัติได้

ถาม : ปกติพระอาจารย์ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ปกติก็นอน..!

เถรี 05-01-2015 10:34

ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการนำวัตถุมงคล เช่น เหรียญพุทธบารมีหรือพระพุทธปฏิมาลอยองค์ของวัดท่าขนุน ที่เป็นมวลสารเนื้อเงิน มาชุบทองคำโดยเจตนาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อยากทราบว่าเมื่อชุบเสร็จแล้ว ผู้ครอบครองจะต้องนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้งใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง อยากทำอะไรทำตามใจของตนเองไปเลย เพราะว่ามีเจตนาดี

ถาม : ไม่เป็นกรรมอะไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเนื้อทองเอาไปชุบเงินก็ไม่ค่อยดี เป็นกรรมเหมือนกัน

ถาม : จำเป็นต้องภาวนาเสกอีกครั้งเฉกเช่นเดียวกับกรณีที่ทองชุบบนเหรียญทำน้ำมนต์ลอก แล้วนำไปชุบทองใหม่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหรียญทำน้ำมนต์ลอกแล้วเอาไปชุบใหม่ ถ้าต้องการใช้งานก็เอาไปนั่งเสกเอง ๑๐๘ จบ แต่สิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจว่าเป็นคำสั่งเฉพาะแต่ละอย่างไป ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านในเรื่องที่ท่านไม่ได้สั่ง

เถรี 05-01-2015 10:42

ถาม : โรคซึมเศร้ารวมถึงโรคทางจิตเภทนั้น เกิดจากบุพกรรมใดในอดีตครับ ? เพราะมีญาติประสบปัญหาอยู่ โดยตอนนี้รักษาโดยจิตแพทย์และยาแผนปัจจุบัน (ยาต้านเศร้า) แต่ทำได้เพียงแค่ทรงอาการไว้ แต่ไม่ใช่การรักษาให้ดีขึ้นหรือกลับมาเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ?
ตอบ : สาเหตุที่เป็นเพราะไม่ได้ใช้วัสดุวอเตอร์พรูฟ (กันน้ำ) ทำให้ซึมได้ เพราะซึมได้ก็เลยเศร้า..! ..(หัวเราะ).. การเจ็บไข้ได้ป่วยทุกอย่างมีผลจากเศษกรรมปาณาติบาตทั้งสิ้น ที่บอกว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วรักษาไม่ได้เพราะเป็นกรรม นั่นเข้าใจผิด ถ้าสามารถสอนให้เขาภาวนาได้ เมื่ออารมณ์ใจตั้งมั่น โรคนี้จะหายเอง

ถาม : หายขาดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหลุดจากสมาธิเมื่อไรก็เป็นอีกเพราะชอบคิด ส่วนใหญ่เกิดจากการคิดสงสารตนเอง เพราะรักตัวเองมากจนเกินไป มีอะไรก็โทษว่าตัวเองเป็นหลัก ท้ายสุดเป็นย้ำคิดย้ำทำ ไม่สามารถถอนจิตออกมาจากตรงนั้นได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือแนะนำให้ปฏิบัติในอานาปานสติ ให้จับลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก ถ้าภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวได้ โรคนี้จะหาย

ถาม : ขอความอนุเคราะห์จากท่านถึงวิธีการรักษาแบบสมัยก่อนที่ใช้รักษาผู้ป่วยกัน ?
ตอบ : ทั้งโบราณและปัจจุบันก็วิธีเดียวกัน วิธีอื่นใช้ยาก็ได้แค่กดสภาพไว้ชั่วคราวเท่านั้น

เถรี 05-01-2015 10:46

ถาม : มีไหมครับที่ฝึกเรื่องเดียว ฝึกสิ่งเดียว วิธีเดียวไปตลอดชีวิตแล้วสำเร็จหมดทุกอย่าง ?
ตอบ : ภาษิตจีนบอกว่า รู้จริงเพียงหนึ่ง ร้อยอย่างก็ปรุโปร่ง เราฝึกกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งจนเข้าถึงที่สุดได้ ถ้าวิสัยเดิมเป็นปฏิสัมภิทาญาณอยู่ ทุกอย่างก็จะรู้หมด สำเร็จหมด

ถาม : มีข้อธรรมอะไรไหมครับที่ใช้อย่างเดียวแล้วสำเร็จหมด ?
ตอบ : อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ไม่ประมาทข้อเดียวเท่านั้น สำเร็จทุกอย่าง

เถรี 05-01-2015 11:26

ถาม : พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นผู้เลิศ เป็นหนึ่ง เก่งที่สุด ผมสงสัยว่ากรรมนี้มีอำนาจมากกว่าพระพุทธองค์ไหม ? ธรรมชาตินี้มีอำนาจมากกว่าพระองค์ไหม ?
ตอบ : มีมากกว่าเป็นปกติ เพราะพระองค์ท่านก็ยังเสวยกรรมเป็นปกติ แม้จะบรรลุมรรคผลแล้ว เศษกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังคงตามสนองอยู่ ขณะเดียวกันธรรมชาติ ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เกิดขึ้นกับพระองค์เป็นปกติ พูดง่าย ๆ ว่าพระองค์ท่านมีพระองค์เองเป็นคำสอนที่ดีที่สุดให้พวกเราได้เห็น แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้มองในจุดนั้น เพราะไปติดอยู่ตรงที่ว่า "พระองค์ท่านเก่งที่สุด" ก็เลยลืมไปว่า พระองค์ท่านก็คือมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน เพียงแต่เป็นอัจฉริยมนุษย์ ที่เกิดมาเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์สัตว์โลกจำนวนมหาศาลให้ได้ประโยชน์

เถรี 05-01-2015 11:29

ถาม : พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท มีปัญญา ศรัทธา วิริยะ แล้วสมเด็จองค์ปฐมท่านจัดอยู่ในประเภทไหนครับ ?
ตอบ : อยู่ในประเภทองค์ปฐม..! พระองค์ท่านเป็นผู้มาก่อนหลักสูตร เมื่อพระองค์ท่านสำเร็จแล้ว จึงได้มีหลักสูตรในการปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าให้องค์ถัด ๆ มา เพราะฉะนั้น..เรื่องนอกเหตุเหนือผลแบบนี้อย่าไปจัดประเภท คุณจะจัดก็จัดเอาเองเถอะ อาตมาไม่บังอาจ..!

เถรี 05-01-2015 11:31

ถาม : ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ลงมาเกิด นอกจากมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลของตนเองแล้ว ยังมีหน้าที่อื่นติดตามมาด้วยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ๑. เพื่อเกื้อกูลพระศาสนา ๒.เพื่อแบ่งเบาภารกิจการงานของหลวงพ่อ ๓.เพื่อมรรคผลพระนิพพานของตนเอง ใครรู้ตัวว่าทำไม่ครบก็รีบทำเสียให้ครบ

เถรี 05-01-2015 11:33

ถาม : ถ้ามีบุคคลหนึ่งได้เข้ามาทำความรู้จักเพื่อจะคบหากัน ต่อมาเราทราบว่าเขาได้พูดโกหกกับเรา จนทำให้ส่วนรวมเสียหาย ถ้าภายหลังเราอภัยให้เขา แต่ไม่กลับไปคบหาสนิทสนมเหมือนเดิม ตรงนี้เป็นเพราะใจเรายังคับแคบเกินไป ขาดเมตตาต่อคนทำผิด หรือเป็นการสมควรแล้วครับ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาดู ถ้าเรายังผูกโกรธอยู่ก็จิตใจคับแคบ แต่ถ้าเราทำไปเพราะรู้จักจำ มีความเข็ด ถือว่าเป็นการกระทำของผู้ที่มีปัญญา

เถรี 05-01-2015 11:39

ถาม : ทำอาชีพโรงแรม (ม่านรูด) ผิดศีลหรือไม่คะ ? และควรประกอบอาชีพนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ทำต่อไป ไม่มีอะไรผิด พวกที่ไปใช้โรงแรมม่านรูดต่างหากที่ทำผิด

ถาม : บางทีไปนอนเฉย ๆ ครับ
ตอบ : ก็ผิด มีบ้านแล้วไม่นอน..!

ถาม : ทำงานม่านรูดไม่ถือว่าส่งเสริมเขา หรืออำนวยความสะดวกหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจอย่างนั้นก็ผิด อยู่ที่การตั้งเจตนา ถ้าคิดว่าเราสร้างขึ้นมาจะเป็นม่านรูดอะไรก็ตาม เราก็ทำมาหากินของเรา ส่วนใครจะมาใช้บริการอย่างไรก็เรื่องของเขา ตัดใจอย่างนั้นได้ก็ไม่ผิด คิดว่าให้เขามานอนหลับ ไม่ได้ให้มาหลับนอน..!

เถรี 06-01-2015 19:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมท่านใด ตลอดจนพระภิกษุสามเณรหรือแม่ชีที่ตั้งคำถามมา โปรดพิจารณาด้วยว่าคำถามเหล่านั้นก่อประโยชน์แก่ตนหรือเปล่า ถ้าไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากความรู้เพิ่มขึ้นมาหน่อยเดียว แล้วเอาไปโม้ต่อ ก็เสียเวลาที่ตั้งคำถามมา ควรจะถามในสิ่งที่ก่อประโยชน์กับตนหรือส่วนรวมมากกว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยากรู้ทุกเรื่อง พวกนี้ต้องไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเอง..!

อย่างโยมวันนี้ถวายพระพุทธรูปไม้แกะมาหนึ่งองค์ น่าจะเป็นไม้จันทน์ ในพระหัตถ์พระพุทธรูปมีใบไม้อยู่หนึ่งใบ นั่นก็คือการแสดงออกว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้ามาสอนเราคือใบไม้ในกำมือ สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้ก็คือใบไม้ทั้งป่า ฉะนั้น..บางเรื่องถ้าอยากรู้จริง ๆ ชาตินี้ก็สร้างทิพจักขุญาณให้เกิดแล้วทูลถามพระ ถามพรหมเทวดาท่านได้ หรือไม่ถ้าอยากรู้ไม่หายคันจริง ๆ ก็ตั้งใจปรารถนาพระโพธิญาณไปเลย ถึงเวลามีสัพพัญญุตญาณ ก็จะรู้รอบในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะในระดับอัครสาวกหรือแม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ยังไม่มีสัพพัญญุตญาณ แต่เราสามารถยืมใช้ได้ ขอพระองค์ท่านแอดไลน์ให้เราอยู่ในไลน์กลุ่มด้วย

ฉะนั้น...อยากรู้เรื่องอะไรก็พึ่งพระบารมี ทูลถามพระองค์ท่านโดยตรง แต่อย่าถึงขนาดคุณสุภิตาก็แล้วกัน ถาม ๆ ๆ ๆ ถามจนพระองค์เห็นว่าเป็นการฟุ้งซ่านจนเกินไป ก็จำกัดว่า ต่อไปนี้ห้ามถามเกินวันละหนึ่งคำถาม คุณสุภิตาก็อุตส่าห์สงสัยอีกว่า แล้วถ้าเกิดสงสัยมากกว่าหนึ่งคำถาม ? พระองค์ท่านตรัสว่า "ให้ไปถามกับพระเล็กก็แล้วกัน" คุณสุภิตาหาทั่วประเทศไทยเลย บังเอิญไปเจอชื่ออาตมาเข้า นับว่าเป็นความเฮง จึงได้มาถามต่อ

ของบางอย่างไม่รู้ดีกว่า เพราะบางอย่างรู้เกินวาระของกรรม แล้วไม่สามารถจะบอกจะกล่าวให้คนอื่นทราบได้ อก
จะแตกตายเอา แต่อย่างว่านะ..ยังไม่มีประสบการณ์ก็คัน อยากจะรู้ พอรู้แล้วมีโยมบางท่านมาปรารภกับอาตมาว่า ทำอย่างไรจะปิดทิพจักขุญาณนี้ได้ รู้มากจนเบื่อ โดยเฉพาะรู้ใจคนอื่น แต่ละคนคิดอย่างหนึ่ง แต่พูดอีกอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง ทำเอาเขาสับสนกับชีวิต

ด้วยความที่โลกอื่นเขาไม่มีการหลอกลวงกัน มีอะไรก็ว่ากันตรง ๆ พอมาถึงโลกนี้ทำไมสับสนกันอย่างนี้ ก็เลยอยากจะไม่มีทิพจักขุญาณ ความสามารถนี้พอทำไปแล้ว คุณไม่อยากก็ต้องรู้ ท้ายสุดก็เลยแนะนำเขาไปว่า ให้ไปซักซ้อมการเข้าออกสมาธิให้ชำนาญ แล้วรักษากำลังใจให้เกินอุปจารสมาธิ แต่อย่าให้ถึงฌานสี่ จะอยู่ที่ฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสามอย่างไรก็ได้ อยู่แถว ๆ นั้นแหละ ไม่ขึ้นข้างบนไม่ลงข้างล่าง ก็ไม่มีทางที่จะรู้หรอก"

เถรี 06-01-2015 19:23

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่มีงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในพระเจดีย์ที่วิหารร้อยเมตรวัดท่าซุง อาตมาเองไม่ได้รับการกำหนดให้เป็นผู้ถือพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ในความที่คนอื่นช้า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเดินนำเข้าวิหารไปแล้ว พระบรมสารีริกธาตุทุกพระเจดีย์ยังตั้งอยู่ที่รถ อาตมาก็คว้ามาหนึ่งพระเจดีย์ เพราะรู้ว่าถ้าช้าเดี๋ยวที่เหลือตายหมด..! พอท่านอื่นเห็นอาตมาคว้าพระเจดีย์ ท่านก็ได้สติก็รีบคว้าเหมือนกัน แล้วเดินตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปเป็นพรวน

อาตมาอาศัยสัญชาตญาณ ไปถึงก็เลี้ยวขวา ปรากฏว่าทุกคนเลี้ยวซ้ายกันหมด ก็เลยกลายเป็นเวรกรรมว่า อาตมาถือพระบรมสารีริกธาตุหนึ่งพระเจดีย์ ยืนรออยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ขณะที่ทั้งหมดไปยืนรอพระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุปันคือฝั่งมณฑปตั้งศพหลวงพ่อ อาตมาหลงไปได้อย่างไรคนเดียว ? ฉะนั้น..บางอย่างเราก็ต้องเชื่อสัญชาตญาณเหมือนกัน

คำว่าสัญชาตญาณจริง ๆ ก็คือทิพจักขุญาณนั่นเอง ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้ซักซ้อมมา ก็จะเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ทำให้เราไม่ค่อยเชื่อใจตัวเอง

วันนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังขาวผ่องอยู่ อาตมาก็โล่งใจ ยืนรอจนกระทั่งท่านอื่นมาถึง แทนที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไปตั้งนานแล้ว ก็ไม่ได้บรรจุเสียที ถ้าวันนั้นเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อดำปี๋ อาตมาก็คงส่งพระเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุให้คนอื่น ตัวเองเผ่นไปนานแล้ว
" ...(หัวเราะ)...

เถรี 06-01-2015 19:37

พระอาจารย์กล่าวสอนพระว่า "ถึงเวลาเรียน ต้องให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองทั้งหมด ผมเองสมัยเรียน ถ้าตรงกับวันเรียนจะไม่รับกิจนิมนต์ใครเลย แม้กระทั่งทุกวันนี้ ถ้าตรงกับวันสอนหนังสือก็ไม่รับกิจนิมนต์ใครเหมือนกัน"

เถรี 06-01-2015 20:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกเจริญขึ้นทุกวัน เราปฏิเสธความเจริญไม่ได้ แต่ให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องสนับสนุนความสะดวกในการปฏิบัติธรรมของเรา อย่าให้เทคโนโลยีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา จนก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงย

สำหรับพวกเราอาตมาไม่ห่วงหรอก เพราะว่าพวกปฏิบัติธรรมมา กำลังใจจะเข้มแข็งพอ ประเภทเลิกดูไลน์ได้พักหนึ่ง ถ้าทั่ว ๆ ไปนี่ก้มหน้าไม่เงยเลย"

เถรี 08-01-2015 10:07

ถาม : โยมถือศีล ๘ แต่หาน้ำปานะที่กรองด้วยผ้า ๗ ชั้นไม่ได้..?
ตอบ : เสียเวลาเปล่า ๆ น้ำเต้าหู้ก็ได้ โอวัลตินก็ได้ นั่นของโยม ไม่ได้เกี่ยวกับพระ ที่ว่ามาเป็นศีลของพระ หรืออยากจะถือศีลแบบพระก็เอา ท่านให้รู้จักประมาณในการบริโภค ถ้าร่างกายไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนั้นก็ไม่จำเป็น อาตมาก็ฉันน้ำเปล่ามาตลอด แต่ถ้าร่างกายยังต้องการอยู่ก็หาให้เขาสักนิด แต่ให้รู้จักประมาณ

สมัยก่อนที่ยังอยู่วัดท่าซุง มีท่านน้อยบวชรุ่นเดียวกัน บวชด้วยกัน
เหลืออยู่ด้วยกันแค่ ๒ รูป ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "รุ่นนี้เหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ " เหลือแต่เล็กกับน้อยอยู่สองรูปจริง ๆ พอถึงเวลาเย็นท่านน้อยมาถึงก็ โอวัลตินสองช้อนโต๊ะ นมข้นอีกครึ่งแก้ว เทรวมกัน เอาช้อนคนจนเหนียวเป็นกาละแมเลย แล้วก็ตักฉัน อาตมาบอกว่า "น้อย..บอกแบบไม่เกรงใจเลยนะ เอ็งไม่ได้ฉัน เอ็งกำลังแด..!"

อาตมาได้เปรียบว่า ๑๑ ปีในความเป็นฆราวาส ได้ศึกษาและฝึกปรือพวกนี้ไว้ก่อน ก่อนบวชสองปีก็รักษาศีลแปดเด็ดขาดมาตลอด ไม่ได้ไปยุ่งไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ตอนเป็นพระก็เลยไม่ได้มีปัญหากับการอดข้าวเย็น หรือจะต้องหาน้ำปานะมาฉัน ฉะนั้น..ใครคิดว่าจะรักษาศีลแปดก็เริ่มฝึกหัดตัวเองได้ ร่างกายของเราจะปรับระบบตัวเอง ถ้าไม่ได้อาหารไปประมาณสักสามวันติดกัน รู้ว่าทวง
ไปแล้วเสียเวลาก็เลิกทวงเอง แต่ส่วนใหญ่ที่ทนไม่ได้ เพราะว่าเวลาร่างกายทวง บางคนจะรู้สึกปวดหัวจนทนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ทนผ่านไปได้หน่อยเดียวก็จบแล้ว

อาตมาเคยย้ำกับพระเณรที่วัดว่า ถ้าเราห้ามปากตัวเองได้ จะรักษาศีลทุกข้อได้ เพราะกำลังใจในการห้ามปากตัวเอง ก็คือกำลังใจห้ามใจไม่ให้ละเมิดศีล

เถรี 08-01-2015 11:29

ถาม : ศาสนาพุทธในอุซเบกิสถานเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุซเบกิสถานส่วนใหญ่เป็นพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมีน้อยมากเลย

ถาม : มีพระอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นพระลามะ จริง ๆ ในรัสเซียมีแคว้นคามัยเคีย ที่มีวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ก็เป็นพุทธมหายาน เกิดจากสมัยเจงกิสข่านไปตีรัสเซีย แล้วก็นำพระพุทธศาสนาเข้าไป

รัสเซียออกปทานุกรมพุทธศาสนา ถือว่าเป็นเรื่องแปลกนะ พวกนี้น่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศพม่าทำมากกว่า กลายเป็นรัสเซียทำหนังสือปทานุกรมพระพุทธศาสนา แสดงว่าคนของเขาหันมานับถือศาสนาพุทธกันเยอะมาก โดยเฉพาะพวกคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ แต่ว่าเขาถือศาสนาพุทธแบบคริสต์ ๆ ก็คือทิ้งของเก่าไม่ได้ แต่ก็มาสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิตามแบบพุทธ เพราะเห็นว่าเกิดประโยชน์แก่ตัวเองมาก จึงกลายเป็นพุทธศาสนาแบบพิลึกพิลั่น ซึ่งโดยลักษณะของศาสนาจริง ๆ แล้วควรเป็นอย่างนี้ ก็คือส่วนไหนที่เป็นประโยชน์ คุณก็เอาไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ เพราะศาสนาเป็นเรื่องสากล แต่คราวนี้ส่วนใหญ่เกิดจากตัวกูของกู ก็คือในเมื่อมาถือศาสนานี้แล้วก็ต้องมาทั้งตัว จะไปถือศาสนาอื่นไม่ได้

ของเก่าเขามีอะไรที่ยึดถืออยู่ก็ถือไป แบบเดียวกับศาสนาพุทธในประเทศไทย ต้องบอกว่าศาสนาพุทธแบบผี ๆ เพราะว่าไทยเรานับถือผีมาก่อน ในเมื่อนับถือผีมาก่อน จึงเป็นลักษณะของการกราบไหว้บวงสรวง แทนที่จะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จริง ๆ แล้วก็คือยึดในลักษณะบูชาผีด้วยความกลัวทำนองนั้น ยังดีว่าผ่านระยะที่ยาวนานมามาก ก็เลยทำให้ค่อย ๆ ซึมเข้าไป ลักษณะของการยึดถือด้วยความกลัวก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง

ไปนึกถึงหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่พวกข่าระแดนับถือผีกันหมด กี่หมู่บ้าน ๆ ท่านลุยเข้าไป ๆ เอารูปพระพุทธเจ้าไปแจก บอกว่านี่หัวหน้าผี ถ้านับถือหัวหน้าผี ไม่มีผีอะไรทำอันตรายเจ้าได้อีก พวกนั้นก็เลยหันมานับถือพระพุทธเจ้าโดยที่คิดว่าเป็นหัวหน้าผี..!

ในเมื่อผ่านระยะเวลายาวนานมา การนับถือด้วยความกลัวผีก็ค่อย ๆ จางลง ปัจจุบันนี้กลายเป็นยึดถืออ้อนวอนแบบฮินดูแทน ตกลงว่าศาสนาพุทธนี่น่าสงสารมาก เป็นของดีที่สุด วิเศษที่สุด แต่เขาเอาไปแค่ผิว ๆ นิดเดียว บ้านเรากับเนปาลคล้าย ๆ กันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ อะไรเข้ามาก็รับไว้หมด ศาสนาไหนเข้ามาก็รับไว้หมด


ถาม : แต่พวกออร์โธดอกซ์เขาก็นับถือ..?
ตอบ : ส่วนใหญ่เริ่มมาจากผีทั้งนั้นแหละ นับถือผี นับถือธรรมชาติ แล้วก็บรรดาเทพเจ้าของธรรมชาติที่สมมติขึ้นมา ดิน น้ำ ลม ไฟ พวกนั้น โดยเฉพาะฮินดูนี่ทั้งนั้นเลย เทพวายุ เทพอัคคี เทพคงคา สารพัดเทพ

เถรี 08-01-2015 11:36

ถาม : เป็นเนื้องอก จะผ่าตัดกระโหลกเดือนมีนาคม ก็คิดว่าไหน ๆ จะโกนผมแล้ว ไม่ให้เป็นการเสียโอกาสก็จะบวชชีค่ะ ?
ตอบ : อยู่วัดก็พอ ๆ กับอยู่บ้านนั่นแหละ กิเลสมากพอกัน เพียงแต่ว่าเป็นแม่ชีแล้วต้องอดทนอดกลั้นมากกว่าฆราวาสหลายเท่า

เถรี 08-01-2015 11:46

มีโยมเอาดอกจำปาดองมาถวายพระอาจารย์ "ดองมากี่ปีแล้ว ? (สองเดือนครับ) ยิ่งเก็บนานยิ่งดีนะ ทางเขาโป๊บป้าเขาดองกันเป็นสิบปีเลย เขาโป๊บป้าเป็นภาษาพม่า ภาษาไทยคือเขาบุปผา ก็คือภูเขาดอกไม้ เขาจะมีแต่จำปาดองสำหรับขายนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด

เขาโป๊บป้าเป็นยอดภูเขาไฟที่ดับแล้ว เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บรรดาฤๅษีหรือดาบสดัง ๆ ของทางพม่า ไม่ว่าจะเป็นฤๅษีโบโบอ่อง ฤๅษีโบมินข่อ เขาไปสำเร็จจากที่นั่นกันเยอะแยะไปหมด ก็เลยเชื่อว่าต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นเป็นยาหมด โดยเฉพาะพวกดอกไม้ ดอกจำปาที่ฤๅษีเอาไปไหว้พระ เสร็จแล้วก็อธิษฐานขอ ถ้าจะสำเร็จวิชา ขอให้จำปางอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ได้ แล้วก็งอกได้จริง ๆ"




เถรี 08-01-2015 12:39

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมาเพิ่งจะด่าพระในวัดไป ทำงานยังไม่ถึง ๕ นาที มีรูปลงเฟซบุ๊กแล้ว เล่นเสียจนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลย จะทำอะไรหน่อยขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ลงเฟซบุ๊ก ทุเรศที่สุดเลยก็คืออาตมาขึ้นแท็กซี่คันไหน ยังอุตส่าห์ถ่ายรูปลงว่าเลขทะเบียนอะไร ทำอย่างกับกลัวว่าสหรัฐฯ จะบอมบ์ตูไม่ถูก..! คงเป็นเกียรติเป็นศรีมากเลยที่ได้รายงานว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน..!"

เถรี 08-01-2015 12:45

(พูดถึงยันต์ดอกบัว) "แต่ละคนคิดว่าทำง่าย ๆ ทั้งนั้นแหละ ถึงเวลาก็ขอ แต่ไม่ได้นึกถึงคนทำเลย เอาตัวเองเป็นหลัก ในเมื่ออยากได้ก็ขอ ตอนเขียนไม่ยากหรอก ตอนเสก ๒ ชั่วโมงครึ่ง..! เพราะฉะนั้น..พยายามอย่ามาขอเด็ดขาด มีรายหนึ่งมาขอ พอส่งให้กลับถามว่าใช้อย่างไร เกือบจะด่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าใช้อย่างไรแล้วทะลึ่งมาขอ แล้วให้อาตมาเสกเสียเกือบตาย..!"

เถรี 08-01-2015 12:46

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เอาหนังสือเรื่องมีดมาถวาย โยมเล่าว่าคนทำหนังสือสนิทกับคุณสังเวียน "อาตมาเคยไปให้ คุณสังเวียน ภู่สุวรรณ วัดมือเพื่อทำด้ามปืน แต่คิวไม่ถึง ไปบวชเสียก่อน ต้องโทรศัพท์ไปยกเลิก ของคุณสังเวียนเขาทำทีละด้าม วัดมือแต่ละคนแล้วค่อยทำขึ้นมา"

เถรี 08-01-2015 12:51

ถาม : หลวงพี่จ๋า..!
ตอบ : จะทะลึ่งก็ให้รู้เวล่ำเวลาบ้าง ทะลึ่งกระทั่งเวลาทำความดี จำเอาไว้เลยนะ ประเภทแนะนำให้เขาถวายกัณฑ์เทศน์ ตูไม่ได้เทศน์สักหน่อย ก็ดันทะลึ่งไปติดกัณฑ์เทศน์ วันก่อนก็มี ประเภทดันควายตามเอ็ง พระบิณฑบาตอยู่มาใส่บาตรบอกว่า “กัณฑ์เทศน์” ก็เลยถามว่า “ไอ้เต้ยแนะนำมาใช่ไหม ?” เขาบอก “ใช่ครับ” พระเดินบิณฑบาตที่ไหนไปเทศน์ให้เอ็งฟังวะ ?

เถรี 08-01-2015 13:16

ถาม : หนูว่าจะบวช ๗ มีนาค่ะ ?
ตอบ : ถ้าตายก่อนก็ไม่ได้บวชหรอก พร้อมเมื่อไรก็ไปเลย

ถาม : หนูอาจต้องไปพบหมอศัลยกรรม อาจจะขอเลื่อนผ่าค่ะ จะได้บวชก่อน ?
ตอบ : ก็ลองไปเถอะ บางทีอาตมาก็ไม่อยู่วัด ถ้าไม่อยู่จะหาคนบวชแทนให้ จำไว้ว่าเวลาทำความดีทำให้เร็วที่สุด เราเคยตั้งใจจะทำและเสียโอกาสมาแล้วก็เพราะความช้าของเรา การทำความดีจะมีสิ่งขวาง เขาเรียกว่ามาร ยิ่งยืดระยะเวลาไปมากเท่าไร เขายิ่งขวางเราได้ถนัดเท่านั้น แล้วถ้าไปฟังคนอื่น เดี๋ยวก็จะมีเสียง “ทำไมต้องไปบวชด้วย ?” แล้วท้ายสุดเราก็จะลังเล แล้วก็ไหลตามเขาไป

ตัดสินใจจะทำอะไรก็ทำไปเลย ทำแล้วก็จบกัน คนจะว่าหรือไม่ว่าก็เป็นเรื่องของเขา มัวแต่ไปกลัวขี้ปากชาวบ้าน แบบนั้นทั้งปีทั้งชาติก็ไม่ต้องทำอะไร เวลาที่เราทุกข์ที่เราลำบาก ชาวบ้านเขามาลำบากกับเราด้วยหรือเปล่า ? แล้วทำไมเวลาที่เราจะทำความดี เราจะมีความสุข เราต้องไปเกรงใจชาวบ้านเขาด้วย

เถรี 08-01-2015 13:18

เวลาทำวัตรเขาก็อุตส่าห์อธิษฐานกันทุกคน เตโสตตะมานุภาเวนะ, มาโรกาสัง ละภันตุ มา ด้วยอานุภาพของบุญที่เราทำ ขอให้มารอย่าได้ช่องมาขวางเราเลย แต่พวกเราเปิดโอกาสให้มารทุกช่อง เห็นแล้วเหนื่อยแทน แปลไม่ออกก็ดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาว่าอะไร

ถือว่าเป็นอธิษฐานบารมีอย่างหนึ่ง ได้แต่อธิษฐาน แต่ไม่ได้ทำอะไรให้ได้อย่างอธิษฐาน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

เถรี 08-01-2015 13:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งดูหนังสือมีดแล้วนึกถึงภาษิตจีนที่ว่า ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย"

เถรี 08-01-2015 13:32

ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าใจเราดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ไม่ต้องไปกังวลหรอก ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่ดี เมื่อวานไปเยี่ยมเจ๊จิ๋มมา เจ๊เขาเป็นมะเร็ง เขาบอกว่าเขาทำใจได้ แต่พอหมอบอกนี่ไปแอบร้องไห้อยู่เป็นชั่วโมง นั่นขนาดทำใจได้นะ ในที่สุดก็ได้สติ ร้องหรือไม่ร้องก็เป็นอยู่แล้วนี่หว่า แล้วจะร้องทำไม ? ก็เลยเลิกร้อง นั่นขนาดคนที่กำลังใจเด็ดขาดแล้วนะ

พอหมอให้คีโมก็รู้สึกว่าร่างกายแย่ “หมอ..ขอกลับบ้านแล้ว” ถามว่าทำไม “ถ้าขืนให้ซ้ำกว่านั้น จะไม่มีแรงขับรถกลับบ้านแล้ว” ว่าแล้วก็ขับรถกลับเลย กว่าจะถึงทองผาภูมิพักแล้วพักอีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นลุยรอบเดียวถึง โอ้โฮ... คีโมกินแรงหมดเลย คิดดูว่าคนยังจะตาย แต่เชื้อโรคไม่ยอมตาย

ทุกวันนี้เจ๊เขาก็ใช้วิธีฟังเสียงตามสายจากท่าขนุน นั่งกรรมฐาน บอกเจ๊เขาแล้วว่า ถ้าจะตายก็ให้รีบตายนะ เพราะว่าเมรุวัดท่าขนุนจะรื้อทำใหม่ ถ้ารื้อแล้วห้ามตายจนกว่าเมรุจะเสร็จ คงทรมานอีกนานเลย

‘ความกลัวตายมีทั่วทุกตัวสัตว์’ โบราณเขาว่าเป็นกลอนไว้

เถรี 08-01-2015 13:39

พระอาจารย์กล่าวกับคณะที่เอาเม็ดเงินมาถวายว่า "จะเก็บเม็ดเงินเอาไว้หล่อพระถวายสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านจะครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษาปีนี้ จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินแท้ถวายพระองค์ท่านองค์หนึ่ง ขนาด ๙.๙ นิ้ว แต่ขอโทษ...คงต้องใช้เม็ดเงินประมาณ ๕๐ กิโลกรัม ก็ตกราว ๆ ๑ ล้านบาท

ส่วนของสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ก็สร้างพระองค์ใหญ่หน้าวัดเลย นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ วันเกิดของพระองค์ท่านมาลงกันพอดี สมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ๖๐ พรรษา แล้วก็ครบ ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตีพอดี สร้างพระใหญ่องค์เดียวคุ้มค่ามากเลย ตรงนั้นหมดไป ๑๙ ล้านกว่าบาท"

เถรี 09-01-2015 12:05

ถาม : ได้ยินว่า พระธุดงค์ฉัน..?
ตอบ : อยู่ที่ท่าน ไม่ได้เกี่ยวกับอะไร ถ้าไม่ผิดพระวินัยท่านฉันได้ แต่ถ้าอย่างอาตมานี่ไม่ฉัน แต่เป็นเพราะขี้เกียจแบก ไม่ได้เกี่ยวกับศีลเลย

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละคะ ?
ตอบ : ฆราวาสก็กินไปสิ ใครเขาห้ามเล่า ? ก็เอาของที่พอสมควร ไม่ใช่ว่าเป็นอาหารเสียเต็มที่ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใส เนยข้น ก็เลือกเอา อยู่ในจำนวนนั้นแหละ

เถรี 09-01-2015 12:05

ถาม : ศีลข้อมุสา ในเว็บบอร์ดเราใช้ชื่อหนึ่ง ต่อมาเราเลิกใช้ชื่อนี้ คนก็นึกว่าเราเป็นคนอื่น มุสาหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน เราไม่ได้ตั้งใจเปลี่ยนเพื่อหลอกลวงใคร ยกเว้นว่าตั้งใจเปลี่ยนเพื่อหลอกลวงเขาก็ผิดศีลข้อมุสา

เถรี 09-01-2015 16:09

ถาม : เวลาเราไปเซฟรูปเขามาเก็บไว้ ?
ตอบ : ถ้าเซฟได้แปลว่าเขาไม่หวง ถ้าคนที่เขาหวงเซฟไม่ได้หรอก ต้องเสียเงิน ในเมื่อเขาไม่หวงแล้วจะไปขโมยอะไรใคร ? ในเมื่อเอามาลงในสื่อสาธารณะแสดงว่าตั้งใจให้อยู่แล้ว

เถรี 09-01-2015 16:29

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะไม่โกรธคะ ?
ตอบ : อันดับแรกสร้างสติให้เกิด พอมีสติจะรู้ตัวเร็วว่าเราจะโกรธ ยังไม่โกรธจริง ๆ นะ แต่รู้สึกตัวกำลังจะโกรธแล้ว อันดับที่สอง สร้างสมาธิให้เกิด ถ้าสมาธิทรงตัวจะมีแรงในการหยุด เหมือนกับเบรกรถที่หน้าผา แล้วก็สร้างปัญญาให้เกิด มองเห็นว่า ความโกรธนี้เป็นโทษต่อทั้งเราและเขาอย่างไร ก็จะเกิดความเบื่อ ไม่ต้องการที่จะทำอย่างนั้นอีก

สติ..จะได้รู้ตัวเร็ว สมาธิ..จะได้หยุดได้ทัน ปัญญา..จะได้ยกทิ้งไปจากใจเรา ๓ อย่างก็พอ ไม่ต้องมาก ถ้าเราเห็นโทษเราจะไม่อยากทำ เพราะว่าน่าเกลียดน่าชังมาก ต่อให้โกรธอยู่ในใจก็จะอกแตกตาย

ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามาอยู่ที่สมาธิตัวเดียว ถ้าสมาธิทรงตัวสติจะรู้รอบ ในเมื่อสมาธิทรงตัว กิเลสหยาบอื่น ๆ มาขวางกั้นไม่ได้ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น แล้วเราก็จะเห็นช่องทาง ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้จริง ๆ ก็ยอมเสียมารยาทเดินหนีไปก่อน อย่าไประเบิดใส่เขา ให้อกแตกตายไปเองคนเดียว หลังจากกำลังเราดีขึ้น ๆ พวกนี้ก็จะโดนกดเอาไว้ นิ่งสนิทไปชั่วคราว คราวนี้ก็ระมัดระวังอย่าให้หลุด เพราะถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสจะตีกลับ แล้วเล่นแรงด้วย บางทีไประเบิดใส่เขา โดยที่เขาก็นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรผิด
จนต้องโกรธมากมายขนาดนั้นเลยหรือ ?

หลังจากนั้นพอปัญญาเกิด ก็ค่อย ๆ ขูด ๆ ค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาไป ท้ายสุดพอเห็นทุกข์เห็นโทษ เกิดความเบื่อหน่าย ถอนจิตออกจากความยึดถือทั้งตัวเราและตัวเขา ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะโกรธเขา ในเมื่อไม่เห็นประโยชน์ก็เลิกดีกว่า ค่อย ๆ ทำไปทีละหน่อย อย่าไปเร็ว..เดี๋ยวพระสู้ไม่ได้..!

เถรี 09-01-2015 16:38

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนหน้านี้ทิเบตไม่กินเนื้อสัตว์เลย เพราะว่าเขาไม่ฆ่าสัตว์ ตอนหลังพวกอิสลามอพยพเข้าไป ก็ไปรับอาชีพฆ่าสัตว์ จำได้ไหมเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่บูชาเจ้าแม่กาธิมัย ฆ่าสัตว์ไป ๕๐๐,๐๐๐ กว่าตัว น่าสงสารมาก ขณะเดียวกันก็เห็นว่า ศรัทธาที่ผิดพลาด ทำร้ายคนอื่นได้มากขนาดนั้น ยังดีที่เป็นเจ้าแม่กาธิมัย ถ้าเป็นอย่างพวกเทวะเทวี จะได้ไปต่อว่าเขาหน่อย เจ้าแม่กาธิมัยอาตมาไม่รู้จัก หาตัวไม่เจอ


จะได้ไปบ่นกับคุณนภิสรา (เจ้าที่เนปาล) ว่าทำไมโหดร้ายอย่างนี้ อาตมาไปโดนเจ้าที่ของเนปาลหลอกต้มเอา ไปขอดูยอดเขาเอเวอเรสต์ชัด ๆ เหน่ง ๆ เขาก็รับปากว่าได้ ปรากฏว่าเห็นแต่เมฆ พออาตมาไปอยู่ที่เนปาล แม่เจ้าประคุณก็คอยแต่หลบหน้าหลบตา ไม่โผล่มาเลย ปรากฏว่าเขาจัดให้ดูขากลับ อาตมาขอไม่รอบคอบเอง ขอดูเฉย ๆ ไม่ได้บอกว่าจะดูขาไปหรือขากลับ

ต้องบอกว่าเรื่องของเทวดาเขาสอนให้เรารอบคอบ เพราะว่าทุกครั้งถ้าขออะไรไม่รอบคอบนี่ ท่านเล่นชนิดที่เรียกว่าเจ็บ ๆ เลย เล่นกันแบบไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปจะได้ละเอียดกว่านี้"

เถรี 09-01-2015 16:49

ถาม : (เด็กถาม) อยากจะคุยกับผีกับเทวดา ต้องไปทำอย่างไร..ที่ไหน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็แค่ทำให้ใจของเราสงบ..นิ่งจริง ๆ นะ ถ้านิ่งมากพอก็จะเริ่มทำได้ คราวนี้เราอยู่ที่ไหนถ้าใจนิ่งได้เราก็คุยกับผีกับเทวดาได้ เพราะฉะนั้น..ที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ใจเรานิ่ง เราอาจจะพูด จะคุย หรือเล่นกับเพื่อนอยู่ แต่ทำใจให้นิ่งได้ ถ้าถามว่านิ่งอย่างไร ? ก็ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เรื่องใหญ่เลยนะจ๊ะ ไปค่อย ๆ ทำ หนูยังมีเวลาอีกเยอะ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:05


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว