กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5247)

เถรี 14-10-2016 08:21

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือการปฏิบัติของพวกเรา ที่ส่วนหนึ่งอยู่ในลักษณะของคนใจร้อน ใจเร็ว อยากจะเร่งรัดให้สำเร็จอย่างนั้น ให้ได้อย่างนี้ ซึ่งลักษณะอย่างนั้นเป็นการวางกำลังใจที่ผิด เพราะว่าตัวอยากนั้นเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ทำให้กำลังใจของเราเข้าไม่ถึงความดี โดยเฉพาะคือทำให้ทรงฌานไม่ได้

เพราะว่าการที่เราจะทรงฌานได้ตั้งแต่ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้น ต้องมีอุเบกขาประกอบอยู่ในอารมณ์ฌานทุกขั้นตอน ก็คือ องค์ฌานที่ประกอบไปด้วยวิตก วิจาร ปิติ สุข และเอกัคตารมณ์นั้น ตัวเอกัคตารมณ์ คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวนั่นแหละที่มีอุเบกขาอยู่ด้วย

การปฏิบัติภาวนาก็ดี การพิจารณาของเราก็ดี ต้องค่อย ๆ ตั้งใจทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ย่อท้อ เมื่อเราเกิดฉันทะ คือความยินดีและพอใจขึ้นมาแล้ว ก็เท่ากับว่าเราเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งต้นกรรมฐานลงไป ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตารดน้ำพรวนดิน เพื่อให้ต้นกรรมฐานของเราค่อย ๆ งอกงามขึ้นมา แต่พวกเราส่วนใหญ่แล้วไปใจร้อน บางทีเพิ่งขึ้นมายังมีแค่ใบเลี้ยง แต่ไปดึงยอดเพื่อให้โตเร็ว ๆ ก็มีแต่จะโดนถอนหลุดขึ้นมาทั้งรากทั้งโคน

ต้นไม้กรรมฐานของเรานั้น เมื่อถึงวาระที่เหมาะสม ย่อมออกดอกออกผลให้พวกเราได้ชื่นชมกันเอง ถ้าไม่ถึงวาระ ต่อให้เราพยายามให้ตายอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะมีดอกมีผลให้เราชื่นชมได้ ก็แปลว่าเราต้องทุ่มเทกับการปฏิบัติ ค่อย ๆ สะสม ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราไปเรื่อย ๆ พอถึงระดับที่เพียงพอแล้ว ผลตอบแทนก็ย่อมเกิดขึ้น คือเราสามารถทรงฌานสมาบัติได้ สามารถนำเอากำลังฌานนั้นไปกดกิเลสได้ เมื่อกดกิเลสได้แล้ว ฌานยังเป็นเครื่องช่วยให้สภาพจิตมีกำลังในการตัดกิเลสนั้นด้วย

เถรี 15-10-2016 16:18

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราต้องทำใจให้อยู่ในลักษณะของการปล่อยวาง คือให้มีอุเบกขาในการปฏิบัติธรรม ด้วยการวางกำลังใจสบาย ๆ ว่า เรามีหน้าที่ภาวนา เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง ถ้าสามารถวางกำลังใจอย่างนี้ได้ ผลที่เราต้องการก็จะเกิดขึ้นได้เร็ว

แต่ถ้าไปใจร้อน ใจเร็ว ไปเร่งรัดการปฏิบัติ อาตมาขอยืนยันว่าทางลัดไม่มีสำหรับนักปฏิบัติ มีแต่ทางตรงที่ใกล้ที่สุด เป็นทางที่เราต้องพากเพียรพยายามบากบั่น ก้าวรุดหน้าไปเรื่อย ๆ ทีละก้าว ๆ เหมือนกับที่เราค่อย ๆ นั่งนับลมหายใจเข้าออกทีละคู่ ๆ เช่นกัน ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกคู่หนึ่ง ก็คือเราเดินเข้าใกล้จุดหมายปลายทางของเราไปก้าวหนึ่ง ถ้าเราไม่ใจร้อน ไม่เร่งรัด รู้จักปล่อยวาง อานาปานสติของเราจะก้าวเข้าสู่องค์ฌานได้อย่างง่ายดาย

แต่หลังจากที่ทรงได้แล้ว การปฏิบัติครั้งต่อไปถ้าเรามีความอยากอีก ก็ไม่สามารถที่จะทรงได้อีก หลายท่านมาเสียตรงจุดนี้ เหมือนกับคนที่เคยกินของอร่อยแล้วไม่ได้กิน ก็จะรู้สึกหงุดหงิดกลุ้มใจว่า ทำไมครั้งก่อนยังทำได้ ทำไมครั้งนี้เราทำไม่ได้ ขอย้ำว่าการภาวนานั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาเท่านั้น ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดอย่างไรก็ช่าง ถ้าวางกำลังใจอย่างนี้ได้ ผลของการปฏิบัติจึงจะบังเกิดขึ้นแก่เรา

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว