กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   หลวงตาเล่าเรื่องในบ้านใหญ่ (ตอนที่ ๘) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1868)

ทาริกา 26-05-2010 17:26

หลวงตาเล่าเรื่องในบ้านใหญ่ (ตอนที่ ๘)
 
ตอนที่ ๘

มีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกหลานฟังคือเรื่องการเป่ายันต์เกราะเพชรในระยะแรก...อยากฟังไหม?

เอาตั้งแต่เริ่มแรกที่หลวงตาสัมผัสรู้เห็นมาด้วยตนเองนะ ตอนแรกพระคุณพ่อ(หลวงพ่อฤๅษีฯ) ยังยืนยันที่จะไม่เป่ายันต์เกราะเพชร ตอนที่หลวงตายังไม่ได้บวชแต่ไฟแรงอยากบวชออกธุดงค์ เข้าไปหาพระคุณพ่อ ขอให้ท่านจัดเป่ายันต์เกราะเพชรเหมือนสมัยหลวงปู่ปานวัดบางนมโค (ผู้เป็นที่รักและมีพระคุณต่อท่านประดุจพ่อ) ท่านมองหน้า..หน้าเข้มตาดุเชียว..

"จะเอาไปทำไม!"

ก็กราบเรียนท่านว่าจะได้เป็นมงคล เป็นยันต์วิเศษคุ้มกายคลุมใจให้อาจหาญมั่นคงในการถวายชีวิตปฏิบัติธรรมชนิดเอาเป็นเอาตายกันเลย

"ข้าไม่เป่า" ท่านยืนยันทั้งน้ำเสียงและสีหน้าสายตา
"ข้าไม่เดินทับทางที่พ่อข้าเดิน..ไม่ต้องมาขอ..เขอ..อะไรทั้งนั้น!"

ลูกหลานเอย หลังจากนั้นอีก ๕ ปี เมื่อหลวงตาบวชได้พรรษาแรก พระคุณพ่อก็จัดเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน โดยให้เหตุผลว่า 'พระ' (หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือหลวงปู่ปาน) มาบอกให้จัดเป่ายันต์เกราะเพชร ลูกหลานจะได้มีความมั่นคงในคุณความดีที่ปฏิบัติบูชากันอยู่ จะได้มีมงคลมีพรคุ้มชีวิตจิตใจ เพราะว่าถึงเวลาแล้ว เมื่อได้รับยันต์เข้าตัวแล้ว ใจก็จะยึดมั่นในศีลและสรณาคมน์อย่างมั่นคง เป็นเครื่องป้องกันอบายภูมิได้โดยตรงอีกด้วย

(มีต่อ)

ทาริกา 27-05-2010 10:38

ในการจัดงานเป่ายันต์ครั้งแรกนั้น จัดทำที่ศาลา 'พระพินิจอักษร' ซึ่งเป็นศาลาใหม่ที่สุดในเวลานั้น ตั้งอยู่ขนานกับโบสถ์ ติดกับสระน้ำร้านอาหารโยมกิมกี พอถึงเวลาพิธี..ผู้คนไม่รู้มาจากไหนกัน แน่นขนัด.. เบียดเสียดเข้าประตูศาลาพระพินิจอักษร เป็นลมล้มกลางแถว ต้องอุ้มหนีเท้า.. คลื่นผู้คน..เป็นพัลวัน จัดเพียงรอบเดียวในตอนบ่าย เมื่อเสร็จพิธีเป่ายันต์ครั้งแรก ลูกหลานศิษยานุศิษย์พระคุณพ่อทั้งหลายต่างก็รอวันเสาร์ห้าหน้า อันเป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่สองอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเหตุว่า..

พระคุณหลวงปู่ปาน และพระคุณพ่อได้พูดถึงอานิสงส์อานุภาพของยันต์เกราะเพชรไว้นานแล้ว ลูกหลานจำได้ติดตรึงใจว่า ต้องรักษาศีล ๒ ข้อ คือข้อไม่ลักทรัพย์ และข้อไม่ดื่มสุรา ต่อมาในสมัยพระคุณพ่อได้เพิ่มเป็นว่าต้องรักษาศีลได้ทั้ง ๕ ข้อ ยันต์จึงจะเข้าตัวจึงจะเป่ายันต์ติด ต่อไปถ้าไปผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง.. ที่รักษาสัจจะเพื่อรับยันต์เกราะเพชรนั้น ยันต์ก็จะหลุดจะเสื่อมสภาพจากเกราะเพชรคุ้มกายนั้น ถ้าอยากได้ยันต์อีก ก็ต้องรักษาศีลเป็นสัจจะแล้วรอเสาร์ห้าต่อไป เมื่อเข้าไปรับยันต์ในพิธี ยันต์ก็จะเข้าตัวติดตัวได้อีก

อยากรู้อานุภาพยันต์เกราะเพชรไหมล่ะลูก!... สมัยหลวงปู่ปานท่านบอกว่า อานิสงส์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ.. พิษร้ายทั้งหลาย ไม่ว่าจะงูพิษกัด ตะขาบกัด จะทำอันตรายไม่ได้ เมื่อถูกพิษทำร้ายแล้ว ก็จะวิ่งขึ้นมาได้แค่ข้อมือข้อเท้า หรือข้อต่อถัดจากแผลพิษนั้นเท่านั้น แล้วก็จะพลันวิ่งกลับสลายจากร่างกายไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งป้องกันไสยศาสตร์ คุณไสยได้โดยตรงอีกด้วย ส่วนอันตรายอื่น ๆ อีกนั้นก็คุ้มได้ไม่เกินกฎแห่งกรรมของแต่ละคน

(มีต่อ)

ทาริกา 27-05-2010 17:58

ทีนี้สัญลักษณ์เครื่องกำหนดรู้ว่า ยันต์เข้าตัวได้แล้วนั้น จะมีอาการปรากฏต่าง ๆ กันไปหลายลักษณะ คือรู้สึกว่าคันตามผิวหนัง ตามเนื้อตามตัวบ้าง รู้สึกร้อนหรือเย็นบริเวณหน้าผากอย่างชัดเจนบ้าง บางคนถึงกับจับไข้ไปเลยก็มีมากราย และที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือ เมื่อแม่อุ้มท้องบุตรแล้วเข้าไปรับยันต์เกราะเพชร แม่ก็ได้คุณของยันต์สำหรับตัว แต่เมื่อคลอดลูกออกมาแล้ว จะมีลายเส้นยันต์เกราะเพชรสีแดงชัดเจนปรากฏทั่วตัวหรือบางส่วนของร่างกาย จะมีอาการอย่างนั้นชัดเจนอยู่ ๗ วัน ยันต์ก็จะซึมเข้าร่างกายหายร่องรอยภายนอกไป ต้องรอพิสูจน์นานหน่อย เด็กคนนั้นจะไม่มีใครทำร้ายได้เลยตราบเท่าที่ยังรักษายันต์ไว้ได้

แถมอีกนิดปิดอานิสงส์ยันต์เกราะเพชร คือเมื่อเจ้าของยันต์นั้นตายลง เผาศพแล้วให้ดูที่กะโหลกศีรษะ จะมีเส้นยันต์เกราะเพชรเต็มรูปยันต์เป็นสีขาวติดอยู่ที่กะโหลกชัดเจนมาก หลวงตายืนยันได้เลยจากกรณีของ 'หลวงปู่ทองเทศ' วัดท่าซุง

หลวงปู่ทองเทศอายุร้อยกว่าปี นอนอยู่กุฏิหมายเลข ๗ ของกุฏิ ๑๐ หลัง หลังโบสถ์วัดท่าซุง ทุกครั้งที่มีการเป่ายันต์พระคุณพ่อจะให้พาดสายสิญจน์ล้อมรอบฝั่งโบสถ์ทั้งหมด ระยะสุดท้าย พิธีจัดในศาลา ๑๒ ไร่ ท่านบอกว่าแม้ไม่ได้อยู่ในศาลาพิธี แต่อยู่ในเขตสายสิญจน์ล้อม ให้ภาวนาพุทโธอธิษฐานขอรับยันต์ ก็จะรับได้เหมือนนั่งอยู่ต่อหน้าพระคุณพ่อซึ่งกำลังเป่ายันต์อยู่

หลวงปู่ทองเทศ นอน..นั่งภาวนาในกุฏิ ซึ่งอยู่นอกกำแพงศาลา ๑๒ ไร่ ท่านอธิษฐานมั่นคงขอรับยันต์เกราะเพชรทุกครั้งที่มีการเป่ายันต์ พอหลวงปู่ตาย... พระทั้งหมดอยากรู้ผลพิสูจน์ จัดเมรุเผาศพที่ลานหน้าโบสถ์ ไฟมอดแล้วก็เข้าไปเขี่ยดูกะโหลกหลวงปู่ทองเทศ เห็นเส้นยันต์เกราะเพชรชัดเจน ตามตำราไม่มีผิดเพี้ยน!

(มีต่อ)

ทาริกา 28-05-2010 10:52

ลูกหลานเอย... พักมือสักครู่หนึ่งก่อน.. จะเอาต้นฉบับไปให้เขาพิมพ์ 'เสียงจากถ้ำ' ได้ ๔ หน้ากระดาษแล้ว... เฮ่อ! กว่าจะเขียนออกมาได้หนอ...

ไปดูเขาขุดหลุมปลูกต้นไม้มา นั่งรอเวลาเลิกกรรมฐาน รอเวลาคุยกับลูกหลานญาติโยม ก็เลยเขียนต่อเล่าเติมให้จบตอนต้นฉบับ 'เสียงจากถ้ำ'...

ขณะนี้เวลานี้พระคุณพ่อจากพวกเราไปแล้ว มาถึงยุคสมัยของ 'พระอาจารย์พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ' เป็นเจ้าอาวาสทายาทคุณสมบัติทุกอย่างของพระคุณพ่อ รวมทั้งการเป่ายันต์เกราะเพชรอีกด้วย ที่จริงแล้วพระคุณพ่อก็ได้เมตตา ทำพิธีครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรให้ลูก ๆ พระภิกษุทั้งหลายจำนวน ๒๐ กว่าองค์ ตามที่ได้เคยเล่าให้ฟังมาแล้ว

เท่าที่ทราบดีกันอยู่ว่า ลูกพระที่จัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรตามรอยพ่อองค์แรกก็คือ 'อาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ' แห่งวัดท่าขนุนหรือเกาะพระฤๅษี

พระคุณอาจารย์อนันต์ไม่จัดเป่าที่วัดท่าซุง ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่พระคุณพ่อฤๅษีฯ ไม่จัดพิธีทับทางที่หลวงปู่ปานดำเนินมาแล้ว แต่กาลเวลาผ่านไปถึงเวลาปัจจุบันเหตุปัจจัยก็เปลี่ยนไป อาจจะถึงเวลาที่พระคุณอาจารย์อนันต์ จะเมตตาเป่ายันต์เหมือนกับที่พระคุณพ่อจัดเป่าให้ลูกหลานเพราะถึงเวลาอันเป็นมงคล และจำเป็นที่ต้องทำแล้ว.. ก็อาจจะเป็นไปได้

(มีต่อ)

ทาริกา 02-06-2010 10:19

ขอเขียนอีก ๒ หน้ากระดาษ ลูกหลานเอย.. หลวงตาพูดถึงยันต์เกราะเพชรในบ้านใหญ่มาพอสมควรแล้ว สิ่งควรพูดถึงเมื่ออยู่ในบ้านใหญ่วัดท่าซุง ก็คือคำสอนอันเป็นอมตะล้ำค่าที่พระคุณพ่อเคยสั่งสอนทั้งทางตรงและทางอ้อม

พ่อจะสอนอยู่ตลอด เตือนอยู่เสมอว่า อย่ายึดถือทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันจะเป็นของเราเป็นเราอยู่ได้นานตลอดไป มันเกิดมีขึ้นมา แล้วก็เปลี่ยนแปรสิ้นสภาพไป สลายไปไม่มีเหลือในที่สุด

และในระหว่างที่มันยังสัมพันธ์ หรือครอบครองคบค้ากับเราอยู่ ก็อย่าไปใช้มันทำความเลวความชั่ว จงใช้มันทำความดีให้มากให้ฉลาดที่สุด เพราะอีกประเดี๋ยวมันก็จะหมดเวลา หมดสภาพ สลายจากเราไปตามกฎธรรมดา แล้วเราก็จะเสียดายว่า

"รู้อย่างนี้ไม่ทำเลวอย่างนี้ก็ดีแล้วหนอ.. รู้อย่างนี้เราน่าจะทำความดีให้มากกว่านั้นจริง ๆ หนอ"

หลวงตามีวาสนามีเวลาอยู่กับพ่อน้อยหลือเกิน.. แม้จะมีโอกาสที่พ่อให้ลูกเสมอกัน ก็ไม่เข้าใจ ไม่ฉลาดที่จะฉกฉวยตักตวงโอกาสอย่างนั้นมาทำความดีตามที่พ่อสอนพูดเฉพาะตัวว่า

"..เออนี่คุณ..ในระหว่างที่ยังไม่ได้มอบหมายให้ทำหน้าที่อะไร ก็ไม่ต้องร้อนใจอยากทำหน้าที่ รีบเอาเวลาไปทำความเพียร ทำกรรมฐานให้มากที่สุด ให้ใจสบายที่สุดเสียก่อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำงาน จะได้เหนื่อยแต่กายแต่ใจเป็นสุข"

(มีต่อ)

ทาริกา 02-06-2010 19:33

ลูกหลานเอย หลวงตาหายใจเข้าแล้วก็ต้องหายใจออก นาทีหนึ่งหายใจตั้งเกือบ ๑๐ คู่ วันหนึ่งกี่คู่ กี่ครั้งหนอ.. เดือนหนึ่งก็แปด-เก้าแสนครั้งแล้วหนอ.. โอ! ลูกเอย.. ปีหนึ่งก็กว่าสิบล้านคู่ลมหายใจ หลวงตามาคิดในปัจจุบันวันนี้อายุ ๖๘ ปีเต็มแล้ว หลวงตายอมรับว่า หายใจทิ้งเปล่า ๆ ไม่สมกับที่เกิดมามีชีวิตเป็นมนุษย์

หายใจทิ้งเปล่า ๆ ก็ยังไม่เสียหาย.. สำคัญที่ว่าหายใจพร้อมกับคิดเลว ๆ คิดขี้เกียจผัดผ่อน.. คิดตำหนิคนอื่นนอกจากตัวเองนี่สิลูกหลานเอ๋ย มันหายใจขาดทุนคุณความดีที่มีชาติกำเนิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เสียทีที่ได้พบพระคุณพ่อ ครูบาอาจารย์อันเลอเลิศที่ท่านรักปรารถนาให้เราได้ดี ช่างเสียชาติเกิดมาหนอ..

แต่วันนี้เรายังเหลือชาติ เหลือเวลา ยังมีขันธ์ห้าที่ยังทำงานได้ไม่ทุพพลภาพ ยังอยู่เป็นอิสระนอกคุกนอกตะราง ยังเลือกที่นั่ง ยืน เดิน นอนได้ ยังหายใจได้.. ลูกเอ๋ย..ยังหายใจได้อย่างน้อยก็ขณะนี้อีกสักครั้งหนึ่ง.. คู่หนึ่ง.. สักวันสุดท้าย ทำกันเถอะลูก! หายใจเข้าด้วยอารมณ์ดี หายใจออกด้วยอารมณ์สงบ.. ประคองถนอมลมหายใจให้มีค่าที่สุด..

เผื่อว่ามันจะไม่หายใจเข้ามาอีกแล้ว.. เราจะได้จากขันธ์ ๕ นี้ไปด้วยใจสงบสุข

(จบตอนที่ ๘)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว