กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5682)

เถรี 11-07-2017 20:12

"สมัยก่อนถ้าพูดถึงอวัยวะเพศเด็กผู้ชาย หรือว่าของผู้ชายด้วยกัน จะเรียกขุนเพชรบ้าง ปลัดบ้าง เรียกในลักษณะให้เกียรติ คราวนี้ครูบาอาจารย์ที่สร้างปลัดขิกได้โด่งดังมาก ท่านแรกที่เป็นเจ้ายุทธจักรด้านนี้จริง ๆ คือหลวงพ่อขิก วัดสาวชะโงก เขาก็เลยเปลี่ยนจากการเรียกว่าขุนเพชร หรือคุณปลัด มาเป็น "ปลัดขิก" ซึ่งก็คือปลัดของหลวงพ่อขิก

หลวงพ่อขิกถ่ายทอดวิชาสืบต่อมาให้หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก เราลองนึกถึงชื่อวัดดูว่าท่านทำได้ขลังขนาดไหน ? รุ่นหลัง ๆ ก็สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ ที่ทำแล้วโด่งดังมากก็มีหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เพราะว่าปลัดขิกของท่านว่ายน้ำตามเรือได้

เนื่องจากว่าช่วงที่ท่านทำปลัดขิกด้วยไม้กัลปังหา กัลปังหาจะหาตรง ๆ ยาก มักจะคด ๆ งอ ๆ พอทำเป็นปลัดขิกเขาเห็นว่าไม่สวย จึงโยนน้ำทิ้ง นั่งเรือมาเป็นชั่วโมงแล้ว ปลัดขิกว่ายน้ำตามเรือมา จะเอาหรือไม่เอา...อะไรประมาณนี้ กลายเป็นของท่านขลังและดังระเบิด เพราะว่าว่ายน้ำตามเรือได้"

เถรี 11-07-2017 20:22

"ครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่ทำปลัดขิกแล้วดัง ก็มีหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ ปลัดขิกหลวงพ่อฟักแพงมากตั้งแต่ยุคโน้น ของหลวงพ่อฟักเป็นปลัดขิกสร้างวัด ปลัดขิกตัวแรกของหลวงพ่อฟัก อาตมาต้องบูชาครูด้วยปูน ๒ ตัน..! ท่านขอเป็นปูน เป็นวัสดุก่อสร้าง ...(หัวเราะ)...

ที่ดังมากในเรื่องปลัดขิกอีกท่านนึ่งคือ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก เขาว่าลูกศิษย์หลวงพ่ออี๋เป็นทหารเรือ ปลัดขิกว่ายน้ำตามได้ หลวงพ่อยิดมีลูกศิษย์เป็นทหารบก แถมเป็นทหารการบินทหารบก ปลัดขิกจะบินได้ไหม ? ปรากฏว่าวันนั้นออกลาดตระเวน เห็นปลัดขิกบินอยู่ข้างเฮลิคอปเตอร์ เข็ดไปตาม ๆ กัน ขอได้โปรดอย่าท้า...!"

เถรี 11-07-2017 20:31

"ท่านอื่นที่ทำปลัดขิกแล้วมีชื่อเสียง ก็มีหลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน หลวงปู่เมฆทำปลัดขิกจาก "ไม้เขยตาย"

ไม้เขยตายเกิดจากลูกเขยกับแม่ยายไปทำนาด้วยกัน ลูกสาวก็คอยหุงข้าวไปส่ง คนโบราณรีบออกไปทำนาตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ เพราะว่าถ้าแดดร้อนจะทำนาไม่ไหว ออกไปแต่มืด ลูกเขยไปเหยียบงูเห่าเข้าก็โดนกัด ชักแหง็ก ๆ ตัวแข็งทื่อ แม่ยายไม่รู้จะทำอย่างไรก็ตัดกิ่งไม้เอามากองสุม ๆ ไว้ กันสัตว์มากินซาก แล้วรีบกลับบ้านเพื่อจะไปตามคนมาช่วยหามศพ

ปรากฏว่าพอกลับมาถึงนา เห็นลูกเขยนั่งงง ๆ อยู่ แม่ยายก็...อ้าว...ตายแล้วทำไมฟื้นขึ้นมาได้ ? ด้วยความที่แม่ยายรีบ ๆ ตัดไม้มาสุม จึงไปตัด "ไม้เขยตาย" มา ยางไม้หยดใส่รอยงูกัดพอดี เป็นยาแก้งูกัดที่ได้ผลที่สุด คนที่ดูเหมือนตายไปแล้วก็เลยฟื้นใหม่

หลวงปู่เมฆทำปลัดขิกด้วยไม้เขยตาย ถามว่าหลวงปู่เมฆดังแค่ไหน ? หลวงปู่เมฆอยู่หนองจอก กลางดงอิสลามเลย แต่อิสลามรอบวัดพกปลัดขิกของหลวงปู่เมฆทุกคน..!"

เถรี 11-07-2017 20:50

"หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย จังหวัดนครนายก ปลัดขิกของท่านเอาครั่งคาดหัวไว้ คำว่า ครั่ง คือตัวแมลงที่กินต้นไม้ ถึงเวลาขี้เอาไว้แล้วเขาเก็บเอามาใช้งาน สมัยก่อนใช้อุดด้ามมีดบ้าง ติดตราประทับหนังสือบ้าง เพราะเวลาเผาละลายได้ แต่เวลาแข็งตัวก็เหมือนกับหินดี ๆ นี่เอง มีอยู่ระยะหนึ่งที่ไปรษณีย์ไทยใช้ครั่งในการตีตราพัสดุ

คำว่า ครั่ง ออกเสียงคล้าย ๆ กับคำว่าคลั่งไคล้ ฉะนั้น...ปลัดขิกหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย จึงคาดครั่งมาด้วย

ถ้าปลัดขิกหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม (วัดบ้านแค) คนจะพยายามหารุ่นที่เป็นหมวกทหาร ปกติเขาจะแกะปลัดขิกเป็นรูปอวัยวะเพศผู้ชาย ปรากฏว่าคนแกะเกิดมีสายตาศิลปินอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ? ทำเป็นรูปหมวกทหารครอบหัวปลัดขิกเอาไว้"

เถรี 11-07-2017 21:02

"ท่านอื่น ๆ ที่ทำปลัดขิกระยะหลังก็มีหลายสำนักด้วยกัน แต่ว่าครูบาอาจารย์ที่ทำแล้วมีชื่อเสียงจริง ๆ เพราะว่าคนเอาไปใช้แล้วเห็นผลมากก็มีแค่ไม่กี่สำนัก

ทางด้านภาคตะวันออกต้องหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส หลวงพ่อคงมีปลัดขิกนางครวญ ปลัดขิกเสือผู้หญิง คำว่าเสือผู้หญิงก็คือ ท่านทำเป็นรูปเสือเกาะปลัดขิกอยู่ ปลัดขิกหลวงพ่อคง ผู้หญิงอย่าเดินข้าม เดินข้ามนี่ขยับได้ บางตัววิ่งตามเลย เจอสาวถูกใจวิ่งตามไปเลย

ฉะนั้น...เรื่องนี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเข้าถึงเคล็ดลับตรงที่ว่า ปลัดขิกหรืออุมาโยนีเป็นของที่มีอานุภาพมากถึงขนาดสามารถสร้างโลก สร้างชีวิตได้ ถ้าเข้าถึงเคล็ดลับตรงนี้ก็จะสามารถทำได้ขลัง กลายเป็นที่นิยมกัน ส่วนใหญ่จะดีทางเมตตาเข้าหาเพศตรงข้าม แต่คาถากำกับจะตรงข้ามกัน ถ้าไปหาผู้ชายว่าอย่างหนึ่ง ไปหาผู้หญิงว่าอย่างหนึ่ง ถ้อยคำค่อนข้างจะหยาบคาย ไปหาเอาเองก็แล้วกัน

อย่างของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เขาเอาไปใช้ดีทางอยู่ยงคงกระพันด้วย หลวงพ่อคง หลวงพ่อกวย ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เมตตาอย่างเดียว ส่วนของหลวงพ่อฟัก เหมาะสำหรับฝรั่งใช้งาน เพราะว่าชื่อท่านเป็นมงคลกับฝรั่งดี...!"

เถรี 11-07-2017 21:05

ถาม : ท่านเสกด้วยอะไรคะ ถึงดิ้นได้ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะใช้การตั้งธาตุ หนุนธาตุ ถ้าไม่เคยศึกษามา พูดไปก็บ้าเปล่า ๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยธาตุ ๔ แล้วหนุนด้วยอากาศและวิญญาณ

ดิน น้ำ ลม ไฟ เสริมด้วยอากาศและวิญญาณ ถ้าหากว่าเป็นพวกหุ่นพยนต์ กุมารทอง วัวธนู พวกนี้ต้องเรียกอาการ ๓๒ ด้วย ไปค่อย ๆ เรียนรู้เอา วิชาการด้านไสยศาสตร์ทุกอย่างลำบากลำบนมาก เพราะว่าต้องหาฤกษ์หายาม หาวัสดุที่เหมาะสม เสียเวลาในการเสกการสร้าง

ที่อาตมานิยมเครื่องรางของขลังทั้ง ๆ ที่เป็นพระ เพราะว่าของทำยาก ของพวกเราสายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เสกพระง่าย เสกของขลังยากมาก แบบเดียวกับที่อาตมาอธิบายว่า ถ้าเราเข้าถึงว่าคาถาบทนั้น
ว่ามีความหมายอย่างไร ก็จะสามารถทำได้ขลังกว่าคนอื่น

เถรี 11-07-2017 21:14

ครูบาอาจารย์ของเราท่านเก่ง ก็คือไสยศาสตร์นั้นจะเห็นผลเร็ว ส่วนใหญ่แล้วก็จะถ่ายทอดสอนลูกศิษย์และกำชับในเรื่องของการขยันภาวนา จะเห็นว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนนั่งลบผงกันทั้งวัน นั่งเขียนยันต์กันทั้งวัน ภาวนาคาถากันทั้งวัน นั่นก็คือพื้นฐานของสมาธิ

พอสมาธิทรงตัว มีกำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลสได้ ครูบาอาจารย์ท่านก็จะพาเลี้ยวเข้าหาหลักธรรม ก็แปลว่าครูบาอาจารย์ท่านฉลาด เริ่มที่ไสยศาสตร์แล้วมาจบลงตรงพุทธศาสตร์

ดังนั้น...หลวงปู่หลวงพ่อสมัยก่อนจึงเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านได้ทุกคน เพราะว่ากำลังใจชาวบ้านส่วนใหญ่ อยู่แค่ระดับไสยศาสตร์กับศีลธรรมเบื้องต้นเท่านั้น

เถรี 11-07-2017 21:18

ปลัดขิกอีกเจ้าหนึ่งที่ดังมาก แต่หาของยากสุด ๆ ก็คือ หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี ลูกศิษย์คนไหนมี ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก นอกจากเมตตามหานิยมแล้ว ยังอยู่ยงคงกระพันสุด ๆ

เพชรบุรีเป็นเมืองเสือ เมืองคนจริงมาแต่โบราณ จะเห็นว่าปรมาจารย์เพชรบุรี อย่างหลวงพ่อทองศุข วัดโ
นดหลวง หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก ล้วนแล้วแต่เป็นที่ยอมรับนับถือกันทั้งประเทศ

หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ
เป็นครูบาอาจารย์
รุ่นที่ดังหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่เหรียญแพงถึงล้านแล้ว ครูบาอาจารย์อื่น ๆ รุ่นหลัง ๆ ที่เป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์เหล่านั้น ก็มีชื่อเสียงเกียรติคุณเยอะแยะ เมืองคนดุ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ขลังจริงเขาไม่นับถือหรอก

เถรี 13-07-2017 09:13

ถาม : ผมจะต้องไปคุมงานก่อสร้าง ผมควรตั้งกำลังใจในการทำงานแบบนี้ว่าอย่างไรดีครับ ? ที่ที่ผมไปค่อนข้างเละเทะ พอเจอปัญหาเราตั้งสติไม่ได้ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ปัญหาเกิดเพราะคน ถ้าอ่านคนออกก็จบ ส่วนใหญ่จะอ่านคนไม่ออกเพราะว่าประสบการณ์น้อย จำไว้ว่าคนเราจะกลัวคนที่เข้มแข็งเด็ดขาด จะไม่กลัวคนที่อ่อนแอ เพราะฉะนั้น...ถ้ามีเชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย เดี๋ยวลิงก็เป็นระเบียบเรียบร้อยไปเอง

อาตมาเองคุมงานเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีกระดิก บอกกับเขาว่าถ้าเอ็งทำที่นี่ไม่ดีพอ ก็ไปหาที่อื่นทำใหม่ ข้าหาคนใหม่ได้ พอเราไม่ง้อเขา เขาก็ต้องง้อเรา สรุปง่าย ๆ ว่า ไม่มีใครอยากตกงาน

เถรี 13-07-2017 09:18

พระอาจารย์กล่าวกับผู้สวมหมวกกันน็อกมาว่า "เห็นมีดราม่าว่าหมวกกันน็อกราคาเท่าไรไม่ใช่หรือ ? ได้ดูคลิปกันหรือเปล่า ? ในโลกของข้อมูลข่าวสาร หาความจริงแท้ได้ยาก ส่วนใหญ่จะนำเสนอในมุมที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง อย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรง่าย ๆ"

เถรี 13-07-2017 09:27

มีโยมมารับวัตถุมงคล "ปลัดขิกหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ระวังสาวไล่ตามไม่เลิกนะ..!"

เถรี 15-07-2017 09:40

ถาม : สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ไม่ว่าโยมหรือพระก็ได้รับวิบากกรรมเช่น มีอุบัติเหตุตาย แต่กำลังวิปัสสนาก็ทำให้บรรลุได้ ไม่เกี่ยวกันใช่ไหมครับว่าจะต้องมีบุญ จะต้องเจริญขึ้นแล้วต้องบรรลุ หรือต้องรับกรรมนั้น ?
ตอบ : ยิ่งทุกข์ยากลำบากยิ่งเห็นง่าย วิปัสสนาญาณหลัก ๆ ที่สำคัญก็คือมองทุกข์ให้เห็น ยอมรับสภาพว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่ต้องการอีก ถ้าหากว่ามีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว บางทีลืมทุกข์ไปเสียด้วยซ้ำ บางคนเป็นพระโสดาบันก็ติดอยู่แค่นั้นทั้งชีวิต เพราะว่าไปเพลินกับความสุขของอารมณ์ที่กิเลสลดน้อยลง

ยิ่งลำบากยิ่งได้เปรียบ ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อบรรลุจริง ๆ จะง่าย ก็แบบเดียวกับเรื่องของการสร้างวัด ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าทำใจได้จะบรรลุเร็ว ผมเองก็สงสัยว่าอย่างไร ทำใจได้ บรรลุเร็ว ?

พอไปเจอเข้าจริง ๆ สารพัดเรื่องสารพัดราว โดยเฉพาะพวกช่างรับเงินแล้วไม่ทำงาน อยากจะไปกระทืบพวกนี้ถึงบ้าน แต่พอเราทำใจได้ ปล่อยได้ วางได้ รู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรไหลมาเทมา ได้มากกว่าเดิมเยอะ ถ้าหากว่าเอาแต่สบาย โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมกลับมีน้อย ต้องพวกสร้างบุญมาดีจริง ๆ เท่านั้น

เถรี 15-07-2017 09:51

ถาม : เรื่องการสร้างวัด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสหลอกให้เราอยากทำ หรือกิเลสหลอกให้เราเบื่อหน่าย อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องทำอะไร ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควรแก่การใช้งาน ถ้าหากว่ามีเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เหนื่อยยาก เพราะว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างคน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งใจจะสร้างคน ถึงขนาดทำธุดงค์สถาน ๑๐๐ ไร่ ท่านตั้งใจจะให้พระผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปฝึกกรรมฐานคนละ ๑ เดือน แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันจะทำเสร็จ ท่านก็ไปเสียก่อน ตกลงว่าท่านสร้างได้แต่ของ ส่วนคนสร้างได้ไม่มากเท่าที่ท่านต้องการ

จะว่าไปแล้วในหมู่ลูกศิษย์ของท่านรุ่นแรก ๆ ได้ดีกันทั้งนั้น แต่คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าท่านอยากให้พระได้ดี ท่านบอกว่า "ข้ามัวแต่ทำงานอยู่ จนพระรอไม่ไหว สึกหาลาเพศไปก็มาก ออกไปอยู่วัดอื่นก็มี" ท่านก็เลยตั้งใจทำธุดงค์สถานเอาไว้ เพื่อที่จะให้พระเข้าไปฝึกกรรมฐานกันที่นั่น แต่ว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ

เพราะฉะนั้น...พวกคุณก็ดูแค่ว่า ถ้าวัดมีเสนาสนะเพียงพอแก่การใช้งาน ไม่ต้องถึงขนาดหรูหรามาก ใหญ่โตมาก ก็เริ่มสร้างคนได้แล้ว ตัวผมเองในวัดก็หยุดสร้างแล้ว เหลืออยู่แค่สร้างคนอย่างเดียว

เถรี 15-07-2017 09:57

ถาม : เจอหลวงพ่อครั้งแรกตอนที่เมียของคุณสุวิทย์ตาย พอหลวงพ่อบอกว่าเมียของคุณสุวิทย์ตาย ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ข้างก็ดีใจ แต่ผมตอนนั้นไม่เข้าใจ ?
ตอบ : กำลังใจที่กำลังเกาะกุศลแล้วตาย โอกาสลงต่ำไม่มีอยู่แล้ว พวกเราไปงานศพ มักจะไปเฮ ๆ ฮา ๆ กัน เจ้าภาพเขาหมั่นไส้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เถรี 15-07-2017 09:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "หมอบอกกับอาตมาว่า "ต้อหินรักษาไม่ได้ หลวงพ่อไม่ต้องเครียดนะครับ จะช้าจะเร็วก็บอดอยู่แล้ว" ขำตรงที่หมอบอกไม่ต้องเครียดนี่แหละ ถ้าหากว่าหมอบอกคนอื่นนี่ รับรองว่าเขาเครียดตายเลย โชคดีที่บอกอาตมาก็เลยไม่เครียด

เจอหมอพูดตรงเกินไปก็ไม่ดี แต่ก็อย่างว่าแหละ...หมอไม่อยากให้คนไข้มีความหวังทั้งที่ไม่มีทางเป็นไปได้"

เถรี 15-07-2017 10:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งใจบวชแค่ ๗ วันแล้วลากยาวมาจนป่านนี้ เพราะว่างานที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น สร้างไป ๗ - ๘ วัดแล้ว เห็นเขาลำบาก สันดานเดิมก็อดช่วยเขาไม่ได้ ญาติโยมเห็นทำให้ก็ดีอกดีใจ ทำแล้วพออาตมาไปต่อก็ร้องห่มร้องไห้กัน ว่าทำแล้วทำไมไม่อยู่ ? อาตมาไม่ได้บอกว่าทำแล้วจะอยู่นี่หว่า..!"

เถรี 15-07-2017 14:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัดวาอาราม พอทำไปสักระยะหนึ่งจะรู้สึกว่าพอแล้ว ในเมื่อรู้สึกว่าพอแล้วก็หยุดได้แล้ว เริ่มหันมาสร้างคนได้

บางท่านงานมีแต่ใหญ่ขึ้น ๆ ถ้าแบบนั้นมีสิทธิ์ตายคางาน..! ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปไหน ก็สร้างความเจริญให้แก่ที่นั่น นี่เป็นเรื่องจริง แต่ว่าไม่ต้องทำมากถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่าถ้าทำมากแล้ว การใช้งานมีน้อยก็น่าเสียดาย

ที่วัดผมหมุนเวียนทำวัตรเช้าอาคารโน้น ทำวัตรค่ำอาคารนี้ ก็เพราะว่าจะใช้งานให้ทั่วถึง อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเราใช้งานอยู่ ก็เท่ากับบังคับว่าต้องทำความสะอาดไปในตัว ไม่ใช่ถึงเวลาเปิดเข้าไป มองเห็นฝุ่นหนาคืบหนึ่ง..!"

เถรี 15-07-2017 14:36

ถาม : พอมีปัญหาก็ไม่เอาแล้ว เป็นปัญญาเห็นทุกข์หรือว่าขี้เกียจครับ ?
ตอบ : เป็นเพราะว่าไม่สามารถที่จะก้าวข้ามความเบื่อไปได้

ถาม : ถ้าก้าวข้ามได้จริง ?
ตอบ : ถ้าก้าวได้ก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ ทุกอย่างจะเป็นปกติ คราวนี้ท่านข้ามไม่ได้สักที เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ พอชนก็ถอย ชนก็ถอย กลายเป็นเบื่อแล้วเบื่ออีก

ความจริงอารมณ์เบื่อเป็นอารมณ์ที่ดีมาก เพราะถ้าเราไม่เบื่อก็ยังอยากเกิดอีก แต่เราต้องพิจารณาแล้วก้าวข้ามความเบื่อนั้นให้ได้ เห็นให้ได้ว่าธรรมดาของการอยู่ในโลกต้องเป็นอย่างนี้ จะต้องพบกับเหตุการณ์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อพบกับสิ่งที่น่าเบื่อเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ถ้าสามารถก้าวข้ามไปได้ ก็จะกลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นปกติแบบเห็นธรรมดา ไม่ใช่ปกติแบบคนทั่ว ๆ ไป

เถรี 15-07-2017 20:38

ถาม : ผมจะสร้างวัดแต่ก็บอกบุญไม่ได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก แค่พัฒนาวัดให้สะอาดก็พอแล้ว วัดแต่ละวัดจริง ๆ เสนาสนะพอใช้งาน เพียงแต่ว่าบางคนอยากได้ที่พร้อมสมบูรณ์กว่านั้น

โดยเฉพาะผม บอกบุญใครไม่เป็นเลย ถึงได้ต้องห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร เพราะว่าตกลงกับหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ว่า "ถ้าจะให้ผมทำ ต้องหาเงินให้ผมด้วย ถ้าผมต้องขอเขาแม้แต่บาทเดียว ผมจะไม่ทำอะไรเลย"

พูดง่าย ๆ ว่าถ้าคุณกล้าพูดอย่างนี้ ก็ต้องมีดีพอ คือผมไม่ได้รั้นกับครูบาอาจารย์ แต่มีนิสัยไม่ชอบขอเงินใคร เพราะฉะนั้น...ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าผมสามารถที่จะทำงานให้ได้ หลวงพ่อต้องหาเงินให้ผม

ท่านเลยถาม "แกแน่ใจนะว่าจะเอาอย่างนี้ ?" กราบเรียนว่า "แน่ใจครับ" "เออ...ได้" แล้วท่านก็หาเงินของท่านเอง แต่ว่าอย่าใช้ผิดนะ ถ้าใช้ผิดโดนด่าหูตูบ..!

เถรี 15-07-2017 20:40

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมคิดจะติดกระจกรอบตึกแดงเพื่อให้โปร่ง เห็นข้างนอกได้ ปรากฏว่าพอจะเรียกช่างทำกระจกมา หลวงพ่อท่านบอกว่า "แพงเกินไป ถ้าใครตัดหญ้า เครื่องตัดหญ้าดีดหินไปโดนแค่ก้อนเดียวก็ฉิบหายแล้ว ทำอะไรอย่าให้ฟุ่มเฟือยมากเกินไปนัก เงินข้าเป็นคนหา ไม่ใช่แกหา"

ท้ายสุดตึกแดงถึงได้เป็นมุ้งลวดรอบหลังแทนที่จะเป็นกระจก นั่นก็โปร่งเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่โดนด่า ความคิดก็ไม่เกิด มุ้งลวดไม่กี่บาท ส่วนกระจกราคาแพง เพราะฉะนั้น...เงินของหลวงพ่อท่านไม่ต้องไปใช้ส่งเดชหรอก ผิดท่าผิดทางมีหวังโดนก่อน..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว