กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=122)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8767)

ตัวเล็ก 24-07-2022 19:37

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕



เถรี 24-07-2022 23:09

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ภารกิจใหญ่ในวันนี้ก็คือ พิธีเปิดการปฏิบัติธรรมของพระนวกะในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ แล้วยังต้องทำหน้าที่บรรยายพิเศษด้วย เพียงแต่ว่าการบรรยายพิเศษนั้นมากไปหน่อยหนึ่ง

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปที่ ๑ วัดเขื่อนวชิราลงกรณท่านติดภารกิจ แล้วท่านอาจารย์พระมหาปราโมทย์ ฐิตปาโมชฺโช ป.ธ. ๙ ประธานพระวิปัสสนาจารย์ก็จะมาถึงหลังเที่ยง เวลาหลังพิธีเปิด กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องเหมายาวอยู่คนเดียว แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ส่วนนั้นเป็นหน้าที่ของพระวิปัสสนาจารย์

การบรรยายพิเศษ กระผม/อาตมภาพได้กล่าวถึงประสบการณ์การปฏิบัติธรรม กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปว่ามาปฏิบัติธรรมเพราะอะไร ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้การปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้นดูเหมือนกลายเป็นของยาก

เพราะว่าตั้งแต่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ทุกคนที่บวช ซึ่งเขาเรียกกันว่า "บวชเรียน" ก็คือต้องศึกษาวิชาการต่าง ๆ ด้วย อย่างไม่มี ๆ เลย อย่างน้อยก็ต้องเสกกล้วยให้เมียกินเพื่อให้คลอดง่ายได้ เพราะว่าสมัยก่อนการที่จะเข้าถึงหมอเข้าถึงยาเป็นเรื่องที่ยากมาก การรักษาโรคต่าง ๆ นอกจากสมุนไพรแล้วก็ยังอาศัย "คุณพระ" อาศัยเรื่องของไสยเวทย์อาคมต่าง ๆ ในการช่วยรักษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้

อย่างเช่นว่า แม่เด็กที่ลูกตายในท้อง ทำไมหลวงปู่หลวงพ่อเสกสายสิญจน์ให้กลืนลงไปพร้อมกับน้ำมนต์ สามารถขับเด็กในท้องที่ตายแล้วออกมาได้ ซ้ำยังมีสายสิญจน์คล้องคอเด็กมาด้วย คือถ้าคิดกันตามหลักวิทยาศาสตร์ คิดกันตามหลักกายวิภาค เรากินอะไรลงไปก็ต้องลงไปที่กระเพาะอาหาร ส่วนเด็กอยู่ในมดลูกของแม่ ไม่มีทางที่จะไปปะปนกันได้อยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าสายสิญจน์คล้องคอเด็กออกมาได้ ถ้าเป็นหมอสมัยนี้ก็ผ่าอย่างเดียวเลย

เถรี 24-07-2022 23:21

เรื่องพวกนี้เมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมไปมากเข้า ๆ กระผม/อาตมภาพก็ถึงได้เข้าใจว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ ก็แค่เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงาน แล้วเปลี่ยนพลังงานกลับมาเป็นวัตถุเท่านั้น พอเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานก็สามารถที่จะไปได้ทุกที่ทุกทาง เมื่อทำหน้าที่เสร็จสรรพเรียบร้อย พลังงานกลับคืนสู่สภาพของวัตถุ จากด้ายสายสิญจน์ที่กลืนลงไปกระเพาะอาหาร ก็กลับคล้องคอเด็กที่อยู่ในมดลูกของแม่ออกมาได้

แบบเดียวกับท่านทั้งหลายที่ฝึกกสิณ ทำไมปีตกสิณสามารถเสกวัตถุอื่นให้เป็นทองได้ ? ถ้าอธิบายกันตามหลักฟิสิกส์หรือว่าหลักวิทยาศาสตร์ ก็แค่เป็นการเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลของวัตถุเท่านั้น สมมติว่าเราจะเสกก้อนหินเป็นทอง ก็แค่เปลี่ยนการเรียงโมเลกุลแบบก้อนหิน ไปเป็นการเรียงโมเลกุลแบบทองคำก็จบแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นการเปลี่ยนที่เร็วมากจนดูไม่ทัน

ดังนั้น...เรื่องของจิตศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ตามได้ยากมาก ถ้าไม่ใช่คนที่ศึกษาทั้งสองอย่างจริง ๆ แล้วทำได้จริง ๆ ก็จะอธิบายไม่ได้

ปัจจุบันนี้อย่างภาพถ่ายเกอร์เลียน ถึงเวลาเขาตัดใบไม้ขาด ๒ ท่อน แต่พอถ่ายภาพแบบเกอร์เลียน ใบไม้ครึ่งใบกลับแผ่รัศมีพลังงานเหมือนกับใบไม้เต็มใบ เพราะว่าการแผ่พลังงานยังอยู่ในสภาพปกติไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าที่จะรู้ตัวและเข้าใจว่าอีกส่วนหนึ่งไม่มีแล้ว การส่งผ่านพลังงานนั้นถึงจะลดลงไป

แบบเดียวกับบางคน ถ้าหากว่าแขนขาดขาขาดใหม่ ๆ ก็มักจะเผลอไปคิดว่าตนเองยังมีแขนมีขาอยู่ แล้วก็อาจจะเผลอทำอะไรไป โดยคิดว่าแขนขาของตนเองยังปกติ ก็คือแบบเดียวกัน

ภายหลังพัฒนาการถ่ายภายแบบเกอร์เลียนที่สามารถถ่ายพลังงานในวัตถุได้ เขาเอามาถ่าย "ออร่า" คือพลังงานในร่างกายของเรา แล้วก็มีคนพยายามศึกษาและอ่านดูว่า พลังงานแต่ละสีสันหมายถึงอะไร ลักษณะนี้เป็นลักษณะของจิตที่มีความปีติยินดี ลักษณะนี้สภาพจิตหดหู่ เศร้าหมอง ลักษณะแบบนี้ สภาพจิตกำลังโกรธเคือง เป็นต้น

เถรี 24-07-2022 23:26

แต่ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในวิสุทธิมรรค จะเห็นว่ามีคำอธิบายเอาไว้เนิ่นนานเหลือเกินแล้วว่า ถึงเวลาการใช้เจโตปริยญาณ ท่านไม่ให้ใช้ดูใจคนอื่น เพราะว่ามีประโยชน์น้อย แต่ให้ดูใจตนเอง

ลักษณะของการดูใจตนเองนั้น แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทหนึ่ง จัดเป็นจิตในจิตและธรรมในธรรม ตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็คือดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น

อีกประเภทหนึ่ง เป็นการใช้ทิพจักขุญาณดูสีสันของจิต แล้วสามารถบอกกล่าวได้ว่าสภาพจิตสีสันแบบนี้ ตอนนี้เจ้าของจิตนั้นเป็นอย่างไร ก็ลักษณะแบบเดียวกับที่บรรดานักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะอ่านออร่า คือรัศมีกายของคน ว่าแต่ละสีสันหมายความว่าอะไร ถูกบ้าง ผิดบ้าง มั่วไปเรื่อย

อีกส่วนหนึ่งที่ทางวิทยาศาสตร์พยายามจะตามมาก็คือ ในเรื่องของน้ำมนต์ โดยมีการเอาน้ำจากแหล่งเดียวกัน จำนวนเท่ากัน บรรจุภาชนะชนิดเดียวกัน ส่วนแรกเอาไปให้ผู้ปฏิบัติธรรมหรือว่าผู้มีสมาธิภาวนา อธิษฐานจิตในลักษณะเสกน้ำมนต์ อีกส่วนหนึ่งที่มีจำนวนเท่ากัน อยู่ในภาชนะแบบเดียวกัน แยกเอาไว้เฉย ๆ

ถึงเวลาแล้วนำทั้ง ๒ ส่วนมาแช่แข็งแล้วส่องดูสภาพโมเลกุล ก็จะเห็นว่าโมเลกุลของน้ำมนต์นั้นจับตัวเรียงรายกันเป็นรูปร่างที่สวยงามมาก ส่วนโมเลกุลของน้ำธรรมชาตินั้น มีขาดมีแหว่งบ้างตามปกติ แล้วพอไปเปิดเพลงประเภทเฮฟวี่เมตัลอยู่ใกล้ ๆ น้ำ เมื่อเอามาแช่แข็งแล้วส่องดู จะเห็นว่าโมเลกุลแตกกระจัดกระจายไปหมด..!

แม้กระทั่งในเรื่องของกำเนิดมนุษย์ พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะหาข้อกลางได้จากการสันนิษฐานว่าคนมาจากลิง เพราะว่าลิงมีโครโมโซม ๓๖ คู่ คนมีโครโมโซม ๓๘ คู่ แล้วช่วง ๓๗ คู่อยู่ที่ไหน ? ถ้า
กระผม/อาตมภาพพูดมากเกินไปเดี๋ยวพวกท่านก็จะประสาทกลับกันไปหมด

เถรี 24-07-2022 23:30

แต่พระพุทธเจ้าระบุไว้ชัดเจนเลยว่า คนเราเกิดมาจากพรหมที่ลงมากิน "ง้วนดิน" เสร็จแล้วเกิดกายหยาบขึ้นมา ไม่สามารถที่จะเหาะกลับไปยังที่สถิตของตนได้ แล้วท้ายที่สุดก็กลายเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ขึ้นมา

หรือไม่ก็การเกิดของคน ที่อยู่ในลักษณะเชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ พระพุทธเจ้าอธิบายในลักษณะ ๗ วัน ๗ วัน ๗ วันไปเรื่อย จนกระทั่งถึงคลอดออกจากท้องแม่มา ทุกวันนี้บรรดาหมอและนักวิทยาศาสตร์งงมากว่า สมัยนั้นไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไร ทำไมพระพุทธเจ้าอธิบายได้ตรงตามการศึกษาของวิชาการแพทย์ที่เขาใช้เวลาหลายร้อยปีในการศึกษาและผ่าดูมานับไม่ถ้วน ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมดเลย

ดังนั้น...ในเรื่องของจิตศาสตร์ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาคิดว่า คาดว่า เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำเพื่อให้เกิดผลจริง ๆ

อย่างที่กระผม/อาตมภาพบรรยายให้กับพระใหม่ฟังวันนี้ว่า สิ่งต่าง ๆ สำเร็จได้ด้วยใจ ทำไมหลวงปู่ท่านหนึ่ง คนไปขอรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ก็ใช้คาถาบทนั้น ไปขอรดน้ำมนต์เพื่อให้พ้นจากทหารก็คาถาบทนั้น ไปรดน้ำมนต์ขอให้สาวรักสาวหลงก็คาถาบทนั้น ไปรดน้ำมนต์ให้อยู่ยงคงกระพันก็คาถาบทนั้น ไปรดน้ำมนต์ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยก็คาถาบทนั้น สรุปว่าทำอะไร ๑๐๘ ใช้คาถาแค่บทเดียว

ก็เพราะว่าคาถาเป็นเพียงเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิ มีกำลังเพียงพอ เราต้องการให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อย่างที่บาลีใช้คำว่า มโนมยา สำเร็จด้วยใจ

เรื่องของวิทยาศาสตร์และจิตศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้วคนสมัยนี้เชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์ เพราะว่ามีบทพิสูจน์ที่จับต้องได้ แต่ลืมไปว่าจิตศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ เพียงแต่คุณต้องเข้ามาปฏิบัติจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวเอาไว้ชัดเจนว่า เอหิปัสสิโก ขอเธอทั้งหลายจงมาดูเองเถิด ก็คือมาทดลองดู มาทดสอบดู รับประกันว่าถ้าทำดีทำถูก ต้องได้ผลแน่นอน

ดังนั้น...เรื่องพวกนี้ถ้าจะอธิบายให้ชัดเจน พวกท่านต้องศึกษาในทุกศาสตร์ให้ชัดเจน แล้วจะมีคำอธิบายที่บอกได้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าคลำเอามุมใดมุมหนึ่ง แบบเดียวกับ "ตาบอดคลำช้าง" แล้วก็ไปสรุปว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งโอกาสผิดมีมากเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว