กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1954)

เถรี 05-07-2010 19:41

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓
 
ถาม : มดเต็มบ้าน ต้องเสียเวลาในการกวาดมด ต้องทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ไปหาสารสกัดจากเปลือกส้มมาฉีด ฉีดแล้วมดไม่ตายหรอกแต่มดไม่ชอบ สมัยก่อนมียี่ห้อหนึ่งชื่อ ซีทรัส ไม่รู้สมัยนี้จะมีหรือเปล่า ? ฉีดออกมากลิ่นจะเหมือนส้มเลย ฉีดใส่ตัวมดก็ไม่เป็นไรหรอก แค่เดินเซแล้วก็หนีไป

เถรี 05-07-2010 19:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสายปฏิบัติควรเร่งสวดมนต์ให้ได้ภายในสองพรรษา ถ้าเกินนั้นไปแล้ว กำลังใจที่เข้าหาการปฏิบัติอย่างเดียวจะไม่เอาอย่างอื่นเลย ฉะนั้น..ถ้าสองพรรษาสวดไม่ได้ก็แย่แล้ว เพราะต่อไปอารมณ์พอใจจะเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว"

เถรี 05-07-2010 19:47

ถาม : เหมือนมีตัวอะไรอยู่ในท้องค่ะ
ตอบ : ไปหาหมอมาหรือยังจ๊ะ ?

ถาม : ไปหาแล้ว หมอไม่เจออะไรเลย ?
ตอบ : ก็ชัดเจนว่าหมอสมัยใหม่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว..ใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเราก็รอ...รอว่าที่วัดมีงานเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อไร เราก็ไปเข้าพิธีเลย ตอนนี้ทนไปก่อนจ้ะ

เวลาหมอตรวจมันเลื่อนหนีจากที่เดิมได้..ใช่ไหม ? สมัยก่อนอาตมาไปให้หมอตรวจแล้วมันวิ่งหนีได้ แล้วหมอไม่เจออะไรก็ว่าอาตมาเป็นโรคอุปาทาน บางทีมันอยู่ในท้อง แต่พอหมอเขาเอ็กซเรย์ท้อง มันเลื่อนไปอยู่ที่หัวเข่า หมอเขาเอ็กซเรย์ไม่เจออะไร ก็สงสัยว่าเป็นโรคอุปาทาน

ถ้าลักษณะอย่างนั้นละก็ชัดเลย เพราะฉะนั้น..รอก่อน บอกมันว่าที่วัดมีงานเมื่อไรเจอกันแน่ ถ้าเอ็งยังไม่อยากตายให้รีบหนีไปเสียก่อน..!

หมอสมัยใหม่เวลาตรวจไม่เจอ แทนที่จะยอมรับว่าไร้ความสามารถ ก็มักจะโทษว่าคนไข้เป็นโรคอุปาทาน

เถรี 05-07-2010 19:49

ถาม : ถ้าจะตั้งศาลพระภูมิ ทิศทางของหน้าศาลมีผลไหมครับ?
ตอบ : หน้าศาลไม่เกี่ยว ทิศในการตั้งตัวศาลสำคัญที่สุด เขาเอาตัวบ้านเป็นหลัก

ถาม : ผมเห็นหลายคนบอกว่า หน้าศาลสำคัญ หันไปทางทิศตะวันออกไม่ดี
ตอบ : มีผลเหมือนกันแหละ ถ้าเกิดเราหันหน้าศาลเข้าหาข้างฝา เราก็ไหว้ศาลไม่ได้..!(หัวเราะ)

เถรี 05-07-2010 20:47

ถาม : ผมไปแวะวัดป่าของหลวงปู่มั่น แล้วมีเตียงที่หลวงปู่มั่นเคยเทศน์อบรม ตอนผมกราบ ผมก็ดูกายดูใจเป็นธรรมดา รู้สึกว่ามีอุโมงค์ที่เชื่อมถึงและมีพลังงาน จะว่าสว่างก็สว่างไม่มีประมาณ จะว่าใสก็ใสไม่มีประมาณ จะบอกว่าสว่างหรือใสแต่ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่เคลื่อนไหวตลอด และไม่มีที่เกาะเกี่ยว ผมก็นั่งค้างอยู่พักหนึ่ง ผมเข้าใจว่าตรงนั้นเป็นความหมดจดจากกิเลส แต่ว่าตัวเราเองก็ไม่มีสิทธิ์ในตรงนั้น นั่งได้ครู่หนึ่งก็ออกมา
ตอบ : แค่เห็นได้ก็พอแล้ว จะได้รู้ถึงสิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า ของใช้ทุกอย่างที่พระอรหันต์ท่านเคยใช้อยู่ จะมีพลังงานของท่านอยู่ เทวดาท่านจะต้องรักษา พูดง่าย ๆ เลยว่า เป็นของที่บังคับเลยว่าเทวดาต้องดูแลรักษา ถ้ายังไม่หมดสภาพอย่างไรก็ต้องเฝ้าเอาไว้

ถาม : ในจุดที่จะไปถึงตรงนั้นได้ เหมือนกับว่าอารมณ์หรือร่างกาย หรือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว พอเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ถ้ามีสติสมบูรณ์ ทุกอย่างก็วางสงบ จะเป็นเสียว ดีใจ เสียใจ ก็จะเป็นของเองอยู่อย่างนั้น เสมือนว่าไม่มีตัวเราเข้าไปเป็นเจ้าของตรงนั้น
ตอบ : ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราสักเพียงแต่ว่ารู้

ถาม : จากนั้นออกมา เหมือนกับว่าโลกที่คุยด้วยเป็นชั้น ๆ ของมันอยู่ ในความคิดที่เกี่ยวข้องกับคน หรือความคิดกิเลสในใจที่ออกมา ก็มีเกิดดับต่าง ๆ มันเป็นชั้น ๆ ของมัน มีความหลง ไม่เข้าใจในความเป็นจริง มันมีกำลังที่จะมาบังคับให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างได้ตลอด แต่ก็เกิดการรู้ในแบบธรรมดาของมัน ทุกก้าวที่เดินจะรู้ถึงที่สุดว่า เป็นธรรมดาอย่างนั้น
ตอบ : พระพุทธเจ้าสอนพวกเรา เพราะท่านมั่นใจในศักยภาพของพวกเราว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีศักยภาพพอที่จะหลุดพ้นได้ เพียงแต่ว่าดวงปัญญาจะไปถึงหรือไม่เท่านั้น หากยังไปไม่ถึง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ทำไปยังเกิดจากการปรุงแต่งของใจอยู่ ก็จะทำให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สร้างเวรสร้างกรรมกันต่อ

แต่ถ้าหากดวงปัญญาถึง สิ่งที่เขาทำ..ก็ทำไปโดยกิริยาอาการที่จำเป็นต้องทำตามสภาพเท่านั้น แต่ว่าสภาพจิตไม่ได้ปรุงแต่งให้เป็นรัก โลภ โกรธ หลง จึงเป็นเพียงกิริยา แต่ไม่เป็นกรรม ในเมื่อถึงตรงจุดนั้นไม่เกิดเป็นกรรมขึ้นมา ก็ถือว่าทุกอย่างจบ สิ้นสุดผลกรรมลงแต่เพียงนั้น

เถรี 05-07-2010 21:03

ถาม : คำว่า วิมุตติ กับคำว่า รู้แล้วสลัดคืน ความสมบูรณ์นั้นเป็นคนละเรื่องกันเลย
ตอบ : คนละเรื่องกัน วิมุตตินั้นเราพ้นไปแล้วแน่ ๆ แต่รู้แล้วสลัดคืนยังต้องพยายามทำอยู่

ถาม : แต่ความสมบูรณ์ของความดับ หรือความเร่าร้อนของกิเลสที่ดับ มันเกิดมันดับ เหมือนกับว่าเราไม่ต้องไปทำอะไร เพียงแต่ว่ารู้ทุกอย่างให้ชัดเจนจากใจถึงใจ มองทุกอย่างด้วยสายตาที่มองก็เหมือนไม่มอง ก็จะเป็นธรรมดาของมันเอง
ตอบ : สักแต่ว่าเห็น ในเมื่อสักแต่ว่าเห็น จิตไม่ได้ไปนึกถึงปรุงแต่ง ไม่สร้างกรรมต่อ ก็จะจบ แต่ถ้าหากว่าเริ่มสร้างกรรมแม้แต่นิดเดียว ก็จะเกิดการหมุนวนต่อไป

ทีนี้ตัววิมุตตินั้นเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริงแล้ว ส่วนลักษณะรู้แล้วสลัดคืน เรายังต้องใช้ความพยายามในการทำอยู่

ถาม : อย่างสมาธิที่มี ก็เหมือนกับว่าเป็นธรรมดาที่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับว่า มีคนหนึ่งที่ทำสมาธิไปตามเหตุผล เหมือนกับว่ามีญาณรู้เห็นความจริงในตรงจุดนั้น
ตอบ : สมาธิจริง ๆ ยังเป็นเครื่องปรุงแต่งของจิต เพียงแต่ว่าเป็นการปรุงแต่งที่ผู้รู้..รู้ว่า ปรุงแล้วใช้ประโยชน์อะไร ก็จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราไปเสริมในการใช้ปัญญาเพื่อการหลุดพ้นได้ แต่ถ้าหากว่าไม่รู้..ก็จะทำให้ยึดติด แล้วในที่สุดก็จะเกาะอยู่กับตัวสมาธิ หลุดพ้นไม่ได้ ก็จะติดอยู่ที่พรหม

ดังนั้น..ในพรหมชาลสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ถึงลัทธิ ๖๒ อย่าง คำว่าพรหมชาลสูตร คนเขาพยายามแปลกันว่า ข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ใช้คำว่าพรหมโดยแปลว่าเป็นผู้ประเสริฐ ชาละ คือ ตาข่าย เขาบอกว่าข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้รู้เห็นชัดเจนว่าลัทธิอื่นมีถึง ๖๒ ลัทธิ

ตรงนี้จริง ๆ แล้วควรจะแปลว่า ตาข่ายที่ดักให้อยู่แค่พรหม ไปเกินนั้นไม่ได้ เพราะไปยึดติด (พรหมชาละ = ตาข่ายดักพรหม)

เถรี 05-07-2010 22:23

ถาม : ผมสังเกตว่า เวลาใจจะเข้าไปในสมาธิ จะเข้าไปซึมกับอารมณ์ และเข้าไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์เพื่อความเข้าใจ จะมีอัตตาของตัวเองเข้าไปด้วย
ตอบ : มีเต็ม ๆ

ถาม : (ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : ที่เราว่ามาจริง ๆ ก็ใช่แล้ว เพียงแต่ว่าวิสัยของเรา ใช่แล้ว..แต่ยังไม่เอา ยังรอไปต่อ ในเมื่อรอไปต่อ ก็ต้องไปตามทางของเรา ของคุณเลือกเดินทางไกล(พุทธภูมิ)

ถาม : ผมไม่ได้คิดจะเดินทางไกล แต่ใจยังไม่ยอม จึงได้อย่างนี้
ตอบ : วิสัยเดิมเดินทางไกลมา เราก็ต้องไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะยอมลงให้อะไรจริง ๆ สักที หรือไม่ก็จนกระทั่งบรรลุไปข้างหนึ่งเลย

ถาม : ผมยังมีกรรมอยู่ครับ
ตอบ : มีทั้งนั้นแหละ อาตมาเองก็มีกรรม แทนที่จะได้นอนสบาย ๆ ก็ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ (หัวเราะ)

เถรี 05-07-2010 22:26

เนื่องจากคนที่ถามปัญหาข้างต้นนั้น เขาถามด้วยอารมณ์ใจที่สูง พระอาจารย์จึงกล่าวแก่คนที่นั่งฟังอยู่ในที่นั้นว่า "ถ้าเขาไปสูง เราก็ไม่ต้องไปโหนสูงตามเขา เอาแค่ในระดับของเรา โดยเฉพาะการคุยกันในเรื่องการปฏิบัติ ถ้าเป็นจุดที่เราติดขัดก็จะได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าไปเก็บเอาของคนอื่นมาคุย นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์เพราะเรายังทำไม่ถึงแล้ว ยังพาให้ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก"

เถรี 06-07-2010 11:19

ถาม : ถ้าเป็นความจริง ก็ไม่ต้องคิดให้มันเกิดขึ้น
ตอบ : นั่นเป็นไปโดยธรรมชาติ

ถาม : อย่างสมาธิที่ครูบาอาจารย์ท่านเอาพลังงานมาเสกพระ ก็ไม่เห็นท่านจะต้องทำอะไรเลย เพราะว่าประตูของท่านเปิดตรงนั้นเข้าไปได้
ตอบ : ถูก..เพราะมีเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : พอท่านเข้าไป ทุกอย่างก็มาของมันเอง ถ้าเราฝึกปฏิบัติดี ตาดี เราก็จะเห็นได้ พลังงานจะมาเป็นธรรมดา แล้วแต่กระแสที่สัมผัส เพราะพลังงานตรงนี้อยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรื่องของใจล้วน ๆ
ตอบ : ดูอย่างหลวงปู่สีท่านเสกพระ โยมเขาสร้างพระเอาไปให้หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาคเสก ท่านเอามือตบกล่องสามที บอกว่า "เอาไปใช้ได้แล้ว" โยมเขาก็หงุดหงิด ไม่เห็นเสกอะไรเลย ก็อุตส่าห์แบกไปถึงเชียงใหม่ เพื่อขอให้หลวงปู่แหวนช่วยเสกให้ต่อ

หลวงปู่แหวนท่านว่า "เอามาทำไม ? เต็มหมดแล้ว..." เขาก็บอกว่า "หลวงปู่สีท่านไม่ได้เสกอะไรเลย ท่านเอามือตบสามทีเท่านั้น" หลวงปู่แหวนบอกว่า "องค์นั้นตบสามทีดีกว่าฉันเสกสามเดือน..!"

ทุกอย่างเหมือนกับว่ามีพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้ว เหมือนกับไฟเป็นหมื่น ๆ โวลต์เสียบปลั๊กรออยู่แล้ว มาถึงก็จี้ได้เลย แต่คนเขาไปติดรูปแบบกัน

หรือไม่ก็อย่างหลวงปู่เนียม วัดน้อย (อาจารย์ของหลวงปู่ปาน) เจ๊กเขาถือโหลใส่น้ำมา บอกว่าอยากได้น้ำมนต์ไปรดร้านให้ค้าขายดี ตอนนั้นหลวงปู่เนียมท่านมุงหลังคาอยู่ "เออ..ใช้ได้แล้ว เอาไปเถอะ" เถ้าแก่เดินพ้นวัดไปก็โมโห "ไม่เห็นเสกอะไรเลย บอกว่าใช้ได้แล้ว..!" ก็ท่านยังอยู่บนหลังคา ไม่ได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำไป

พอคว่ำโหลน้ำจะเททิ้ง ปรากฏว่าน้ำไม่ไหลออก และโหลก็หลุดมือ ตกถึงพื้นโหลแตกแต่น้ำก็ยังเป็นรูปโหลอยู่อย่างนั้น กลายเป็นน้ำแข็งไปเลย เถ้าแก่ก็เลยต้องเอาผ้าขาวม้าห่อน้ำกลับบ้าน แกจึงได้เชื่อว่า "เสกแล้ว..ใช้ได้" จะว่าเป็นบุญของเขาก็ได้ ถ้าเป็นเราปล่อยก็ให้ตกแตกไปแล้ว ให้นั่งร้องไห้เสียดายอยู่ตรงนั้น แต่หลวงปู่ท่านเป็นพระที่เมตตาจริง ๆ ท่านก็เลยสงเคราะห์ให้

เถรี 06-07-2010 11:46

ถาม : ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับอารมณ์การสัมผัสทางกาย ก็เหมือนกับว่าจะเข้าไปอยู่ในโลกหนึ่ง โลกที่ไม่มีประมาณ เป็นความจบ เพราะว่าเท่าที่ผมลองทำวิทยานิพนธ์กับตัวเองดู ตรงนั้นสมบูรณ์กว่าของปัจจุบันเยอะ เพราะของปัจจุบัน อารมณ์คับแค้นใจ อารมณ์ดีใจ เหมือนกับเป็นการปรุงแต่งเสี้ยวความสมบูรณ์ในตรงนั้น
ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ธรรมะของหลวงปู่บุดดา ท่านบอกว่า ถ้าหยุดปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมดดับ

ถาม : แต่ตรงนี้ไม่ใช่ดับ ไม่ใช่เกิด เพราะว่าไม่ใช่ความดับ ไม่ใช่ความเกิด
ตอบ : ตัวนี้แหละนิพพานที่เขาเถียงจะตายกันอยู่ทุกวัน (หัวเราะ) จะว่าดับก็ไม่ใช่ เพราะถ้าดับก็ต้องมีเกิด

ถาม : เป็นความสมบูรณ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ
ตอบ : ฝรั่งเขาใช้คำว่า เป็นอีกมิติหนึ่ง แต่ทีนี้อีกมิติหนึ่งของเราไม่สามารถอธิบายได้ว่าสภาพเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นปัจจัตตัง คำพูดเราได้แค่สมมติเท่านั้นเอง ของจริงแท้ละเอียดเกินกว่าจะอธิบายได้ แค่อารมณ์ใจที่เราสัมผัสได้ อธิบายเป็นคำพูดก็ไม่ได้แล้ว

พระที่ท่านเป็นสุกขวิปัสสโก จะเป็นตัวอย่างตรงนี้ได้ชัดที่สุด เพราะว่าท่านไม่เคยเห็นว่ามีนรก มีสวรรค์ มีนิพพาน แต่ทำไมท่านจึงรู้ ? เพราะว่าทันทีที่จิตเข้ามาถึงตรงนี้ ทุกอย่างหยุดหมด ดับหมด ความสมบูรณ์พร้อมทำให้รู้ว่านี่แหละนิพพาน ตอนนั้นความเป็นนิพพานจะเต็มอยู่ในกายในใจของท่านเองแล้ว รู้เลยว่าตายตรงนี้ก็นิพพานตรงนี้ ท่านถึงได้เกิดความเชื่อมั่นยิ่งกว่าเชื่อมั่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย ก็เพราะกำลังใจที่หยุดหมด ดับหมด เข้าถึงความสมบูรณ์พร้อมตรงจุดนั้นแล้ว ทุกอย่างจะบอกตัวเองได้ครบถ้วนเลย ว่าอะไรเป็นอะไร


ถาม : คนที่เดินทางถึงตรงนั้นได้ ก็จะมีผลของความชัดเจนในการเข้าใจตนเอง เข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริงที่ยอมรับ
ตอบ : พระพุทธเจ้าทรงสรุปว่า เป็นเรื่องของอินทรีย์ ๕ พละ ๕
ศรัทธา ความเชื่อถือ มั่นใจในคุณของพระรัตนตรัย
วิริยะ พากเพียรทำเพื่อให้ถึงจุดหมายนั้น
สติ สมาธิ สองอย่างที่ประคับประคองซึ่งกันและกัน
สุดท้ายปัญญาก็เกิด ในเมื่อมองเห็นแล้วว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากการกระทำ..ก็หยุด เลิกทำ

เถรี 06-07-2010 12:56

ถาม : แล้วสติ ธัมมวิจยะ และอุเบกขาละครับ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นส่วนของโพชฌงค์ หลักธรรมคนละส่วนกัน แต่จริง ๆ ก็เอามาใช้รวมกัน เพราะว่าในส่วนของสติก็จัดอยู่ในสติของพละ ๕ เหมือนกัน ในส่วนของธัมมวิจยะก็จัดอยู่ในปัญญาของพละ ๕

ถาม : สติ ธัมมวิจยะ อุเบกขา ที่เป็นอัตโนมัติ พอดีผมไปกราบหลวงปู่ที่ขอนแก่น ท่านก็พูดสั้น ๆ แค่นี้
ตอบ : ท้ายสุดทุกอย่างก็ต้องหยุด ตัวหยุดที่ดีที่สุดก็คือ อุเบกขา ไม่ไปยินดียินร้ายกับทุกอย่าง ในเมื่อไม่ไปยินดียินร้าย ก็ไม่ไปปรุงแต่งเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างก็จะจบ เพียงแต่ว่าต้องเป็นอุเบกขาเพราะปัญญาเห็นจริง ไม่ใช่อุเบกขาเพราะสภาพจิตโดนสมาธิกดไว้ ถ้าอุเบกขาเพราะสภาพจิตโดนกดไว้ด้วยสมาธิ ถ้าสมาธิคลายตัวเมื่อไรก็กำเริบอีก

เถรี 06-07-2010 17:38

ถาม : ขอให้ช่วยอธิบายคำว่า วิญญาณทางใจ (มโนวิญญาณ) เกิดขึ้นดับไป
ตอบ : ก็มีสภาพเหมือนกับตัวอื่น เพราะว่าจะต้องมีตัวรับรู้ ถ้าไม่มีตัวรับรู้ สิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่ว่าจะดีจะชั่วก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นในส่วนของมโนวิญญาณก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวของเวทนาที่เกิดจากผัสสะ ก็คือว่า เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นจิตใจก็ครุ่นคิด

ถ้าหากเราไปหยุดสาเหตุเสีย ไม่คิดต่อ จิตก็ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งขึ้นมาได้ พอถึงเวลาวาระนั้น ทุกอย่างก็ต้องหยุดลง ดับลง ตัววิญญาณที่รับรู้อะไรต่าง ๆ เมื่อเราหยุดการปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีอารมณ์ให้เสวย ก็ต้องดับของมันไปเอง

เถรี 06-07-2010 17:42

ถาม : ผมอ่านหนังสือกำลังภายใน คนสมัยก่อนเขามีลมปราณควบคุมกระบี่
ตอบ : เขาจะแบ่งออกเป็นภายนอกและภายใน คนส่วนคน ปราณส่วนปราณ ก็เหมือนกายกับจิต สองอย่างประสานเข้ามา ก็จะหนุนเสริมช่วยเหลือกัน ถึงเวลาแล้วกลายเป็นว่าคนช่วยหนุนเสริมปราณ ปราณช่วยหนุนเสริมคน

ก็เหมือนกับกายของเรา ถ้าปฏิบัติก็หนุนเสริมจิตให้แข็งแกร่งขึ้น กำลังจิตที่แข็งแกร่งก็จะหนุนเสริมสภาพร่างกายของเราให้สามารถที่จะตรากตรำลำบากได้มากขึ้น

ถาม : แล้วคำว่าพลังชีวิต ?
ตอบ : พลังชีวิตตรงนั้นก็คือปราณ พวกกระแสต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายของเรา พลังงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากสภาพร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของชีววิทยา เป็นปกติของธรรมชาติที่สร้างเสริมขึ้นมาอย่างนั้น

ถ้าไม่มีสิ่งเข้าไปเสริม ก็จะหยุดชะงักขาดตอนลง ก็คือตาย ฉะนั้น..ก็จะเห็นว่ามีการเกิดอยู่เสมอ ๆ (สันตติ) เพื่อทดแทนการดับที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นว่าเวลาพลังงานหมด เราก็เติมอาหารเติมน้ำให้ร่างกาย

ถาม : พวกทะเลที่เป็นพลังชีวิต ถ้ามีเยอะ มันก็จะรองรับอะไรที่เป็นพลังงานลมปราณได้ดี
ตอบ : มันสำคัญตรงว่าค้นไปถึงไหม? เขาเพิ่งออกข่าวไม่นาน โยคีอายุ ๘๓ ปี เขาไม่ได้กินอะไรมา ๖๐ กว่าปี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็เพราะเขาไปค้นพบทะเลลมปราณ พอถึงเวลาแล้วมันสามารถที่จะปรับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในร่างกายของมัน ลักษณะอย่างนี้มันก็เท่ากับว่าปรับสมดุลในธาตุสี่ ส่วนไหนขาดก็เติม ส่วนไหนเกินก็ตัดออก มันก็จะพอเหมาะพอดีอยู่ได้ไปเรื่อย ๆ โดยที่คนอื่นไม่เห็นว่าเขาเสริมเข้าไปตรงไหน

แต่จริง ๆ ก็คือ ดึงเอาธาตุสี่ที่รอบ ๆ ข้างของเราเข้ามา ตัวนี้จะว่าไปแล้วมันเป็นหลักวิชาขั้นต่ำเสียด้วยซ้ำ เพราะว่ามันทำให้เขายึดติดกันอยู่ ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลเป็นต้นมาเขาก็ติดอยู่แค่นั้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังติดอยู่ ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปมากกว่านั้นได้


ถาม : พลังงานที่มันไหลเวียนเข้า ในโครงต่าง ๆ ของร่างกาย พอมีการเคลื่อนไหว มันเป็นความสุขดี ๆ นี่เอง
ตอบ : มันเป็น มันก็เหมือนความสุขของสมาธิ เพียงแต่ว่าอันนี้มันกายโปร่ง พอกายโปร่งขึ้นมาใจมันพลอยโปร่งด้วย ความสุขก็เกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าเป็นสุขในสมาธิ เป็นสุขที่ยังมีอามิสอยู่

เถรี 06-07-2010 17:48

ถาม : กำลังใจบางเรื่องนั้นเป็นในลักษณะของจาโค ปฏินิสสัคโค แต่กำลังใจบางเรื่องไปลงที่ตัวยอมรับ แต่ในขณะที่หนูเห็นว่ามีการยอมรับว่าเป็นธรรมดา เราก็ยังเห็นว่า ในช่วงที่เรายอมรับนั้นก็มีความยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งว่าเรายอมรับ คือ ตรงนี้ท้ายสุดเราก็ต้องไปปล่อยวางอารมณ์ยอมรับของเราตรงนี้ด้วย ให้เป็นสักแต่ว่าเป็นการยอมรับ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ท้ายสุดก็จะเป็นปฏินิสสัคโค ต้องสลัดออกไป จาโค ละเสียวางเสีย

ถ้าละแล้วยังดื้อ ยังกอดเราไม่ยอมปล่อย ก็สลัดไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้มีดใช้อาวุธมาตัด อะไรที่ไม่ดื้อมาก ยอมปล่อยแต่โดยดี ก็จาโค..กองไว้ตรงนั้น

จึงได้มีละ มีตัด แล้วแต่สภาพของกิเลส แล้วแต่ความดื้อของกิเลสว่ามีมากมีน้อย


ถาม : จิตกับอทิสมานกายเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากจะดูให้อยู่ในสภาพที่เป็นจิตก็เป็นจิต จะดูให้เป็นสภาพอทิสมานกายก็เป็นอทิสมานกาย แต่จริง ๆ แล้ว คือตัวเดียวกัน สำคัญว่าเราเลือกดูแบบไหน หรือชำนาญแบบไหน

ถาม : อย่างเวลาหนูเห็นอทิสมานกายของตัวเอง เวลาที่เห็นอทิสมานกายก็ยังมีความรู้สึกว่า แม้กระทั่งอทิสมานกายนั้นก็ยังไม่ใช่เรา
ตอบ : ถ้าไปยึดแม้แต่นิดเดียวก็ไปไม่รอด จึงต้องสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้

เถรี 06-07-2010 17:57

ถาม : อทิสมานกายคืออะไรครับ ?
ตอบ : กายที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อปกติ

ถาม : ถ้าเราใช้มโนฯ เห็นอีกกายหนึ่ง นั่นคืออทิสมานกายหรือเปล่า ?
ตอบ : ใช่..ตัวข้างในนั่นแหละอทิสมานกาย จะใช้ไปไหนก็ได้ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความสามารถระดับเดียวกันก็จะมองไม่เห็น

ถาม : แล้วอย่างเวลาที่เราลืมตาหลับตา แล้วเห็นนิมิตเกิดขึ้นอย่างชัดแจ๋ว เกิดจากอทิสมานกายของเราหรือวิญญาณ ?
ตอบ : เป็นมโนวิญญาณ คือ เครื่องรู้ของใจ

ถาม : แต่ก็มีสายตาเราเป็นเครื่องครอบครองอยู่
ตอบ : ตรงนี้แหละที่แกะยากสุด ๆ เพราะมี "ตัวกู" แทรกอยู่ทุกซอกทุกมุมเลย ค่อย ๆ แกะ ค่อย ๆ แคะ คนเห็นทางก็ไม่ยาก คนไม่เห็นทางนี่สิยาก (หัวเราะ)

ถาม : ผมว่าผมต้องไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ไปอยู่ป่า อยู่วัด ผมอยู่บ้านไม่ได้หรอก
ตอบ : อยู่กับชาวบ้านเขาก็หาว่าเราบ้า (หัวเราะ)

เถรี 07-07-2010 08:23

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานเจอหลวงพี่นันต์(หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง) ท่านบอกว่า อาตมาไม่ยอมแก่เลย กี่ปีก็อยู่แค่นี้ ส่วนท่านเองบ่นว่า ตัวท่านทั้งอ้วนทั้งหงอก ดูไม่ได้

พอเจอหน้าหลวงพี่ทีป(หลวงพ่อพระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าซุง) ท่านก็ว่า "เฮ้ย..กูจะตายแล้วนะ" ถามท่านว่า "เป็นอะไรละพี่?" พี่เขาบอกว่า "มะเร็งแดกว่ะ..!" เป็นตรงคอขึ้นเป็นก้อน โตขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยบอกว่า "มันไม่ได้โตขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้นนะพี่ แต่มันจะปวดขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะของมันด้วย.."

คุยกับท่านว่า "ที่ผมกระโดดใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้าก็เพราะอย่างนี้ พวกเราตามหลวงพ่อมานาน เป็นทหารไปเที่ยวรบราฆ่าฟันเขาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ผลกรรมปาณาติบาต ก็จะมาในเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วย คราวนี้ผมยอมลำบากกาย ด้วยการวิ่งใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้า ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ผมก็รู้ว่าผมรับได้ แต่อยู่ ๆ ถ้าเป็นกรรมที่ทำให้เกิดโรคโผล่มาแบบนี้ ไม่รู้ว่าผมจะรับไหวหรือเปล่า?"

ฉะนั้น..วิ่งใส่ไว้ก่อนเลย อย่าให้กรรมวิ่งมาหาเรา แต่อาตมาได้มาเลเรียมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ แล้ว มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ แล้ว โรคอื่นจึงยังไม่เป็น...

เถรี 07-07-2010 08:25

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาส่งแม่ชีที่วัดท่าขนุน ๒ รูป ไปปฏิบัติแบบพองหนอยุบหนอ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี เป็นระยะเวลาสามเดือน

มีแม่ชีอยู่ท่านหนึ่งบอกว่าขอต่ออีก ๗ เดือน เพราะว่าสองเดือนแรกฟุ้งซ่านตลอด ใจไม่ยอมลงให้เขา คิดอยู่อย่างเดียวว่าของที่เราทำมาดีกว่า แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ท้ายสุดเลยยอมตามเขา กลายเป็นว่าดี ช่วงปรับกำลังใจทุกคนมักจะเป็นอย่างนี้"

เถรี 07-07-2010 10:39

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "น้องบัว (สโรชา นุตกุล)เขาไปคว้าทุนเรียนดีจากเมืองจีนอีกแล้ว เด็กของเมืองจีนเองยังสู้ไม่ได้เลย อย่างดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) เขาจบปริญญาโทพุทธศาสนาที่ญี่ปุ่น แล้วไปจบปริญญาเอกพุทธศาสนาที่เยอรมัน

เขาไปญี่ปุ่นต้องไปเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน พอความรู้ทางภาษาได้รับการทดสอบว่าคุณสามารถเรียนระดับนี้ได้ ถึงไปเรียนปริญญาโทแล้วเขาก็ไปได้ที่หนึ่งของญี่ปุ่นมา ตอนเรียนปริญญาเอกนี่โปรเฟสเซอร์เขายืนยันว่าทางเยอรมันความรู้ตรงนี้แน่นกว่า โดยเฉพาะพวกเอกสารหลักฐานอะไรต่าง ๆ ที่เอาจากทางเอเชียไป เขาเอาไปขายเป็นวัตถุโบราณ ทางด้านเยอรมันจึงมีให้ค้นมากกว่า เขาก็เลยต้องไปเริ่มต้นเรียนภาษาเยอรมันใหม่ แล้วก็ไปจบด็อกเตอร์ที่เยอรมัน

ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า คนเราเรียนเกินสองภาษาก็แย่แล้วนะ แล้วดันไปเก่งกว่าเจ้าของภาษา แสดงว่าจะต้องมีสาเหตุ ก็มาสรุปลงตรงที่ว่า ถ้าหากว่ามีพื้นฐานสมาธิที่ดีแล้ว เรื่องการเรียนทุกอย่างไม่มีอะไรยาก"

เถรี 07-07-2010 15:48

ถาม : สมาธิก็แค่ความคิด ?
ตอบ : ไม่ใช่...สมาธิส่วนสมาธิ ความคิดส่วนความคิด ความคิดนั้นเป็นทั้งดีและไม่ดี เราจำเป็นที่จะต้องปรุงแต่งสมาธิขึ้นมา เพื่อเอามาเป็นกำลังในการตัดกิเลส แต่ว่าสมาธินั้นก็ยังนับเป็นการปรุงแต่งของจิตอยู่

ถาม : การปรุงของสมาธิ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่า ปรุงแล้วเราจะเอาไปใช้งานอย่างไร ไม่ใช่คิดขึ้นมา แต่บังคับใจตัวเองให้เป็นอย่างนั้น คือปรุงลักษณะบังคับให้เป็น เราต้องเข้าใจคำว่า จิตสังขาร มีการปรุงแต่งของใจขึ้นมา

อย่างเช่นเราเห็นสิ่งนี้ (หยิบรูปปั้นเต่าขึ้นมา) ก็สักแต่ว่าเป็นวัตถุ เป็นรูป แต่ถ้าไปนึกปรุงแต่ง เขาแกะเป็นรูปเต่านี่นา นึกต่อไปอีกว่า ถ้าเราเอาเต่าไปแกงก็อร่อย เวรกรรมก็เริ่มโผล่แล้ว อีกคนหนึ่งคิดว่า เต่าน่าสงสาร เดี๋ยวเราจะซื้อไปปล่อย อันนี้ก็กลายเป็นบุญขึ้นมา

อันหนึ่งเป็นบุญ อันหนึ่งเป็นบาป จิตเราปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น ไปได้เรื่อยแหละ แล้วแต่ว่าจะไปข้างไหน เพราะฉะนั้นถ้าหากเราสักแต่ว่าเห็น ไม่ปรุงแต่งต่อ ทุกอย่างก็จะจบลงแค่นั้น แต่ถ้าเราปรุงเมื่อไร ก็จะเกิดรัก โลภ โกรธ หลง กลายเป็นกรรมทันที ก็เลยกลายเป็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในปัจจุบันทุกวันนี้ ที่เราหนีไปไหนไม่รอด ก็เพราะความคิดของตัวเองทั้งนั้น ถ้าหยุดคิดได้เสียอย่าง กรรมก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

ถาม : แล้วถ้าเราเห็นเต่าขึ้นมา ก็รู้ว่าเต่าเขาเกิดมาก็ทุกข์เหมือนเรา ยังเป็นการปรุงแต่ง ?
ตอบ : นั่นเป็นตัวปัญญา ตัวปัญญาที่รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง แต่ถ้าหากรู้ไปกว่านั้น ก็คือสักแต่ว่าเป็นรูปที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เราและเขาก็ทุกข์เหมือนกัน ตราบใดที่ยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ก็ยังจมอยู่ในกองทุกข์นี้เหมือนกัน

ฉะนั้น..เขาเท่ากับเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา ที่เราควรจะสงเคราะห์ ควรจะเมตตาเต็มความสามารถของเราที่จะทำได้ ก็เท่ากับว่าทุกอย่างกลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร และขณะเดียวกันก็ไม่ไปสร้างกรรมกับใคร

ถ้าหากว่าสร้างก็สร้างแต่กรรมดีเท่านั้น ก็จะมีแต่ส่วนของทำดีละชั่ว ทำดีละชั่วไปเรื่อย ท้ายสุดพอทำถึงที่สุด ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา ก็จบแล้ว ตอนท้ายจะเหลือแค่ว่า รู้ว่าดีจึงทำเพราะทำแล้วดี รู้ว่าชั่วก็ละเพราะรู้ว่าชั่ว ไม่เกาะทั้งดีและชั่วแล้ว

เถรี 07-07-2010 15:52

ถาม : จะสรุปอริยสัจสี่เป็นแค่ทุกข์กับสุขได้ไหมครับ ?
ตอบ : สุขไม่ได้มีอยู่ในอริยสัจ

ถาม : นิโรธกับมรรคเป็นส่วนของด้านสุข ?
ตอบ : คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องบอกว่าเป็นส่วนของเหตุกับผล ในเมื่อเรารู้ว่าเหตุนี้ทุกข์ เราละเหตุนั้นเสีย ทุกข์ก็ไม่เกิด ในเมื่อทุกข์ไม่เกิดก็แปลว่าเราสร้างเหตุแห่งสุขขึ้น ในเมื่อสร้างเหตุสำเร็จสุขก็เกิด

ดังนั้น..จะเป็นเรื่องของเหตุกับผลทั้งคู่ เพียงแต่ว่าในเรื่องของอริยสัจจริง ๆ แล้ว สำคัญที่สุดก็คือ เห็นทุกข์แล้วก็วาง ถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้จะวางอะไร เห็นแล้วถ้ายังแบกอยู่ ก็ยังทุกข์อยู่ต่อไป

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้หมดแล้ว ท่านสอนไว้ง่ายมาก ง่ายจนเรามองข้ามไปหมด จนว่าท่านไม่ได้กล่าวถึงอริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาทอะไรเลยหรือเปล่า? ความจริงไม่ใช่ ท่านว่าไว้เต็ม ๆ เพียงแต่ไม่ได้อ้างถึงศัพท์พวกนี้เท่านั้น

เถรี 07-07-2010 15:54

ถาม : ตัวที่รู้เห็นวิญญาณ การเกิดดับ คือตัวพุทโธ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ใช่

ถาม : ตัวนี้จะกล่าวได้ไหมครับว่าคือพระนิพพาน ?
ตอบ : คุณสามารถที่จะยัดพระนิพพานเข้าไปในทุกสิ่งได้เลย เพียงแต่จะทำถึงหรือเปล่า ? การปฏิบัติถ้าเรามัวแต่มาเรียกว่ามันคืออะไร ก็เสียเวลา สำคัญตรงที่ลงมือทำเลย

เถรี 07-07-2010 19:32

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี แม่ชีที่เขาอยู่ที่นั่นมาสามเดือน พอเราไปเยี่ยมเขาก็ขอออกมาคุยด้วย

เขาบอกว่ากิเลสมันสุดยอดของการหลอกเลย พอถึงเวลาอยู่ในห้อง ปฏิบัติไม่ได้ออกไปไหน กิเลสมันดิ้นอยู่นั่นแหละ สองเดือนกว่ามันไม่ยอมเลย สู้กับมันมาตลอดจนแทบจะหมดแรงกายแรงใจ

เขาบอกว่าถึงเวลามันออกไปไหนไม่ได้ เพราะเขามีระเบียบบังคับ ตัวเองก็ต้องไปยืนหนอ..ยืนหนอ อยู่ตรงหน้าต่าง ขอให้ได้มอง ได้เห็นก็ยังดี แล้วมันก็ปรุงแต่งไปสารพัด ปวดท้องจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว ขอไปห้องน้ำหน่อยเถอะ

จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจไปห้องน้ำหรอก แต่ขอให้ไปเจอ ไปเห็นสักหน่อย พอเดินไปมันหายปวดปัสสาวะเลย กิเลสมันหลอกขนาดนั้น

ถ้าหากเราปล่อยให้กิเลสมันอด มันจะดิ้นสุดชีวิตเลย มันต้องการอาหารของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีอาหารให้มัน เดี๋ยวมันจะตาย

ก็อยู่ที่เราว่าจะต้องสร้างตบะเผาให้มันตายให้ได้ มันดิ้นเราอย่าไปเชื่อมัน ส่วนใหญ่เราไปเชื่อมัน พอมันดิ้นจะตาย ๆ เราก็จะตายตาม เลยไปยอมให้มัน พอมันแข็งแรงก็กลับมาฟัดเราใหม่ ส่วนใหญ่พวกเราเป็นอย่างนี้ เมตตากิเลสมัน"

เถรี 07-07-2010 19:37

"แม่ชียืนมองเพราะตาอยากเห็นรูป สมัยที่อาตมาฝึกใหม่ ๆ ถ้าฟุ้งซ่านจนเอาไม่อยู่ ก็จะไปนั่งอยู่หน้าพระประธาน ทำอะไรไม่ได้ก็นั่งมอง คือ เรานั่งอยู่ตรงนั้น กายเราทำชั่วไม่ได้อยู่แล้ว วาจาเราพูดชั่วไม่ได้อยู่แล้ว ก็เหลือแต่ใจ ถ้าคิดชั่วก็คิดไป เราได้กำไรสองในสาม เอาเท่านี้

ในเมื่อไม่มีทางจะสู้แล้วก็ต้องใช้วิธีหน้าด้าน นั่งมองพระ มีปัญญาคิดชั่วก็คิดไป แต่ข้าจะไม่ไปไหน ดูว่าใครจะดื้อกว่ากัน"

เถรี 07-07-2010 19:42

ถาม : วันหนึ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยค่ะ หลับก็เหมือนไม่ได้หลับ
ตอบ : นอนให้ร่างกายได้พักผ่อน จำเป็นที่จะต้องนอน แต่สติที่กำหนดรู้จะตื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราระมัดระวังได้ว่า แม้แต่กิเลสจะเข้ามาตอนหลับ เราก็จะรู้ จะได้ระวังป้องกันได้ทัน

พอจิตจะปรุงแต่ง สติตัวรู้ก็เตือนทันที เราก็จะหยุด
แม่ชีเขาก็เริ่มถึงตรงนี้แล้ว บอกแม่ชีเขาสังเกตว่า ตอนที่เขาจะหลับ จิตจะเหมือนกับดวงไฟ ค่อย ๆ ถูกกดหรี่ลง...หรี่ลง ถ้าเลยจุดนี้ ก็จะหลับเลย แต่ถ้าหากเราสามารถล็อกให้อยู่ตรงจุดนี้ จะหลับจะตื่นเราจะรู้เท่ากันหมด

ถ้าหากมีเรื่องที่จำเป็น เราก็จะคลายกำลังใจออกมารับรู้ พอหมดเรื่องที่จำเป็นก็จะกลับเข้าไปสู่จุดเดิม ถ้าอยู่ในสภาพนี้พักผ่อนน้อยก็เหมือนพักผ่อนมาก แต่ว่าควรจะตั้งเวลาไว้อย่างน้อย ๖ ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นร่างกายเราโทรมมาก เดี๋ยวจะไปไม่ไหว


ถาม : มีเหมือนกันว่า มีคนมาช่วยเตือน พอเผลอจะตัดหลับแค่ ๑ นาทีเท่านั้น ใครก็ไม่รู้มาทับหน้าอก ก็ต้องตื่นขึ้นมา ช่วยเตือนให้ว่า ห้ามตัดหลับ ต้องทำไปต่อ
ตอบ : บอกเขาไปว่า ขอนอนบ้างสิ

เถรี 07-07-2010 19:46

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ตะกรุดลูกอมโลกธาตุของท่าน ใช้แผ่นทอง แผ่นนาก หรือแผ่นเงิน ยาว ๗ ใบมะขามเรียง (ประมาณ ๗ ซม.) จารอักขระเสร็จแล้วก็ม้วน ที่ต้องยาว ๗ ใบมะขามเรียง ก็คือถือเคล็ดธรรมจากโพชฌงค์ ๗

ลูกศิษย์ท่านเอาไปใช้ โดยอมเข้าไปในปาก พอฉุกเฉินท่านให้กลืนได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกลัว ถึงเวลาก่อนนอนก็ปูผ้าขาวไว้ข้างตัว ตื่นเช้าขึ้นมาลูกอมจะออกมาอยู่ที่ผ้าขาวเอง และเป็นอย่างนั้นทุกคน หลวงปู่ก็ไม่อยู่สอนเราเสียด้วย

คนเขาจะไปเรียนวิชากับท่าน ต้องเพ่งเทียนจนกระทั่งขาด ถ้าหากไส้เทียนไม่ขาด ก็ไม่สำเร็จ ถ้าเพ่งเทียนขาดได้จึงจะไปเรียนกับท่านได้"


ถาม : เทียนขาดได้อย่างไร ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสมาธิของเราเอง ตั้งใจให้ขาดอย่างเดียวก็พอ

เถรี 07-07-2010 19:51

ถาม : สมาธิถ้าทำแล้วจะไม่ขี้เกียจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับได้เท่าไร ถ้าหากยังไม่สามารถปรับเป็นสมาธิใช้งานได้ จะรู้สึกไม่อยากเคลื่อนไหว คนที่ไม่อยากเคลื่อนไหว เอาแต่นั่งนิ่ง ๆ บางทีก็โดนคนเขาว่าขี้เกียจเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ขี้เกียจหรอก แต่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิอยู่ แต่ถ้าหากขี้เกียจทำงานโดยอ้างว่าจะปฏิบัติ อันนี้ใช่เลย..!

ถาม : ตอนอยู่เยอรมันฟังธรรมจากเว็บครับ ตั้งใจทำสักเดือนสองเดือนก็เละอีก
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ

ถาม : หลายรอบมาก เป็น ๆ หาย ๆ
ตอบ : เดือนหนึ่งเขาล้มเป็นร้อยเป็นพันครั้ง บางทีก็อาจจะหลายแสนรอบ ของเราแค่หลายรอบ

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ห้ามหยุด..!

เถรี 07-07-2010 19:58

ถาม : กรรมฐานสี่สิบกอง ที่เราเลือกมาปฏิบัติครั้งแรก ถ้าทำไป ๆ แล้วรู้สึกว่ายังไม่ไปไหน แล้วเปลี่ยนกองถือว่าเป็นการโลเลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่โลเล แต่จะเหมือนกับที่เคยเปรียบว่า ขุดบ่อแต่ไม่ได้น้ำ สมมติมีน้ำอยู่ในระดับ ๑๐ วา พอขุดไป ๆ ถึง ๕ วา ไม่ถึงตาน้ำสักที เราก็ย้ายที่ไปขุดใหม่ เท่ากับเราเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ถาม : ถ้าเลือกมาสัก ๒ กองแล้วทำ
ตอบ : ๒ กองที่คุณเลือก หรือกองเดียวที่คุณเลือก ให้เป็นอานาปานสติไว้ก่อน ๑ กอง ซึ่งกองอื่นเลือกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก กรรมฐานทุกกองไปไม่รอด

ถาม : แล้วถ้าวันหนึ่งจับภาพพระ อีกวันหนึ่งจับกสิณ
ตอบ : เจริญแน่..! ทำแบบนั้นอีกกี่ชาติก็ได้แค่ทำ..!

ถาม : เปลี่ยนไปทุกวัน
ตอบ : ชาติหน้าตอนเย็น ๆ อาจจะได้..!

ถาม : ถ้าทำอย่างนี้ชาติหน้าตอนเย็น ๆ จะได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าวันนี้คุณจับกสิณ แล้วคุณก็เลิก..ปล่อย ถ้าสมาธิคลายตัวก็ไหลตามกิเลส พอรุ่งขึ้นแทนที่คุณจะมาจับกสิณเพื่อว่ายทวนกิเลสต่อ แต่คุณไปจับอีกกองหนึ่ง แล้วคุณก็ปล่อยและก็ไหลตามไป พออีกวันคุณก็กลับไปทำอีกกอง

ลองนึกดูก็แล้วกัน คนไหลตามกิเลสไปสองวัน แล้วว่ายกลับมา จะหาความก้าวหน้าได้อย่างไร ? ขาดทุนสะสมไปเรื่อย รอวันล้มละลาย..!


ถาม : แล้วถ้าทำทุกวัน อย่างละกองวันละชั่วโมงละครับ ?
ตอบ : ๒๔ ชั่วโมงยังไม่รอดเลย..!

ตอนนี้ค่าแรง ๒๕๐ บาท ก็ตีเสียว่าชั่วโมงหนึ่ง ๑๐ บาท สิบบาทพอกินไหม ? กินซาละเปาลูกหนึ่งก็หมดเงินแล้ว

เรื่องของการปฏิบัติ เลือกกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้วทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถ้าหากถึงที่สุดแล้วกองอื่นจะเป็นของง่ายเพราะกำลังที่ใช้เท่ากัน เปลี่ยนแค่วิธีการนิดเดียว เพราะฉะนั้น..อย่าหลายใจ กรรมฐานไม่ใช่วิชาทางโลก ที่จะได้สะสมหน่วยกิตได้ เขาต้องการความจดจ่อต่อเนื่องตลอด คุณไปสะสมหน่วยกิตก็ได้เหมือนกัน ได้แค่ในส่วนอานิสงส์ที่เป็นกุศลกรรม แต่ความสำเร็จมาถึงยาก

เถรี 07-07-2010 20:07

ถาม : พระที่วัดครับ ท่านบวชได้สองเดือน แล้วเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นเทวดา เกรงว่าท่านจะพลาด ผมไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไรดี ?
ตอบ : ถามท่านว่า พรุ่งนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง ? หรือมีโยมคนไหนจะมาวัดบ้าง ? เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ? ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? ขับรถสีอะไร ?

เสร็จแล้วก็จดไว้เป็นการพิสูจน์ ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ตรงจุดนี้ได้ ก็บอกท่านว่า อย่าพูดดีกว่า เดี๋ยวเสียพระเปล่า ๆ ถ้าเตือนท่านได้บอกท่านว่าอย่าไปสนใจนิมิต เพราะหลงทางมามากแล้ว

เถรี 07-07-2010 20:11

ถาม : เวลาที่นั่งมองสายน้ำ ถ้าหากได้จังหวะนั่งนิ่ง ๆ แล้วมอง จะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูดไป แล้วจะลืมทุกอย่างรอบข้างไปได้ เหมือนอยู่ในภวังค์ตัวเองได้ช่วงหนึ่ง ถ้าไม่มีใครมายุ่งอะไร สามารถอยู่ตรงนั้นได้ ๓ - ๔ วัน
ตอบ : ทำบ่อย ๆ ไม่ต้องกินอะไร ๓ - ๔ วัน ประหยัดดี นั่นเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

ถาม : ไม่ได้ตั้งใจทำค่ะ เป็นเอง
ตอบ : ถ้าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ถ้าหากสิ่งรอบข้างอำนวย ก็จะเป็นไปเอง ไม่ต้องไปตั้งใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเรายังตั้งใจอยู่ แปลว่าเรายังอยากอยู่ ถ้าอยากอยู่โอกาสได้มันน้อย ถ้าไม่ตั้งใจแปลว่าไม่อยาก ยิ่งได้ง่ายขึ้น

เถรี 07-07-2010 20:30

ถาม : ทำไมบางคนถือศีลแปด เขาบอกว่ากินน้ำเต้าหู้ หรือ โอวัลตินได้ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเขาห้าม แต่เป็นฆราวาสกินไปเถอะ เพราะว่าพระเขาให้แยกแยะว่าสิ่งไหนเป็นอาหาร สิ่งไหนเป็นปานะ

โอวัลตินมีส่วนผสมของข้าวมอลต์ มีส่วนผสมของไข่ไก่ที่เป็นอาหาร ถือว่าเป็นอาหาร ส่วนน้ำเต้าหู้ผลิตมาจากถั่วเหลืองที่เขาถือว่าเป็นอาหาร เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ ถึงเป็นน้ำปานะก็ไม่ควรสำหรับพระ ท่านห้ามเฉพาะพระ ไม่ได้ห้ามฆราวาส


ถาม : แต่ถ้าเราไม่กินเลย ก็ถือว่าได้ศีลแปดไปในตัว
ตอบ : ถ้าหากสามารถห้ามได้เลยก็ถือว่าเยี่ยม

ถาม : แล้วครีมกันแดดเล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ที่ท่านห้าม ก็คือ ห้ามแต่งตัวเพื่อไปยั่วเพศตรงข้าม

เถรี 07-07-2010 21:58

ถาม : ผมไปบวชและลองไปปฏิบัติแบบสายพระป่าครับ เราต้องทำสมาธิแบบไหนจึงจะพอ เพราะผมเคยศึกษาสายหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่าเอาเฉพาะเท่าที่เราทำได้ แต่พอไปอีกทางหนึ่ง เวลาที่ปวดขาหรือเวทนารบกวน ท่านบอกว่า แค่ตอนนั่งสมาธิเราปวดขา เราก็ยังทนไม่ได้ แล้วตอนที่เราจะตายแล้วเวทนามารบกวน เราสามารถที่จะพ้นได้หรือ ? อย่างไรจึงจะเรียกว่าพอดีสำหรับเราครับ ?
ตอบ : เราอยากทนไหมละ ?

ถาม : ไม่อยากทนครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากทนก็ไปฝึกอย่างนั้นต่อ ถ้าไม่อยากทนก็ไปฝึกอย่างหลวงพ่อฤๅษี

ถาม : ปลายทางเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยเหมือน การศึกษาปฏิบัติมี ๔ แนวทางด้วยกัน ก็คือ ปฏิบัติยากบรรลุยาก ปฏิบัติยากบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุยาก

ถาม : ปฏิบัติง่ายบรรลุง่ายใช้แนวทางไหนครับ ?
ตอบ : ใช้สมาธิสูงสุดที่เราทำได้ ฌานสี่หรือสมาบัติแปดยิ่งดี กดกิเลสเอาไว้ก่อน แล้วบีบคอให้กิเลสตายไปเลย

ถาม : บีบคอให้ตาย ?
ตอบ : กิเลสกับเราหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย พอบีบคอเข้าก็ชักดิ้นจะเป็นจะตาย แล้วคิดว่าเป็นตัวเราเองที่จะตาย เราก็มักจะไปรามือให้ทุกที พอเห็นว่าทำหน้าตาเหมือนเราเข้าหน่อย รีบไปเมตตากิเลสเชียว

โบราณเขาจึงได้บอกว่า ให้ตั้งใจว่าตายเป็นตาย ถ้าไม่คิดอย่างนั้นแล้วกิเลสจะหลอกเราทุกครั้ง


ถาม : แล้วการบีบคอเราใช้อะไรครับ ?
ตอบ : จะใช้สมาธิอย่างเดียวก็ได้ แต่ว่าจะต้องยาวนานพอ จะใช้วิปัสสนาญาณอย่างเดียวก็ได้ แต่ต้องมั่นคงพอ

คราวนี้วิปัสสนาญาณจะให้มั่นคงก็ไม่ได้ เพราะสมาธิมีน้อย สมาธิจะให้กดกิเลสจนตายก็ยากอีกเหมือนกัน เพราะว่าขาดความแหลมคม ก็เลยต้องใช้สองอย่างรวมกัน ก็คือ ภาวนาและพิจารณา ถ้าหากกำลังสมาธิคลายตัว ก็ภาวนาใหม่ สลับไปเรื่อย ถ้ากำลังพอเมื่อไร รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ก็จะวางได้เอง

เถรี 08-07-2010 00:48

ถาม : พ่อผมเขาเป็นมะเร็งลำไส้ เขาให้ผมมากราบเรียนถามว่ามียาอะไรที่พอจะรักษาโรคมะเร็งได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าอาการถึงระดับไหนแล้ว ถ้าหากยังไม่เกินระยะที่สอง สมุนไพรยังพอประทังได้อยู่

เอาขมิ้นชัน ๑ หัวแม่มือ และหญ้าแพรก ๑ กำมือ ล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียด ละลายน้ำปูนใส คั้นให้ได้สัก ๑ ถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง วันละถ้วย สามวันเท่านั้น


ถาม : ถ้าเกินขั้นสองก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเกินขั้นสองไปแล้ว ก็ทำใจเถอะ กินไปก็ช่วยบรรเทาเท่านั้น รักษาไม่หายหรอก

เถรี 08-07-2010 10:36

พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "จริง ๆ แล้วพระที่ไม่ถึง ๕ พรรษา พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามไว้เลยว่า ไม่ให้ไปพ้นจากครูบาอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่พวกเรามั่นใจตัวเองจนเกินเหตุ ในเมื่อมั่นใจในตัวเองจนเกินเหตุ อยากจะไป..ผมไม่ได้ห้าม แต่ให้เข้าใจว่าเราแบกอาบัติติดตัวไปตลอดเวลา เพราะว่าเราไปฝืนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับเราไม่ได้เอื้อเฟื้อ (เคารพ) ในพระวินัย

ในเมื่อเราต้องอาบัติอยู่ทุกวัน เผลอวันไหนก็ซวยวันนั้นแหละ ที่ไม่ได้ห้าม เพราะจะกลายเป็นว่าผมไปอิจฉาเด็ก ก็เลยปล่อยให้เด็กซวยกันเองตามอัธยาศัย ในเมื่อบวชเข้ามาแล้วไม่ศึกษากันเองว่าจะต้องทำอะไรกันบ้าง อยากจะไปก็ไป

อาตมาก่อนจะบวช ศึกษากติกาการบวชอยู่สองปี เริ่มตั้งแต่อดข้าวเย็นเลย วัดสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เขาเป็นตาผ้าขาวก่อนอยู่ ๑ หรือ ๒ ปี แล้วแต่ศรัทธา แต่ให้ปฏิบัติในศีล ๒๒๗ แบบพระเลย ทีนี้ตัวเองเป็นผ้าขาวปฏิบัติศีล ๒๒๗ ถ้าผิดก็ไม่มีโทษ ถ้าปฏิบัติจนชินมั่นใจแล้วบวชได้ ถึงเวลาเป็นพระก็จะไม่ผิด

แต่พวกเรานี่การฝึกปฏิบัติต่าง ๆ ก็ไม่มี แถมห่างไกลครูบาอาจารย์ก็หนักเข้าไปใหญ่ แทนที่จะดีจะมีแต่เสียมากกว่า"


ถาม : บางท่านเขาก็บอกว่ารู้แล้ว รู้มากกว่าเราอีก เราก็ไม่อยากพูด บางทีก็เป็นเพื่อน ๆ กัน
ตอบ : ตอนนี้คุณเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้บังคับบัญชา จำเป็นต้องพูด ไม่พูดไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราจะพูดแล้วเขาเชื่อได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัติของเราต้องเคร่งครัดกว่า ก็จะซวยตรงนี้ เพราะต้องแบกภาระทั้งข้างนอกและข้างใน

เถรี 08-07-2010 10:38

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าเจ้านายเคยเรียกใช้คนไหนแล้วได้อย่างใจ เขาจะเรียกใช้แต่คนนั้น

อาตมาโดนจนเข็ด บางทีเราก็ต้องทำเป็นไร้สมรรถภาพบ้าง แต่ก็ทำใจไม่ได้อีก เราทำนิดหน่อย ๆ ก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าคนอื่นเขา แล้วจะหมดสมรรถภาพได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น..จงเหนื่อยต่อไปเถอะ

พวกเราอยู่ในลักษณะอาสาศึกจนตัวตาย ถ้ายังไม่ตายเขาก็ใช้ไปเรื่อย เป็นกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว ถึงเวลาความสบายเป็นของคนอื่น เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร ลำบากก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ..! อาตมาไม่ได้ประชดนะ พูดจากเรื่องจริงที่เจอมา"

เถรี 08-07-2010 10:40

ถาม : เวลาแม่อธิษฐาน แม่จะอธิษฐานว่า ขอให้คนที่คิดร้ายต่อแม่แพ้ภัยตัวเอง กระแสตอนที่แม่พูด เหมือนจะเป็นความร้อนรน คล้าย ๆ กับแค้น
ตอบ : ไม่เป็นไร กำลังใจของแม่ยังแค่นั้น ปล่อยท่านไปก่อน

ถาม : แล้วเราเป็นลูก เราควรช่วยอย่างไรเพื่อที่จะให้จิตใจของแม่เย็นลงจากความร้อนตรงนี้ได้ ?
ตอบ : จนกว่าเราเองจะเย็นจริง ๆ ถ้าเราเย็นจริงได้เมื่อไร ท่านรับได้ ท่านก็จะตามมาเอง

ถาม : ทำอย่างอื่นไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พูดกรอกหูท่านไปเรื่อย ๆ ว่า ถ้าเราตั้งใจทำดีจริง ๆ คนชั่วก็แพ้ภัยไปเอง ไม่ต้องไปคิดไปแค้นก็ได้

เถรี 08-07-2010 10:43

ถาม : เขานั่งคุยกับผมอยู่และนั่งจับลมหายใจไปด้วย เขารู้สึกว่าคำพูดผมเหมือนกับห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าสมาธิลึกลงไปเรื่อย พอสมาธิลึกลงไปเรื่อย สิ่งที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ก็จะเบาลงไปเรื่อย

ถาม : ก็คือ ทันทีที่เขามาจับความสนใจที่ผมพูดต่อ ก็จะดึงกลับออกมา
ตอบ : คลายออกมา แต่ถ้าเขาปล่อยยาวออกไป ก็จะเป็นอัปปนาสมาธิ

ถาม : เป็นการแบ่งจิตเป็นสองส่วน ใช่ไหมครับ คือ ส่วนหนึ่งจับลมหายใจ ?
ตอบ : ใช่..แต่ถ้าไม่คล่องตัวก็จะทำยาก เอาสมาธิให้แน่นไปก่อน หลังจากนั้นค่อยมาแบ่งทีหลัง

ถาม : แต่เขาขับรถอยู่ด้วย
ตอบ : ขับรถอยู่ด้วย คนอื่นอาจจะเดือดร้อนได้ คือ ตัวเองไม่เป็นไรหรอก สมาธิที่ทรงระดับฌาน กำลังของฌานป้องกันเราได้ แต่ถ้าเกิดไปชนคนอื่นเพราะร่างกายเราขับรถไม่ได้ คนอื่นก็ซวยไป..!

เถรี 08-07-2010 10:45

ถาม : เวลาช่วงที่เราจับลมหายใจเข้าออก ช่วงเวลาตรงนั้นยาว คราวนี้เราก็ฟุ้งซ่านอีก พอเราภาวนาว่าพุท ก็ใช้เวลาครู่เดียว แต่เวลาที่เหลือก็ออกไปเยอะแยะได้ คราวนี้เวลาที่เราจับพุทไปด้วย จับลมชีพจรไปด้วยแบบนั้น ก็ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเวลาเหลือ ให้เพิ่มเข้าไปอีก อาจจะเป็นพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๓ ครั้งต่อ ๑ ลมหายใจเข้าก็ได้

ถาม : แล้วเราไปจับชีพจรด้วยจะดีไหมครับ หรือมันเป็นการไปยุ่งกับร่างกาย ?
ตอบ : ถ้าหากไปสนใจอย่างอื่นมาก สมาธิก็จะไม่ทรงตัว นั่นใช้สำหรับคนที่เขาคล่องตัวแล้ว ทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วเขาไปแบ่งกำลังใจสนใจหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ถ้ายังไม่คล่องเอาทีละอย่างดีกว่า

ถาม : ที่เขาพยายามไปจับอยู่ตรงปลายนิ้ว ปลายเท้า อะไรพวกนั้น สำหรับคนคล่องใช่ไหมครับ?
ตอบ : ไม่คล่องตัวไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวก็เพี้ยน..!

เถรี 08-07-2010 10:48

ถาม : ปฏิบัติมาค่อนข้างตึง ๆ และแน่น
ตอบ : อย่าไปสนใจอาการทางร่างกาย ตั้งใจว่าเราทำความดีอยู่ ถึงจะตายลงไปก็ช่าง สักแต่ว่ากำหนดรู้ไว้ว่าอาการเป็นอย่างนี้

ถาม : ปล่อยไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ถ้ายังมีคำภาวนาใช้คำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจดูลมหายใจ ถ้าไม่มีกำหนดรู้แค่อาการที่เป็นตอนนั้น อย่าอยากให้หาย และอย่าอยากให้เป็น แล้วจะเป็นสมาธิลึกเข้าไปเอง ถ้าเราอยากให้หายจากอาการนั้น หรือภาวนาแล้วอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็จะไม่เป็น เพราะเราไปอยาก..!

ถาม : ภาวนาแล้วสว่าง
ตอบ : ช่างมัน..ถ้าเราไปใส่ใจ สมาธิจะเคลื่อน

ถาม : ผมรู้สึกว่าตัวไปตรงสว่าง ๆ ลอยไปตรงนั้น
ตอบ : ไปได้ก็กลับได้ ไม่มีอะไรที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตนี้หรอก ไปแค่ไกลไหนก็กลับ ดังนั้น..ถ้าอยากไปก็ไป ไปแล้วพบเห็นอะไรก็ตั้งสติไว้ เจอพระไหว้พระ เจอเทวดาไหว้เทวดา อย่าไปขอหวยก็แล้วกัน

เถรี 08-07-2010 10:53

ถาม : พระธรรมยุติกับพระมหานิกาย ต่างกันตรงไหน?
ตอบ : ต่างกันโดยนัยของการปฏิบัติ แต่ในเรื่องของหลักศีล สมาธิ ปัญญาไม่มีอะไรต่างกัน ต่างกันอย่างเช่นว่า พระธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาท่านเดินเท้าเปล่าไม่สวมรองเท้า ท่านไม่ฉันนม ฯลฯ

จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นการปฏิบัติของศีลในส่วนของอภิสมาจาร คือ รายละเอียด ใครสามารถทำได้ก็เป็นการดี เพราะว่าจิตยิ่งละเอียดการเข้าถึงธรรมก็ยิ่งสูง แต่ที่พบโดยส่วนใหญ่ ท่านปฏิบัติแล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวท่านดีกว่า กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ก็เลยเข้าใจว่าส่วนน้อยที่เข้าใจถูกแล้วปฏิบัติได้ดีเลย แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจก็ยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกูหนักเข้าไปอีก

อย่างเวลาพระมหานิกายไป เขาจะมองเราเป็นแค่เณรเท่านั้น เรามีอายุพรรษามาก เขาก็แค่ให้นั่งเหนือเณร จะไม่มีโอกาสนั่งตามพรรษาตัวเอง ขณะเดียวกัน เราไปหยิบไปจับข้าวของของท่าน บางท่านไม่เกรงใจสั่งเณรประเคนใหม่เดี๋ยวนั้นเลย

อาตมาเองทั้ง ๆ ที่มีฎีกานิมนต์ ไปวัดเขาแล้วขึ้นวัดไม่ได้ เขาไม่ให้ขึ้นศาลาสวดมนต์ เพราะตอนนั้นไปนุ่งห่มสีเหลืองต่างจากเขา ก็เลยต้องนั่งอยู่ข้างล่าง พระที่ท่านนิมนต์เรามาก็หน้าเสีย วิ่งตาลีตาเหลือกมา บอกว่า "ผมไม่นึกเลยว่าเขาทำกับท่านอาจารย์ขนาดนี้" บอกท่านไปว่า "คุณจะไปเดือดร้อนอะไร คุณเห็นหรือเปล่าผมนั่งอยู่กับโต๊ะจีน สวดก็ไม่ต้องสวด ถึงเวลาก็รับปัจจัยเท่าเขา นั่งอยู่ที่โต๊ะจีนแบบนี้รับประกันซ่อมฟรีด้วยว่าไม่อดแน่" แต่คนที่คิดอย่างเราไม่ค่อยมี

เถรี 08-07-2010 10:57

ถาม : เขาบอกว่า เพศที่สามไม่มีโอกาสบรรลุ ?
ตอบ : ใครบอก ?

ถาม : อ่านหนังสือมา
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระพุทธวจนะ อย่าเพิ่งเชื่อ การสร้างบารมีของบุคคล ชาติแรก ๆ จะเริ่มเป็นผู้หญิงก่อน พอบารมีเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะเริ่มเป็นผู้ชาย อันนี้เป็นไปตามสภาวะเลย

ก่อนที่จะเกิดเป็นผู้ชายก็จะมีนิสัยของผู้ชายปรากฏก่อน ก็จะกลายเป็นหญิงห้าวสาวหล่อ เราก็จะไปเรียกเขาว่า "ทอม" พอข้ามไปเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยบางส่วนของผู้หญิงยังติดอยู่ เราก็ไปว่าเขาเป็น "ตุ๊ด" แต่ความจริงเป็นเรื่องปกติ จะเป็นอย่างนั้นไประยะหนึ่ง

ถามว่าก่อนหน้านั้นไม่มี แล้วทำไมสมัยนี้มี ? ก็เพราะระยะนี้พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเกิดมาก คราวนี้พอพัฒนาไปเรื่อย ๆ พอถึงอุปบารมีขั้นปลาย โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เริ่มมี ฉะนั้น..ที่บอกว่าไม่มีโอกาสเข้ามรรคผลเลย..ไม่ใช่ ต้องดูระยะเวลาและสิ่งที่เขาทำด้วย ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีความแข็งแรงของผู้ชาย และมีความละเอียดของผู้หญิง เพราะฉะนั้น..เขาทำงานได้ดีกว่าเราเยอะเลย


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : มีเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่บางส่วนนั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงบางท่านถึงแม้จะเป็นปรมัตถบารมี แต่ก็ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็เพราะว่าอธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์

อีกประเภทหนึ่ง ผู้ชายเกิดเป็นผู้หญิงนั้นเพราะเจ้าชู้ เขาต้องการให้เกิดเป็นผู้หญิง จะได้รู้ว่าช้ำใจอย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็คือเป็นหญิงเลย แม้จะมีนิสัยใจคอรวบรัดเหมือนผู้ชาย แต่ก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:45


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว