กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6006)

เถรี 14-01-2018 21:36

"ตอนหลังหลวงพ่อกันท่านกลัวว่าจะไปซ้ำรอยครูบาอาจารย์ ท่านจึงทำใบมีดเป็นสแตนเลสทั้งหมด หมดเรื่องหมดราวไปเลย แต่ว่าพอทำใบมีดสแตนเลส ก็มีอยู่ชุดหนึ่งที่ช่างเขาทำถวายหลวงพ่อกวยด้วย

จึงต้องดูให้ดี ถ้าใบมีดสแตนเลสแล้วมีลายนาคเกี้ยว ให้ตีว่าเป็นของหลวงพ่อกวย ถ้าไม่มีลายนาคเกี้ยว เป็นลายน่องสิงห์เฉย ๆ ให้ตีเป็นของหลวงพ่อกัน แต่ของหลวงพ่อกวยท่านก็เกรงว่าจะซ้ำกัน ท่านก็เลยให้สลับอักขระเสีย ที่เมื่อครู่อ่านจากตำรา จะมี นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อัง ของท่านเองท่านจะสลับ นอ กอ เป็น กอ นอ สลับกันแค่นี้

แต่คราวนี้ถ้าพวกเราอ่านอักขระขอมไม่ออกก็เจ๊งเลย ดูไม่รู้เรื่อง จึงเหลืออยู่แค่ว่า ถ้าเป็นนาคเกี้ยว ก็ตีเป็นของหลวงพ่อกวยถ้าเป็นน่องสิงห์ก็ตีเป็นของหลวงพ่อกัน
ไป เพราะว่าช่างฝีมือเดียวกัน วัสดุเดียวกัน แล้วก็ยุคใกล้เคียงกัน

เดี๋ยวนี้อะไร ๆ พอหายากขึ้นมาก็ลำบากไปหมด แม้กระทั่งต้นมะขามหน้ากุฏิหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้วล้ม เขาก็เอาไปทำวัตถุมงคลขายกันบรรลัยวายวอดหมด ขนาดต้นไม้ยังเดือดร้อน นี่คงกำลังรอต้นโพธิ์หน้ากุฏิพระอาจารย์เล็กว่าจะล้มเมื่อไรเท่านั้นแหละ...!"

เถรี 14-01-2018 21:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "กุมารทองหลวงพ่อกวยมีแค่ตัวหนึ่งก็พอแล้ว ขนาดกุมารรุ่นหลังที่เลี่ยมสีเหลือง แดง ๆ เขียว ส้ม อะไรนั่น วันก่อนอาตมาตั้งใจจะให้เขา ดันโดดเข้าไปอยู่ในพวงกุญแจ เป็นไปได้อย่างไร ? จะต้องถ่างห่วงออกถึงใส่จึงจะได้ อันนี้ไปห้อยต่องแต่งอยู่เองแล้ว ประมาณว่า "กูไม่ไป" ไม่ไปก็ไม่ไป เก็บไว้เองก็แล้วกัน เป็นอะไรที่ตลก ๆ ขำ ๆ ดี แต่ว่ารุ่นโรงงานทำนั่นดีตรงที่ว่ามีเยอะหน่อย ราคาเลยไม่แพง ถ้าเป็นรุ่นหล่อเองเนื้อชินนี่ ราคาหูดับเลยนะ

ที่ขำกว่านั้นก็คือ ไปงานพุทธาภิเษกเดือนที่แล้ว เป็นงานโชว์วัตถุมงคลหลวงพ่อกวยชัด ๆ โอ้โฮ...แต่ละคนมา ใส่มาเต็มที่เลย "กูลูกศิษย์หลวงพ่อกวยแน่นอน" คนโน้นก็เหรียญอาร์มหลังหนุมาน คนนี้ก็เหรียญกลมหลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า ฯลฯ ยุ่งไปหมด ยังดีที่ไม่เปิดเอวให้ดู คาดตะกรุดมาคนละกี่สายก็ไม่รู้ ?

พ่อเจ้าประคุณเถอะ...แถวนั้นถ้าแปลกหน้าไปละเป็นโดน เขาลองของกันซึ่ง ๆ หน้าทั้งนั้น พวกเล่นไสยศาสตร์ส่วนใหญ่จะร้อนวิชา ยังโชคดีว่าหลวงพ่อกวยท่านเล่นมาหนักขนาดนั้น แต่ท่านมั่นคงในเรื่องของศีลพระมาก ท่านไม่ทำอะไรใครแต่ว่าเรียนไว้กันตัวเอง ท่านก็เลยใช้คาถามนต์พระกาฬ

คาถามนต์พระกาฬนี่น่ากลัวมาก อาตมาไม่กล้าใช้เลย คือโดยพื้นดวงของอาตมานั้น อริเป็นมรณะอยู่แล้ว ขืนไปใช้ก็บรรลัยหมด สมัยหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ท่านเรียกว่ายันต์มหากาฬ ก็คือท่านจะลงกระหม่อมให้ ปรากฏว่าลูกศิษย์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคไปหา ท่านบอกว่า “ของที่รับไว้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องลงอีก” คราวนี้พอลูกศิษย์หลวงพ่อเดิมจะไปรับยันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปานท่านก็บอกว่า “ของที่ได้มาก็เหลือเฟือที่จะคุ้มตัวแล้ว ไม่ต้องรับใหม่” ตกลงว่า ๒ อาจารย์ท่านบอกว่า "ความรู้ยันกัน" ท่านหนึ่งใช้คาถายันต์มหากาฬ หรือมนต์พระกาฬ อีกท่านก็ดังทางยันต์เกราะเพชร"

เถรี 14-01-2018 21:50

"จริง ๆ แล้วก็กันไสยศาสตร์ได้เหมือนกัน ประเภทของหลวงพ่อกวยท่านกันกลางวัน กันกลางคืน กันทุกเวลา เรียกว่ายันต์มหากาฬหรือคาถามนต์พระกาฬ แต่ว่าจำกัดอยู่ที่ว่าถ้าไปเจอข้อห้าม หรือที่ต่ำเข้าก็จะเสื่อม แต่ถ้ายันต์เกราะเพชรเป็นพุทธานุภาพ...ไม่เสื่อมแต่รักษายากกว่า ผิดศีลก็หายไปเลย"

เถรี 14-01-2018 21:58

ถาม : เพชฌฆาตฤกษ์ ฟังชื่อแล้วน่ากลัวค่ะ ไม่เข้าใจฤกษ์นี้ ?
ตอบ : ฤกษ์เพชฌฆาตฤกษ์ ก็แปลว่า มีอุปสรรคอะไรก็ชนะหมดทุกอย่าง จะไปกลัวอะไร ? เราอยากเกิดฤกษ์นี้ยังเกิดไม่ได้เลย

ถาม : ฤกษ์มีชื่อหลายชื่อมาก
ตอบ : มีราชาฤกษ์ โจโรฤกษ์ เทวีฤกษ์ ทลิทโทฤกษ์ เพชฌฆาตฤกษ์ ฯลฯ

ถาม : เพชฌฆาตฤกษ์ แปลว่าอะไรหรือคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือจะชนะอุปสรรคได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ไม่ดีอย่างที่คิดหรอก ไปคิดอะไรบ้า ๆ

ถาม : สงสัยมาตั้งแต่อายุ ๖๐ กว่าแล้วค่ะ ?
ตอบ : น่าจะให้สงสัยต่อไป สมัยก่อนเขามีอยู่ว่า ถ้าเพชฌฆาตเก่า พวกพะทำมะรงพ้นตำแหน่งไป เขาหาคนใหม่มา เขาก็ต้องหาคนที่เกิดเพชฌฆาตฤกษ์ด้วย จะได้เอาไว้ข่มนักโทษได้ แม้กระทั่งปัจจุบันเขาก็ยังเชื่อกันว่า พวกพัสดีที่ดูแลเรือนจำอะไรพวกนั้น ถ้าใครเกิดเพชฌฆาตฤกษ์ คนคุกจะไม่กล้าหือด้วย บารมีข่มคนชั่วอยู่หมัดเลย

เถรี 15-01-2018 09:46

ถาม : บางคนจะใช้ฉายาพระเป็นนามสกุลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ที่ใช้ฉายาพระเป็นนามสกุล มีสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) วัดสระเกศ ที่ท่านให้บรรพบุรุษของผู้การรังสิต ญาโณทัย เอาฉายาท่านไปเป็นนามสกุล ญาโณทโย เป็น ญาโณทัย

คราวนี้ถ้าใช้ฉายาพระ เท่าที่ผ่านมายังไม่มีตรง ๆ แต่บางคนนามสกุลเหมือนฉายาพระชัด ๆ เลย มีหลายคน เช่น คุณชัยรัตน์ ธรรมทัตโต ก็มาจาก ธมฺมทตฺโต คุณกิตติสันต์เมื่อครู่นี้ก็นามสกุล อุตตมะ ถ้าเป็นบาลีก็ตรงกับฉายาพระได้เลย

ท่านที่ได้รับการประทานมาจริง ๆ ก็คือต้นตระกูลของผู้การรังสิต ญาโณทัย ได้ฉายาพระสมเด็จพระสังฆราชท่านไปเลย

เถรี 15-01-2018 17:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการหล่อหลวงพ่อนากนั้น เม็ดเงินจะรับเฉพาะที่บ้านเติมบุญเท่านั้น เพราะว่าถึงเวลาแล้วต้องจัดสรรลงไปตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดเอาไว้ ไม่สามารถที่จะไปรับเพิ่มเติมที่วัดท่าขนุนได้ ส่วนทองคำยังรับไม่อั้น เพราะว่ายังสามารถใช้หล่อหลวงพ่อทองคำต่อได้"

เถรี 15-01-2018 17:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "จิ้งจกหลวงพ่อหน่ายเนื้อกะลาตาเดียวหายากกว่าตั้งเยอะ แต่คนไปเล่นแต่เนื้องา ตลกดีเหมือนกัน ของหายากไม่เล่น ไปเล่นของหาง่าย หรือเพราะว่าหายากก็เลยไม่เล่นก็ไม่รู้ ?"

เถรี 15-01-2018 17:46

โยมเอาเหล็กจารของหลวงปู่ศุขมาถวาย "ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีกว่าอะไรทั้งหมด ขออนุโมทนาด้วย เล่มนี้ผ่านมือหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย แล้วผ่านมือหลวงพ่อกวยมาอีกรอบหนึ่ง"

เถรี 15-01-2018 17:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ทำตะกรุดหนังหน้าผากเสือ พอถึงเวลาตัดออกมาแล้ว ส่วนที่เหลือลูกศิษย์ทิ้งเอาไว้ เผลอหน่อยเดียวขมวนกินหมดเลย ขมวนก็คือพวกแมลง

ลูกศิษย์ถามหลวงปู่บุญว่า "ก่อนหน้านี้ขมวนไม่กิน แล้วทำไมตอนนี้กินแล้ว ?" หลวงปู่บอกว่าก็เอาของดีเขาไปหมดแล้ว ก็เลยกันส่วนที่เหลือไม่ได้ เหมือนกับว่าที่สถิตจิตวิญญาณอะไรของเขาอยู่ตรงนี้ที่เดียว พอเอาของเขาไปแล้ว จะเหลืออะไรไว้กันส่วนอื่น ?

ตะกรุดหน้าผากเสืออันดับหนึ่งจริง ๆ ต้องยกให้หลวงพ่อสว่าง วัดเทียนถวาย แต่ของหลวงพ่อสว่างหายาก เขาก็เลยยกของหลวงพ่อนาค วัดอรุณฯ ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน"


ถาม : หลวงพ่อสว่างแก่กว่าหลวงพ่อนาคนะครับ ?
ตอบ : ตามที่ศึกษาประวัติมา เขาบอกว่าหลวงพ่อนาคเรียนจากหลวงพ่อสว่าง แต่บางคนก็บอกว่าหลวงพ่อสว่างเรียนจากหลวงพ่อนาค เพราะว่าอายุอยู่ในรุ่นที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็เป็นคนมอญเหมือนกัน

ถาม : หลวงพ่อนาคก็มอญ ?
ตอบ : สมัยก่อนครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ ส่วนใหญ่มาจากสายมอญ สืบสายมาจากหลวงพ่อมหาเถรคันฉ่อง หรือ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

เถรี 15-01-2018 18:43

สนทนากับลูกศิษย์ "ลองไปถามครู (อ.เฒ่า สุพรรณ) ว่า เคยเห็นหลวงพ่อกวยทำมีดหมอที่ด้านหนึ่งเป็นรูปหนุมาน อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพาลีให้ใครบ้าง ? หนุมานจะเป็นลักษณะเหมือนกรอบหน้าแต่ไม่ใช่มงกุฎ แต่ของพาลีจะเป็นมงกุฎ เพราะว่าพาลีเป็นเจ้าเมืองขีดขิน

วิชาเกี่ยวกับพวกลิงหรือว่าขุนกระบี่ เท่าที่ดูส่วนใหญ่ก็คือหนุมาน มีหลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ ทำองคต แล้วก็มีหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ทำพาลี ซึ่งไม่เหมือนใคร เพราะว่าส่วนใหญ่ที่ได้ ๆ กันมาจะเป็นวิชาเกี่ยวกับหนุมานหรือลิงลมเสียมาก แม้กระทั่งองคตของหลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ ก็ไม่มีใครสืบต่อ สมัยนี้ที่นิยมเรื่องหนุนดวงกัน พกองคตหลวงพ่อปานดีกว่า"

เถรี 15-01-2018 18:55

เล่าให้พระฟัง "หลวงพ่อวัดท่าซุงให้วิชาหัวใจหนุมานผม แต่คราวนี้มีจุดอ่อน ผมก็เลยไม่ได้ทำ

ตอนแรกท่านเล่าเรื่องวิชาแคล้วคลาด วิชาหัวใจปลาไหลเผือก ผมขอท่านตั้งแต่สมัยยังเป็นฆราวาสอยู่เลย ท่านบอกว่า "ไม่เอา ลูกข้าหนีเขา...อายเขา มันต้องสู้ เอาหัวใจหนุมานไปก็แล้วกัน" แต่คราวนี้หัวใจหนุมานมีจุดอ่อนอยู่ตรงที่ว่า ถ้าโดนแล้วไม่ซ้ำของจะไม่ขึ้น โดนแล้วต้องซ้ำถึงจะขึ้น ก็คือ ถ้าเขาตีซ้ำของจะขึ้นเลย

คราวนี้กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า "ถ้าเขาไม่ซ้ำละครับ ?" ท่านก็บอก "น้ำค้างตกนั่นแหละเอ็งถึงจะฟื้น...!" ก็เลยเป็นวิชาเดียวที่ไม่เรียน แต่ความจริงแค่ภาวนาไม่กี่ทีก็ใช้ได้แล้ว แต่โอ้โฮ...เล่นน้ำค้างตกแล้วค่อยฟื้น

ถ้าซ้ำนี่จะสวนเลย แล้วเร็วด้วย ท่านเรียกว่าหนุมานคลุกฝุ่น ส่วนใหญ่เขาเรียกว่าหัวใจหนุมาน ที่ทำดังที่สุดก็หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว แล้วที่รอง ๆ ลงมา ท่านทำอย่างอื่นดังกว่า อย่างหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว แล้วก็หลวงพ่อจ้อย วัดบางช้างเหนือ

แต่ว่าหลวงพ่อจ้อยเขาเรียกลิงเหมือนกันกับหลวงพ่อดิ่ง คาถาปลุกก็ "หะนุมานะ" เหมือนกัน แต่ก็เรียกว่าลิง แต่ว่าของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุนนี่ช่างแกะเก่ง แกะทรงเครื่องหนุมานชัด ๆ เลย"

เถรี 15-01-2018 19:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสวดมนต์ข้ามปีของแต่ละปีทวีความสำคัญขึ้นไปเรื่อย ๆ เราจะสังเกตว่าปีใหม่นี้ยอดอุบัติเหตุ ๗ วันอันตรายลดลงไปเยอะมากเลย เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไปสวดมนต์ข้ามปีกัน"

เถรี 15-01-2018 19:13

ถาม : ภาวนาหัวใจหนุมานต้องดันลิ้นไหมครับ ?
ตอบ : ทรงสมาธิไปเลย ไม่ต้องไปดันลิ้นให้เสียเวลา ที่โบราณให้กลั้นหายใจเอาลิ้นดันเพดานเพื่อที่จะให้จิตเป็นสมาธิ เราเป็นสมาธิแล้วจะเสียเวลาไปกลั้นหายใจทำไม ?

เถรี 15-01-2018 19:21

พระอาจารย์เล่าว่า "คนจีนเขาบอกว่า ยมบาลกำหนดให้ตายยามสามไม่มีใครสามารถเลื่อนได้ถึงยามห้า เท่าที่อ่านพระไตรปิฎกมามีอายุวัฒนกุมารอยู่คนเดียว

คนเราถ้าถึงวาระอย่างไรก็ต่ออายุไม่ได้ แต่อายุวัฒนกุมารรอดมาได้ เนื่องจากว่าพระพุทธเจ้าเสด็จ คราวนี้ยักษ์ที่เขาจะมาเอาชีวิตอายุวัฒนกุมารเห็นพระพุทธเจ้าก็ไม่กล้าเข้ามา พอเลยเวลาตัวเองก็หมดสิทธิ์ เพราะเวลาของเขาต้องตรงไปตรงมา

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีคนเมามานอนอยู่ที่ศาลาพักร้อนหรือศาลารอรถเมล์อะไรประมาณนั้น เสร็จแล้วหัวค่ำก็เห็นคนตัวใหญ่ ๆ ดำ ๆ คนหนึ่งยืนอยู่ แล้วมี ๒ คนมารายงาน บอกว่าไปเอาชีวิตเขาไม่ได้ เพราะว่าพระล้อมสายสิญจน์สวดพระปริตรกันอยู่

เจ้านายก็บอกว่า “พวกมึงไร้ฝีมือ เดี๋ยวกูไปเอง” พักเดียวก็แบกคนกลับมาโยนโครมให้ บอกว่า “คุมตัวไป” ๒ คนก็ถามว่าแล้วเจ้านายไปเอามาอย่างไร เขาล้อมสายสิญจน์สวดพระปริตรกันอยู่ ? เขาบอกว่า "ล้อมสายสิญจน์ก็จริง แต่มีใบกล้วยทับสายสิญจน์อยู่ กูเหยียบใบกล้วยเข้าไปเอามา" โอ้โฮ...หาช่องว่างจนได้

ลูกน้องเห็นล้อมสายสิญจน์อยู่ เดินวนรอบหนึ่งก็ไปแล้ว แต่เจ้านายเก่งกว่า คนล้อมสายสิญจน์ไม่ได้สังเกตว่ามีใบกล้วยทับอยู่ จึงเหยียบใบกล้วยข้ามไปเอา ตายตามเวลาจนได้ ไม่สามารถที่จะต่ออายุได้ แบบนั้นต้องบอกว่าหมดอายุจริง ๆ

คนเมานั่นตั้งแต่วันนั้นเลิกกินเหล้าเลย เพิ่งจะเชื่อว่าเรื่องเทวดา เรื่องยมทูตมีจริง ๆ เพราะว่าเห็นแล้ว เขาบอกว่าพอเขาเอาไอ้นั่นไปไม่ถึงนาที บ้านนั้นก็ร้องไห้กันระงม เขาก็เลยเดินโซเซไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? มีคนบอกว่ามีคนตาย เป็นเราก็หายเมาเหมือนกัน เห็นต่อหน้าต่อตาแบบนั้น"

เถรี 15-01-2018 19:25

"พระกาฬเปรียบไปแล้วท่านก็ยังเป็นเทวดาชั้นผู้น้อยอยู่ พอพระพุทธเจ้าเสด็จลง เทวดามามาก เทวดาชั้นผู้ใหญ่ท่านมาเยอะ ตัวเองก็ต้องถอยไปตามลำดับ แบบเดียวกับลาชเทวธิดาที่บอกว่า ตอนประชุมมหาสมัยแกต้องไปแช่ในมหาสมุทรแค่คอ

เราลองมานึกถึงว่า เทวดาอย่างต่ำสุดก็สูงถึง ๓ กิโลเมตร ลาชเทวธิดาไปยืนอยู่ในมหาสมุทรลึกขนาดนั้น ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้เลย เพราะว่าศักดานุภาพสู้เขาไม่ได้"

เถรี 15-01-2018 19:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ด้วยความที่เล่าปี่เป็นกษัตริย์แล้วโอกาสออกรบมีน้อย เลยทำให้คนไม่เห็นฝีมือ แต่ถ้าเราไปอ่านในสามก๊กจะเห็นว่า ตอนที่ ๓ พี่น้องรบลิโป้ โอ้โฮ...ลิโป้นี่ยอดเซียนจริง ๆ ระดับของลิโป้นี่ต่อให้คุณ ๓ รุม ๑ ก็เถอะ ถ้าฝีมือไม่ดีจริงก็ตายขาดอยู่แล้ว แต่เล่าปี่สามารถที่จะปะทะฝีมือระดับลิโป้ได้ ต้องนึกว่าฝีมือเขาต้องอยู่ระดับยอดขุนศึกเหมือนกัน

ส่วนอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้เห็นฝีมือเลยก็คือขงเบ้ง แต่ถ้าเราสังเกตรายละเอียดตอนที่เล่าปี่ไปเชิญตัว ที่ฝากระท่อมของขงเบ้งมีอาวุธสารพัดชนิด ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ก็แสดงว่าใช้งานเป็นปกติ แล้วตอนที่รบกับสุมาอี้ ขงเบ้งบอกว่าจะรบกันตัวต่อตัวหรือรบด้วยพยุหะ ? ยอดขุนศึกอย่างสุมาอี้บอกว่าขอรบด้วยพยุหะ ถ้าขงเบ้งไม่เก่งจริงป่านนี้โดนบี้ตายไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ มัวแต่ไปทำหน้าที่วางแผนการรบแทน"

เถรี 15-01-2018 19:36

ถาม : รบด้วยพยุหะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : รบด้วยกระบวนทัพ ใช้ทหารแปรขบวนสู้กัน ขนาดประเภทนักศึกษาท้านักรบว่าจะรบตัวต่อตัวหรือพยุหะ ? นักรบยังต้องเลี่ยงไปรบด้วยพยุหะนี่แปลว่าอะไร ? ก็แปลว่าฝีมือจะต้องอยู่ในระดับเหนือกว่า ไม่ใช่ต่ำกว่า

เมื่อมาวิเคราะห์ ๒ จุดนี้ก็คือว่าที่กระท่อมน้อยที่เขาโงลังกั๋ง ฝากระท่อมมีอาวุธทุกชนิด แสดงว่าขงเบ้งใช้เป็นทุกอย่าง แล้วอีกอย่างพอมาท้าสุมาอี้รบด้วยพยุหะ หรือรบตัวต่อตัว สุมาอี้ขอรบด้วยพยุหะ


ถาม : แสดงว่าต้องรู้ฝีมืออยู่ ?
ตอบ : ต้องรู้เพราะว่าเป็นคนยุคเดียวกัน

เถรี 15-01-2018 19:43

ผมมาสอนวิชาพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ พอมาถึงประเทศจีน ยังทึ่งว่าพระเจ้าโจวอู่หวังบอกว่าเห็นรัศมี ๖ สี พุ่งมาจากทางด้านทิศตะวันตก ก็ถามราชปุโรหิต ราชปุโรหิตบอกว่า บุคคลที่เป็นอัจฉริยะบุรุษเกิดขึ้นแล้ว

พอ ๓๕ ปีผ่านไป ท่านบอกว่าน้ำจากแหล่งน้ำทุกแหล่งล้นปากบ่อ แล้วก็แผ่นดินไหว มีรัศมีสีทองแผ่มาจากทางด้านทิศตะวันตก ถามราชปุโรหิต ราชปุโรหิตบอกว่าบุคคลนั้นเข้าถึงมรรคผล อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปีข้างหน้า คำสอนของท่านจะเข้ามาถึงประเทศจีน เขาบอกล่วงหน้าได้ขนาดนั้น ราชปุโรหิตนี่โคตรเซียนเลย

พอผ่านไปอีก ๔๕ ปี มีรัศมี ๖ สีแผ่มาจากทางด้านทิศตะวันตก ราชปุโรหิตบอกว่ากายหยาบของบุรุษนั้นกำลังแตกดับ เขาบอกได้ขนาดนั้น

เถรี 15-01-2018 19:47

ถาม : อยู่ในหนังสือไหนครับ ?
ตอบ : อยู่ในประวัติพระพุทธศาสนาเมืองจีน คนจีนมีอะไรเขาจะบันทึกหมด ก็เลยทำให้เขามีเนื้อเรื่องค้นย้อนหลังไปได้เป็นพัน ๆ ปี

พอมาถึงสมัยพระเจ้าโจวมู่หวัง ท่านก็ฝันว่ามีบุรุษกายสีทองคำสูงใหญ่ เดินมาจากทางด้านทิศตะวันตก ก็ถามปุโรหิต ปุโรหิตบอกว่า...โน่น...สมัย ๑,๐๐๐ ปีที่แล้วมา ก็คือสมัยปู่ทวดของท่าน มีบุคคลที่เรียกว่าพระพุทธ เกิดขึ้นทางด้านทิศตะวันตก

ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่หลักธรรมของพระองค์ท่านจะแผ่เข้ามาในประเทศจีน เพราะฉะนั้นควรที่จะส่งคณะทูตเดินทางไปทิศตะวันตก แล้วพระเจ้าโจวมู่หวังจึงได้ส่งคณะทูตไป เราก็ไปเจอพระกาศยปมาตังคะ กำลังจะมาเผยแพร่หลักธรรมในประเทศจีนอยู่พอดี ก็เลยช่วยกันแห่แหนเข้ามา เอามาทั้งพระคัมภีร์ เอามาทั้งพระพุทธรูป เอามาทั้งพระบรมสารีริกธาตุ


ถาม : สมัยพระถังซัมจั๋ง ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าเป็นบาลีก็คือชื่อกัสสปะ แต่คราวนี้สันสกฤตใช้กาศยปะ เพราะว่าลัทธิที่เผยแพร่ได้กว้างที่สุดจะเป็นพวกมหายาน ซึ่งใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก

เถรี 15-01-2018 19:51

ถาม : ผมเคยอ่านเจอที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า เจ้าแม่กวนอิมสำเร็จพระอรหันต์แล้ว ?
ตอบ : พวกเราส่วนใหญ่แล้วต้องบอกว่าฟังได้ แต่ในสถานการณ์อื่นเราคุยไม่ได้ คนอื่นเขายอมรับไม่ได้ เขายอมรับกันยาก โดยเฉพาะถ้าหากไปพูดแล้วกระทบกระทั่งสายปฏิบัติอื่นนี่เป็นเรื่องทุกที่เลย

ถาม : จริง ๆ แล้วการเป็นพระอรหันต์ก็น่าจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ในความรู้สึกของสายฝ่ายมหายาน พอเข้าสู่พระนิพพานแล้วก็คือสูญไปเลย ไม่เหลืออะไรไว้ เขาก็เลยชอบการเป็นพระโพธิสัตว์ที่มาช่วยเหลือคนลำบากทุกข์ยากได้ตลอดเวลา ก็เลยกลายเป็นถ้าหากเราไปพูดถึงเรื่องนี้ก็จะกระทบกันทุกที

เถรี 16-01-2018 21:47

ถาม : จะย้ายกลับมาบ้านเดิมแล้ว มีหลายฤกษ์แล้วลังเล วันไหนดีคะ ?
ตอบ : ๒๓ กุมภาพันธ์ ฤกษ์ดีเกินไปใช่ไหม ?

ถาม : เป็นกากบาท ดิถีพิฆาตนะคะ ?
ตอบ : ใช่...เป็นฤกษ์ที่ดีเกินไป เขาห้ามสร้างบ้าน ส่วนเราสร้างบ้านเสียที่ไหน ? เราเข้าบ้านต่างหาก ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์สร้างโบสถ์ เขาจึงห้ามสร้างบ้าน เพราะว่าดีเกินกว่าที่จะไปสร้างบ้าน ถ้าไม่เอาก็ไปหาเอาเอง...!

เถรี 17-01-2018 10:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นคนใส่หมวกหลายใบ ตำแหน่งเท่าที่พอนึกได้ก็ประมาณ ๑๗-๑๘ ตำแหน่ง มีตำแหน่งหนึ่งคือประธานคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ ซึ่งทางกระทรวงมีระเบียบที่ว่า จะต้องไม่เป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น จะต้องไม่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ฯลฯ

สรุปแล้วบรรดาบุคคลที่เขาเชิญไปเพื่อคัดเลือกเป็นคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาล มีอยู่แค่ ๒ คนที่มีคุณสมบัติไม่ขัดกับระเบียบของเขา ก็คือตัวของอาตมาเอง กับคุณสมใจ มาโนช ประธานชมรมผู้สูงอายุทองผาภูมิ

คุณสมใจเขายกมือเลย “ผมสละสิทธิ์ครับ ยกถวายพระอาจารย์ไปเลย” จึงกลายเป็นภาระหน้าที่อย่างหนึ่งที่อาตมาต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับโรงพยาบาลทองผาภูมิ"

เถรี 17-01-2018 11:01

"ช่วงปีที่ผ่านมา พญ.นวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ ขอเครื่องฟอกไตไว้ ๒ เครื่อง ที่ขอเครื่องฟอกไตไว้ เหตุผลก็คือคนทองผาภูมิจะต้องฟอกไตกันเยอะ แต่ต้องเดินทางลงไปถึงโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาในเมืองกาญจน์ฯ ซึ่งห่างไป ๑๔๐ กิโลเมตร ไปถึงก็ไม่รู้ว่าคิวจะว่างหรือเปล่า ?

ถ้าหากมีเครื่องฟอกไตเป็นของโรงพยาบาลทองผาภูมิเอง ก็จะช่วยได้มาก อาตมาจึงรับปากว่าจะให้ ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ก็ไม่สามารถที่จะนำเครื่องฟอกไตเข้าไปที่โรงพยาบาลได้ เพราะว่าระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข จะต้องมีคณะกรรมการมาตรวจการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการเขาตรวจแล้วว่า ตัวอาคารสถานที่ไม่เหมาะสม ควรจะทำในลักษณะของห้องปลอดเชื้อ จึงต้องมีการขยายห้อง มีการจัดระบบกันใหม่

สรุปแล้วก็คือ การทำห้องปลอดเชื้ออาตมาต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบ ๒ ล้านบาท เพิ่งจะเซ็นสัญญาไปเมื่อวานนี้ว่าให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการได้ ซึ่งวันแรกของการทำงานก็คือ ๒๒ มกราคม ระยะเวลาดำเนินการสำหรับปรับในส่วนของห้องปลอดเชื้อและวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมด ๖๐ วัน

ตอนแรกเขาเสนอราคามาค่อนข้างสูง เฉพาะส่วนที่เขาใช้คำว่าเฟอร์นิเจอร์ ประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท อาตมาบอกให้ไปปรับลดมา ในเมื่อเป็นห้องฟอกไตจะมีเฟอร์นิเจอร์อะไรเยอะแยะ ? แต่ปรากฏว่าเป็นโต๊ะบ้าง เป็นถ้วยเป็นถาดอะไรที่เกี่ยวข้องของเขานั่นแหละ บอกว่าคุณปรับมาให้ได้ก็แล้วกัน ถ้าปรับไม่ได้ก็เอาราคานี้ คือราคาที่อาตมาพอใจ จะทำหรือไม่ทำ ? ท้ายสุดเขาก็ต้องยอมปรับลงมา

เริ่มดำเนินการเมื่อไรก็คงต้องอาศัยคุณหนุ่มไปตรวจงานด้วย รายละเอียดของเขามีอยู่ในแบบของเขาแล้ว เราก็ตรวจรับตามนั้น ประมาณ ๔ งวด บอกเขาว่าขอหักค่าประกันผลงานด้วย"

เถรี 17-01-2018 11:07

โยมถวายปัจจัยทำบุญเครื่องฟอกไต "ใจเย็น ๆ เดี๋ยวจะให้เขาประกาศในเว็บ ร่วมตรงนี้ไม่ได้อะไรนะ ในเว็บยังมีวัตถุมงคลให้

ตอนนี้เครื่องฟอกไตยังไม่อยากได้หรอก ต้องเอาห้องปลอดเชื้อให้เสร็จก่อน มาแบบไม่เกรงอกเกรงใจกันเลย เพราะฉะนั้น...คุณไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมตูนต้องไปวิ่งตั้ง ๒,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร ก็เพราะว่างบหลวงไม่พอใช้ แล้วที่บ้าที่สุดก็คือระยะหลังนี้มีงบฯ ของ NGO แต่ละกระทรวง แล้วเยอะด้วยนะครับ มีเอาไว้อุดปากเขาหรืออย่างไร ? NGO ทำประโยชน์อะไรให้กระทรวงบ้าง ? เห็นมีแต่คัดค้านยันเต"

เถรี 17-01-2018 11:35

"ที่ขำที่สุดก็คือส่วนงานเครื่องปรับอากาศ อาตมาก็ว่าส่วนงานเครื่องปรับอากาศก็มีแล้วนี่นา ปรากฏว่าเป็นพัดลมหมุนระบายลม เป็นอะไรที่ทำงานง่ายให้ยาก เพราะว่าแทนที่เราจะทำได้เลยดันลากเลื่อนมา ๘-๙ เดือน ต้องให้คณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบสถานที่ก่อนว่าได้หรือไม่ได้ พอถึงเวลาไม่ได้ ต้องทำอย่างไรเขาก็จะให้ข้อแนะนำมา ให้เราออกแบบตามที่เขาแนะนำ พอเสร็จแล้วต้องเอาแบบไปยื่นให้เขาอีกว่าใช้ได้หรือเปล่า ? ยุ่งยากมากเลย

ถ้าเป็นอาตมาทำก็เสร็จไปนานแล้ว แต่คราวนี้ก็อย่างว่า ของเขาติดขัดด้วยระเบียบ แบบเดียวกับการสวดมนต์ส่งท้ายปีครั้งนี้ กว่าจะเบิกงบฯ ได้ จนป่านนี้ยังไม่ได้เลย เขาขอเอกสารมาใหม่ บอกว่าที่ทำไปไม่ตรงตามแบบของราชการเขา งานก็ทำเสร็จไปแล้วนะ ผลงานทุกอย่างก็ส่งรายงานไปแล้ว แต่ว่าเงินต้องรอไปก่อน รอให้ทำเรื่องให้ถูกต้องตามระเบียบเขา ถึงได้ไม่มีใครอยากทำด้วย เดี๋ยวนี้มีแต่คนกลัวกันหมด เรื่องงบประมาณไม่มีใครอยากแตะหรอก"

เถรี 19-01-2018 09:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาใช้เหรียญรัชกาลที่ ๘ อยู่จนถึงชั้น ป. ๒ ทางการเขาก็สั่งเก็บ เวลาไปซื้อของกับอาเจ็กที่ร้านค้า เหรียญที่เอาไปเป็นสตางค์รู พอถึงเวลาแกก็เอาวางบนนิ้วชี้นิ้วกลางแล้วก็กดด้วยนิ้วโป้ง ถ้าอันไหนหักแกไม่เอา แกบอกว่ามีส่วนผสมที่เป็นดีบุกเยอะ ถ้ากดแล้วไม่หักแกถึงจะเอา แกบอกว่าส่วนผสมที่เป็นเงินมีมาก สามารถเอาไปหลอมใหม่ได้

ลองคิดดูว่าเหรียญโลหะประมาณเหรียญบาทสมัยนี้ แต่หนากว่าสัก ๔ เท่า แกกดด้วยนิ้วจนหักได้ คิดดูว่านิ้วจะแข็งขนาดไหน ? คนจีนรุ่นเก่า ๆ สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ฝึกวิทยายุทธ์มาทั้งนั้น มือจึงแข็งมาก"

เถรี 19-01-2018 10:00

"สมัยนั้นใช้ตั้งแต่ธนบัตรใบละ ๕๐ สตางค์ แล้วก็มาใบละ ๑ บาท ๕ บาท ใบละ ๕ บาทหายไปจากท้องตลาดน่าจะประมาณปี ๒๕๒๐ ได้ หลังจากนั้นใบละ ๑๐ บาทก็หายตามไป

เขาให้สังเกตว่า ถ้าค่าของเงินลดลงเมื่อไร ธนบัตรจะค่อย ๆ หายไป กลายเป็นเหรียญแทน แล้วถ้าเหรียญเล็กลงมากเท่าไร ค่าของเงินก็ลดลงไปมากเท่านั้น ไปนึกถึงรุ่นปู่ย่าตาทวดเอาเหรียญรัชกาลที่ ๙ รุ่น ๒๔๙๓ ที่เขาเรียกสั้น ๆ ว่าเหรียญ ๙๓ เป็นเหรียญ ๕๐ สตางค์ เอามาทำเข็มขัดกัน เพราะว่ามีส่วนผสมของทองมาก ระยะหลังนี้แค่ทองเหลืองธรรมดาก็แพงเกินมูลค่าของเหรียญแล้ว

มีใครเคยเห็นเหรียญทองคำจริง ๆ บ้างไหม ? อาตมาเองเคยเก็บไว้หลายเหรียญ แต่มาระยะหลังคนตื๊อขอบูชาไปหมด จำได้ว่าเก็บเหรียญแรกเลย ก็คือเหรียญรัชดาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ ๙ รัชดาภิเษกจะจัดฉลองในวาระครองราชย์ครบ ๒๕ ปี ของพระองค์ท่านก็ปี ๒๕๑๔ หลังจากนั้นก็มาจัดงานฉลองพระชนมายุ ๖๐ พรรษา พ.ศ.๒๕๓๐ แล้วก็มารัชมังคลาภิเษก ๒๕๓๑

พระองค์ครองราชย์เท่ากับอดีตสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชที่ครองราชย์นานที่สุดคือรัชกาลที่ ๕ จึงจัดงานฉลองรัชมังคลาภิเษกปี ๒๕๓๑ ฉลองกาญจนาภิเษก (ครองราชย์ ๕๐ ปี) ๒๕๓๙ แล้วมาฉลองการครองราชย์ ๖๐ ปี ค่อยมาฉลองพระชนมายุ ๘๐ พรรษา อาตมายังรอว่าจะมีใครได้ฉลองวัชราภิเษกหรือพัชราภิเษกครองราชสมบัติ ๗๕ ปีบ้าง"

เถรี 19-01-2018 19:04

"รัชมังคลาภิเษกก็คือ ต้องครองราชย์เท่าอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชที่ครองราชย์นานที่สุด ซึ่งในยุคปู่ย่าตาทวดมาจนถึงยุคของเรา มีสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ได้จัดงานฉลอง เพราะว่าพระองค์ครองราชย์ ๓๐ ปี เทียบเท่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

รัชกาลที่ ๕ ครองราชย์ ๔๒ ปี ถัดมาก็รัชกาลที่ ๙ ได้จัดงานฉลอง แล้วหลังจากนี้ก็รอไปเถอะ คนเราอายุถึง ๗๐ ปี ยังยากเลย อย่าว่าแต่ครองราชย์ ๗๐ ปี แต่ไม่เป็นไรหรอก ต้องบอกว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี...ใช่ไหม ? เดี๋ยวก็มีคนอยู่ถึงเองแหละ..!"

เถรี 19-01-2018 19:14

ถาม : อย่างเวลาที่ไม่ได้เข้ากรรมฐาน ใจจะเตลิด จะไม่สำรวมตัวเอง แต่ถ้าเราอยู่กับสมาธิ เราแค่ส่งใจ ตามองกวาดไปสักพัก เหมือนกับไปสะกดอะไรสักอย่าง คนอื่นจะดูเหมือนกับว่าคนนี้เก่ง สำรวมกาย วาจา ใจได้ดีกว่าตอนที่ไม่ได้เข้าสมาธิ ?
ตอบ : เอาแค่พระโสดาบัน กำลังของพระโสดาบันถ้าใช้ออกจริง ๆ คนชั่วจะเลิกทำชั่วไปชั่วคราว สมมติว่ามีโจรไปจี้พระโสดาบัน ท่านแค่เอ่ยปากตำหนิว่า ทำไมเธอทำอย่างนี้ ? โจรนั่นจะได้สำนึก เกิดหิริโอตตัปปะ แล้วจะเลิกเป็นโจรไปชั่วคราวเลย ส่วนพระอรหันต์ท่านกำลังสูงกว่านั้นตั้งเท่าไร ?

เราเองแค่อาศัยสมาธิที่มีมากกว่าเขา เรายังระงับยั้งเขาได้ แล้วพระโสดาบัน คุณสมบัติของท่านต้องทรงสมาธิโดยอัตโนมัติ อย่างต่ำสุดก็ปฐมฌานละเอียด ไม่อย่างนั้นท่านไม่สามารถที่จะเอาชนะกิเลสได้ เพราะฉะนั้น...ฝีมือต่างกันหลายหมื่นลี้ อะไรที่เราต้องใช้ความพยายามมาก ของท่านไม่ต้องใช้เลย

เถรี 19-01-2018 19:33

โยมผู้หญิงขอมานั่งช่วยแจกหนังสือ "ไม่ต้องจ้ะ ไปไกล ๆ เลย พอมีใครยกกล้องถ่ายรูปออกมา ก็จะมีแต่อาตมานั่งอยู่กับผู้หญิง ๒ คน เขาไม่ได้ถามนี่ว่ามานั่งทำอะไร เพราะฉะนั้น...เรื่องที่หวังดีจะมาช่วยแจกของไม่ต้อง อาตมาทำเองได้

ส่วนใหญ่แล้วพวกเราตั้งใจทำงานเป็นงาน ไม่ค่อยคิดอะไร แต่คนอื่นมองมาเขาจะคิดแทนเรา แล้วคิดได้ดีกว่าทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น...อย่าให้ตัวเราต้องเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจเลย ระมัดระวังไว้ได้เป็นดี

น่าจะประมาณ ๒ อาทิตย์มาแล้ว พาท่านวัฒนธรรมจังหวัดไปสำรวจต้นไม้ในป่า เพื่อที่จะยื่นเสนอเข้าไปในโครงการรุกขนครใต้ร่มพระบารมี จะเป็นต้นไม้สำคัญในแต่ละจังหวัด ขณะที่นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ ก็มีโยมผู้หญิง ๒ คนนั่งอยู่ด้านหน้าเยื้อง ๆ ไป ท่านวัฒนธรรมฯ ก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป อาตมาก็บอกว่า “รูปนี้ห้ามออกสื่อนะ” ท่านก็ถามว่าทำไมครับ ? ต้องบอกว่า ถ้าออกไปจะกลายเป็นพระอยู่กับผู้หญิงในป่า ไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยเลย

เขาไม่ได้เห็นนี่ว่าด้านหลังกล้องมีอีกเป็นสิบ ทางที่อาตมานั่งอยู่ก็คือผู้หญิงอยู่ด้วย พื้นที่ก็คือป่าชัด ๆ จะให้คนเขาคิดอย่างไร ? ของพวกนี้เราจะให้คนอื่นระวังแทนเราไม่ได้ แต่เราต้องระวังเอง

เวลาคนดูรูปเขาไม่พยายามคิดในด้านดีว่า “เออ...คนถ่ายน่าจะเป็นผู้ชายนะ” พอเห็นรูป...ด้วยความที่สภาพจิตของคนเราคิดเรื่องต่ำได้ง่าย ก็ต้องเหมาเอาเลย “พระไปอยู่ป่ากับผู้หญิง ไปทำอะไรกันแน่ ๆ เลย” แล้วก็จะคิดดีกว่านั้นอีกเยอะเลย เพราะฉะนั้น...คำที่พวกคุณบอกว่าโลกนี้อยู่ยากนั้น...พระอยู่ยากกว่าตั้งเยอะ"

เถรี 19-01-2018 19:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เปิดให้จองไม้ครู แต่ให้จองแบบโหดร้าย ต้องจ่ายทองก่อนจึงจะได้สิทธิ์จอง ไม่ใช่จองก่อนแล้วจ่ายทีหลัง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าทำไว้น้อย จริง ๆ ก็ไม่ทำน้อยหรอก ทำแค่หมดชนวนที่มี ขอโทษเถอะ...หัวเงินนี่หนักอันละหนึ่งกิโลกรัม แล้วชนวนจะเหลือสักเท่าไร ?"

เถรี 20-01-2018 00:30

ถาม : ถ้าพระเล่นหมากรุกล่ะครับ ?
ตอบ : ปรับอาบัติศีลขาดทุกตัวที่จับ แล้วก็ปรับทุกครั้งที่จับ ถ้าคุณจับ ๑๐๐ ครั้ง ก็คือศีลขาด ๑๐๐ ครั้ง

ความจริงที่ห้ามตรงจุดนี้ เพราะว่ามีสุดยอดนายพลอยู่ท่านหนึ่งไปบวช ท่านนี้รบที่ไหนก็ชนะ แล้วมีอยู่เมืองหนึ่งที่ตียากเย็นแสนเข็ญ บรรดาลูกน้องเก่า ๆ ซึ่งรับหน้าที่แทนก็มาถามท่าน ด้วยความที่ท่านเป็นพระ ท่านก็ตอบไม่ได้ แต่ท่านใช้วิธีเอาไม้บ้าง เอาใบไม้บ้าง เอาหินบ้าง เอาดินบ้าง มาวางสมมติเป็นกองทัพฝ่ายตรงข้ามและตัวเอง แล้วก็จับโยกย้ายลักษณะกระบวนรบ ว่าทำอย่างไรจึงจะชนะ นี่คือต้นแบบของหมากรุกเลย

พระพุทธเจ้าต้องสั่งห้ามเลย เพราะว่าลูกน้องความจำดี จำไปใช้แล้วตีเมืองได้จริง ๆ ต้องสั่งห้ามเพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้ามัวแต่ระลึกถึงแต่อดีต ก็อาจจะไประลึกถึงอกุศลกรรมเก่า ๆ ที่เคยรบราฆ่าฟันเขาเอาไว้ โอกาสที่จะลงอบายภูมิมีสูงมาก

ที่ท่านห้ามจับอาวุธเพราะว่าสมัยก่อน บรรดานักรบขุนศึกไปบวชกันมาก ถ้าหากจับสิ่งที่เป็นอาวุธก็อาจจะนึกถึงอกุศลกรรมเก่า ๆ ที่เคยฆ่าเขาเอาไว้ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าจึงต้องสั่งห้าม แล้วที่ห้ามอย่างนึกไม่ถึงก็คือ ปกติพระจะมีมีดโกนสำหรับปลงผม แต่ถ้าเป็นช่างตัดผมห้ามมีมีดโกน เพราะว่าถ้ามีมีดโกนเดี๋ยวจะนึกถึงอาชีพเก่าของตัวเอง

ถ้าไปนึกถึงอาชีพเก่ามี ๒ อย่าง อย่างแรกคือฟุ้งซ่านไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม อย่างที่สองก็คือ อาจจะสึกหาลาเพศไปเลย เพราะเห็นว่าตัวเองยังทำกินในอาชีพเดิม ๆ ได้ ศีลพระแต่ละข้อที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ ก็เพื่อที่จะป้องกัน ต้องใช้คำว่า ป้องกันอาสวะที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน คือกิเลสที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน และ ป้องกันอาสวะที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ในเมื่อมี ๒ เหตุผล ความจริงแล้วมีเป็น ๑๐ เหตุผล อย่างเช่นว่า สร้างความเลื่อมใสแก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส สร้างความเลื่อมใสยิ่งขึ้นแก่ผู้ที่เลื่อมใสแล้ว กดข่มผู้ที่เก้อยาก เพื่อความอยู่เป็นสุขของผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯลฯ ท่านให้เหตุผลไว้เยอะมาก เพียงแต่ในส่วนของหลัก ๆ แล้วก็คือเพื่ออนุเคราะห์ในการปฏิบัติพรหมจรรย์ เพื่อให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าขึ้น ถ้าไม่ล้อมคอกเอาไว้ เดี๋ยวโดนกิเลสขโมยไปจนหมดคอก

เถรี 20-01-2018 00:39

ถาม : พ่อผมตายแล้วไปสบายไหม ?
ตอบ : ก็ไปถามพ่อเองสิ อย่ามาถามอาตมา ไม่ได้ตายด้วยจะได้ตอบได้...! หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีคำสั่งห้ามอาตมาบอกว่าคนตายแล้วไปไหน เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องถามเสียเวลามาถาม ตายแล้วสบายดีหรือเปล่า ? ตายแล้วลำบากไหม ? ถามไปก็ไม่ตอบเพราะว่าโดนห้ามไปแล้ว

ไม่ใช้ห้ามหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว แต่ท่านห้ามทั้งที่ยังเป็น ๆ อยู่นี่แหละ ห้ามกลางโบสถ์เลย พระทั้งวัดท่านห้ามอาตมาอยู่คนเดียว เพราะว่าก่อนหน้านี้บอกเขาอยู่เรื่อย ท่านบอกว่าการบอกว่าคนตายแล้วไปไหน มีโทษมากกว่าประโยชน์ บางคนทำชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายดันนึกถึงความดีได้ ไปเสวยความดี คนก็จะหาว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม บางคนทำดีมาตลอดชีวิต ตอนตายดันไปนึกถึงกรรมชั่วแล้วลงนรก ลูกหลานจะมีอารมณ์ทำดีต่อไหม ?

อาตมาโดนห้ามอยู่ ๒ อย่าง ห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน กับห้ามให้หวย ห้ามกันชนิดที่พระพี่พระน้องทุกท่านรู้หมด เรื่องหวยนี่อาตมาโดนคาดโทษเอาไว้เลย ท่านบอกว่า "รู้ ๆ อยู่แล้วไปบอกคนอื่น ข้าปรับอาบัติปาราชิกเลย เท่ากับตัวเอ็งไปปล้นเจ้ามือ" หมดทางทำกินเลย ไม่อย่างนั้นแค่บอกหวยสักงวดสองงวดคนก็เต็มวัดแล้ว

เถรี 20-01-2018 00:41

จะว่าไปแล้วจริง ๆ เป็นเรื่องของบุญสัมพันธ์ อย่างป้าเอี่ยมช่วยงานหลวงพ่อที่วัดท่าซุงมาตลอด ๒๐-๓๐ ปี เงินทองก็ไม่ได้มีกับใคร วันนั้นป้ามาหา “หลวงพี่ขอหวยสักตัวสิ” ถามว่าเอาไปทำอะไรวะ ? “อยากได้เงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อบ้าง” ก็ถามแกว่าตัวเดียวเล่นได้หรือ ? แกบอกว่าได้ ก็เลยให้แกไป ไม่รู้ว่าแกไปเล่นอย่างไรได้มา ๖๐๐ บาท ก็เอาไปถวายสังฆทานจนหมด

คราวนี้งวดต่อไปอาตมาแหย่เอง “งวดนี้เอาไหม ?” “ถ้าได้ก็เอา” ความจริงแกขอแค่งวดเดียวนะ คราวนี้ให้แกได้ไปก็ถูกอีก เอาไปถวายสังฆทานอีก งวดต่อไปนี้ไม่ต้องให้เลย คนแห่กันมา ๗-๘ คน พวกนี้รู้ข่าวเร็วจริง ๆ อาตมาแหย่เล่นว่า "มาเยอะแบบนี้ต้องชักเปอร์เซ็นต์" พอหวยออกเขาดันเอาเงินมาถวายจริง ๆ เท่านั้นแหละ...ลงโบสถ์งวดนั้นหลวงพ่อท่านสั่งห้ามเลย ท่านบอกว่ารู้ ๆ อยู่แล้วไปบอก เขาปรับอาบัติปาราชิก เท่ากับไปปล้นเจ้ามือ ปาราชิกนี่ขาดความเป็นพระเลยนะ เพราะว่าตั้งใจไปเอาเงินเขาเกินหนึ่งบาท

เถรี 20-01-2018 20:06

สนทนากับพระ "เรื่องการเข้าวัง ถ้าจะมาก็ให้มาตามหน้าที่ จะให้ตะกายไปโหนสถาบันนั่นไม่ใช่ผม บางท่านชวนผมเข้าวังมาหลายครั้ง ผมก็ไม่ไป เพื่อนพระอุปัชฌาย์ด้วยกันชวนไปหลายครั้งผมก็ไม่ไป ขนาดรองเจ้าคณะอำเภอเห็นรูปสมเด็จพระเทพฯ ถวายเสาเสมาธรรมจักรผม ท่านถามว่าผมจ่ายไปเท่าไร ? แต่ส่วนใหญ่เหมือนกับว่าจะเข้าเฝ้าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องไปถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลจึงจะมีสิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของผม

บางท่านโหนราชวงศ์แล้วก็เอาไปอ้างกับญาติโยมเพื่อเพิ่มราคาให้ตัวเอง หรือไม่ก็อ้างกับคณะสงฆ์เพื่อเพิ่มราคาให้ตัวเองได้

จริง ๆ แล้วการที่จะให้เขาเคารพ ให้เกียรติ เชื่อถือเรา อยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ใช่ไปอาศัยคนอื่น ถ้าคุณพูดเขาจะฟัง แต่ถ้าคุณทำเขาจะเชื่อ ถ้าคุณพูดอย่างเดียวจะให้เขาเชื่อก็ยาก

ปัจจุบันนี้รัฐบาลพูดอะไรชาวบ้านก็ฟัง แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นชาวบ้านเขาสงวนลิขสิทธิ์ไว้ มีอยู่อย่างเดียวก็คือคุณทำแล้วเขาจะเชื่อ เพราะฉะนั้น...ถ้าคุณใส่นาฬิการาคาเรือนละเป็นล้าน เขาก็เชื่อว่าคุณคอรัปชั่น ต่อให้คุณเป็นคนดีขนาดไหนเขาก็เชื่ออย่างนั้น พยายามจะออกรัฐธรรมนูญฉบับพระอริยเจ้า ทุกคนจะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องพอกัน ความซวยก็ตกอยู่กับตัวเอง ซื้อลูกหมายังให้เป็นของขวัญคนอื่นไม่ได้เลย เพราะว่าเกิน ๓,๐๐๐ บาทที่กำหนดเอาไว้ ก็ดันไปกำหนดเอาไว้เอง แล้วจะไปโทษใคร..!"

เถรี 20-01-2018 20:14

มีโยมท่านหนึ่ง เวียนทำบุญทีละ ๒๐ บาทอยู่นั่นแหละ พระอาจารย์จึงกล่าวกับพระว่า "คราวนี้ผมรู้แล้ว ว่าทำไมเวลาผมอยากได้ ๑ จึงมาเป็น ๑๐๐ เพราะว่าผมทำอะไร ผมมักจะทำหมดทีเดียว ทำทีละ ๕ บาท ๑๐ บาทผมไม่ทำ เพราะว่าอานิสงส์ก็จะได้ทีละ ๕ บาททีละ ๑๐ บาทเหมือนกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ผมปฏิญาณตนว่า ถ้าเกิดใหม่ผมจะเลิกทำบุญ เพราะว่าแค่นี้ได้เยอะจนเกินเหตุแล้ว"

เถรี 20-01-2018 20:27

ถาม : ฉัตรสีขาว ?
ตอบ : ต้องรอในหลวงถวายอย่างเดียว เราไม่มีสิทธิ์ไปแตะเลยฉัตรสีขาว ไม่ว่าจะ ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น ส่วน ๓ ชั้นนั้นเป็นเครื่องสังฆราชูปโภค สำหรับสมเด็จพระสังฆราช

ถาม : แล้วฉัตรของวัดโพธิ์
ตอบ : อันนั้นได้รับถวายจากในหลวงรัชกาลที่ ๑ ส่วนของวัดบวรฯ ได้รับถวายจากในหลวงรัชกาลที่ ๔

ตอนงานศพหลวงพ่อวัดท่าซุง เขายกฉัตรสีทอง ๓ ชั้นถวาย ผมคัดค้านสุดตัวอยู่คนเดียว บอกว่าไม่ได้เด็ดขาดเลย คุณจะเคารพหลวงพ่อขนาดไหนก็ตาม ฉัตร ๓ ชั้นเป็นเครื่องราชูปโภคของพระสังฆราช เขาบอกว่านี่สีทอง ผมบอกว่าสีอะไรก็ห้าม ปรากฏว่าด้วยความที่ผมเด็กเกินไป เพิ่งจะ ๗ พรรษา เขาฟังแต่ไม่เข้าหู ไปไล่ถามคนอื่นเสียจนทั่วประเทศ ท้ายสุดด็อกเตอร์ปริญญาช่วยยืนยันว่าใช้ไม่ได้ เขาถึงได้ยอมเชื่อ


ถาม : แล้วที่ทำถวายพระพุทธรูปทั่วไป ?
ตอบ : ถ้าจะทำ ก็ทำเป็นฉัตรโลหะ ฉัตรผ้าขาวไม่ได้เด็ดขาด

ถาม : ห้ามผ้าขาว ?
ตอบ : ห้ามชัด ๆ เลย คือเศวตฉัตร (ผ้าสีขาว) ถึงจะใช้ผ้าสีทองก็ไม่ควร

เถรี 20-01-2018 20:34

พระอาจารย์กล่าวกับพระว่า "ตอนนี้ใครบริจาคเขาจะหักภาษี ณ ที่จ่ายเลย เท่ากับว่าคุณทำบุญแล้วโดนหักภาษีด้วย เขาจะบีบทุกทางไม่ให้พระอยู่ได้

พวกนี้เป็นความคิดของอิสลามเขา คุณจะไปทำอะไรได้ สนช. ๘๐ กว่าคน มีอิสลามอยู่ ๖๓ คน นี่เฉพาะที่เป็นอิสลามชัด ๆ นะ แล้วที่ไม่ชัดนี่ยังมีอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? คุณไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมกฎหมายที่ทำให้แตกแยกกัน อย่างเรื่องของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ถึงได้ผ่านสามวาระภายในวันเดียว เพราะว่าอะไรที่ทำให้พระพุทธศาสนาของเราอ่อนกำลังลงได้ เขาจะทำทันที

ตอนนี้บริจาคแล้วโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน พระจะได้น้อยลง โยมก็ต้องเสียเงิน เห็นความสามารถของเขาไหม ? เดี๋ยวนี้ทางด้านภาคอีสาน แต่ละวัดโดนให้ทำบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีแล้ว ภาคกลางยังไม่ได้ทำ เพราะว่าภาคอีสานผู้ว่าราชการส่วนใหญ่เป็นอิสลาม เขาสามารถสั่งการได้ทันที"


ถาม : ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ?
ตอบ : คนที่จะหยุดต้องระดับที่ใหญ่กว่าเรา แต่คราวนี้ไม่มีใครขยับ มีแต่รักษาตัวกันอยู่ ในเมื่อท่านรักษาตัวกันอยู่ ก็มีทางเดียวก็คือเราต้องทำของเรากันเอง

ถาม : ถ้าเราถอย ?
ตอบ : ถ้าเราถอยจะให้ถอยไปถึงไหน ? มีอย่างเดียวคือต้องชนกันให้พังไปข้างหนึ่ง คุณเห็นหรือเปล่าว่าเราถอยมาตั้งเท่าไรแล้ว ? จนป่านนี้เขารู้จักพอไหม ? อยู่บ้านเราอยู่สุขอยู่สบายแล้ว เขายังคิดจะยึดบ้านยึดเมืองของเราอีก สำหรับผมถ้าจะถอยผมมีที่ให้ถอยเยอะ แต่ผมไม่คิดจะถอยนะสิ..!

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือว่าจะเป็นคน เป็นของเขาจนหมดตั้งแต่ผู้นำมาจนถึงผู้ตาม เราถอยเขาก็บี้ตายเลย

เถรี 20-01-2018 21:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าอาตมาก็มีนัดกับหมอตา หมอนัดวันวาเลนไทน์พอดี คงเห็นว่าเป็นพระไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับกิจกรรมวันวาเลนไทน์อยู่แล้ว

เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ารู้จักพิจารณาจะเห็นว่าเป็นธรรมดาของร่างกายนี้ สังขารัง โรคะนิทธัง ปะภังคุณัง สังขารนี้เป็นรังของโรค มีแต่จะเน่าเปื่อยไปเป็นปกติธรรมดา เพราะฉะนั้น...ก็ดูแลรักษาให้เต็มที่ รักษาได้ก็ได้ รักษาไม่ได้ก็แล้วไป

ก่อนนี้ความรู้สึกของอาตมาคิดว่าก็ไม่ยาก แค่ทำใจว่า "รักษาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป" แต่พอมาถึงตัวแล้วมักจะกลัวตายนะสิ ถ้ากลัวตายขึ้นมาคราวนี้ก็ "ไม่ได้" แล้ว ดิ้นรนสุดชีวิตเลย ถ้าเป็นนักปฏิบัติจะดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตอนอาการหนักมาก ๆ กำลังของ ทาน ศีล ภาวนา ที่เราทำมาทั้งหมดจะรวมตัว เราจะรู้เลยว่าเราต้นทุนมีเท่าไร เพียงพอที่จะไปพระนิพพานหรือไม่ ?

ถึงตอนนั้นก็พยายามรักษากำลังใจให้อยู่ในลักษณะที่ว่า "อยู่ก็ได้ ตายก็ดี" ก็คือ ไม่ได้อยากอยู่ แต่ไม่ได้อยากตาย

หลายท่านปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้วรู้สึกว่าอยากตาย คิดว่าตัวเองดีแล้ว อาตมาขอยืนยันว่าเป็นอารมณ์ที่แย่มาก เพราะว่าอารมณ์อยากตายส่วนใหญ่จะมีความเศร้าหมองอยู่ด้วย ดีไม่ดีก็พาลงอบายภูมิไปเลย ต้องเป็นอารมณ์ลักษณะของสังขารุเปกขาญาณ คืออยู่ก็ได้ ตายก็ดี อยู่เราก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายเราก็ได้ไปพระนิพพาน เป็นคนดู ไม่ลงไปเป็นคนเล่นแล้ว นั่งดูแล้วแต่สังขารจะเป็นไป ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น

เพราะฉะนั้น...เวลาไปถามหลวงปู่หลวงพ่อสายปฏิบัติว่า “หลวงพ่อสบายดีไหมครับ ?” “เออ...พอเป็นไปได้”
อยู่กับไอ้ร่างกายนี้ จะไปสบายดีได้อย่างไร ? แบกทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไปถามท่านว่าสบายดีไหม ? ท่านจะบอกว่าถามผิดก็ไม่บอก แค่บอกว่า “เออ...ยังพอเป็นไปได้อยู่”

เถรี 20-01-2018 21:35

เด็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่ที่บ้านเติมบุญ "ปล่อยทิ้งไปเลยไม่ต้องไปสนใจ เด็ก ๆ ถ้าเราไปตามตื๊ออยู่เขาก็จะเล่นตัวไปเรื่อย ๆ ปล่อยไปเถอะ...ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวเขาก็วิ่งมาหาเราเอง แค่พ้นประตูไปเดี๋ยวก็วิ่งหาแม่แล้ว

ลองคิดดูว่า ถ้าคนอื่นเราตัดไม่ได้ ตัวเราก็จะตัดตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าเราจะรักตัวเองมากที่สุด ไปเลยลูก...เดี๋ยวแม่กลับบ้านเองได้ ไปไกล ๆ เลยครับ เดี๋ยวแม่กลับบ้านเองได้ ไม่ห่วงหนูหรอก จะไปเที่ยวไหนก็ไปเลย จะให้ใครอุ้มไปขายก็ได้..!

ส่วนใหญ่แล้วด้วยความรักก็เลยทำให้เราปล่อยวางได้ยาก โดยเฉพาะคนเป็นแม่ อุ้มท้องมา ๙ เดือน ๑๐ เดือน มีความผูกพันกับลูกทั้งทางร่างกายและจิตใจ เราต้องนึกดูว่า ถ้าท่านที่สามารถวางอารมณ์ตัดกำลังใจลักษณะอย่างนี้ได้ ต้องใช้กำลังใจสูงขนาดไหน ? เราจะได้รู้ว่าการตัดกิเลสก็ต้องมีกำลังสูงขนาดนั้น

แต่คราวนี้ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากำลังไม่พอ เพราะว่าเราปฏิบัติแล้วเราก็ปล่อยให้รั่วไปหมด ออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รั่วหมดเกลี้ยงทุกช่องทาง ในเมื่อสำรวมอินทรีย์ไม่ได้ เก็บกักกำลังสมาธิเอาไว้ไม่ได้ ก็ไม่พอสู้กับกิเลส ไม่พอตัดกิเลส นั่งสมาธิ ๓๐ นาทีหน้าตาผ่องใส ไปนั่งเขี่ย LINE เสีย ๓ ชั่วโมง แล้วจะไปเหลืออะไร ? เพราะว่าปล่อยให้รั่วหมด เราไปทำให้รั่วเอง

เพราะฉะนั้น...ในเมื่อรู้แล้วก็ปิดช่องว่าง ปิดรูรั่วเสีย ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับตักน้ำใส่ตะกร้า หวังจะให้น้ำเต็มตะกร้าเป็นไปได้ไหมเล่า ? เราต้องเอาชันยาเสียก่อน ยาให้ถูกด้วยนะ ไม่ใช่ไปยาด้านนอกตะกร้า เขาต้องยาด้านใน โบราณเขาบอกไว้ชัดแล้ว “ยาเรือยาแพ ยาด้านนอก ยาขันยาจอก ยาด้านใน” อย่างของใส่น้ำถ้าไปยาด้านนอก แรงน้ำดันมาก ๆ ก็หลุดหมด แต่ถ้าหากยาไว้ด้านใน ถูกแรงน้ำดันก็ยิ่งแน่น ส่วนเรือแพต้องยาทางด้านนอก เพราะว่าแรงน้ำกดเข้าในก็ยิ่งแน่นเข้า ถ้าไปยาทางด้านในแรงน้ำดันเข้ามาก็ทะลุหมด

ต้องอุดรูรั่ว ปิดรูรั่ว กำลังจะได้เหลือไว้พอสู้กับกิเลสบ้าง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:54


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว