กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5166)

เถรี 23-08-2016 18:47

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙
 
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้เอาความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ดังที่เมื่อครู่ได้กล่าวไปว่า ขณะนี้ศาสนาพุทธของเราโดนเบียดเบียนเหลือเกิน ซึ่งความจริงแล้วศาสนาพุทธของเราเป็นของจริง เป็นของแท้ ท้าพิสูจน์ได้ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ที่เราไม่มีอะไรให้เขาพิสูจน์ ก็เพราะว่าพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นั้น ย่อหย่อนต่อการปฏิบัติจนเกินไป

ตอนนี้ของเราถือว่าฝ่ายเถรวาทไม่มีภิกษุณีแล้ว ก็สงเคราะห์นับเอาแม่ชีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ก็แปลว่า ภิกษุ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ของเรานั้น ย่อหย่อนต่อหลักการการปฏิบัติมาก ไม่สามารถทำตัวให้เข้าถึงผลของการปฏิบัติในพุทธศาสนา จนถึงระดับที่สามารถแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ก็เพราะว่าเรายังไม่จริงจังในการปฏิบัติ

ถ้าหากว่าเราจริงจังต่อการปฏิบัติ ก็ต้องนึกถึงตอนที่เราสมาทานพระกรรมฐานว่า ขอมอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าท่านทั้งหลายนึกถึงตรงจุดนี้ ก็จะรู้ว่า ตัวเรายังย่อหย่อนต่อการปฏิบัติมากขนาดไหน เพราะว่าแค่ลำบากนิดเดียวเราก็ถอยเสียแล้ว แค่ทำอะไรเนิ่นนานหน่อย ไม่ทันจะเห็นผลเราก็รู้สึกเบื่อเสียแล้ว

ถ้าอย่างนี้ชีวิตนี้เราจะหวังการปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาได้อย่างไร ? โดยเฉพาะอุบาสก อุบาสิกา ฆราวาสหญิงชายในปัจจุบันนั้น ก็มักจะอยู่ในลักษณะของการปล่อยให้ฝ่ายของภิกษุ ภิกษุณี เต้นไปโดยฝ่ายเดียว

เถรี 24-08-2016 09:01

พระพุทธศาสนาของเราเปรียบเหมือนกับยานที่ประกอบไปด้วยล้อ ๔ ล้อ จึงสามารถที่จะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้อทั้งสี่ล้อ ก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในปัจจุบันล้อที่เป็นภิกษุณีไม่มีแล้ว ทดแทนมาด้วยแม่ชีที่สงเคราะห์เข้ามาอย่างเต็มฝืน ก็ไม่สามารถที่จะทดแทนได้เต็มที่ แล้วถ้าล้อที่เป็นอุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่ยอมทำหน้าที่ในการสนับสนุนช่วยเหลือ เราลองมานึกดูว่า ถ้าหากว่ารถยนต์ใช้งานไม่ได้ไปสามล้อแล้วจะวิ่งอย่างไร ?

ดังนั้น...อาตมาจึงอยากที่จะตักเตือนท่านทั้งหลายว่า การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการเอาจริง ต้องทุ่มเทแบบมอบกายถวายชีวิต ไม่ใช่ลำบากหน่อยหนึ่งก็เลิก เจออุปสรรคนิดหนึ่งก็ท้อ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่กำลังใจของนักปฏิบัติ หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านกล่าวว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” ก็คือต้องแลกกันด้วยชีวิตจึงจะเข้าถึงธรรมได้

เราลองถามใจตัวเองดูว่า ถ้าหากว่าเราตายลงไปตรงนี้เพื่อแลกกับการปฏิบัติให้เข้าถึงธรรม เราจะสามารถตัดสินใจได้หรือไม่ ? ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะตัดสินใจได้ การปฏิบัติของเราก็มีโอกาสที่จะเข้าถึงคุณความดีในพระพุทธศาสนา แม้เป็นเพียงความดีขั้นต้นคืออยู่ในส่วนของโลกียะ ก็ยังเหลือเฟือเกินพอที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ เพราะเราจะรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีขึ้นได้ จะบังเกิดขึ้นได้ เราก็ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติอย่างจริงจัง มีความเพียรไม่ท้อถอยในระดับฝนทั่งให้เป็นเข็ม เราจึงต้องมาปรับกำลังกาย กำลังใจของเราเสียใหม่ ว่าการที่เราทั้งหลายปฏิบัติ บางท่านก็หลายปี บางท่านก็นับเป็นสิบ ๆ ปี แล้วเอาดีไม่ได้นั้นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเราไม่ได้ทุ่มเท หรือเป็นเพราะเราทุ่มเทเต็มที่แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

เถรี 24-08-2016 09:02

เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วก็ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ หลัก ๆ ก็คือ อานาปานสติที่เราจะทิ้งไม่ได้ เพราะว่าเป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง หลังจากนั้นก็ต้องแผ่เมตตาเป็นปกติเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ชุ่มชื่นเยือกเย็นอยู่เสมอ เมื่อกำลังใจของเราภาวนาจนไปต่อไม่ได้แล้ว กำลังใจเริ่มคลายออกมา ก็พยายามพินิจพิจารณาในร่างกายนี้ให้เห็นชัดเจนว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร

ในระหว่างนั้นก็ระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ถ้าเราตายลงไป เราปรารถนาพระนิพพานที่เดียว

เมื่อท่านทั้งหลายทบทวนและเพียรพยายามทำให้ถึงจุดหมายดังที่ว่านี้ เรื่องของพระพุทธศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝัน เรื่องของมรรคผลยังมีอยู่เป็นปกติ ถ้าหากว่าเราทำดี เราทำถูก โอกาสที่เราจะเสวยมรรคเสวยผลก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้าอ่อน)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว