กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4768)

เถรี 30-12-2015 15:51

ถาม : คนที่รู้ว่าจำเป็นต้องทำอะไร แต่ไม่มีพลังงานหรือกำลังใจในการทำงานเลยครับ ในหัวข้อธรรมของพระศาสนามีหรือเปล่าว่าต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา เน้นสมาธิให้มากเข้าไว้ เพียงแต่คุณไม่ตั้งใจทำเท่านั้น สรุปก็คือไปกับกิเลสเรื่อย ๆ โดยไม่คิดที่จะต่อสู้จริงจัง ถ้าทำจริงจัง ก็เหลือเฟือที่จะทำได้ แปลว่าเอาแต่หายใจทิ้งไปวัน ๆ มากกว่า

เถรี 30-12-2015 19:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นคนอื่นเรียนยาก ๆ ทำอะไรช้า ๆ ต้องมาคิดว่าอาตมาผิดปกติหรือเปล่า ? เหมือนอย่างกับว่าเขาใช้ความพยายามยังไม่พอ บางทีอาตมาใช้เวลา ๑๐ กว่าวันนั่งแก้วิทยานิพนธ์ แทบไม่ได้นอนเลย คืนหนึ่งนอน ๑ - ๒ ชั่วโมง แต่ว่าเพื่อนที่ใช้เวลาไม่มากเท่าสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าจริง ๆ แล้วพื้นฐานสมาธิไม่พอ ในเมื่อพื้นฐานสมาธิไม่พอ กำลังใจที่จะสู้ก็ไม่มี

ขั้นแรกที่สอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ของปริญญาโท ผศ.ดร. ธัชชนันท์ อิศรเดช พอนั่งลง ท่านบอกว่า "ผมดูแล้วอาจารย์พระครูเป็นคนที่มั่นใจตัวเองมาก ๆ เลย ความมั่นใจแบบนี้มาได้อย่างไรครับ ? " อาตมาเองจะไปตอบได้อย่างไรว่าทำสมาธิมา ? เลยตอบว่า "อ๋อ...ผมเคยเป็นทหารมาก่อนครับ เขาฝึกมาแบบนี้" ก็คือพอเข้าไปแล้ว อาตมามั่นใจว่าครูบาอาจารย์ท่านมาช่วย ไม่ได้มาเพื่อซ้ำเติมเรา บางอย่างที่ท่านถามในลักษณะกดดันก็เพื่อทดสอบเท่านั้น ในเมื่อรู้สึกอย่างนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกกลัว แต่ส่วนใหญ่ที่เข้าไปแล้วเขาไปกลัวอาจารย์กัน"

เถรี 31-12-2015 14:49

ถาม : เวลาที่เราเขียนอักขระลงยันต์ ยันตัง สันตัง และอุณาโลม ในส่วนตัวบทในการอธิษฐาน ?
ตอบ : ตอนวาดยันต์ให้ว่า ยันตัง สันตัง วิกรึง คะเร นะมะพะทะ ก็คือนึกถึงรูปยันต์ แล้วภาวนาลากเส้นในใจจนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเมื่อวงกลมเสร็จแล้ว ก็เริ่มลงอุณาโลม ก็คือเรานึกว่าเรากำลังเขียนรูปอุณาโลมอยู่ในใจ ให้ว่า อุณาโลมมา ปะนะชายะ เต เสร็จแล้วก็ขึ้นนะตัวแรก คือ นะกาโร โหติ สัมภะโว ตัวที่สอง โมกาโร โหติ สัมภะโว ไล่ไปเรื่อย แล้วก็ไปขึ้นชุดที่สอง แล้วปิดท้ายด้วยอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังฯ เขียนอะไรว่าอย่างนั้น

ถาม : แม้จะว่าในใจก็ทำเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ชักรูปยันต์อย่างเดียวว่าในใจ ๓ จบบางทีไม่ครบหรอก

เถรี 31-12-2015 15:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้อากาศเปลี่ยน ปลายฝนต้นหนาว ช่วงรอยต่ออากาศเปลี่ยน ถ้ามีคนแก่หรือคนป่วยอยู่ดูแลให้ดี เผลอเมื่อไรก็ไปเลย เพราะเวลาอากาศเปลี่ยนผู้ที่ร่างกายอ่อนแอรับไม่ไหวก็มักจะเสียชีวิต ช่วงเดือนที่ผ่านมา เริ่มจากแม่ชีเพียงเดือน ธนสารพิพิธ แม่ชีว่าจะอยู่สัก ๘๘ ปี ปรากฏว่าแม่ชีไปก่อนเป็น ๑๐ ปี อาตมาบอกแล้วว่าแม่ชีอยู่ไม่ไหวเพราะกำลังร่างกายไม่มี

ถัดไปก็เป็นคุณเชิญ บุญรังษี โยมที่นิมนต์อาตมาไปสอนกรรมฐานที่จันทบุรีมา ๒๐ กว่าปี เสียชีวิตด้วยวัย ๙๔ ปี ก็ถือว่ามาก ดีที่หลับไปเฉย ๆ หลังจากนั้นเป็นนายดาบตำรวจลิขิต คำนา ซึ่งบ้านอยู่ใกล้วัด ครอบครัวนี้ใส่บาตรทุกวัน เสียชีวิต แล้วก็มาพันเอกชาตรี วิเศษสิงห์ น้องชายของหลวงพ่อวัดท่ามะขาม เสียชีวิตไล่เป็นลูกระนาด อาตมาวิ่งงานศพอย่างเดียว จนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนก่อนดี

ก่อนจะมารับสังฆทาน ๒ วัน โยมทางทองผาภูมิก็เสียชีวิตอีก บอกเขาแต่แรกแล้วว่าช่วงรอยต่ออากาศ สังเกตมาหลายสิบปีแล้ว คนที่ร่างกายไม่ไหวมักจะตาย แต่ว่าระวังอย่างไร ถ้าวาระมาถึงก็ต้องไป"

เถรี 31-12-2015 15:57

ถาม : เขาใกล้จะตายค่ะ ?
ตอบ : ถ้ามีโอกาสควรจะให้เขาทำบุญทำอะไรที่เป็นความดีก่อนตาย ใจจะได้เกาะไว้ อาจเป็นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน พาไปวัดทำบุญ ถ้าใจเกาะความดีได้ก็รอดแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวว่าจะไปไกลแค่ไหนเท่านั้น อาจจะเปิดเสียงสวดมนต์ของพระจีนให้ฟังก็ได้

ถาม : อยู่โรงพยาบาลค่ะ ?
ตอบ : อยู่โรงพยาบาลอย่าเปิดดังมาก เดี๋ยวห้องข้าง ๆ บ่น มีวิธีเดียวคือเปิดเสียงสวดมนต์ให้เขาฟัง บอกเขาว่า "เหนี่ยมเก็ง" ก็หมดเรื่อง อย่าห่วงคนอื่นมาก ห่วงตัวเองดีกว่า

ถาม : ไม่มีปัญญาจะไปวัด ?
ตอบ : มีใจระลึกถึงก็พอแล้ว สภาพร่างกายอย่างเราจะไปได้อย่างไรไหว

เถรี 31-12-2015 15:59

หลายปีที่สังเกตมา ช่วงปลายฝนต้นหนาว ปลายหนาวต้นร้อน ปลายร้อนต่อฝน คนแก่หรือคนป่วยมักจะรับไม่ไหว แล้วก็ตายกันไป แต่ปลายฝนต้นหนาวจะเยอะที่สุด เพราะอากาศเปลี่ยนแรง ร่างกายรับไม่ไหวแล้วไปกันเป็นแถวเลย แล้ววัดท่าขนุนก็รื้อเมรุ ไม่มีเมรุจะเผา วัดทองผาภูมิก็รื้อเมรุ ก็คือต่างคนต่างปรับปรุง บริเวณนั้นทั้งหมดเหลือวัดเขื่อนวชิราลงกรณอยู่วัดเดียว ตอนนี้มีกี่ศพ ๆ ก็เข้าวัดนั้นแหละ

วัดท่าขนุนตอนนี้ฐานเมรุเสร็จแล้ว เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่งถมดินเทคอนกรีต แล้วก็ยกเอาเจดีย์บรรจุอัฐิ ๒๐ กว่าหลังมาไว้ข้างบน ส่วนที่เหลือจะอยู่ในเขตถมดิน แล้วแต่ญาติของเขา ถ้าญาติให้ย้ายขึ้นมาก็ย้าย ไม่ย้ายก็ไว้ที่เดิม

เถรี 31-12-2015 17:00

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ป่วยว่า "สมองของเราพอถึงเวลาเสียหายแล้วจะคืนดียาก ยังดีที่สั่งงานได้แค่นี้ แต่ก็ยังดีว่าตัวสติสัมปชัญญะ กำลังใจในการปฏิบัติธรรม ไม่ได้สูญเสียไปด้วย

อย่าคิดมาก...พวกเราสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่น้อยกว่ากันหรอก เผลอเมื่อไรก็โดน ฉะนั้น...ให้หมั่นทำบุญไว้ อย่าให้ขาดช่วง ไม่ได้หมายความว่าทำเยอะ ๆ แต่ทำเรื่อย ๆ วันนี้สวดมนต์ไหว้พระเจริญกรรมฐาน พรุ่งนี้ใส่บาตร มะรืนถวายสังฆทานก็ทำไปเถอะ ร่วมเป็นเจ้าภาพกับเขา วันต่อไปเจอเขาหล่อพระก็เอาด้วย ทำเล็กทำน้อยไปเรื่อย ทำให้ต่อเนื่องไว้

ที่ต้องชื่นชมเลยคือคุณยายภัทริณ ไปเนปาลด้วยกัน เดินขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว เขาปิดทางถ่ายสารคดี โดนไล่ลงมา เดินลงมาอ้อมเขาไปขึ้นอีกข้าง พวกเรายังหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคนยังบ่น ยายแกขึ้นได้ลงได้สบาย คนแก่สุขภาพดีแสดงว่าทำปาณาติบาตมาน้อย ในอดีตฆ่าคนฆ่าสัตว์ไว้น้อย หรืออาจจะไม่มีเลย อย่างลุงเชิญก็ ๙๐ กว่าปี ไปแบบไม้ใบหลุดจากขั้ว ก็คือหมดสภาพไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะตายไม่ถึงชั่วโมงยังคุยกับลูกชายอยู่ ลูกชายพาไปเที่ยวมา บอกว่า "พ่อสุขภาพขนาดนี้จะอยู่ได้นานสักเท่าไร ?" "น่าจะได้สัก ๑๐๐ กระมัง" ปรากฏว่าไปคืนนั้นเลย"

เถรี 31-12-2015 17:09

"เมื่อวานนี้ก็คุณโด่ง คุณโด่งเป็นเพื่อนกับคุณแดง เคยทำกิจการร่วมกันมา เลยพลอยรู้จักกับอาตมาไปด้วย คุณโด่งอายุก็ยังไม่มาก อาตมา ๕๗ ปี แกก็ ๕๘ ปีแต่ไปแล้ว เริ่มจากเบาหวานกินก่อน เพราะน้ำหนักตัวมาก หลังจากนั้นสารพัดโรคก็มะรุมมะตุ้ม ถ้าถามว่า ๕๗-๕๘ ปี มากไหม ? ถ้าเป็นสมัยโบราณก็มาก เพราะสมัยโบราณนี่ผู้ชายต้องรบราฆ่าฟัน ออกสงครามกันเป็นปกติ ตายก่อนอายุกันเยอะมาก ขณะเดียวกันการรักษาพยาบาลไม่ดีเหมือนสมัยนี้ หมอยาหายาก รักษาไม่ทันก็มักจะตาย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้หญิงคลอดตายทั้งกลม ตายทั้งกลมคือตายหมดทั้งแม่และลูก สมัยนี้เขาไม่เข้าใจเรียกตายท้องกลม เห็นลูกยังไม่คลอด ท้องป่องเลยเรียกท้องกลม

สมัยนั้นตายเยอะเพราะคลอดธรรมชาติ สมัยนี้ไม่มีโอกาสหรอก หมอจับผ่าหมด บางทีขนาดแม่ตายแล้วหมอผ่าลูกออกมา ลูกยังรอด สมัยก่อนเวลาเขาหาผู้หญิง หาคนสะโพกใหญ่ ๆ เพราะคนสะโพกเล็ก คลอดยาก เด็กมักจะตาย เลยหาผู้หญิงท้วม ๆ คือดูอ้วน เขาบอกว่าผู้หญิงท้วม ๆ ร่างกายมักแข็งแรงกว่า มีลูกได้หลายคน ถ้าประเภทผอมแห้งแรงน้อย มีคนเดียวก็ปางตายแล้ว ดังนั้น...ถ้าใครออกไปทางท้วมหรืออวบระยะสุดท้าย โปรดดีใจว่าเคยเป็นหุ่นที่ฮิตมาก่อน ในระยะประมาณ ๕๐ กว่าปี

ถ้าใครไปดูภาพวาดยุคเรอเนสซองส์ โดยเฉพาะภาพนู้ด ผู้หญิงกึ่งเปลือยหรือเปลือยเลย จะเห็นว่า ส่วนใหญ่คืออ้วน ๆ นั่นคือความงามในยุคนั้น บางคนพูดชัด ๆ ว่าต้องการแม่พันธุ์ที่ดี ฉะนั้น...พวกผอม ๆ นี่หมดสิทธิ์ กลายเป็นกาลกิณีไปเลย"

เถรี 31-12-2015 17:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวนาพระคาถาเงินล้านเอาไว้ให้เป็นปกติทุกวัน จะช่วยความสะดวกคล่องตัวให้มากขึ้น อย่างวัดท่าขนุนปัจจุบันนี้มีพระ ๓๑ รูป บิณฑบาตยังคงพอฉันเป็นปกติ จนกระทั่งอย่าว่าแต่เด็กวัดเลย แม้กระทั่งหมายังเลือกกิน กับข้าวไม่อร่อยคลุกให้ หมาไม่กินหรอก อยากให้ไปเป็นหมาที่เนปาล อยู่ที่นั่นหุ่นสะโอดสะอง หากินยากเย็นเข็ญใจ

เรื่องของการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ต้องบอกว่าเป็นส่วนของมโนมยา สำเร็จด้วยใจ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราทรงตัว อานุภาพของพระคาถาก็จะบันดาลให้เกิดผลตามที่ต้องการ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ กำลังสมาธิได้เท่าไร อย่างที่สองก็คือ ทานบารมีเก่ามีเท่าไร

ถ้าทานบารมีเก่ามีมาก กำลังของสมาธิสูง ก็ไหลมาเทมา จะโดนทับตายมากกว่า แต่ถึงแม้จะมีทานบารมีน้อย กำลังสมาธิน้อย แต่ถ้าทำเสมอโดยไม่ทอดทิ้ง ก็เหมือนน้ำทีละหยด รวมไปรวมมา เดี๋ยวก็ได้กระป๋องหนึ่ง เดี๋ยวก็ได้ตุ่มหนึ่ง เดี๋ยวก็ได้เป็นทะเลไปเอง"

เถรี 31-12-2015 17:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราระบบการจัดการผิดพลาด ไม่ให้ชาวบ้านทำนา เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีน้ำใช้ ถามหน่อยสิว่าคนกรุงเทพฯ จะกินอะไร ? ความจริงต้องให้คนกรุงเทพฯ อดน้ำ

รุ่นเรามีใครทันรุ่นอาตมาบ้าง ? ต้องรองน้ำตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตี ๒ ถึงได้น้ำพอใช้ อาตมาซาบซึ้งที่สุด ถึงเวลาก็นั่งสัปหงกรอไปเถอะ ฉะนั้น...ต้องให้คนกรุงเทพฯ ลำบากบ้าง แล้วปล่อยให้ชาวบ้านทำนา ถ้าชาวบ้านไม่มีรายได้แล้วจะไปกินอะไร เก็บน้ำไว้ให้คนกรุงเทพฯ ใช้ ชาวบ้านทำนาไม่ได้ ไม่มีข้าวขายจะเอาอะไรมากิน ไม่ต้องถึงขนาดช่วงนั้นหรอก เอาแค่ "มหา ๕ ขัน" ก็พอแล้ว

เวลาไปสอนหนังสือที่วัดใต้ เณรอาบน้ำได้ยินทีไร อาตมาด่าทุกที เณรสาดโครม ๆ ไป ๒๐-๓๐ ขัน แล้วถึงจะฟอกสบู่ ถ้าจะอาบขนาดนั้น หากะละมังมาสักใบ ตักลงไปแล้วแช่ไปเลย ให้หมดเรื่องหมดราว อยากเย็นนานขนาดนั้น คราวนี้เณรไม่ได้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไปเรียนหนังสือเฉย ๆ ก็ถลุงกันแหลกลาญ ต้องหัดประหยัด ปิดน้ำปิดไฟทุกครั้ง ต้องใช้ทรัพยากรเหมือนอย่างกับมีแค่นี้ ไม่มีให้อีกแล้ว

บอกไปแล้วก็อาย อาตมาเองใช้น้ำอย่างเก่งก็ ๓-๔ ขัน แล้วมีคนก็ถามว่าอาบสะอาดหรือ ? ก็ใช้ได้อยู่นะ คนยังพอทนกลิ่นได้"

เถรี 31-12-2015 19:21

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "มีลูกคนเดียวก็พอแล้วนะ คุณแม่ไม่แข็งแรงแบบนี้อย่ามีอีกเลย คนดูโหวงเฮ้งเป็น มองหน้าก็รู้ ไม่ต้องใช้ทิพจักขุญาณหรอก ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ทอง ถ้าอันไหนพร่องก็รู้ว่าจะเสียหายตรงไหน"

เถรี 31-12-2015 19:34

พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงตาวัชรชัยว่า "ไปเริ่มต้นพัฒนาวัดเขาวงกันครั้งแรก อาตมาขุดหลุมปลูกต้นไม้จนมือไม้แตกหมด บางคนอาจจะไม่รู้ว่าวัดเขาวงนั้นอาตมาไปอยู่ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย นอกจากกุฏไม้เรือนไทย กับศาลาที่จมฝุ่นปูนอยู่อีกหลังหนึ่ง ไปช่วยหลวงตา ตอนนั้นอาตมาเพิ่งจะออกจากวัดท่าซุงมาปีเดียว ออกมาปีเดียวแล้วสร้างวัดเสร็จ หลวงตาวัชรชัยก็เลยถามว่า "เสร็จแล้วจริงหรือ ?" "จริงครับ" ท่านเห็นว่า อาตมาทำได้ก็เลยออกมาบ้าง ปรากฏว่าออกมาได้ไม่นาน บ่นฉิบ...เลย "เล็กโว้ย..มึงทำได้อย่างไรวะ กูหัวหงอกหมดแล้ว" ก็เลยต้องไปช่วยท่าน

สวนไผ่อาตมาก็ปลูกมากับมือ ดินก็แข็งอย่าบอกใครเพราะมีฝุ่นปูนจับหน้า โรงงานปูนซีเมนต์ระเบิดหินทุกวัน ฝุ่นหินลงไปปีแล้วปีเล่า แข็งขนาดไหน ? ก็ขนาดเอาอีเตอร์สับยังไม่อยากจะเข้า วันหนึ่ง ๆ ขุดได้ไม่กี่หลุม ตอนนั้นมีศาลาอยู่หลังหนึ่งก็พังเพราะเขาระเบิดหิน หินตกใส่อยู่เรื่อย เข้าไปข้างใน ฝุ่นปูนหนาเกือบนิ้วได้ มีเรือนไทยอยู่หลังหนึ่ง ปัจจุบันคือหลังที่หลวงตาใช้รับแขก เรือนไทยหายไปแล้ว

ก่อนนี้หลวงตาท่านไปอยู่ท่าลานได้พักหนึ่ง แล้วไปขัดคอกัน เพราะว่าทางฆราวาสอยากจะดูแลเงิน แต่หลวงตาเห็นว่าเป็นของสงฆ์ ก็อยากจะบริหารเอง เลยขัดคอกัน ถึงขนาดมีการทะเลาะเบาะแว้ง อาตมาต้องไปจัดการให้ ไม่ได้ทะเลาะกับพระโดยตรงหรอก แต่เขาขึ้นป้ายด่าพระ อาตมาไปบอกพวกเขาว่า "ถ้าไม่ชอบขี้หน้าท่าน ก็อย่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้เท่ากับคุณเป็นฆราวาสรังแกพระ ใครไปใครมาเขาเห็นก็รู้ว่าใครทำใครก่อน แล้วคุณจะไปอ้างว่าพระไม่ดีไม่ได้ เพราะคนอื่นเห็นคุณเล่นงานพระอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าไม่อยากให้เหตุการณ์ลุกลามก็เอาป้ายลงเสีย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันหมด"

คนลืมตัวก็ขึ้นป้ายด่าพระ แต่หารู้ไม่ว่ากลายเป็นหลักฐานว่าตัวเองทำผิด ความจริงเรื่องอย่างนี้ถ้าจะไปช่วยแก้ไข เราต้องมองภาพรวมออก สามารถบอกเขาได้ว่าอะไรดีไม่ดี พอรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ดีกับเขา เขาก็เอาป้ายลงเอง เรื่องก็เงียบ แต่หลวงตาเห็นว่าด่ากันขนาดนี้ก็ไม่อยู่แล้ว ไปดีกว่า พอดีท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ ตอนนั้นยังเป็นพระราชธรรมสาร ท่านก็เลยให้ไปอยู่ที่เขาวง บ้านเกิดท่าน อาตมาเองก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุให้หลวงตาตามออกมาจากวัด เลยต้องไปช่วยท่านหน่อย ในยุคที่หลวงตาท่านยังไม่มีใครเลย"

เถรี 31-12-2015 19:35

:4672615:เก็บตกเดือนธันวาคม ปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ
เจอกันปีหน้า
:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:51


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว