กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2399)

เถรี 22-01-2011 19:37

"มีบางปีที่พระองค์ท่านสั่งกระทรวงเกษตร ให้สอยเมฆทุกก้อนที่ผ่านประเทศลงมาให้ได้ แม้จะคำนวณแล้วว่า ถ้าทำเป็นฝนก็จะไม่ตกในประเทศไทย แต่จะเลยไปพม่า ลาว เขมร

ในหลวงตรัสว่าไม่เป็นไร ให้มีฝนตกลงมาก็แล้วกัน เพราะความชื้นที่พื้นมีอยู่ เดี๋ยวก็ก่อตัวรวมเป็นเมฆใหม่ เราก็สามารถจะเอาลงมาได้อีก เดี๋ยวก็ตกตรงจุดที่เราต้องการเอง ปัจจุบันแม้ว่าสุขภาพพลานามัยขององค์ในหลวงจะไม่แข็งแรง แต่พระองค์ก็ยังคงทรงงานหนักอยู่เป็นปกติ

สิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่การตำหนิ แต่อยากจะบอกว่า รัฐบาลของเราไม่มีการวางแผนระยะยาวในการแก้ปัญหาอะไรสักเรื่องเดียว รู้ว่าน้ำจะท่วมกลับนั่งรอให้ท่วม ท่วมแล้วค่อยไปแจกของ ตอนนี้รู้ว่าฝนจะแล้ง รู้ว่าน้ำมันจะแพง แต่ไม่มีแผนอะไรรองรับอย่างชัดเจนเลยแม้แต่แผนเดียว

ในเมื่อนโยบายที่จะให้เป็นแนวปฏิบัติไม่มี แล้วจะไปกล่าวถึงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา ก็ไม่ต้องพูดถึงกันเลย กลายเป็นว่าภาระทั้งหมดตกอยู่ที่องค์ในหลวงเหมือนเดิม คิดแล้วอยากร้องไห้นะ..จะร้องไห้สงสารในหลวง หรือร้องไห้สงสารตัวเองที่เกิดเป็นคนไทยดี ?"

เถรี 23-01-2011 01:51

"เด็กรุ่นหลัง ๆ ที่ไม่มีโอกาสเห็นในหลวงของเราทรงงานทั้งวัน ไม่มีโอกาสเห็นว่า พระองค์เสด็จไปช่วยเหลือชาวบ้าน จนแทบจะทุกซอกทุกมุมของประเทศ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมคนรุ่นก่อน ๆ จึงซาบซึ้งเคารพรักในหลวงขนาดนั้น

เราลองคิดดูว่า ปัจจุบันนี้พระองค์ท่านต้องประทับรถเข็น แต่ก็ยังต้องออกทรงงานไม่หยุดไม่หย่อน ประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราช แต่งานทุกอย่างทั่วประเทศต้องไปรวมตรงนั้น

ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ตรัสว่า ในหลวงสอนลูก ๆ ว่า เราสามารถดำรงอยู่ในราชวงศ์ คงฐานะคงความเป็นกษัตริย์เหนือกว่าคนอื่นได้ ก็เพราะประชาชนเขาสนับสนุนเรา เพราะฉะนั้น..มีอะไรที่จะตอบแทนคนที่สนับสนุนเราได้ เราก็ต้องทำให้เต็มสติกำลัง

ข้าราชการของเราขาดสำนึกในหน้าที่ ขาดสำนึกคำว่า "ข้าราชการ" ก็คือ เป็นข้าใต้เบื้องพระยุคลบาทของในหลวง แทนที่จะทุ่มเทรับใช้ประชาชนให้สมกับคำว่าข้าราชการ กลับไปเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายชาวบ้าน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองกินเงินภาษีราษฎร ซึ่งเท่ากับชาวบ้านเป็นเจ้านายจ่ายเงินเดือนให้

ในเมื่อขาดจิตสำนึกตรงนี้ โอกาสที่จะทุ่มเทแก่บ้านเมืองและประชาชนก็เลยมีน้อย ถามว่าข้าราชการดี ๆ มีบ้างหรือไม่ ? มี..แล้วทุ่มเทกับประชาชนหรือไม่ ? ทุ่มเท..แต่คนทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียว เหมือนกับน้ำหยดหนึ่งในทะเลทราย ที่แน่ ๆ ก็คือ แทบไม่มีใครเลยที่จะไปค้นเอาคุณงามความดีเหล่านี้ที่เขาทำ มายกย่องให้เป็นที่รู้กันของคนหมู่มาก

กลายเป็นว่า คนที่ทำดีก็ทำไป ทำดีร้อยครั้ง จะมีคนเห็นสักครั้งก็ยาก แต่ถ้าทำชั่วครั้งเดียวโดนด่าจมธรณีไปเลย ดังนั้น..ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ทำดีเพราะอยากทำ ทำดีจากกมลสันดานจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ในวงข้าราชการนี้ได้นาน ไม่นานก็จะโดนกลืน โดนครอบ กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพวกที่ไม่เอาไหน"

เถรี 23-01-2011 02:19

"อาตมาเองเรียนวิชาทหารมา ตอนที่เราเรียนอยู่ เขาอบรมเรามาขนาดไหน ทันทีที่เข้าไปรับราชการ สิ่งที่เราพบกับสิ่งที่เราเรียนมา เป็นคนละเรื่องเดียวกัน แต่ยังดีที่เป็นวงการทหาร ทหารจะเป็นหน่วยราชการที่เสียหายน้อยที่สุด ยังเป็นที่เชื่อถือของประชาชนอยู่ แต่ปัจจุบันนี้ทหารของเราใกล้การเมืองมากเกินไปแล้ว ใครเข้าใกล้การเมืองแล้ว จะไม่แปดเปื้อน ไม่สกปรกนั้นไม่มี

ในเมื่อเรียนจบมาแล้วไปรับราชการ สิ่งที่พบเห็น ถ้าเราไม่ใช่บุคคลมั่นคงต่ออุดมการณ์ เราไม่ใช่บุคคลที่มีกำลังใจเข้มแข็งจริง ๆ จะไม่สามารถดำรงปณิธานส่วนตัวอยู่ได้ ท้ายสุดก็ต้องละลายตามพวกเขาไป

ดังนั้น..ในวงข้าราชการประจำ เขาจะมีคติอยู่ว่า ถ้าเจ้านายใหม่มา ใช้เวลา ๖ เดือนครอบให้เป็นพวกเราให้ได้ ถ้า ๖ เดือนไม่สามารถจะครอบเป็นพวกได้ ก็ต้องงัดให้กระเด็นไปให้ได้ เดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างนี้กันหมดแล้ว

ขอโทษเถอะ..ทำไมบ้านเราถึงโกงกินกันได้ทุกวงการขนาดนี้ก็ไม่รู้ ? ถึงขนาดมีผลงานวิจัยของนักศึกษาญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เขาฟันธงเลยว่า ประเทศไทยมีแต่ในหลวงเท่านั้นที่ไม่โกง ตายละ...นี่เขาเหมาว่าแม้แต่ข้าง ๆ ในหลวงก็โกงด้วย อะไรจะปานนั้น มีผลวิจัยรองรับจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เรามานึกดูว่า ปัจจุบันในหลวงปีนี้ ๘๔ พรรษาแล้ว จะอยู่เป็นมิ่งขวัญ เป็นกำลังใจให้ประชาชนได้อีกนานเท่าไร ใครที่ไปปฏิบัติธรรมรุ่น ๓ ที่วัดท่าขนุน ตอนอุทิศส่วนกุศลพวกเราอธิษฐานว่า "ขอให้สถิตย์มั่นอยู่ในไอศูรย์ราชสมบัติ ตราบจิรัฏฐิติกาลสมัย ขอทรงเป็นฉัตรแก้วคุ้มภัย แก่ปวงข้าพเจ้าทั้งหลาย ตราบสิ้นกาลนานเทอญ" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะช่วยให้พระองค์ท่านอยู่ไปได้อีกสักกี่วัน"

เถรี 23-01-2011 02:34

"ถ้าหากปุบปับสิ้นในหลวงไป บ้านเราเมืองเราจะวุ่นวายอย่างที่ไม่สามารถจะบรรยายเป็นคำพูดได้ เพราะตอนนี้บุคคลบางกลุ่มก็รอจังหวะว่า ถ้าสิ้นในหลวงเมื่อไร จะเป็นระยะเวลาที่เขาเป็นใหญ่ในประเทศ บุคคลบางกลุ่มก็รอจังหวะว่า ถ้าสิ้นในหลวงขึ้นมา ก็จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองเสียที

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เหมือนกับระเบิดที่รอเวลาระเบิด เราลองมานึกถึงในแบบภาษาชาวบ้านว่า ในหลวงเป็นคนแก่ อายุ ๗ รอบ ๘๔ พรรษาแล้ว ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า รอวันตาย ในสภาพการณ์อย่างนี้ ถ้าหากบรรดาข้าราชการต่าง ๆ ยังไม่เป็นผู้นำประชาชนในการทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ยังคงเห็นแก่ประโยชน์ของตนและพวกพ้องแล้ว ประเทศเราก็จะไปไม่รอด

อย่าลืมว่า ตอนนี้รอบบ้านของเราเขาใช้เทคโนโลยี ๓G กันครึกครื้นไปแล้ว เวียดนามก็กำลังลงทุนจะสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่บ้านเรา ๓G ยังคลอดไม่ได้ เพราะนักการเมืองยังตกลงผลประโยชน์กันไม่เสร็จ รถไฟฟ้าเหลืออีกสองสถานีจะถึงบ้านวิริยบารมี ก็งอกต่อไม่ได้เสียที รางรถไฟฟ้าไปตั้งนานแล้ว แต่สถานีไม่งอกเสียที เรื่องเหล่านี้เกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป จนไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมกันเลย แล้วคอยดูเถอะ..พอมีใครพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เขาก็จะหาคำแก้ตัวเพราะ ๆ ฟังแล้วน่าเชื่อถือ มากลบเกลื่อนไปจนได้แหละ..!

เถรี 23-01-2011 10:12

"ถ้านึกเทียบบ้านเราย้อนหลังไปแล้วอยากจะร้องไห้ สมัยรัชกาลที่ ๕ เราเจริญกว่าญี่ปุ่น..ญี่ปุ่นต้องมาขอช่างเทคนิคจากประเทศไทยไปช่วยงานที่ประเทศเขา ปัจจุบันนี้เราล้าหลังญี่ปุ่นไปตั้งกี่ปี ไม่ต้องพูดถึงเลย

ที่อาตมาเจอมาด้วยตัวเองก็คือกรมป่าไม้ แต่ไม่ใช่ทั้งกรม แค่เขตเดียว วันที่ ๓๐ กันยายน เขาเหลืองบประมาณถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้อนุมัติให้ใช้ หมายความว่า ๓๖๔ วันที่ผ่านมา เงินร้อยบาทใช้ไปแค่ ๓๐ บาท

วันที่ ๓๐ กันยายน บุคคลที่มีหน้าที่เซ็นอนุมัติงบประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ เซ็นจนหัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่ต้องดูเลยว่าเขาขออะไรมา ถามเขาว่าที่เหลือทำไมไม่ส่งคืน ? เขาบอกว่า ส่งคืนไม่ได้ ถ้าส่งคืนต่อไปจะขอไม่ได้อีก

เงิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์เขาผลาญหมดภายในวันเดียว ทำถูกกฎหมายทุกอย่าง ตั้งโต๊ะจีนรอไว้เลย ถึงเวลาเซ็นอนุมัติไปเรื่อย พอเที่ยงคืนตรงก็วางปากกาฉลองโต๊ะจีน ๓๖๔ วันใช้เงินเพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่วันเดียวอนุมัติงบ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ไปจนหมด ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง..!

จึงมีบางคนที่เขาทำวิจัย เขาระบุว่า ถ้าบ้านเราใช้งบประมาณแผ่นดินได้ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เราจะเจริญพอ ๆ กับญี่ปุ่น จึงอยากจะบอกว่า ปัจจุบันนี้ภาระหน้าที่ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เราทุกคนต้องมีส่วนช่วยกันแบกประเทศชาติของเรา ถ้าไม่รู้ว่าจะทำเพื่อใครแล้ว ก็ให้คิดว่าทำเพื่อในหลวงและตัวเราเอง"

เถรี 23-01-2011 10:18

"ทำอย่างไรที่เราจะสร้างจิตสำนึกให้คนรู้จักละอายชั่วกลัวบาป รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม หน้าที่ใหญ่นี้ให้เริ่มในครอบครัวของเรา คนเป็นพ่อแม่ ภาษาบาลีเรียกว่า บุรพาจารย์ แปลว่า อาจารย์คนแรก จำเป็นจะต้องสั่งสอนลูกหลานเราเอง เพื่อสร้างจิตสำนึกนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้

ลำดับต่อไป ก็คือ ครูบาอาจารย์ ใครเป็นครูบาอาจารย์อยู่กับโรงเรียน คนเขาจะตำหนิว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีขนาดไหนก็ตาม ขอให้ช่วยกันปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไช ช่วยกันสร้างจิตสำนึกของการเสียสละเพื่อส่วนรวม ให้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ของเราให้ได้

ลำดับต่อไป พระภิกษุสงฆ์ เด็กจะอยู่ใกล้พ่อแม่กับครูบาอาจารย์ก่อนแล้วจึงใกล้พระ เมื่อถึงวาระนั้น ถ้าหากว่าทุกภาคส่วนทำหน้าที่โดยพร้อมเพรียงกัน เราก็จะสามารถสร้างประชากรที่มีคุณค่าขึ้นมาได้

ท่านอื่นที่ทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือข้าราชการก็ตาม ก็ต้องพยายามที่จะใช้จิตสำนึกตรงส่วนนี้ว่า การเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นอย่างไร ทำอย่างไรที่เราจะไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาและเลิกหลังเวลา ไม่ใช่ไปถึงหลังเวลาจนกระทั่งเขาขีดเส้นแดงไว้แล้ว แต่..ให้ "ช่วยเว้นช่องไว้ให้เซ็นด้วยนะ" จะมีอย่างนี้เยอะมาก

อาตมาเองสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นอาจารย์คนเดียวที่ไปนั่งรอลูกศิษย์ ยังไม่เคยมีลูกศิษย์คนไหนที่ไปถึงห้องเรียนก่อนอาตมา ทำอย่างไรที่เราจะทำอย่างนี้ให้ได้ อาตมาเองเดินทางไกลที่สุดในบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหมด แต่ไปถึงห้องเรียนก่อน ไปนั่งรอก่อนเวลาสอนทุกครั้ง

แรก ๆ พวกลูกศิษย์เขาไม่ค่อยจะมาเรียนกัน จนกระทั่งมีอาจารย์อย่างอาตมาทำตัวเป็นตัวอย่าง ท้ายสุดเขาก็มากันเกือบจะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่ป่วยหนักหรือติดธุระการงานสำคัญที่จริง ๆ จะไม่มีใครขาดเรียน เพราะเขาเห็นแล้วว่า อาจารย์อย่างเราเป็นตัวอย่างที่ดี ที่เขาควรจะเอาเป็นแบบอย่างได้"

เถรี 23-01-2011 12:20

"ตั้งแต่เรียนระดับประกาศนียบัตรเป็นต้นมา มีเพื่อนบางท่านอยู่ในลักษณะสักแต่ว่ามีเปลือกนอกเป็นพระเท่านั้น แต่หลังจากเรียนระดับประกาศนียบัตรจบแล้ว มาต่อปริญญาตรี จนมาต่อปริญญาโท ตอนนี้มีหลายท่านที่พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ได้เพราะเลียนแบบอย่างพี่เล็กเขา"

เขามักยกตัวอย่างในห้องว่า "ถ้าบรรดาพระเถระทำอย่างพระครูธรรมธรเล็กได้ทุกคน เชื่อมั่นว่าศาสนาของเราจะเจริญและเป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านได้มากกว่านี้" สิ่งที่เราทำนั้นเกิดจากน้ำใสใจจริง ก็คือ เราทำด้วยความเคยชินว่า หลวงพ่อสอนเรามาอย่างนี้ เราก็ทำของเราอย่างนี้ จริงจังในทุกเรื่อง เรื่องใดก็ตามถ้าหากว่าเราทำจริง สิ่งนั้นก็จะประสบความสำเร็จทั้งนั้น

ในเมื่อเราทำอย่างนี้มาปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว ในที่สุดคนที่เขาเห็นและเขาเคยอยากทำมาก่อน แต่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวว่าตัวเองจะแปลกแยกจากสังคม เขาก็เริ่มกล้าที่จะทำและคล้อยตามมา ปัจจุบันนี้อาตมาจึงเป็นเจ้าพ่ออยู่ในห้องเรียน บอกซ้ายหันขวาหันอย่างไรเพื่อนก็ตามกันหมด

สมัยอยู่วัดท่าซุงก็เหมือนกัน ตอนนั้นมีพระอยู่กับหลวงพ่อ ๔๐ กว่ารูป จะมีพวกที่แบกกฎระเบียบจนหลังแอ่นอยู่ ๔ - ๕ รูปเท่านั้น ซึ่งอาตมาก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น และที่แน่ที่สุด ก็คือ กล้าทุ่มเทรับใช้หลวงพ่อชนิดที่ไม่กลัวโดนไล่ออกจากวัด งานอะไรที่พ่อสั่ง ทำด้วยชีวิต ถ้าทำไม่สำเร็จให้มันตายไปเลย..!

เมื่อทำไปทำมา บรรดาพระพี่พระน้องก็เห็นด้วย จาก ๔๐ กว่ารูปที่ว่า ถ้าอาตมาเรียกซ้ายหันขวาหัน ขอยืนยันว่าหันมาเกิน ๓๐ รูป ทำให้อาตมาพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สามารถที่จะอยู่ในวัดต่อไปได้ "

เถรี 23-01-2011 12:26

"แปลกใจไหม...ทำไมถึงอยู่วัดต่อไม่ได้ ? ก็เพราะในเมื่อเขายกคุณขึ้นไปสู่ในจุดที่สูงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องให้ไขว่คว้าแข่งขันกับใครแล้ว ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจุดนั้นเมื่อไร จะกลายเป็นน้ำนิ่ง นาน ๆ เข้าก็จะกลายเป็นน้ำเน่า หาความก้าวหน้าไม่ได้

อาตมาจึงได้ทิ้งวัดท่าซุงออกมาข้างนอก มาเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่ เพื่อจะได้ฝึกฝนลับตัวเองให้แหลมคมขึ้น ไม่ใช่ทื่ออยู่แค่นั้นเพราะคนอื่นเขายกให้เป็นใหญ่เสียแล้ว

ดังนั้น..พวกเราทุกคนควรจะพิจารณาตัวเองด้วยว่า ปัจจุบันนี้เรายินดีกับสภาพปัจจุบันนี้ของเราเอง จนไม่ไขว่คว้าหาความก้าวหน้าใส่ตัวเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ? หรือเรายังมีการดิ้นรนแสวงหาความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องเกิดจากจิตสำนึกของตนเองล้วน ๆ ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวกันได้ เพราะถ้าไม่เกิดจากจิตสำนึกของตนเองแล้ว ถึงบอกไปก็ไม่มีความรู้สึกที่คิดอยากจะทำ หรืออยากจะปฏิบัติตาม

มีใครบ้างที่หน้าที่การงานกำลังรุ่งสุด ๆ แล้วกล้าลาออกมาทำงานใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยเลย อาตมาทำอย่างนี้มาเกือบตลอดชีวิต ทำงานอยู่ที่โรงงานไทย-ญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม อยู่ ๗ เดือน จากพนักงานทั่วไปเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก อาตมาก็ลาออกมาหางานใหม่ทำ เพราะถ้าใหญ่กว่านั้นก็จะกลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปแล้ว จะไม่เหลืออะไรไว้ท้าทายเราอีกแล้ว

พอไปเรียนวิชาทหาร ก็ก้าวหน้าจนได้สองขั้นทุกปี จนกระทั่งผู้บังคับบัญชาต้องกางระเบียบการ บอกว่าเขาให้เลื่อนสองขั้นได้แค่สามปีติดกัน แล้วต้องเว้น หมายความว่าปีที่สี่เราต้องเว้น ปีที่ห้าจึงจะได้สองขั้นต่อไป จนเพื่อนฝูงตามไม่ทัน ก็ลาออกมาบวชเอาดื้อ ๆ "

เถรี 23-01-2011 12:34

"ถ้าเราไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง กล้าทำสิ่งใหม่ ๆ เราจะสามารถไขว่คว้าความก้าวหน้าใส่ตัวได้เสมอ แต่ถ้าเรากลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักพิจารณาตนเองว่า ปัจจุบันนี้เราทำอะไร มีเป้าหมายชีวิตอย่างไร ไม่มีการดิ้นรนไขว่คว้าเพิ่มเติม เราจะกลายเป็นน้ำเน่า ท้ายสุดก็ใช้การอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีก็จมอยู่กับสิ่งที่ไม่ดี กลายเป็นเกิดมาเสียชาติเกิด ขาดทุนไปเปล่า ๆ

เรื่องเหล่านี้ที่จำเป็นต้องยกตัวเองมากล่าว เพราะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด หลายต่อหลายคนบอกว่าทิ้งวัดท่าซุงมาได้อย่างไร ก็บอกเขาไปว่า "ถ้ายังอยู่ที่นั่น จะหาความก้าวหน้าต่อไปไม่ได้"

พอออกมาข้างนอกช่วยเขาสร้างวัดอยู่หลายวัด สร้างเสร็จเราก็ไปต่อ สร้างเสร็จเราก็ไปต่อ จนกระทั่งโยมจำนวนหนึ่งถึงขนาดออกปากว่า "สร้างแล้วไม่อยู่ จะสร้างไปทำไม ?" จึงบอกกับโยมว่า "อาตมามีหน้าที่สร้าง ไม่ได้มีหน้าที่อยู่" เขาบอกว่า "อุตส่าห์ทำจนดีขนาดนั้นแล้วทิ้งไปได้อย่างไร ?"

อาตมายืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ถ้าเกี่ยวกับวัดวาอาราม ในความรู้สึกของอาตมาแล้ว วัดท่าซุงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด ถ้าสถานที่ที่ดีที่สุด อาตมายังทิ้งมาได้ สถานที่ที่จะทิ้งไม่ได้นั้นก็ไม่มีอีกแล้ว

ดังนั้น..สิ่งที่อยากจะเตือนพวกเราก็คือว่า ปัจจุบันเราถือว่าเป็นนักปฏิบัติ มีอะไรที่เรายึดมั่นแล้วทิ้งไม่ได้บ้างหรือไม่ ? คนที่เรารัก ของที่เรารัก หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ฐานะ เกียรติยศ ชื่อเสียงในสังคม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าอยู่ ๆ หลุดพ้นจากมือเราไป เราจะอยู่ได้หรือไม่ ? หรือให้เราละทิ้งไปเอง เราจะทำได้หรือไม่ ? ตรองให้ดี ๆ บุคคลที่หวังการหลุดพ้น จะต้องไม่มีอะไรที่มาร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสารได้

เดือนนี้เป็นเดือนมกราคม ถือว่าเป็นปีใหม่ ก็เลยให้ของขวัญปีใหม่ที่ค่อนข้างจะหนักอยู่สักหน่อย"

เถรี 23-01-2011 13:28

ถาม : การที่เราอยู่กับตัวเองที่เป็นการอยู่ในอรูปฌาน กับการที่เรากระทบกับกิเลส แล้วเราก็มุดเข้าอรูปฌาน เป็นการติดในอรูปฌานไหมคะ ?
ตอบ : เป็นการรู้จักใช้งานในอรูปฌานมากกว่า ไม่อย่างนั้นฝึกมาก็จะเสียเวลาเปล่า เพียงแต่ว่า การใช้งานนั้น เราจะต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา เพียงช่วยในการสกัดกั้นกระแสกิเลสให้กับเราชั่วคราวเท่านั้น และท้ายสุดเราจะต้องเอากำลังของรูปฌานหรืออรูปฌานนี้ เป็นบันไดก้าวล่วงไปสู่ในสิ่งที่ดีกว่า ก็คือพระนิพพาน

แรก ๆ เราก็ใช้หนีกิเลสก่อน เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยใส่เกราะไว้ ก็คือ ใช้รูปฌานและอรูปฌานนี่แหละ เป็นเกราะในการป้องกันตัวเอง หลังจากที่มีความชำนาญมากขึ้น เราสามารถที่จะพลิกแพลงใช้ได้ตามใจปรารถนาแล้ว เราก็สามารถที่จะเอากำลังตรงนี้ มาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส เพื่อการล่วงพ้นอย่างแท้จริง

ถาม : ต้องรอเวลาที่เหมาะสม จึงจะพลิกจากดีเป็น..?
ตอบ : ใช่..แต่ถ้าเราขาดสติเมื่อไร ก็จะกลายเป็นยึดติดแล้วกลายเป็นรูปราคะ อรูปราคะ ในสังโยชน์ไปทันที

ถาม : แต่ถ้าเรามัวเพลินกับการมุดอยู่แต่ในนั้น
ตอบ : โผล่ออกมาเสียบ้าง โดนกิเลสตีให้หัวร้างคางแตก รักษาแผลบ่อย ๆ เดี๋ยวก็จะชำนาญไปเอง

ถาม : แต่การปฏิบัติก็ต้องรอให้ทาน ศีล ภาวนา เกิดกำลังพอจึงจะมีกำลังในการตัดกิเลส การที่เราจมอยู่ในอรูปฌานก็คือการสั่งสมกำลังของเราไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นการสั่งสมกำลังก็ใช่ แต่ขณะเดียวกัน เราอาจจะเพลิดเพลินจนติดอยู่กับฌานนั้นเลยก็ได้

ถาม : มีข้อเสียอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าเพลิดเพลินกับฌานก็จะติดอยู่แค่นั้น ไปต่อไม่ได้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่า จะต้องเกิดมาทุกข์เพราะการติดอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไร

เถรี 23-01-2011 13:34

ถาม : แต่ก็เป็นการสั่งสมกำลังไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน
ตอบ : ไม่เถียงเลยว่าเป็นการสั่งสมกำลัง แต่เราอาจจะสั่งสมเพลินเสียจนลืมเอามาใช้ เงินกองท่วมบ้านแต่ไม่ได้ใช้เงินเสียที แก่ตายกันพอดี..!

ถาม : แล้วการที่เราคอยระมัดระวังไม่ให้กิเลส ตัณหา ราคะเข้ามาเกาะกินใจเรา เป็นการทรงฌานไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ใช่..พอทำไปจนชินก็จะเป็นฌานไปเอง

ถาม : ก็อยู่ในกรอบของเราสิคะ ?
ตอบ : ถึงจะอยู่ในกรอบ แต่ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราต้องสมบูรณ์พร้อมถึงจะใช้ได้ ของเรายังอยู่ในระดับที่ต้องระมัดระวังจนตัวลีบ ทำอย่างไรที่จะเป็นไปโดยธรรมชาติที่เราไม่ต้องตั้งท่าให้เหนื่อย ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจึงจะพอเอาตัวรอดได้

ถาม : การที่เราเปิดใจให้กว้าง ไม่ได้อยู่ในรูปฌานหรืออรูปฌาน ทำให้ไม่มีตัวกั้น ก็หมิ่นเหม่ต่อการแพ้กิเลสมากเลยค่ะ
ตอบ : ก็ใครว่าไม่หมิ่นเหม่เล่า ? อย่างน้อย ๆ เราต้องมีศีลห้าเป็นกรอบ ไม่อย่างนั้นถ้าเราเปิดกว้างไปเรื่อย เดี๋ยวกลายเป็นรับเอาส่วนที่ไม่ดีเข้ามาแทน เรารับได้ แต่ถ้าเราเผลอคล้อยตามเมื่อไรก็จะชั่วไปเลย

ถาม : จิตใจที่เปิดกว้าง จะทำให้รับสัมผัสกับสิ่งที่ละเอียดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ แต่อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านั้นมีทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าหากขาดสติปัญญา มีการไตร่ตรองไม่เพียงพอ อย่างที่เมื่อเช้ายกเรื่องมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ เราจะเห็นว่าแค่นิดเดียว จากเทพจะเป็นอสูรไปทันทีเลย เพราะฉะนั้น..อย่าไปเปิดกว้างส่งเดช ต้องเปิดกว้างด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

ถาม : แต่ก็เป็นสุขมากเลยนะคะ
ตอบ : เป็นปกติของผู้ทรงฌานที่จะเป็นสุข แต่เป็นสุขก็เป็นสุขไป ติดสุขเมื่อไรก็ติดอยู่แค่นั้นเอง ต้องสักแต่รับรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร อันนี้เป็นเวทนาในเวทนา รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ เราเป็นคนดูสักแต่ว่ารู้เฉย ๆ อย่าลงไปเป็นคนเล่นด้วยการมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะพลาด ให้กิเลสเขาหลอกต้มเปื่อยไปอีกหลายชาติ

บนเส้นทางวัฏสงสารที่ยาวนานไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายนี้ เราโดนมารหลอกมาจนนับครั้งและนับชาติไม่ถ้วน พลาดแล้วพลาดอีก เพราะฉะนั้น..ในเมื่อตอนนี้เรารู้อยู่ว่า เราหมิ่นเหม่ เหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นลวดข้ามขอบเหวอย่างไร เรายิ่งต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะว่าถ้าพลาดไปที โอกาสที่เราจะแก้ตัวใหม่ก็อีกนานเหลือเกิน

เถรี 23-01-2011 13:38

ถาม : แต่ในการรับรู้ความละเอียดอ่อนของใครบางคน บางอย่างที่ซึ้ง ทำให้เรารู้สึกซึ้งตามไปด้วย
ตอบ : เรากำลังยินดียินร้ายตามเขาไป..ใช่ไหม ?

ถาม : เป็นการว่า รู้ความทุกข์ของเขาอยู่ในระดับไหน
ตอบ : แล้วอย่างไร ? ถ้าเรายินดียินร้ายตามเขาเมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น ต้องสักแต่ว่ารับรู้ สิ่งไหนสามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือ สามารถแก้ไขได้ก็แก้ไขไปตามสภาพ พ้นจากนั้นไปแล้วก็แล้วกันไป

ถาม : แล้วเราต้องทนรับรู้
ตอบ : ขั้นแรก ๆ เราต้องทนรับรู้ เพราะเราไปแบกแทนเขาเสียเต็ม ๆ แต่ถ้าเราสามารถสักแต่ว่ารับรู้ได้ ก็จะรับรู้แล้วปล่อยวาง รับรู้แล้วปล่อยวาง จะไม่มีส่วนใดที่มากระทบกระทั่งเราได้เลย

ถาม : ถ้าเรารับรู้ความทุกข์ของเขาแล้วสงสาร อย่างนี้กระทบกระทั่งไหมคะ ?
ตอบ : ยิ่งติดหนักเข้าไปอีก เพราะถึงเวลานั้นเราต้องตะเกียกตะกายไปช่วยเขาสุดชีวิต นั่นไม่ใช่สักแต่ว่ารับรู้และทำหน้าที่เฉพาะหน้าแล้ว แต่เป็นการไปยุ่งเกี่ยวกฎแห่งกรรมของคนอื่นเขาแล้ว

ถาม : แบบนี้เราต้องไม่แตะเลย ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่แตะ..บอกแล้วว่าสงเคราะห์ไปตามสภาพการณ์เฉพาะหน้า พ้นจากนั้นไปแล้วก็แล้วกัน

ถาม : แบบนี้ทำอย่างไรเราจะถอยออกมาเร็วได้ทัน ?
ตอบ : ใส่ สติ สมาธิ ปัญญา ลงไปเยอะ ๆ

เถรี 23-01-2011 15:07

ถาม : สักแต่ว่ารับรู้ แล้วจะ..(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยังต้องทำต่อไปอีกจ้ะ ต้องสักแต่ว่ารับรู้ได้ทุกเรื่อง สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส ทำอย่างไรที่ใจเราจะไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นธรรมดา เป็นไปตามสภาพของธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
แต่ถ้าเราไปเผลอปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไร ก็จะเกิดทุกข์เกิดโทษทันที และตัวเราเองนั้นแหละ ที่จะไปติดอยู่ในวังวนแล้วแกะตัวเองไม่ออก

แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ ตอนนี้เราคลำทางได้นิด ๆ จับได้เต็ม ๆ มือเมื่อไรก็อย่าปล่อยแล้วกัน

ถาม : สักแต่ว่ารับรู้ได้บางเวลา
ตอบ : ต้องให้ได้อย่างนั้นก่อน แล้วเราจำอารมณ์นั้นเอาไว้ พอจำอารมณ์นั้นเอาไว้ ถึงเวลาเราก็พยายามเข้าถึงอารมณ์นั้นให้ได้อีก แล้วจะทำได้มากขึ้น นานขึ้นเรื่อย ๆ นักปฏิบัติจึงต้องมีการฝึกซ้อมบ่อย ๆ

เถรี 23-01-2011 15:13

ถาม : อย่างการที่เรารับรู้ แล้วไปหยุดนิ่งเหมือนเราใช้ฌานกดเพื่อให้หยุด นั่นยังไม่ใช่สติใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่สติที่แท้จริง ยังเป็นการใช้ฌานเป็นกำลังในการสะกัดกั้นอยู่ ยังไม่ใช่ปัญญาในการปล่อยวาง ถ้าเป็นปัญญาปล่อยวาง เราก็ไม่ต้องออกแรงแล้ว อย่าลืมว่า สติ สมาธิ ปัญญา ต้องทำงานพร้อม ๆ กัน การปฏิบัติธรรมถึงจะเจริญ

ถาม : ยังรู้สึกหนัก ๆ อยู่
ตอบ : ต้องมีปัญญาปล่อยวาง กิเลสก็เหมือนกับภูเขาถล่มลงมาตรงหน้า อย่าดันทะลึ่งเดินเข้าไปรับเอาไว้ แค่ยืนมองเท่านั้น อยากถล่มก็ถล่มลงมา ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย

แต่ปัจจุบันของเรายังต้องใช้กำลังไปดันไปต้านเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็โดนทับตาย ไม่เป็นไร..พยายามยุ่งกับกรรมคนอื่นเขาให้เยอะไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะจะได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน..!

ถาม : การที่เราเห็นเขาทำบุญ เราก็ทราบว่าการทำบุญเกิดจากจิตที่เจตนาดี เราก็โมทนากับเขา ทำให้เราชุ่มชื่นใจไปด้วยกับการโมทนา อันนี้เข้ากับพรหมวิหาร ๔ หรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นมุทิตาในพรหมวิหารสี่ แต่ก็ยังติดในส่วนที่ดีอยู่ แต่ให้ติดดีไว้ก่อน เพราะเราจะต้องสั่งสมดีจนถึงที่สุด จึงจะพ้นดีได้

เราจมอยู่ในบ่อ ก็ต้องค่อย ๆ ถมบ่อให้สูงขึ้น จนในที่สุดเราก็ปีนพ้นปากบ่อขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของการที่เราติดดีเหมือนกัน ก็คือการที่เราสั่งสมความดีมากขึ้น ๆ ในที่สุดเราก็ก้าวพ้นความดีไปได้

เหตุที่เราต้องสั่งสมความดีละความชั่ว เพราะว่าความชั่วมีแต่จะนำทุกข์นำโทษให้เราอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องละชั่วทำดี ละชั่วทำดีไปเรื่อย จนกระทั่งท้ายสุดหลุมก็ตื้นขึ้น พอที่จะให้เราก้าวพ้นไปได้ก็จบ ไม่อย่างนั้นเราก็ยังจมอยู่ในหลุมตลอดเวลา

ถาม : อย่างนั้นพรหมวิหาร ๔ เราก็ต้องทำให้ถึงอุเบกขาทุกครั้งเลยหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ทำให้ถึง แล้วจะมีอุเบกขาไว้ทำอะไรเล่า..!

ถาม : เราโมทนาแล้วเราจะไปอุเบกขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : โมทนาไปแบบฉันยินดีด้วยนะ ถ้ามีโอกาสฉันก็จะทำ แต่ถ้าไม่มีโอกาส เธอทำไปเถอะ ฉันจะคอยโมทนาอีก..!

ไม่ต้องดิ้นรนที่จะไปทำเองให้ได้ ถ้ามีโอกาสเราก็ทำ ทำด้วยความไม่ประมาท ทำด้วยความที่โลกสรรเสริญว่าสิ่งนี้ดีเราจึงทำ งดเว้นการกระทำที่โลกเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ดี ก็เท่านี้แหละ

เถรี 23-01-2011 15:18

ถาม : บางทีเราก็เสียสละทำเพื่อส่วนรวม แต่คนรอบข้างเขาไม่เห็นบุญคุณเรา และเขาก็ว่าเราเสีย ๆ หาย ๆ ?
ตอบ : ทำไมคุณจะต้องไปสนใจด้วย..! ก็บอกแล้วว่า ให้ทำดีเพราะอยากทำ ไม่ใช่ทำดีเพราะอยากดี คนอื่นจะว่าอะไรก็ช่างเขา เราก็ทำของเราไป

เถรี 23-01-2011 15:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีที่ผ่านทางวัดท่าขนุนมามีรายรับ ๑๘ ล้านบาทเศษ จ่ายไป ๒๑ ล้านบาทเศษ ติดลบเกือบสี่ล้าน..! เป็นหนี้เฉพาะที่วัดที่เดียว ถ้าที่บ้านวิริยบารมีรายรับแทบจะไม่มี มีแต่รายจ่าย ๓๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมค่าที่ดิน ๒๔๐ ตารางวาด้วย

เหตุที่ราคาแพงมาก เพราะถ้าสถานีรถไฟฟ้าไปถึง จะลงปากซอยบ้านวิริยบารมีพอดี ที่ดินก็เลยค่อนข้างจะแพงมาก แต่ค่าก่อสร้างตอนแรกเขาตีเอาไว้ที่ ๑๖ ล้านบาท พอมาตอนหลังวัสดุขึ้นราคา

ช่วงที่ไปเลือกวัสดุเกี่ยวกับระบบเสียงและไฟฟ้าต่าง ๆ เขาขอเพิ่มราคาขึ้นมา กลายเป็นว่าราคา ณ ปัจจุบันนี้ ๓๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท เอาไว้มีโอกาสจะออกวัตถุมงคลสักชุดหนึ่ง ให้พวกเราเป็นเจ้าภาพสร้าง ทำบ้านให้เสร็จก่อน ทำเสร็จแล้วพวกเราค่อยออกเงินช่วยกันสร้าง จะได้เห็นชัด ๆ ว่านี่บ้านเรา"

เถรี 23-01-2011 15:29

"ตอนแรกพระท่านสั่งให้สร้างพระชัยวัฒน์รุ่นหนึ่ง เอาเข้าพิธีเสาร์ห้าไปเรียบร้อยแล้ว ท่านบอกว่า เตรียมไว้สำหรับงานฉลอง อาตมาก็สงสัยว่างานฉลองอะไร นึกไปนึกมา ตัวเราเองจะสอบพระอุปัชฌาย์ปีนี้ น่าจะเป็นการฉลองพระอุปัชฌาย์ ปรากฏว่าไม่ใช่ กลายเป็นงานฉลองบ้านวิริยบารมี

เมื่อคืนมีโทรศัพท์เข้ามา ๗ - ๘ สาย ตอนเช้าเปิดดูกลายเป็น ทางอำเภอ ทางจังหวัด และทางเลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ แจ้งว่าอาตมาไม่ต้องไปสอบพระอุปัชฌาย์แล้ว เพราะเขาพิจารณาขั้นสุดท้ายเมื่อคืนนี้แล้วไม่ให้ผ่าน เราอุตส่าห์สอบมาสองชั้นแล้ว ทำไมชั้น ๓ - ๔ ไม่ให้ผ่าน

เขาบอกว่า ผลงานของพระอุปัชฌาย์ที่เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้น ต้องทำอยู่ในวัดของตน แต่เราดันมาสอนที่นี่ (ที่บ้านอนุสาวรีย์) มากกว่า จึงไม่ถูกต้องตามกติกาของเขา ไม่เป็นไร..เดี๋ยววันไหนได้เป็นเจ้าคณะตำบล ก็ต้องเป็นพระอุปัชฌาย์อยู่ดี ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้นเลย

คนที่หงุดหงิดที่สุด คือ เลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านเจ้าคุณไพบูลย์ (พระราชปริยัติโมลี) เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนปริญญาโทอยู่ด้วยกัน ท่านว่า "ไอ้ห่...กติกาอย่างนี้ก็มีด้วย..!"

ส่วนท่านเจ้าคุณปัญญา (พระราชวิสุทธิเมธี) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีท่านบอกว่า "ผมได้ความรู้ใหม่เลยว่า ผลงานต้องทำเฉพาะในวัดของตัวเองเท่านั้น แล้วจะไปเผยแผ่พระศาสนาให้กว้างขวางได้อย่างไร ?" ไปที่อื่นเขาไม่นับเป็นผลงาน ก็แปลกดี..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าของเราเป็นสุดยอดอัจฉริยมนุษย์ พระองค์ท่านบอกว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ก็ไม่มีอะไรเที่ยงจริง ๆ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง กินข้าวในกะละมังยังหกได้..!"

เถรี 23-01-2011 15:37

"แต่ก็ดีตรงที่ว่า เราได้วัดกำลังใจของตัวเองว่า ยังหวั่นไหวอยู่หรือเปล่า ? เรื่องของโลกธรรมแปดนั้น พาให้ทั้งหวั่นทั้งไหวเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่อให้คุณหนักแน่นขนาดไหนก็ตาม ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัวจริง ๆ ก็จะไหว ไหลตามเขาไปจนได้ ส่วนการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ คนจะหวั่นอยู่ตลอดเวลา ว่าจะมาถึงตัวเมื่อไร เพราะฉะนั้น..จึงทั้งหวั่นทั้งไหวเลย

ฉะนั้น..บุคคลที่ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จึงเป็นบุคคลที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญมาก ตอนท้ายของมงคลสูตร พระองค์ท่านตรัสว่า ผุฎฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตที่กระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นสุดยอดของอุดมมงคล ประโยคนี้อาตมาเขียนติดสมุดบันทึกตัวเองมาหลายปีเลย

สมัยก่อนเป็นคนที่ชอบเขียนบันทึกมาก ติดนิสัยเขียนบันทึกประจำทุกวันเพื่อเป็นการตรวจสอบตัวเองว่า เรามีอะไรก้าวหน้าหรือถอยหลังในการปฏิบัติบ้าง ถ้าเราไม่บันทึกเอาไว้ เราจะไม่รู้ถึงความก้าวหน้าของตัวเอง หรือถึงจะรู้แต่ก็ไม่ละเอียด

ในเมื่อบันทึกเอาไว้ ก็จะต้องมีคำพูดที่คอยสะกิดเตือนใจตัวเองเอาไว้ สมุดเล่มแรก ๆ จะเขียนเอาไว้ว่า "จงอย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปวัดคนอื่น" คือคนเรากำลังใจไม่เท่ากันหรอก ดีก็ไม่เท่ากัน ชั่วก็ไม่เท่ากัน เราจะเอาตัวเราเองเป็นบรรทัดฐานไปวัดคนอื่นเขาไม่ได้

พอถัด ๆ มาก็กลายเป็น "จงอย่าให้กาย วาจา ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นเขาเลย" การที่เราจะคิด เราจะพูด เราจะทำ อย่างไร อย่าให้เกิดโทษและเดือดร้อนแก่คนอื่นเขา แล้วถึงมาเป็นบาลีที่ว่า "
ผุฎฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ แปลว่า จิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว"

ตอนนั้นเขียนพาดหน้าสมุดบันทึกเอาไว้ว่า นี่แหละเป้าหมายที่เราต้องไปให้ถึง ทำอย่างไรจะให้จิตกระทบกับโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เอตัมมังคะละมุตตัมมัง สุดยอดของความเป็นมงคล"

เถรี 23-01-2011 15:38

ถาม : ไม่หวั่นไหว คือ เราไม่สะดุดกับโลกธรรมเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่ยินดีไม่ยินร้ายด้วย สามารถวางอารมณ์ใจให้เป็นกลางได้ ได้มาก็รับเอาไว้ ไม่ได้มาก็ไม่ไปดิ้นรนไขว่คว้า เสียไปก็ไม่สะดุ้งหวั่นไหว

เถรี 23-01-2011 15:48

ถาม : ตอนนี้ผมก็ปฏิบัติธรรมมาได้พอสมควรแล้ว จิตก็เริ่มขี้เกียจ เราจะกำราบกิเลสอย่างไรดี ?
ตอบ : แสดงว่าจวนจะแย่แล้ว ต้องไปฝึกมรณานุสติ ให้รู้สึกอยู่เสมอว่า ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าตายตอนนี้กำลังใจเรายังไม่ดี เราต้องลงอบายภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากลงอบายภูมิ ก็จงขี้เกียจต่อไป บอกกับตัวเองให้ชัด ๆ อย่างนี้ไปเลย

เอามรณานุสติเป็นเกณฑ์ ทำตัวเป็นคนมีวันนี้เป็นวันสุดท้าย ถ้าวันสุดท้ายไม่ทุ่มเท ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอดหรือไม่

ถาม : ถ้าขี้เกียจในมรณานุสติ ?
ตอบ : ถ้าขี้เกียจในมรณานุสติก็ต้องขี้เกียจหายใจด้วย..! วันก่อนมีโยมบอกว่า เบื่อแล้วอยากฆ่าตัวตาย อาตมาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ฆ่าตัวตายตามแบบพระพุทธเจ้า ก็คือ ฝึกฌานสี่ละเอียดให้ได้ เข้าฌานสี่ไปแล้ว พอคลายออกมาแล้วอย่าหายใจ ก็จะตายเอง แล้วตายแบบนั้นเราเลือกได้ด้วยว่าเราจะไปไหน

ฉะนั้น..วิธีฆ่าตัวตายแบบพระพุทธเจ้าสุดยอดมากเลย สมควรที่ทุกคนจะเลียนแบบ ก็คือ ถ้าหายใจจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ถ้าเราคลายจากฌานสี่ออกมาแล้วไม่หายใจ ก็จะไปเลย อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า บุคคลที่คล่องในอานาปานสติ สามารถที่จะกำหนดเวลาตายของตัวเองได้

เถรี 23-01-2011 16:00

อย่างในธรรมบท ที่ลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า จะรู้เวลาตายได้อย่างไร ? พระอาจารย์จึงขีดเส้นเอาไว้ บอกว่า "ถ้าฉันเดินจงกรมครบรอบ มาเหยียบเส้นนี้เมื่อไร ฉันก็จะตาย" ลูกศิษย์ก็รอดู พอพระอาจารย์เดินจงกรมจนครบรอบ เหยียบเส้นก็มรณภาพในท่ายืนทันทีเลย เพราะท่านเข้าฌานแล้วทิ้งไปเลย ถ้าไม่หายใจเสียอย่าง จะไปอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องตาย

เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะกำหนดเวลาตายได้ชัดเจน อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านบอกว่า เวลาหกโมงเย็นท่านจะไป หลวงพ่อกับเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันสวดอิติปิโสถวายท่าน

ตอนแรกหลวงปู่ท่านให้จุดธูปแขกที่มีกลิ่นหอม ๆ เพื่อที่จะได้กลิ่นแล้วจิตระลึกว่านี่เป็นการบูชาพระรัตนตรัย จิตของท่านจะได้เกาะพระและการฟังสวดอิติปิโส ทำให้น้อมใจเกาะในคุณพระรัตนตรัยไว้ พอถึงเวลาสวดเสร็จ หลวงปู่ถามว่ากี่โมงแล้ว หลวงพ่อฤๅษีกราบเรียนว่าหกโมงแล้ว หลวงปู่ปานก็ชีพจรดับไปทันทีเลย

ปกติชีพจรมือและเท้าจะดับไม่พร้อมกัน แต่ลักษณะของผู้ทรงฌานจะตัดดับไปเลย หยุดก็คือหยุดพร้อมกันไปเลย

ถาม : ยังไม่ถึงฆาตก็ไปได้หรือคะ ?
ตอบ : ท่านถึงฆาตแล้ว รู้ด้วยว่าท่านเองจะต้องไปตอนไหน

ถาม : แล้วถ้ายังไม่ถึงฆาต แล้วฆ่าตัวตายไปแบบนั้น ?
ตอบ : ทำได้ เราไปก็เป็นสัมภเวสีไปก่อน แต่เป็นสัมภเวสีชั้นดี เพราะออกไปด้วยกำลังของฌาน แบบเดียวกับประวัติของท้าวมหาพรหมชินปัญชระ ที่ผู้หญิงเห็นท่านรูปร่างถูกใจมาก กระโดดกอดท่าน ท่านก็เลยทิ้งร่างไปเลย นี่ว่าตามประวัติของท่านนะ..ท่านจึงไปเกิดเป็นพรหม เพราะท่านไปด้วยกำลังฌาน

ถาม : เทียบกับสัมภเวสี..?
ตอบ : ก็แค่รอให้หมดอายุมนุษย์ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นสบายจะตาย เพราะออกไปด้วยกำลังของฌานสมาบัติ มีความสุขเท่ากับพรหม เวลาของมนุษย์แค่ครู่เดียว ทำไมจะรอไม่ได้

เถรี 24-01-2011 00:05

ถาม : แล้วพระราหุลที่ไปนิพพานที่ชั้นดาวดึงส์ จินตนาการไม่ออกเลยค่ะว่าเป็นอย่างไร ?
ตอบ : จะไปจินตนาการทำอะไร ? เป็นปลาแล้วไปจินตนาการว่านกบินขึ้นฟ้าอย่างไร คิดออกก็แปลกแล้ว..! ไม่ต้องถึงพระอรหันต์อย่างพระราหุลหรอก แค่ท่านอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบส ถ้าเราอ่านพุทธประวัติก็จะรู้ว่า ท่านเป็นคนแรกที่ไปเยี่ยมเจ้าชายสิทธัตถะที่เพิ่งประสูติ

ตอนนั้นท่านอสิตดาบสขึ้นไปนอนพักที่ดาวดึงส์ เทวดานางฟ้าท่านรื่นเริงบันเทิงใจ ทั้งโห่ทั้งแห่ เสียงกลองทิพย์บันลือลั่นไปสามโลก ท่านอสิตดาบสก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น พอถามเขาก็บอกว่า พระมหาโพธิสัตว์ประสูติแล้ว ท่านจึงรีบลงมากราบเยี่ยม

อย่างพระราหุลท่านนิพพาน ท่านก็ไม่ได้ทิ้งสังขารไว้ให้พรหมเทวดาต้องจัดการ ท่านอธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง เหลือแต่พระสารีริกธาตุ ให้เขาเก็บไปบรรจุในพระเจดีย์ไว้บูชา

ถาม : ไปดาวดึงส์ ก็คือไปแบบอภิญญาใหญ่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..ไปแบบเอาร่างกายนี้ไปทั้งตัวเลย

ถาม : แล้วจะอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าเป็นปลาแล้วอยากจะไปรู้เรื่องนก..! อภิญญาใหญ่เสียอย่างจะไปไหนก็ไปได้ จะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จะอยู่ในอวกาศ อยู่ในทะเลก็ไม่เดือดร้อน นึกอยากจะหายใจก็มีอากาศให้หายใจ นึกจะกินก็ไม่ต้องกิน แค่ดึงเอาธาตุสี่รอบข้างมาทดแทนให้ร่างกายก็พอแล้ว

เถรี 24-01-2011 00:13

พระอาจารย์กล่าวถึงการบวชเนกขัมมะให้ฟังว่า "ในการปฏิบัติวันแรก ๆ เราจะโดนตีกรอบด้วยศีล ๘ และระเบียบวินัย ก็คือต้องทำอะไรตามเวลาแล้วยังต้องงดข้าวเย็นอีก ก็จะเกิดอาการหงุดหงิดกลัดกลุ้มเป็นปกติ นอกจากนี้เรายังไม่เคยชินกับการที่ต้องไป ยกหนอ..ย่างหนอ..เหยียบหนอ..อีก ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

ดังนั้น..วันแรก ๆ ก็จะหงุดหงิด พระวิปัสสนาจารย์ท่านมักจะใช้คำว่า สภาวธรรมเกิดขึ้น จนถึงขนาดมีคนเขาบอกว่า “วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ”

วิปัสสนาขี้โกรธ ก็คือ คนที่มาปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะอย่างนี้ พอถึงเวลาแล้วจะเกิดปฏิฆะ กระทบกระทั่งกับคนอื่นง่าย เพราะอยู่ ๆ ก็มาโดนตีกรอบ จากที่เคยทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้ กิเลสก็เริ่มอาละวาด แต่ว่าไม่ใช่แค่ขี้โกรธเฉย ๆ นะ รัก โลภ โกรธ หลง มาครบทุกตัวเลย

อย่างที่ฝรั่งหลายรายเขาบอกว่า "ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณเป็นคนเซ็กส์จัดขนาดไหน ให้ไปลองฝึก meditation ก็คือฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน" เพราะว่าแรก ๆ ของการฝึก ด้วยความที่จิตโดนบังคับให้อยู่กับที่ ก็จะดิ้นไปหาสิ่งที่เคยชิน แล้วฝรั่งเขาฟรีเซ็กส์เป็นปกติ ก็จะดิ้นไปหาเรื่องทางกามราคะอย่างเดียว

แต่ไม่ใช่กิเลสจะมาตัวเดียวนะ รัก โลภ โกรธ หลง จะมีมาครบทุกตัว เพียงแต่ว่าตัวไหนที่จะเด่น ในเมื่อโดนตีกรอบ กิเลสก็จะมุดหนีไปในช่องที่เคยไป จะดิ้นเต็มที่เลย..!

ดังนั้น..เราทุกคนจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการปฏิบัติ ถ้าหากว่ากำลังใจยังไม่ทรงตัวชนิดที่ว่า ตั้งใจเมื่อไรสามารถที่จะทรงฌานได้เลยทันที อย่างไรเสียกิเลสก็จะต้องโผล่มาแน่นอน ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่ง"

เถรี 24-01-2011 00:19

"สันโดษขี้ขอ เป็นนิสัยเฉพาะคน แหม..เราเองเป็นผู้สละแล้วซึ่งกิเลส แต่ว่าโยม..วัดยังไม่มีอย่างนั้น โยม..วัดยังขาดอย่างนี้ โยม..วัดต้องการสร้างอย่างโน้น กลายเป็นสภาพที่ควรที่จะต้องยินดีตามมีตามได้ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เที่ยวขอเขาดะไปหมด

แต่จริง ๆ แล้ว สันโดษ ไม่ใช่ว่าไม่เอาอะไรเลยนะ เพราะว่าสันโดษนั้น พระพุทธเจ้าทรงแยกออกว่ามี ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ได้แค่ไหน พอใจแค่นั้น ไม่ไปดิ้นรนให้มากกว่านั้น

ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ จะได้เป็นพันล้าน หมื่นล้าน ก็พอใจแค่นั้น เพราะฉะนั้น..สันโดษไม่ใช่จนนะ สันโดษก็รวยได้

และท้ายสุด ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ในเมื่อคุณรวย คุณจะขี่เบนซ์ ขี่บีเอ็ม ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

ดังนั้น..อย่าไปเข้าใจผิดว่า สันโดษจะต้องจน อย่างที่ในหลวงทรงตรัสว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่าต้องจน แต่เศรษฐกิจพอเพียง คือ ให้ตัวเองพอกินพอใช้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดถึงเรื่องการค้าขาย ถ้ามีเหลือมากก็รวยได้ ไม่ใช่ว่าพอเพียงแล้วต้องเอานิดเดียว

ส่วนอุเบกขาบ้ายอ คือ บุคคลที่กำลังใจยังไม่เป็นอุเบกขาจริง ๆ ยังวางไม่ได้จริง ๆ ถึงเวลาคนนั้นชมนิด คนนี้ชมหน่อย ก้นเราก็ค่อย ๆ กระดกโดยไม่รู้ตัว คือ ตัวลอย

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้ยินประโยคนี้ขึ้นมา ต้องตีความให้ถูกนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโกรธกันตาย เขาบอกว่า วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ ถ้าเราได้ยินแล้วไปโกรธไฟแลบ ก็จะกลายเป็นนักปฏิบัติขี้โกรธจริง ๆ"

เถรี 24-01-2011 00:24

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดเขาตามะยะ เมืองพะอาง ประเทศพม่า ทหารพม่าทั้งกองร้อยเอารถยีเอ็มซีวิ่งเข้ามาตึงตังไปทั้งวัด

ทหารบอกว่า "หลวงพ่อ เจ้านายให้มานิมนต์ไป"
ท่านบอกว่า "กูไม่ไปกับมึงหรอก"

"เขาให้บังคับนะหลวงพ่อ"
"แล้วมึงจะเอาอะไรมาบังคับกู ?"

"พวกผมมีปืนนะหลวงพ่อ..!"
"ปืนมึงไม่มีลูก กูไม่กลัวหรอก..!"

ผลปรากฏว่า ทหารทั้งกองร้อยปืนมีแต่เหลือซองกระสุนเปล่า ๆ ไม่มีลูกปืนเหลือสักนัดเดียว..!" ท่านแน่จริง ๆ แล้วแบบนั้นจะไม่ให้รัฐบาลพม่ากลัวได้อย่างไร พวกเขากลัวหลวงพ่อท่านพาชาวบ้านไปปฏิวัติ..!

เถรี 24-01-2011 00:31

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "นครปฐมโมเดล เกิดจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนเริ่มต้นขึ้นมา รับนักเรียนโดยอาศัยเกณฑ์ความดี นับเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสอบเข้า

หลังจากเวลาผ่านไป ๔ ปี การที่เขาใช้เกณฑ์ความดีในการรับเด็ก โดยอาศัยคะแนนความดีเป็นส่วนประกอบ เด็กรุ่นนั้นเริ่มจบแล้ว แม้กระทั่งรุ่นหลังที่ตามมา ก็มีความประพฤติออกไปอยู่ในแนวที่เรียกว่าดีโดยธรรมชาติ กลายเป็นว่า มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และวิทยาเขตอื่น ๆ พยายามที่จะเลียนแบบบ้าง

บางคนสงสัยว่า จะเอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด ? บรรดาเด็ก ๆ ถ้าหากว่าสอบธรรมศึกษาได้ หรือว่าเคยไปปฏิบัติธรรมตามวาระต่าง ๆ แล้วได้วุฒิบัตรมา ถ้าต่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สามารถใช้วุฒิบัตรนี้เป็นตัวประกอบในการสอบเข้าได้

ดังนั้น..เด็กรุ่นหลัง ๆ จะได้เปรียบมาก ไปปฏิบัติธรรมแล้วเขาแจกวุฒิบัตร ก็สามารถนำมาใช้งานจริงได้

จริง ๆ แล้วมหาวิทยาลัยเกษตรฯ น่าจะเริ่มที่เกษตรฯ บางเขน แต่ไปเริ่มที่วิทยาเขตกำแพงแสนก่อน แสดงว่าผู้บริหารของที่นั่นเขามีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลมาก ตอนที่เขาทดลองไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จ ปรากฏว่า ๔ ปีผ่านไป ได้ผลดีจริง ๆ

จะเห็นได้ว่าเด็กของ ม.เกษตร มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าปกติ มีความรักใคร่สามัคคีกัน ทั้งในหมู่คณะและต่างคณะ มีการประสานงานกัน หนุนเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยเหลืองานกันโดยไม่ต้องให้อาจารย์มาเคี่ยวเข็ญบอกกล่าว เป็นไปโดยธรรมชาติเลย"

ถาม : ผู้บริหารเขากล้ามากเลยนะคะ
ตอบ : กล้ามาก เพราะว่าการวัดคะแนนด้วยเกณฑ์ความดีนั้นวัดยาก สัมภาษณ์ก็หลอกกันได้..ใช่ไหม ? แรก ๆ เขาใช้วิธีสัมภาษณ์ อย่างเช่นว่า คุณเคยทำบุญใส่บาตรไหม ? ใส่บาตรประจำที่หน้าบ้านหรือเปล่า ? ได้ใส่บาตรแล้วคุณรู้สึกอย่างไร ? วันพระได้เข้าวัดบ้างไหม ? เข้าไปแล้วทำอะไรกันบ้าง ? เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดไหนมาบ้าง ? หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนคุณว่าอย่างไร ? เขาจะสัมภาษณ์ไปเรื่อย จนสามารถที่จะสรุปออกมาได้ว่า เด็กคนนั้นทำจริงหรือเปล่า ?

แต่มาระยะหลัง เขาใช้วิธีดูประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรเป็นเกณฑ์ แต่คิดว่าการสัมภาษณ์น่าจะได้ผลดีกว่า เพราะถ้าเด็กไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติอยู่ จะตอบคำถามของเขาไม่ถูก

เถรี 24-01-2011 00:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเพื่อพระศาสนา ทำตรงจุดไหนก็ได้ พอช่วย ๆ กันทำเข้าไป เวลาภาพรวมออกมา ก็คือความเจริญของพระพุทธศาสนาและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพุทธศาสนิกชน

เราลองดูวัดโจคัง ของทิเบต เขาหุ้มหลังคาด้วยทองคำ เราต้องมานึกดูว่า ถ้าทั้งประเทศไทยของเราระดมเงินลงไปวัดเดียว คงจะหุ้มทั้งวัดด้วยทองคำได้เหมือนกัน แต่ประเทศไทยไม่ใช่ว่าลงวัดเดียวอย่างของเขา

เขามีพระราชวังโปตาลา วัดเดรปุง วัดโจคัง แค่ไม่กี่วัดที่เขาถือว่าสำคัญ เขาก็จะระดมลงไปตรงนั้น แต่วัดของเรามีทั้งประเทศ ในเมื่อทั้งประเทศ จะให้ชัดเจนอย่างของเขาก็คงจะไม่ได้

แต่ถ้าทุกคนพร้อมใจกันทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีวัดแล้วเข้าวัดให้คุ้มกับที่สร้างวัดมา อย่างของพม่าเขา พม่าเขาจะสร้างวัดเล็กวัดน้อย เจดีย์เล็กเจดีย์น้อย จะอยู่ในป่าในดงขนาดไหน เขาก็มีคนไปกราบไหว้บูชาอยู่เสมอทุกวัน"

เถรี 24-01-2011 00:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่เป็นเนื้อเมฆสิทธิ์กับเนื้อเมฆพัตรจะปลอมได้ยาก เพราะยิ่งนานไป สีจะยิ่งจางลงไปเรื่อย เป็นการจางลงเองโดยธรรมชาติ เมฆพัตรจากที่เราเห็นค่อนข้างดำ ก็จะจางลงเป็นสีน้ำเงิน จนสีอ่อนเป็นสีน้ำเงินอมขาว ถ้าเป็นเมฆสิทธิ์จะจางลงเป็นสีเขียวแบบสีปีกแมลงทับ จนกระทั่งเป็นสีเขียวอ่อนอมเหลือง จะจางลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุของวัตถุมงคลที่นานขึ้น

เพราะฉะนั้น..ใครที่ทำปลอมขึ้นมา ต่อให้เหมือนขนาดไหน ก็จะดูออกว่าไม่ใช่ของเก่า เพราะเนื้อจะเป็นของใหม่ ก็ดีอยู่อย่างว่าเป็นของที่กันการปลอมได้ แต่เมฆสิทธิ์กับเมฆพัตรจะมีส่วนผสมของสังกะสีค่อนข้างมาก จะทำให้เนื้อพระกรอบ ถ้าเผลอทำตกหล่นใส่ของแข็งอย่างปูนซีเมนต์ เนื้อจะบิ่นหรือแตก

เนื้อเมฆพัตรจะผสมเงินมากกว่า ถ้าเป็นเมฆสิทธิ์จะผสมทองมากกว่า เมฆสิทธิ์สีจะออกเหลือบทอง เมฆพัตรสีจะออกเหลือบเงิน เดี๋ยวนี้สูตรโบราณเขาไม่ค่อยรู้กัน

อยากรู้ว่าบรรพบุรุษของเราเก่งแค่ไหน ให้ไปดูที่หน้ากระทรวงกลาโหม ปืนใหญ่โบราณตากแดดตากฝนมาเป็นร้อยปี จนป่านนี้ยังไม่มีผุเลย สนิมไม่ขึ้นอีกต่างหาก สเตนเลสยังไม่ได้ขนาดนี้เลย ไปตากแดดตากฝนแบบนั้น ถึงเป็นสเตนเลสก็สนิมขึ้นแน่นอน"

เถรี 24-01-2011 00:42

ถาม : ฝาแฝดทำบุญทำกรรมอะไรมาจึงเกิดเป็นฝาแฝด ?
ตอบ : มีหลายอย่างด้วยกัน บางทีก็อธิษฐานขอเกิดมาพร้อมกัน บางทีก็ทำบุญทำกรรมมาใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะทำเนื่องกันมากับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็เลยต้องมาเกิดด้วยกัน

แต่จะมีประเภทแฝดสยามที่ตัวติดกัน กรณีนั้นอธิษฐานผิด เขาไปอธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกัน ก็เลยเกิดมาตัวติดกัน คนอธิษฐานเขาไม่รอบคอบ รักกันมากจึงไม่อยากจะพรากจากกัน

ถาม : ถ้าไม่ถอนคำอธิษฐาน เกิดใหม่จะติดกันอีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็คงจะติดกันอีก เราจะสังเกตว่าพอผ่าตัดออกมาแล้วจะตาย เพราะว่าไปฝืนกรรม ฝืนคำอธิษฐาน

เถรี 24-01-2011 00:46

ถาม : ฝึกพระกรรมฐานในส่วนของพุทธานุสติ ระลึกถึงภาพพระ การจับภาพพระก็คือ ลืมตาให้เห็นภาพพระใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จ้ะ..แรก ๆ ก็หลับตานึกถึงไปก่อน พอคล่องตัวแล้วจะลืมตาหรือหลับตาก็นึกกำหนดภาพพระได้เหมือนกัน

ถาม : ธัมมานุสติให้ระลึกอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราจะเอาแบบง่าย ๆ เลย ก็คือ นึกถึงคัมภีร์พระธรรมก็ได้ แต่ถ้าเอาตามแบบที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสอนมา ท่านให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ ธรรมะที่พระองค์ท่านเทศน์ลอยลงมาเป็นดอกมะลิแก้ว ลอยลงมาเป็นสาย ๆ แล้วเราก็จับภาพนั้นแทน

อาตมาทดลองจับได้ครู่เดียว ก็กลายเป็นภาพสีทองแพรวพราวหมดทั้งองค์พระ ทั้งดอกมะลิ ก็คือ ถ้าเราทำอะไรได้สักกอง ที่เหลือก็จะง่ายแล้วจ้ะ แต่ถ้าเราทำไม่ได้สักกอง ก็จะยากทุกกอง

อาตมาเองมักจะฉวยโอกาสตอนหลวงพ่อเทศน์ วันพระที่หลวงพ่อท่านไม่ป่วย ท่านจะลงเทศน์เป็นประจำ อาตมาก็จับภาพพระ นึกภาพว่าหลวงพ่อมีพระพุทธเจ้าคลุมท่านอยู่ ตอนนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ผ่านองค์หลวงพ่อมา เสียงของท่านคือพระธรรม เป็นดอกมะลิแก้วลอยลงมา แล้วก็มีพานใหญ่อยู่ตรงข้างหน้า ดอกมะลิแก้วก็จะมารวมกันอยู่ในพานตรงหน้า จัดเป็นธัมมานุสติเต็มระดับจ้ะ

เถรี 24-01-2011 09:15

ถาม : ทำวิธีไหนจะให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมและโมทนาบุญ ?
ตอบ : เรื่องของเจ้ากรรมนายเวร สำคัญตรงที่ว่า เราไปสร้างเวรสร้างกรรมกับเขา ทำให้เขาอาฆาตจองเวรกับเรา โอกาสที่เขาจะอโหสิกรรมโดยเด็ดขาดทีเดียวจึงยาก มีอยู่ทางเดียว ไม่ว่าเราจะทำบุญเล็ก ทำบุญใหญ่ขนาดไหน ในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา อุทิศส่วนกุศลให้เขาประจำ ๆ และขอให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย พวกนี้เขาทนลูกตื๊อไม่ได้หรอก เดี๋ยวนาน ๆ ไปก็ใจอ่อน

โดยเฉพาะบุญจากสมาธิหรือบุญกรรมฐานจะเป็นบุญใหญ่มาก ให้เขาบ่อย ๆ แรก ๆ เขาอาจจะไม่ยอมอโหสิให้เลย หลังจากนั้นก็ลดลงไปทีละนิดทีละหน่อย ถึงเวลาก็หมดไปเอง อย่างอาตมาตอนแรกเจ็บไข้ได้ป่วย ตอนนี้เริ่มจะเบาบางลงไปเรื่อย เพราะนอกจากเราจะทำบุญทั่วไปแล้ว ยังปล่อยปลาให้เขาทุกเดือน

ปล่อยพวกวัว พวกปลา ปล่อยปลาเดือนหนึ่งก็สามสี่หมื่นบาท เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะในอดีตชาติเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขามานับไม่ถ้วน จึงต้องคืนชีวิตให้เขาไป เพราะฉะนั้น..การที่เราปล่อยปลาเดือนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราจะคืนให้เขาครบทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งที่เขาอโหสิให้ อาการป่วยที่เป็นหัววันท้ายวันก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย เพิ่งสองปีนี่แหละที่อาการดีขึ้น ไม่อย่างนั้นก่อนสองปีนี่ดูไม่ได้เลย

ต้องขยันทำ ขยันให้ ตื๊อไปเรื่อย ๆ ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก โบราณว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน

ถาม : ทำบุญแล้วอุทิศอิทังเมหรือคะ ?
ตอบ : อิทังเม ใช้สำหรับญาติของเรา อิทังเม ญาตินัง โหตุ แปลว่า จงสำเร็จแก่ญาติของเรา จะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรพูดภาษาไทยเลยจ้ะ บุญกุศลที่เราทำในครั้งนี้ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินท่านมา แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

เถรี 24-01-2011 09:22

ถาม : ให้แม่เขาพูดใช่ไหม ?
ตอบ : บอกแม่เขาว่า เราไปถวายสังฆทานมา ขอให้แม่โมทนา ขอให้แม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วย ต้องทำสองต่อ คือ เราทำให้แม่ แม่รับแล้วก็อุทิศต่อ

บางทีในเรื่องอุทิศส่วนกุศลแล้วกล่าวไม่ตรง หลวงพ่อเคยเจอมา เขาบอกให้อุทิศส่วนกุศลว่า อิมินา ปุญญะกัมเมนะฯ พอท่านบวชแล้ว วันหนึ่งนายนิรยบาลเขาพาผีมา ขอโมทนาบุญด้วย หลวงพ่อก็มัวแต่ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกาฯ ปรากฏว่านายนิรยบาลเขาลากผีไปแล้ว ไม่รอ..เพราะเขามีเวลาแค่นิดเดียวที่จะมาได้

มัวแต่ไปไล่ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกาฯ ไม่ถึงเขาเสียที มีเวลาไม่มากก็เลยต้องลากกลับไปก่อน พอตอนเช้าหลวงพ่อฉันเสร็จ หลวงปู่ปานถามว่า "เป็นอย่างไร ? พ่ออิมินาคล่อง มัวแต่ไปอิมินาอยู่ ผีมันจะได้แดกเรอะ..!"

หลวงพ่อก็เลยถามว่าควรจะทำอย่างไร หลวงปู่บอกว่า ให้ตั้งใจเลยว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะมีผลกับเราเพียงไรขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์สุขเท่าไร ขอให้เธอจงได้รับด้วย เขาสาธุก็ได้เลย มัวแต่ไปว่ายาว ๆ เดี๋ยวไม่ทันกิน

เถรี 24-01-2011 12:15

อาตมาเองก็เจอมาเหมือนกัน แต่ครั้งนั้นเป็นความโง่ของตัวเอง ปกติตอนเช้า ๆ จะฝึกซ้อมมโนมยิทธิ ใช้ทิพจักขุญาณดูนั่นดูนี่ ว่าวันนี้เราจะเจอใคร มีรูปร่างลักษณะอย่างไร ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน ดูไปเรื่อยเพื่อพิสูจน์ว่าจะตรงหรือไม่

ตอนช่วงเช้าก่อนออกบิณฑบาตจะดูว่าคนแรกที่ใส่คือใคร เขาใส่เสื้อผ้าสีอะไร เป็นผู้หญิงหรือชาย เสร็จแล้วก็ไปบิณฑบาต ตอนอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ต้องเดินขึ้นป่าขึ้นเขาไป ๕ กิโลเมตรเศษ กว่าจะไปถึงบ้านคน ไปถึงบ้านแรก ก็เห็นตรงกับที่เราดูไว้ก่อน

เวลาพระบิณฑบาต เขาให้มองแต่ในบาตร พอเปิดบาตรสำรวมก้มลงมอง ตอนนั้นความลับดันแตก ชุดเก่า ๆ ที่เขาใส่กลับไม่ใช่ชุดเดิม กลายเป็นชุดเหลือบทองเหลือบแก้วแวววับเลย เราก็ปิดบาตรโครม..! ถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? จะมาทำอะไร ? เขาบอกว่าเป็นนางไม้อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง อยากจะได้บุญก็เลยมาดักใส่บาตร

อาตมาก็มองดู เนื้อเขาคล้าย ๆ กับเนื้อเรา คือ เป็นเนื้อทึบ พวกเทวดาพรหมนี่ ถ้าบุญยิ่งมากเท่าไร เนื้อจะยิ่งใสมากเท่านั้น ถ้าใสเป็นประกายสว่างจ้าเลยก็เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ถ้าเป็นทั่วไปจะใสเหมือนแก้วใส

พอเห็นเนื้อเขาทึบ ๆ คล้ายเรา ก็รู้ว่าบุญเขาน้อยจริง ๆ จึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ถ้าเธออยากได้บุญ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอจงได้รับด้วย" แล้วเธอก็สาธุ กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปเลย..!

คราวนี้เราจะฉันอะไร เพราะเขาไปแล้ว..! เขาตั้งใจมาใส่บาตรเพื่อเอาบุญ ในเมื่อเขาได้แล้วเขาไม่ต้องใส่ก็ไปเลย ตั้งแต่นั้นมาอาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าเอ็งยังไม่ใส่ ข้าก็ไม่ให้..! เจออะไรครั้งแรกแล้วโง่ ต่อไปจะจำไปนานเลย

เถรี 24-01-2011 12:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาพุทธของศรีลังกาสืบสายต่อเนื่องกันมาได้เพราะคณะสงฆ์ไทยไปช่วยไว้ ตอนช่วงนั้นประเทศฮอลันดา โปรตุเกส ผลัดกันครองศรีลังกาประมาณสองร้อยกว่าปี ใครไม่ถือศาสนาคริสต์เขาจะไม่ให้ทำงาน กลายเป็นคนตกงาน จึงทำให้คนศรีลังกาต้องถือศาสนาคริสต์กันเกือบหมด

พระจึงค่อย ๆ สูญไป เหลือสามเณรอยู่รูปเดียว คือ สามเณรสรณังกร บวชมาสามสิบกว่าปี แต่เป็นได้แค่เณรเพราะไม่มีพระพอที่จะบวชให้ จึงไปทูลขอพระเจ้าแผ่นดิน ให้ส่งทูตมาขอพระจากพม่าไปบวชให้ ทางพม่าไม่ยอมส่งไป คงเห็นว่าอันตราย เพราะมีแต่คริสต์ทั้งประเทศ

เขาจึงขอมาทางอยุธยา ทางอยุธยาจึงส่งพระอุบาลีไปให้ จึงกลายเป็นสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้ ตอนนั้นพระอุบาลีบวชพระให้ครั้งเดียวจำนวน ๗๐๐-๘๐๐ รูป เพราะเขาอยากบวชกันมานาน แต่ไม่มีพระให้บวช รวมแล้วพระอุบาลีบวชพระให้ไป ๗,๐๐๐ กว่ารูป

พระอุบาลีท่านเป็นนักสู้จริง ๆ ตายคาสนามรบ ไม่ได้กลับเมืองไทย มรณภาพที่นั่นเลย พอสมณทูตรุ่นที่สองไปถึง พระอริยมุนีที่ไปด้วยกันท่านก็ได้กลับประเทศไทย แต่พระอุบาลีมรณภาพอยู่ที่ศรีลังกา ทุกวันนี้ก็ยังมีรูปเคารพของท่านอยู่ เขาเรียกว่า สยาโมปาลีวงศ์ ก็คือ สยามอุบาลีวงศ์

เขาสนธิแล้วแปลงอุเป็นโอ แทนที่จะเป็นสยามุ ก็เลยเป็นสยาโม"

เถรี 24-01-2011 12:23

ถาม : เวลาที่เราพิจารณาอะไรสักอย่าง พอพิจารณาบ่อย ๆ แล้ว มีความรู้สึกว่าจิตใจเริ่มคุ้นชิน จนตอนหลังไม่ต้องคิดมากแล้ว จิตก็ยอมรับ แต่ว่าพอห่างการพิจารณาไป กลับมาพิจารณาใหม่ ก็ยังต้องใช้เวลามากเหมือนเดิม
ตอบ : แสดงว่านั่นยังไม่ใช่ของเราจริง ๆ ต้องซ้อมบ่อย ๆ ทุกวัน ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ากันให้เบื่อไปข้างหนึ่ง

ถาม : พอถึงจุดที่ยอมรับ แล้วมันไม่ยอมคิดต่อ
ตอบ : ก็ใจยอมรับแล้วนี่ จะไปคิดต่อทำไม ?

ถาม : แต่พอห่างไปก็..
ตอบ : ภาษาลูกทุ่งเขาว่า ห่างมือห่างตีน ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่

ถาม : แบบนี้ถ้าซ้อมบ่อย ๆ ?
ตอบ : ต้องซ้อมจนกว่าจะเป็นของเราจริง ๆ แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วใจเชื่อเลย ไม่เถียงอีกแล้วถึงจะใช้ได้

เถรี 24-01-2011 12:27

ถาม : ผมนอนแล้วพอตื่นเช้ามา แล้วเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูก แล้วจะต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เห็นว่า ธรรมดาของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นอย่างนี้ แสดงว่า ในอดีตเราอาจจะเคยฝึกอสุภกรรมฐานเกี่ยวกับอัฐิกอสุภะมาก่อน ถึงเวลาพอสภาพจิตที่พักผ่อนเพียงพอ ไปลงช่องของอุปจารสมาธิพอดี ก็จะเห็นภาพเก่า ๆ ที่ตัวเองเคยทำได้

เราก็นึกถึงภาพนั้นว่า ท้ายสุดเราเองก็ต้องมีสภาพเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการมีสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าไม่ต้องการแล้ว เราควรจะไปไหน ? ถ้าหากเราไม่ต้องการ ก็ควรจะไปนิพพาน แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

ให้นึกถึงภาพนั้นไว้บ่อย ๆ ว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน จะได้ไม่ประมาท คิดอยู่อย่างนั้นเสมอว่า ตายแล้วก็เป็นอย่างนี้ ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้

ถาม : เหมือนกับให้ทรงภาพนี้ ?
ตอบ : นึกไว้เรื่อย ๆ อะไรที่เป็นของเก่าจะนึกง่าย พอหายไปก็นึกใหม่ นึกว่าสภาพร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนสักอย่าง คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ อยากได้ใคร่ดีไปก็ไม่มีประโยชน์ ท้ายสุดก็ตัดเข้านิพพานไปดีกว่า

มีของเก่าก็ได้เปรียบ จะทำอะไรง่ายกว่าคนอื่น เพราะลัดขั้นตอนได้ เหมือนกับคนมีเงินในกระเป๋า ถึงเวลาก็ล้วงมาใช้ได้เลย คนอื่นทำงานเหนื่อยเกือบตายกว่าจะได้เงินเดือนมาใช้อย่างเรา

เถรี 24-01-2011 12:28

ถาม : ยายคนหนึ่งเขาบอกว่า ให้ชวนญาติ ๆ เราในบ้านที่ตายไปแล้ว ให้ไปนิพพานไหว้พระ แล้วพวกคนตายสัมภเวสีที่ตายในซอย ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พรหมเทวดาแล้วไม่มีสิทธิ์ไปหรอกจ้แล้วการที่จะพาเขาไปได้ ตนเองต้องกำลังเพียงพอด้วย ถ้ากำลังของเราไม่พอ เราจะพาใครไปได้ ตัวเองยังไปไม่รอดเลย

แต่ไม่เป็นไร ถ้าเขาทำได้ เราก็ฝากเขาไปด้วยก็แล้วกัน

เถรี 24-01-2011 12:32

ถาม : ชายสามโบสถ์ ความหมายที่แท้จริงคืออะไร ?
ตอบ : ชายสามโบสถ์ หมายถึง บวชมาสามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ คนแบบนี้ก็คบไม่ได้แล้ว

ไม่ได้หมายถึงว่าบวชสามครั้ง เพราะท่านจิตตหัตถ์กับท่านนังคละบวชเป็นสิบครั้ง และท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ด้วย สามโบสถ์ก็หมายถึง โบสถ์คริสต์ โบสถ์พุทธ โบสถ์อิสลาม หรือโบสถ์ซิกข์ สามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ก็ปล่อยไปตามทางเขาเถอะ

เถรี 24-01-2011 12:34

ถาม : คนที่เขาอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมีย แล้วเขาจะไปนิพพานด้วยกัน เป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ยากหน่อย เกิดคนเดียว ตายคนเดียว ไปก็คนเดียว เพราะฉะนั้น..ประเภทกอดคอกันไปยังไม่มี มีแต่ประเภทกอดคอถ่วงกันอยู่ เลยไปไหนไม่รอดทั้งคู่..!

ถาม : อย่างอารมณ์ที่หึงหวง เป็นการยึดติดหรือเปล่า ?
ตอบ : ยึดติดร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ยึดแล้วจะหวงไปทำซากอะไรจ๊ะ ? แล้วหวงอย่างนั้นนะหรือจะไปนิพพาน ? ก็ได้แต่ติดอยู่แค่นั้น

ถาม : ถ้าเกิดจับได้ว่าเขามีกิ๊กละคะ ปล่อยให้เขามีกิ๊กไปหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เกิดกี่ชาติเขาก็ต้องมีกิ๊กให้เราทุกข์อยู่อย่างนั้น เราไปนิพพานของเราดีกว่า

เถรี 24-01-2011 14:43

พระอาจารย์เล่าว่า "ในมณิกัณฐชาดก พญานาคเห็นฤๅษีไปจำศีลอยู่ริมแม่น้ำ ด้วยความเลื่อมใสพญานาคจึงขึ้นมาหา แต่ขึ้นมาเป็นงูใหญ่ ฤๅษีเห็นก็กลัว พญานาคขึ้นทุกวัน จนฤๅษีกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ฤๅษีผู้เป็นพี่ชายมาเยี่ยมฤๅษีผู้เป็นน้อง ถามถึงทุกข์สุข ฤๅษีคนน้องจึงบอกว่า พญานาคขึ้นมาทุกวัน ตนเองกลัวมาก ฤๅษีผู้พี่จึงแนะนำว่า ต่อไปถ้าพญานาคมา ให้ขอแก้วมณีจากพญานาค เพราะพญานาคมาจะมีแก้วมณีติดตัวมาด้วย ฤๅษีคนน้องก็จำไว้

พอพญานาคมาอีก ฤๅษีผู้น้องจึงบอกแก่พญานาคว่า "ไหน ๆ เราก็รู้จักกันมานานแล้ว เราขอแก้วมณีที่คอท่านเถอะ เราอยากได้" พญานาคบอกว่า "แก้วมณีเป็นที่มาของอาหาร น้ำ และเครื่องใช้ไม้สอยของเขา ไม่สามารถที่จะให้ท่านได้หรอก เราเห็นท่านเป็นผู้ที่ละกิเลสแล้ว จึงเลื่อมใสขึ้นมาหาด้วยความเคารพ แต่ไม่นึกว่าท่านยังเป็นผู้ที่มักมากอยู่ ฉะนั้นเราอย่าได้เจอกันอีกเลย" ตั้งแต่นั้นมาพญานาคก็ไป ไม่มาหาอีกเลย

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ มีที่มาจากเรื่องนี้แหละ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:57


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว