เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ |
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันหวยออก เอ้ย...ไม่ใช่ เป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด..ปีชวดอีกแล้ว..! สามสี่วันที่ผ่านมากระผม/อาตมภาพเมายา กินแต่ยาแก้ไข้วันละ ๓ รอบ ๔ รอบ ปีนี้ปีขาลเจ้าข้าเอ๊ย..! ขออภัยท่านทั้งหลายที่หลงผิดตามไปอยู่ตั้ง ๓ วัน
ช่วงเช้าที่นำทุกคนเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจดีมาก พร้อมที่จะสละชีวิตและร่างกายนี้ เพื่อไปพระนิพพาน แต่พอเข้าตลาดไปรอบเดียว นิพพงนิพพานหายเกลี้ยง ขอช็อปปิ้งกันก่อน แล้วก็หิ้วกันมาเป็น "ไอ้บ้าหอบฟาง" ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราทั้งหลายศึกษาในคิหิสุข ๔ ประการ หรือว่าในตำรานักธรรม แปลว่า สุขของคฤหัสถ์ ๔ ประการ ซึ่งประกอบไปด้วย อัตถิสุข ความสุขของการมีทรัพย์ มีเงินมีทอง นี่แหม...มีความสุขมาก ยิ่งถ้าหากว่ามีสินทรัพย์อื่น ๆ อย่างเช่นบ้านราคาหลังละ ๑๒๐ ล้านบาท รถหรูราคาคันละ ๔๐ ล้านบาท กระเป๋าแบรด์เนมใบละ ๔ แสนบาท นาฬิกาข้อมือเรือนละ ๑ ล้าน ๗ แสนบาท โอย...มีความสุขสุด ๆ ต้องบอกว่าสุขจนหลงผิด ลืมคุณค่าที่แท้จริงของวัตถุสิ่งของไป สู้ไอ้ตัวเล็กของอาตมายังไม่ได้เลย ลูกเจนนี่ (เมธาวี เหลืองถาวรกุล) เขาเห็นแม่ซื้อรถเบ๊นซ์ โวยเสียไม่มี "แม่ซื้อไปทำไมคันหนึ่งตั้งสามล้านห้า..! ซื้อรถญี่ปุ่นคันหนึ่ง อย่างเก่งก็เจ็ดแปดแสน ใช้คันละ ๕ ปี ผ่านไป ๒๐ ปี รถพังไป ๔ คันแล้ว เพิ่งจะซื้อคันนี้ได้คันเดียวเอง" สรุปว่าเด็กเก่งกว่า ส่วนพ่อแม่นั้นติดยี่ห้อ ลืมไปว่ารถมีเอาไว้เป็นยานพาหนะ ไม่ได้มีเอาไว้เสริมฐานะ แต่ก็มีความสุข พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า อัตถิสุข สุขของการมีทรัพย์ |
หลังจากนั้นก็มาเข้ากับพวกเราที่เพิ่งจะไปช็อปปิ้งกันมานี่แหละ โภคสุข สุขของการจ่ายทรัพย์ ยิ่งถ้าได้บูชาวัตถุมงคลวัดท่าขนุน แหม..ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย ถ้าเป็น Limited Edition รุ่นฝังตะกรุดทองคำ สร้างแค่ ๕๐๐ องค์ คว้าไปได้สัก ๓ - ๔ องค์ ปลื้มไปเป็นอาทิตย์ กว่าจะรู้ตัวก็ไม่มีข้าวจะกิน เผลอบูชาวัตถุมงคลไปจนเงินหมด..!
เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครที่ "ฝาละมี" เขาเรียกอะไร "สามี" ใช่ไหม ? ฟังไม่รู้เรื่อง เรียก "ผัว" ง่ายที่สุด หรือว่า "คนรับใช้ส่วนตัว" ก็แล้วกันนะ เพราะว่าเวลาแต่งงาน เขาเรียก "เจ้าบ่าว" ผู้ที่จะมาเป็นบ่าว ก็แปลว่ามาเป็นคนรับใช้ส่วนตัว ถ้าหากว่าเขาบ่นว่าเราใช้เงินเปลือง ช็อปปิ้งเก่ง ให้บอกว่า "นี่ฉันกำลังปฏิบัติตามคำพระพุทธเจ้าอยู่นะ ท่านบอกว่าสุขของการจ่ายทรัพย์ ฉันกำลังจ่ายอยู่ อย่ามาขัดคอ" รู้สึกว่าจะนอกลู่นอกทางมากไป..ใช่ไหม ? ข้อต่อไป อนณสุข อนแปลว่าหนี้ ณ แปลว่าไม่ อนณสุข ความสุขจากการไม่มีหนี้ ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็แปลว่า "ความสุขจากการไม่ติดดอย" ไม่ใช่ติดหนี้ สามารถตัดใจ ตัดขาดทุนได้ ยอมขายหุ้นทิ้ง ยอมขายบิตคับทิ้ง ไม่ติดดอย ไม่เป็นหนี้ มีความสุขอย่าบอกใคร ส่วนใครติดดอยก็ปล่อยไป..! ความโลภทำให้เราไม่รอบคอบ สมมติว่าเราสามารถขายออกไปได้เหรียญละ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก่อนหน้านี้ได้ราคาเหรียญละ ๓๐,๐๐๐ บาท..! ๓๐,๐๐๐ บาทนั่นเป็นแค่ตัวเลขในอากาศเท่านั้น ไม่ใช่เงินในมือเรา เงินสดในมือเราคือการขายออกไปในราคา ๑,๕๐๐ บาทก็ให้รีบขาย ไม่ใช่ให้ติดลบเหลือศูนย์ ใครเล่น Luna Coin บ้าง ? ตอนนี้นอนน้ำตาไหลพราก..! |
ข้อสุดท้าย อนวัชชสุข สุขจากการทำงานที่ไม่มีโทษ ไม่ต้องกลัวคนอื่นเขาจะรู้ว่าเรา "ขายแป้ง" เกี่ยวกันหรือเปล่า ? ก็ไม่รู้ เห็นเขาบอกว่า "มันคือแป้ง..!" เราไม่ขายแป้ง เราก็ทำงานที่ไม่มีโทษ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะโดนกฎหมายลงโทษ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสุขของการมีทรัพย์ สุขของการจ่ายทรัพย์ สุขของการไม่เป็นหนี้ สุขของการทำงานที่ไม่มีโทษนั้น พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า คิหิสุข สุขของคฤหัสถ์ ใช้คำว่า สุขของปุถุชนดีกว่า เพราะปุถุชนแปลว่า คนที่หนาไปด้วยกิเลส ในเมื่อพระองค์ท่านระบุเอาไว้ชัดเจนว่า เป็นสุขของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส เราทั้งหลายที่ตั้งใจจะเป็นกัลยาณชน บุคคลผู้ทรงศีลทรงธรรม จะเป็นอริยชน บุคคลผู้เจริญขึ้นโดยส่วนเดียว ไม่มีวันตกต่ำ เราก็ต้องพยายามหักห้ามใจของตนเองไว้ ท่านที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนบ่อย ๆ ก็มักจะได้ยินที่กระผม/อาตมภาพย้ำว่า "ไปตลาดแล้วอย่าไปหลงระเริง อย่าไปอยากกินโน่นกินนี่ ให้กลับมากินอาหารห่วย ๆ ที่วัดตามเดิม..!" จะดูว่าพวกเราสามารถห้ามปากตัวเองได้ไหม ? ถ้าห้ามปากตัวเองได้ ก็สามารถรักษาศีลได้ทุกข้อ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามปากตัวเอง กับกำลังใจในการหักห้ามใจไม่ให้ละเมิดศีล เป็นกำลังใจที่เท่ากัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเราหักห้ามปากและใจตนเองได้ ศีลมีกี่ข้อก็รักษาได้หมด กิเลสใหญ่น้อยแค่ไหนมาชวน เราก็ไม่ไหลตามไป ถ้าอย่างนั้นเราก็จะพ้นจากฆราวาสผู้เป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลส พัฒนากาย วาจา ใจของตนเอง ขึ้นมาเป็นอริยชน ถ้ายังเป็นอริยชนทีเดียวไม่ได้ มาครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ยังเป็นกัลยาณชน คนดีของสังคมได้ |
พวกเราเมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องมีคือ รู้จักแยกแยะ แยกแยะในที่นี้คืออะไร ? แยกแยะในธรรมารมณ์ อารมณ์ใจที่แทรกเข้ามา ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที แยกให้ออกว่าสิ่งนี้กิเลสชวน สิ่งนี้เป็นความจำเป็นในชีวิต
อย่างกิเลสชวนก็คือว่า จะไปซื้อนาฬิกา Patek Philippe รุ่น Limited Edition ราคา ๑๔๐,๐๐๐ ยูโรต่อหนึ่งเรือน คิดเป็นเงินไทยกี่ล้านบาท ? นาฬิกามีไว้ทำอะไร ? มีไว้บอกเวลา ถ้ามีมือถืออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ หรือไม่ก็ไปซื้อนาฬิกามิกกี้ เม้าส์ เรือนละ ๒๕๐ บาทก็ใช้งานได้เหมือนกัน จำเป็นอะไรที่จะต้องไปใช้ของราคาตั้งหลายล้าน แล้วยิ่งถ้าเจออย่างกระผม/อาตมภาพด้วยก็เฮงเลย เพราะว่าดูของไม่เป็น ใส่ของดีแค่ไหนก็แค่นั้นแหละ บางคนหุ่นก็ไม่ให้ ต่อให้ใจรัก ใส่ไปก็ไร้ประโยชน์ กลายเป็น "มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี" อย่างที่บางคนเขาเรียกประชดว่า "ไฮซ้อ" นั่นแหละ ไม่ใช่ "ไฮโซ" ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ เราไปลืมคุณค่าที่แท้จริงของวัตถุว่ามีไว้เพื่อใช้งานอะไร แต่ไปเอาวัตถุนั้นมาเป็นเครื่องเสริมบารมีของตนเอง แปลว่าเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้า ต้องอาศัยของอื่น ถึงจะมั่นใจในตัวเองได้ เป็นคนที่น่าสงสารมาก บางคนออกจากบ้านนี่หัวถึงเท้า ราคารวมแล้วเป็นล้าน อาตมาดูไปก็แค่นั้นแหละ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บอกให้รู้ชัดว่า เขานั้นเป็นบุคคลที่กำลังใจไม่มีเครื่องยึด จึงไม่รู้ว่าทำไมต้องแสวงหาสิ่งภายนอกมาโดยไม่รู้จักพอ ? |
อย่างอดีตนักร้องท่านหนึ่งคือไมเคิล แจ็คสัน เป็นบุคคลที่มีความสามารถมาก คนแบบนี้ประมาณว่าร้อยปีจะโผล่มาสักคน
ตอนไมเคิล แจ็คสัน เป็นคนผิวดำ หน้าตาดีมาก แต่ด้วยความไม่พอใจในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็พยายามไปผ่าตัด ปรับเปลี่ยนใบหน้าตนเองจนเละเทะ ดูไม่ได้ ท้ายสุดก็เปลี่ยนหน้าจนหลับตาไม่ลง ไปไหนก็ต้องใส่แว่นตาดำ ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมอยู่ทุกครึ่งชั่วโมง ทรมานเป็นที่สุด เพราะไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของตนนั้น คือใจที่สงบ ไปคิดว่า ถ้าเปลี่ยนแปลงร่างกายแล้วใจเราพอใจก็จะสงบลง เป็นการหลงผิดออกนอกทางไปไกลมาก จนในที่สุดก็ต้องมีการใช้ยาระงับประสาท แล้วก็ตายเพราะยา..! สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าพวกเรามีกำลังใจที่มั่นคง ปฏิบัติธรรมแล้วก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองอย่างแท้จริง คือมีสติ ระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราเป็นใคร มีฐานะอย่างไร ไม่หลอกลวงทั้งชราและทารก ...(หัวเราะ)... บางคนก็จริงใจเกินไป จริงใจจนไม่เกรงใจสังคม ไม่ยอมปรุงแต่งอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงอยู่กับคนอื่นเขาไม่ได้ กลายเป็นแปลกแยกจากสังคม ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามีความมั่นคงแล้ว ก็จะยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี โดยเฉพาะเห็นความเป็นธรรมดาของโลกนี้ ว่ามีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ก็จะปล่อยวางได้ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายต่อให้อยู่ในสังคมที่เดือดร้อนวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม ก็จะสามารถที่จะดำรงตนอยู่ได้อย่างมีความสุข สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน (รอบเช้า) วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:00 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.