กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5227)

เถรี 27-09-2016 09:57

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๙
 
ทุกคนขยับในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายเข้าออกของเรา หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ในการปฏิบัติกรรมฐานของเรานั้น อานาปานสติก็คือลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เป็นพื้นฐานใหญ่ที่สุดของกรรมฐานทั้งหมด

อานาปานสติทำให้สมาธิของเราทรงตัวแนบแน่นเป็นอัปปนาสมาธิได้ สามารถที่จะกดกิเกสให้ดับลงได้ชั่วคราว สามารถระงับกายสังขารอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ของร่างกายได้ และถ้าหากทำจนมีความคล่องตัว เราสามารถรู้ได้แม้แต่วันตายของตัวเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงละทิ้งอานาปานสติไปไม่ได้ ทุกคนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผล จำเป็นอยู่เสมอที่จะต้องอาศัยอานาปานสติเป็นหลัก แต่เนื่องจากว่าหลายท่านทำมาจนชินแล้ว นึกจะเข้าสมาธิเมื่อไรก็สามารถเข้าถึงระดับสมาธิที่ต้องการได้ ในที่นี้ก็จะไม่ขอกล่าวถึง จะกล่าวถึงสำหรับผู้ใหม่หรือผู้เก่าที่ยังไม่สามารถทรงฌานได้แม้แต่ปฐมฌาน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเอาไว้

โดยเฉพาะว่าการหายใจเข้าออกนั้น เขาไม่ให้บังคับลมหายใจ ก็คือร่างกายต้องการลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ เราแค่เอาสติตามลมหายใจเข้าไป เอาสติตามลมหายใจออกมาเท่านั้น ไม่ต้องไปตั้งใจว่าเราจะทำเพื่อทรงปฐมฌาน เพื่อทรงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้คิดเสียว่าเรามีหน้าที่ทำ เมื่อทำแล้วผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน

เถรี 28-09-2016 18:06

เมื่ออารมณ์ใจเริ่มทรงตัว ก็จะมีอาการแปลก ๆ ๕ อย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย เป็นต้นว่า ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกไปโยกมา หรือดิ้นตึงตังโครมคราม หรือว่าลอยขึ้นไปทั้งตัว หรือรู้สึกว่าตัวใหญ่ หน้าใหญ่ ตัวพอง ตัวแตก ตัวระเบิด ตัวรั่วเป็นรู เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอาการอย่างหนึ่ง ที่เราจะพบในการปฏิบัติภาวนา ไม่ต้องไปใส่ใจ เมื่ออาการทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นเต็มที่ ก็จะก้าวพ้นไปได้เอง เมื่อก้าวผ่านพ้นไปได้ กำลังใจของเราจะเริ่มทรงตัวอยู่ในส่วนของปฐมฌาน เมื่อถึงวาระนั้น...ท่านทั้งหลายก็จะได้พบกับความสุข ที่ไม่สามารถจะบอกกล่าวเป็นภาษามนุษย์ได้

เนื่องจากว่าอำนาจของปฐมฌานนั้น ไปกดไฟใหญ่ ๔ กอง ที่เผาผลาญเราอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน ก็คือ ไฟรัก ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ให้ดับลง เมื่ออำนาจของปฐมฌานกดไฟทั้ง ๔ กองนี้ดับลง บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลงไป ย่อมบอกไม่ถูกว่ามีความสุขความสบายแค่ไหน

ถัดจากตรงนี้ไปสภาพจิตของเราก็จะตั้งมั่น แน่วแน่มั่นคงอยู่เฉพาะหน้า เรียกว่าเข้าถึงเอกัคตารมณ์ แปลว่าท่านทั้งหลายสามารถทรงปฐมฌานได้แล้ว ในส่วนนี้เมื่อท่านทั้งหลายทรงได้ ก็อย่ายินดีจนเกินไป ให้ตั้งหน้าตั้งตากำหนดดู กำหนดรู้ต่อไป ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ดูลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ เราก็กำหนดคำภาวนา ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป เราก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป ถ้าหากว่าคำภาวนาหายไป ก็กำหนดรู้ว่าคำภาวนาหายไป

อย่าอยากที่จะเป็นอย่างนั้นและอย่าคิดที่จะดิ้นรนให้พ้นจากสภาพนั้น ให้ตั้งใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะทรงเป็นฌานได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ช่างเถิด

เถรี 28-09-2016 18:08

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถวางกำลังใจสบาย ๆ อย่างนี้ได้ ก็จะเข้าถึงฌานสมาบัติได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เมื่อท่านสามารถเข้าฌานสมาบัติได้แล้ว ก็หันมาทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยด้วยตนเอง ไม่ยุงยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีล เป็นต้น

แล้วมาทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงจัง จริงใจ ตั้งใจว่าถ้าตายลงไปเมื่อไรเราที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนั้น ขอไปสู่พระนิพพานแห่งเดียว เมื่อกำลังใจมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็ตั้งใจจับมั่นในพระนิพพานเอาไว้

ถ้าผู้ใดสามารถยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานได้ ก็ให้ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ถ้ายกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานไม่ได้ ก็ ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง หรือพระเครื่ององค์ใดองค์หนึ่งที่เป็นรูปพระพุทธรูป ว่านั่นเป็นรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคืออยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่านคืออยู่ใกล้พระนิพพาน แล้วให้รักษากำลังใจเอาไว้ตรงนี้จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:25


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว