กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   "ดูกรท่านทั้งหลาย ดาบสผู้นี้เธอสั่งสมบรมโพธิสมภาร เป็นพุทธังกรูหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์" (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=210)

วาโยรัตนะ 02-03-2009 14:01

"ดูกรท่านทั้งหลาย ดาบสผู้นี้เธอสั่งสมบรมโพธิสมภาร เป็นพุทธังกรูหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์"
 
"ดูกรท่านทั้งหลาย ดาบสผู้นี้เธอสั่งสมบรมโพธิสมภาร เป็นพุทธังกูรหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์มานาน สืบไปเบื้องหน้ากำหนดได้ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เธอจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครู"

แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรเจ้าก็เสด็จพระดำเนินนำพระสาวกสงฆ์สาวกขีณาสพเหยียบย่างบนร่างของ พระสุเมธดาบส ตามคำอารธนาของท่านก่อนนี้ว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอ อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกขีณาสพทั้งหลาย.....ทรงดำเนินเหยียบไปบนกายของข้าพระองค์ที่จักทอดกายเป็นสะพานนี้ด้วยเถิด เพื่อได้เกิดประโยชน์โสตถิผลอันยิ่งใหญ่แก่ข้าพระองค์อย่าได้ทรงย่างพระบาทหลีกลงลุยเลนเหลวนี้เลย"

ก่อนหน้านั้นพระสุเมธดาบบสได้ปลดผ้าคลุมค่อยๆบรรจงปูลงไปบน เลนเหลว ที่ชาวบ้านต่างเร่งมือกันจองถนนร่วมปูทางเดินแก่ คณะของพระพุทธทีปังกรพุทธเจ้า จนกระทั่งวาระและบารมี ท่านสุเมธดาบสจะได้รับคำทำพยากรณ์ เข้าสู้นิยตโพธิสัตว์ ในคราวนั้น เมื่อพระองค์เหาะผ่านมา เห็นคณะชาวบ้านหญิงชายทั้งหลายต่างเร่งมือ จองถนนถวายแด่ พระพุทธทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์จึงหยุดแล้วเปล่งวาจาว่า "เป็นมงคลอย่างยิ่ง ขอข้าพเจ้าร่วมทำทาง เป็นพุทธบูชาด้วยเถิด"

วาโยรัตนะ 02-03-2009 14:03

พระทีปังกรพุทธเจ้า ประสูติเป็นทีปังกรราชกุมาร แห่งราชวงศ์กษัตริย์แห่งรัมมวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุเทพ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสุเมธาเทวี ทีปังกรราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่า หังสา โกญจา และมยุรา เหมาะสมตามฤดูทั้ง ๓ ทรงมีพระมเหสีนามว่า ปทุมาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๐๐,๐๐๐ นาง วันหนึ่ง ทีปังกรราชกุมารเสด็จประพาสอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา

เมื่อพระนางปทุมาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อุสภักขันธกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาในราชอุทยานนั้นด้วยคชยาน ๘๔,๐๐๐ เชือก มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวนโกฏิหนึ่ง หลังจากทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา ๑๐ เดือน ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระองค์ก็นำบริษัทเข้าไปบิณฑบาตข้าวปายาสในนคร ตอนเย็นทรงปลีกจากคณะ ทรงรับหญ้า ๘ กำ จากอาชีวกชื่อ อานันทะ และนำมาปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ใต้ต้นเลียบ (ต้นมะกอก) ปราบพระยามารกับพลมารนับอสงไขย และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวนโกฏิหนึ่ง ที่สุนันทาราม ทำให้พระภิกษุโกฏิหนึ่งนั้นสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ

วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่ อุสภักขันธกุมาร ราชโอรส ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
พระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง

ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกและเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ณ สุนันทาราม
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐ โกฏิ ณ นารทกูฏ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรมานนารทยักษ์พร้อมบริวารหมื่นหนึ่ง ให้อยู่ในโสดาปัตติผล และทรงบวชมนุษย์ ๑๐๐ โกฏิที่นำมาพลีกรรมยักษ์ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุเหล่านั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดภายใน ๗ วัน
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ณ ภูเขาสุทัสสนะ
พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ

พระอัครสาวก คือ พระสุมังคละเถระ และพระติสสะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระสาคตะเถระ
พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่นันทาราม หลังจากนั้นพุทธศาสนาของพระองค์ก็ดำรงอยู่ต่อมานานถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงอันตรธานไป

วาโยรัตนะ 02-03-2009 14:03

ครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงผนวช ทรงรับหญ้าคาแปดกำ จากนาย สุนันท์อาชีวก แล้วพระองค์ก็ทรงปู เป็นบัลลังก์สำหรับนั่งสมาธิทรงทำประทักษิณรอบต้นไม้ที่จะตรัสรู้ ๓ รอบ พระองค์ทรงนั่งสมาธิเพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้น เพื่อจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

"พวกเราบุก! ขัดขวางพระองค์อย่าให้ทรงสำเร็จพระอรหันต์" พญามารและ เหล่าบริวารทั้งหลายมากมายเรือนแสน เรือนล้านต่างกรูเข้าหมายจะประหารพระองค์องค์ให้ออกจากสมาธิ

พระพุทธทีปังกรพุทธเจ้า "พญามารและบริวารเอ๋ย ท่านอาจทำให้บรรดาเทวดาเกรงกลัวยินยอมหลบหนีไปสู่สวรรค์ แม้พญานาคก็ดำดิ่งหนีลงไปสู่ นาคภพ.....แต่สำหรับเราซึ่งได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดกาลนาน ก็จะใช้บารมีนั่นแหละต่อสู้กับพวกท่าน"

แล้วพระองค์ก็ชี้ พระหัตถ์ลงบนแผ่นดิน ฉับพลันบังเกิดเป็น พระแม่ธรณีบีบมวยผม เห็นเป็นมหาสมุทร คลื่นโหมกระหน่ำ เหล่าพระญามารทั้งหลายจนสิ้นไป.....

ดิถีวันเพ็นเดือนวิสาขะ
พระองค์ทรงชนะพญามารด้วยพระทัยที่ตั้งมั่นจะหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ทั้งปวง ทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วพระองค์ทรงพักผ่อนเสวยสุขจากการหลุดพ้นเป็นเวลา ๗ วัน

วาโยรัตนะ 03-03-2009 08:00

จะกล่าวความย้อนไป ท่านสุเมธดาบส ลุยเลนลุยโคลน ปรับดินจองถนนกับชาวบ้าน มีกุมารีผู้หนึ่ง
ชื่อ "สุมิตตา" จ้องมองพระองค์ท่านด้วยความชื่นชม ชาวบ้านต่างเร่งมือ ทั้งสองก็ต่างเร่งมือ เอาดินถมเลนเช่นกัน เหลือเพียงแค่ช่วงตัวคนนอนเท่านั้น
ในที่สุด คณะของพระองค์พระพุทธีปังกรพุทธเจ้าก็เสด็จราชดำเนินมาถึงพร้อมด้วยพระอริยะสงฆ์อีกหนึ่งโกฏิ

"สุมิตตาน้องหญิง"
ก็รำพึงว่า "เหลือแค่อีกช่วงตัวแท้ๆแต่ไม่ทันการแล้ว"
ทันใดทัน พระสุเมธดาบสก็ปลด ผ้าพันศีรษะและผ้าครองคุมหน้าอกแบบฤๅษีออกปูลงไปบนเลนเหลวอย่างบรรจงพร้อมเปล่งวาจาว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอ อารธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกขีณาสพทั้งหลาย.....ทรงดำเนินเหยียบไปบนกายของข้าพระองค์ที่จักทอดกายเป็นสะพานนี้ด้วยเถิด เพื่อได้เกิดประโยชน์โสตถิผลอันยิ่งใหญ่แก่ข้าพระองค์อย่าได้ทรงย่างพระบาทหลีกลงลุยเลนเหลวนี้เลย"
ด้วยพระพุทธบารมีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธทีปังกรทรงทราบวาระอันประเสริฐนี้ จึงได้กล่าวต่อหน้ามหาชนทั้งหลายว่า

"ดูกรท่านทั้งหลาย ดาบสผู้นี้เธอสั่งสมบรมโพธิสมภาร เป็นพุทธังกูรหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์มานาน สืบไปเบื้องหน้ากำหนดได้ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เธอจะได้ตัรสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครู สัมมาสัมพุทธเจ้า"

สร้างความปิติยินดีแด่มหาชนทั้งหลายที่ทราบข่าว ร่วมทั้ง พรหม เทวดา มากมายต่างยินดี และในที่นั้น
"สุมิตตาน้องหญิง" ก็เช่นกัน แต่ด้วยวาระอันมาถึงนี้ พระนางจึงรับรู้ถึงวาระพิเศษ จนไม่อาจจะทรงหยุดยืนอยู่ได้ วิ่งออกไปจากคณะ ไปเก็บดอกบัวในสระใกล้ มาแปดดอก แล้วค่อย คุกเขาย่อตัวลงต่อหน้า พระทศพลทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์และคณะยืนประทับ อยู่ใกล้ร่างของท่านสุเมธดาบส

พระนางได้เปล่งวาจาว่าต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธทีปังกรเจ้าว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจิรญผู้ทรงคุณอนันต์อันประเสริฐด้วยอานิสงส์ที่ข้าพระบาทได้กระทำสักการบูชาในกาลบัดนี้ ขอให้สุเมธดาบสจงเป็นสามีของข้าพระบาทสมใจในภายภาคหน้าด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
สร้างความตลึงไปแก่มหาชนทั้งหลาย และ ท่านสุเมธดาบสยิ่งนัก จนพระองค์ท่านต้องเปล่งวาจาทัดทานออกมาว่า

"น้องหญิง ความต้องการของเจ้าแม้เป็นความปรารถนาที่ดี แต่เราจะชอบใจสักนิดก็หาไม่ ขอเจ้าจงถอนความปรารถนานั้นเสียเถิด"

สุมิตตาเถรี ก็ ทูลขอพรแด่ พระพุทธีปังกรพุทธเจ้าอย่างตั้งใจตามความประสงค์เดิม "พระองค์ทรงโปรดให้ข้าพระบาทสมปรารถนาด้วยเถิดพระเจ้าข้า"
"เจ้าจงปรารถนาสิ่งอื่นเถิดน้องหญิง" ท่านสุเมธดาบส ทัดทาน

ทันใดนั้น พระสุรเสียงกันกังวาลแห่งพระพุทธีปังกรพุทธเจ้าก็ ปรารภออกมาโดยธรรมอันปราณีตว่า

"ดูกร สุเมธดาบส ตัวท่านอย่าห้ามความปรารถนาของกุมารีน้อยผู้นี้เลย เพราะว่าในอนาคตภายหน้านางจะเป็นที่พึ่งแก่ท่าน ขณะที่ตัวท่านบำเพ็ญพุทธบารมีธรรมเพื่อบ่มพระบรมโพธิญาณให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 09:41

ทั้งคู่ก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไม่ว่าจะเป็น เดรัจฉานหรือมนุษย์ ก็ได้เป็นคู่สู่สมไม่พรากจากกันเป็นเวลาอันแสนจะยาวนานถึง สี่อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัป........
จวบจนมาถึง ชาติสุดท้ายในมหาชาติ

สุเมธดาบส สำเร็จเป็น"พระสมณโคดมบรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
สุมิตตาเถรี เสวยชาติเป็น"พระนางพิมพา"

เล่าความตอนพระนางพิมพาบวช

วันหนึ่งขนาดที่พิมพาภิกษุณีเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัตตผลญาณ ก็ทราบถึงวาระแห่งอายุสังขารจะสิ้นสุดลง เมื่อแจ้งประจักษ์ดังนั้น จึงเดินทางไปกราบพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทอดพระเนตรมองพระพักตร์แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นพิมพาภิกษุณีอรหันต์ มีอาการผิดแปลกไปเช่นนั้นก็ทรงทราบแจ่มแจ้งในพระสัพพัญญูว่า ถึงกาลแล้วที่พิมพาภิกษุณีจะสิ้นชนมายุสังขาร จะมาลาตถาคตดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพาน สมเด็จพระมิ่งมงกุฏบรมศาสดาจึงทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระวรกายให้แก่พระพิมพาภิกษุณีได้เห็นเป็นวาระสุดท้าย

"ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาคอันงามประดับไปด้วยรัศมี พระองค์ได้ทรงเป็นสวามีแห่งข้าพระบาทนี้นับพระชาติไม่ถ้วนตลอดมาแต่นี้ไปจักไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์ผู้เคยเป็นพระภัสดาอีกแล้ว"

"ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพระบาทพิมพามีวาสนาสิ้นสุด จักขอพระบรมพุทธานุญาตทูลลาดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน เพราะสิ้นชนมายุสังขารในวันนี้แล้วพระเจ้าข้า" พิมพาภิกษุณีกล่าว

"ดูกร เจ้าพิมพาที่เคยมีคุณแก่ตถาตคเอ๋ย หากเจ้ากำหนดกาลอันควรแล้ว ก็จงเคลื่อนแคล้วดับขันธ์ เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นอมตสุขเถิด เราอนุญาต"

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคอันงาม กาลเมื่อพระองค์ทรงสร้างพระพุทธบารมีเพื่อพระโพธิญาณ ท่องเที่ยวอยู่ในกระแสวัฏฏสงสารกับพิมพาข้าพระบาทนี้ด้วยกัน มาตั้งแต่ครั้งศาสนา สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงกาลปัจฉิมชาตินี้ จะขาดไมตรีสักชาติก็หาไม่ พระองค์เสวยพระชาติเป็นอะไรพิมพาข้าพระบาทนี้ก็เสวยชาติเป็นเช่นนั้นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเป็นการสมควรที่พิมพาข้าพระบาทจักถือโอกาสขอขมาโทษานุโทษต่อพระองค์เสียในครั้งนี้

ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับขอขมาโทษ อันพิมพาข้าพระบาทนี้ ได้เคยมีความผิดต่อพระองค์มาแต่บุพชาติที่แล้วมาด้วยเถิดพระเจ้าข้า"


วาโยรัตนะ 03-03-2009 11:51

ชาติหนึ่ง

"ข้าแต่พระองค์ ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเกิดในตระกูลทุคตะเข็ญใจ มีนามว่า "อติทุกขมาณพ" ข้าพระบาทนี้ก็ได้เกิดเป็นกุมารี รักใคร่เป็นสามีภรรยาอยู่ในชนบทตามประสายาก

กาลวันหนึ่ง "อติทุกขมาณพ" เข้าป่าเพื่อตัดฟืนมาขาย ได้พบพระอัครสาวกแห่งพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง จึงเกิดยินดีเป็นหนักหนา รีบกลับมาบ้านเรียกข้าพระบาท ซึ่งเป็นภรรยามาปรึกษา พร้อมในกันแล้ว ก็นำข้าพระบาทไปขายฝากไว้ได้ทรัพย์มาไปซื้อไม้และเสาทั้งอุปกรณ์อื่นๆไปปลูกสร้างกุฏิถวาย พระอัครสาวกนั้นด้วยน้ำใจเลื่อมใสศรัทธา เดชะผลานิสงส์ครั้งนั้นจึงบันดาลให้
"อติทุกขมาณพ"มีโชค ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
ฝ่ายข้าพระบาทผู้เป็นภรรยาก็ดีอกดีใจตั้งตนเป็นใหญ่ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะบุญของข้า เหตุว่านำข้าไปขายจึงได้ทรัพย์มาทำกุฏิถวาย จนได้เป็นเศรษฐี

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาท จงทรงกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 12:10

"ข้าแต่พระองค์ ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกัน กาลครั้งนั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็น "พระเจ้านันทราช" ส่วนข้าพระบาทเป็นอัครมเหสีมีนามว่า"พระนางสุนันทาเทวี"

กาลวันหนึ่งขณะเสด็จพระราชดำเนินไปชมสวนอุทยานครั้งนั้น ข้าพระบาทเห็นดอกรังงามตระการตาจึงปรารถนาจะได้ดอกรังมาเชยชม แต่ข้าพระบาทจะสั่งหมู่อำมาตย์ราชเสนาผู้หนึ่งผู้ใดก็มิได้
กลับเจาะจงกราบทูลขอให้พระองค์ผู้เป็นสวามีเสด็จขึ้นต้นรังเลือกเก็บเอาดอกรังลงมาพระราชทานให้แก่ข้าพระบาทได้ชมเล่นในกาลบัดนั้นพระองค์ซึ่งเป็นพระเจ้านันทราชนั้นทรงมีความเสน่หารักใคร่ในพระมเหสีเป็นนักหนา มิได้รอช้า ทรงรีบป่ายปีนขึ้นไปบนต้นรังตามที่ผู้เป็นที่รักปรารถนา

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเคยเป็นสวามี โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทในกาลครั้งนั้น โดยใช้พระองค์ขึ้นไปนำดอกรัง ซึ่งเป็นการลำบากพระองค์แล้วไซร้
ขอจงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 12:25

มาครั้งในศาสนาพระสยัมภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็น"ฤๅษี" ส่วนข้าพระบาทเป็นหญิงสาวชาวบ้าน
นามว่า "นาคีกุมารี"

กาลวันหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงเป็นฤๅษี ผู้มีฌานแก่กล้าได้เหาะมาในเวหาอากาศ มาพบข้าพระบาทในกาลครั้งนั้นกำลังเก็บผักหักฟืนและร้องรำทำเพลงไปตามประสา ฤๅษีเกิดความรักใคร่ในสาวแรกรุ่นดรุณี ฌานที่เคยแก่กล้าก็เสื่อมถอยลงทันที ทำให้ตกลงมาตรงหน้า"นางนาคีกุมารี"พอดี กำเริบรักที่มีต่อนางเพิ่มทวีขึ้นเป็นทวีคูณ แล้วก็เอ่ยวาจาขอผูกพัน จนได้เป็นสามีภรรยากันในชาตินั้น

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้หากจักพึงมีในชาตินั้น โดยการทำลายพระองค์ผู้ทรงเป็นฤๅษีให้เสื่อมจากฌานสมาบัติแล้วไซร้ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 12:38

"ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลาย ครั้งศาสนาสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์เสวยพระชาติเป็น "พญาปลาดุก" ฝ่ายข้าพระบาทนี้เกิดเป็นปลาดุกตัวเมีย ได้สมัครรักใคร่ผูกพันเป็นสามีภรรยากัน

กาลวันหนึ่งเมื่อฝนตกใหญ่ นางพญาปลาดุกก็ถึงคราวมีครรภ์ให้มีความอยากกินหญ้าอ่อนๆเขียวขจี พญาปลาดุกผู้เป็นสามีด้วยความรักใคร่ภรรยา ก็อุตส่าห์เที่ยวแสวงหาไปในที่ต่างๆ จนมาถึงแดนมนุษย์
พวกเด็กเลี้ยงควายทั้งหลายเห็นเข้าก็ชวนกันไล่ตีด้วยไม้ใคร่จะได้เป็นอาหาร พญาปลาดุก นั้นถูกตีหางจนขาด โลหิตไหล ได้รับความทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ก็อดทนคาบหญ้าอ่อนมาให้ภรรยาจนได้ แต่เพราะบาดแผลฉกรรจ์นัก พญาปลาดุกทนไม่ไหว ก็ถึงแก่ความตายในเวลานั้น

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ โดยทำความลำบากยากเย็นเป็นสาหัสให้เกิดแก่พระองค์เพียงประสงค์จะได้กินหญ้าอ่อนในขณะตั้งครรภ์
ขอพระองค์ จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 12:56

ครั้งศาสนาของสมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์เสวยพระชาติเป็น "ชฏิลเศรษฐี" มีทรัพย์ พิมพาข้าพระบาทนี้ก็ได้เป็นภรรยาของเศรษฐีนั้น มีนามว่า "อนิมิตตา" เศรษฐีครองสมบัติเป็นความสุขตลอดมา วันหนึ่ง ชฏิลเศรษฐี สามีเกิดปัญญาเห็นความสุขนี้ไม่เที่ยงแท้
จึงออกบวชเป็นดาบสประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในป่า นางอนิมิตตา ผู้เป็นภรรยาก็ติดตามไปคอยปฏิบัติรับใช้นำเอาอาหารไปถวายแด่พระดาบสผู้สามีมิให้ลำบาก ด้วยปัจจัยสี่ โดยตั้งใจจะสนับสนุนเกื้อกูลให้ท่านดาบสรีบเร่งบำเพ็ญให้สำเร็จโดยไว

กาลครั้งหนึ่งยังมีนางกินรีตนหนึ่งเกิดความเลื่อมใสในองค์ดาบสจึงมาถวายนมัสการซึ่งบาทแห่งดาบส บังเอิญนางอนิมิตตามาเห็นเข้าก็เกิดเข้าใจผิดน้อยใจตัดพ้อสามีไปต่างๆนานา โดยไม่ยอมฟังคำชี้แจงของดาบสผู้สามีเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่นำพาสามีอีกเลย ปล่อยให้อดๆอยากๆด้วยขาดปัจจัยสี่

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 13:11

ข้าแต่พระองค์ ยังมีชาติหนึ่ง ครั้งศาสนาแห่ง พระปทุมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นมาณพหนุ่ม รูปงามนามว่า "อัคคุตรมาณพ" ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทนี้เกิดเป็นกุมารี นักเต้นรำ นามว่า "ปทุมากุมารี" ต่อมาเราทั้งสองได้ผูกสมัครรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน

อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าสังคราชบพิตร รับสั่งให้มีการเล่นมหรสพขึ้นท่ามกลางพระมหานคร เจ้าปทุมากุมารี ก็สมัครเข้าไปเล่นเต้นรำตามอัธยาศัย

ครั้น อังคุตรมาณพ ผู้เป็นสามีตามฝูงชนเข้าไปดูคนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างพากันล้อเลียนเย้ยหยันว่า บุรุษผู้นี้เป็นสามีของนางบำเรอผู้นี้แล้วก็ร้องบอกต่อกันไป ทำให้ อังคุตระ ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายเป็นอันมาก

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเคยเป็นสวามีโทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทในกาลครั้งนั้น ทำให้พระองค์ได้รับความอับอายต่อหน้ามหาชน
ขอจงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"



วาโยรัตนะ 03-03-2009 13:32

ครั้งศาสนา พระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์เสวยพระชาติเป็น พญาวานร ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทนั้นเกิดเป็น วานรตัวเมียและเป็นสามีภรรยากันกับพญาวานรอาศัยอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง

กาลวันหนึ่ง ข้าพระบาทนางพญาวานรอยากกินผลมะเดื่อสุกเป็นยิ่งนัก ด้วยความรักในภรรยาพญาวานรก็อุตสาหะไปเที่ยวเสาะแสวงหาผลมะเดื่อสุกในที่สุดได้พบต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง
จึงปีนขึ้นไปเก็บผลมะเดื่อฝากภรรยาทันที่

ครั้งนั้นยังมีเสือโคร่งตัวหนึ่งแอบซุ่มอยู่ที่พงหญ้าใกล้ต้นมะเดื่อ มีพญาวานรไต่ลงมาก็ถูกเสือร้ายตะปบจนถึงแก่ความตายภายในเวลานั้น
ฝ่ายภรรยาก็เฝ้ารอคอยจนตะวันตกดินสามีก็ยังไม่กลับมาก็ออกตามหาตลอดทั้งคืนก็ไม่พบ ในใจก็คิดหวาดระแวงว่าสามีคงพบกับนางวานรสาวตัวใหม่แล้วก็พากันไปสู่ที่สำราญสบาย
ปล่อยให้นางระทมทุกขเวทนา ภรรยาวานรร้องไห้คร่ำครวญอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานจนขาดใจตายไป ณ ที่นั้น

"ข้าแต่พระองค์โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ โดยทำให้พระองค์ต้องถึงแก่ความตายเพราะเสือร้าย อีกทั้งยังคิดระแวงต่างๆนานา
ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 13:54

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย ครั้งศาสนา พระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นกุมารหนุ่มน้อย ได้บรรพชาเป็นสามเณรในบวรพุทธศาสนา นามว่า"เจ้าธรรมรักขิตสามเณร" ฝ่ายตัวพิมพาข้าพระบาทนั้นเกิดเป็นกุมารีที่หมู่บ้านใกล้อาราม มีนามว่า "ปัญญากุมารี"

วันหนึ่งที่วัดมีการบำเพ็ญเนื่องในงานเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านทั้งปวงล้วนแต่เป็นพุทธศาสนิกชนจึงชวนกันไปบำเพ็ญกองการกุศล คือ สรงน้ำพระพุทธปฏิมากรและพระเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์ตลอดจนสรงน้ำพระสงฆ์ สามเณร ด้วยเลื่อมใสศรัทธา

"เจ้าปัญญากุมารี" มีความรักใคร่ใน "เจ้าธรรมรักขิตสามเณร" มานาน จึงกระทำมายาให้สามเณรรู้ว่าตนเสน่หาถือขันน้ำเจาะจงสรงน้ำสามเณรผู้เป็นที่รัก

เจ้าธรรมรักขิตสามเณรก็จับมือนางด้วยความยินดีรักใคร่ เป็นเหตุให้ถูกจับสึกในวันนั้นแล้วก็มาอยู่กินกันเป็นสามีภรรยาได้เจ็ดวัน ก็กลับไปบวชเป็นภิกษุได้หนึ่งพรรษาครั้งปวารณาแล้วก็กรีบสึกออกมาครองเรือนเป็นสามีภรรยากับปัญญากุมารีด้วยอานุภาพแห่งความรัก

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแต่การทำลายพระองค์ให้ขาดจากเพศบรรพชิต ไม่มีโอกาสได้ประพฤติพรหมจรรย์ในครั้งนั้น ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 14:31

ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่ครั้งพระศาสนาพระโกณฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เสวยพระชาติเป็น"พญานกดุเหว่า" ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทก็ได้เกิดเป็น นางนกดุเหว่า มีความรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน มีความสุขสำราญตามวิสัยเดรัจฉาน

มาวันหนึ่ง พญานกดุเหว่าผู้ภัสดาไปเที่ยวหาอาหาร ได้ไปพบผลมะม่วงสุกเหลือเดนกากินอยู่ครึ่งลูกก็อุตส่าห์คาบมาสู่รังเพื่อให้นางนกที่เป็นภรรยาด้วยความรักใคร่ ฝ่ายนางนกที่เป็นภรรยาเมื่อเห็นสามีคาบมะม่วงที่เหลือครึ่งลูกดังนั้นก็โกรธ มิทันได้ไต่ถามให้แจ้งในความเป็นไปก็จิกหัวสามีด้วยจะงอยปากทันที ยังไม่หน่ำใจเอาเท้าตีที่หน้าอกของพญานกดุเหว่าสามีอีกสองสามที แต่พระองค์ก็หาได้โกรธเคืองภรรยาแม้แต่สักนิด

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ที่ลุแก่โทสะทำร้ายพระองค์ซึ่งทรงพระกรุณาขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 14:44

ย้อนไปในชาติครั้งศาสนาพระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระบรมกษัตริย์แห่งพระนครกุมภวดี ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าวังคราช" ฝ่ายข้าพระบาทถือกำเนิดเป็น นางกินรี อยู่ที่สุวรรณคูหา ถ้ำทองอันประเสริฐ ณ หิมวันตประเทศ

กาลวันหนึ่งเจ้ากินรีสาวโสภาออกไปท่องเที่ยวเก็บดอกไม้ บังเอิญไปหลงติดอยู่ในตาข่ายที่นายพรานดักไว้ วันนั้นสมเด็จพระเจ้าวังคราชเสด็จประพาสป่ามาเจอเข้าพระองค์จึงทรงเข้าช่วยทำลายตาข่ายนั้นจนหลุดออกมาได้ แล้วทั้งสองก็ผูกสมัครรักใคร่ด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันวิวาส

พระองค์พานางกินรีไปพระนคร แล้วทรงแต่งตั้งเป็น อัครมเหสี สร้างตำหนักให้อยู่ในอุทยานอันเต็มไปด้วยพฤกษานานาพรรณมีทั้ง ดอกไม้ ใบไม้แล้วยังมีพระราชโองการให้นำดอกไม้ไปถวาย มเหสีทุกวันอย่าให้ขาดจนดอกไม้ในพระนครหมดสิ้น พระองค์จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติพานางกินรีกลับสู่หิมวันตประเทศอยู่กินกับนางตราบเท่าถึงกาลสิ้นชนมายุสังขาร

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 15:00

มีอยู่ชาติหนึ่ง ในศาสนา พระสุมนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติ เป็นนาคาธิบดี มีนามว่า "พญาอดุลนาคราช" ฝ่ายข้าพระบาทได้เกิดเป็นมเหสีสุดที่รักของพระองค์ นามว่า วิมลาเทวี
กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระสัทธรรมเทศนากึกก้องกังวานแผ่ไปไกลได้ยินจนถึงนาคพิภพ

พญาอดุลนาคราชทรงเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักจึงชวนเจ้าวิมลาเทวีขึ้นมายังโลกมนุษย์เข้าสู่สำนักสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายนมัสการแล้วสักการะบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้พร้อมตั้งใจที่จะสมาทานเบญจศีลไปจนตราบเท่าชั่วอายุขัย

สมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธฎีกา พยากรณ์ว่า พระอดุลนาคาธิบดีจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งในอนาคต ได้ฟังดังนั้นพญานาคาก็พระทัยโสมนัสยิ่งนัก

ฝ่ายเจ้าวิมลาเทวีอัครมเหสีก็เกิดปิติยินดี ในพุทธฎีกา ถึงกับคายพิษแห่งนาคาออกมาจนสิ้นแล้วก็กรายร่ายรำเพื่อกระทำสักการะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามวิสัยนาคี ขณะฟ้อนรำถวายอยู่นั้น บังเอิญนิ้วพระหัตถ์ของพระนางไปโดนพระเศียรแห่งพญาอดุลนาคราชผู้สวามีเข้าหน่อยหนึ่ง

"ข้าแต่พระองค์โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้โดยความประมาท ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 15:53

แล้วครั้งศาสนาพระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์เสวยพระชาติเป็น มาณพหนุ่ม ผู้ปรารถนาจะประพฤติ พรหมจรรย์ จึงกล่าวคำขออนุญาตภรรยาซึ่งชื่อว่า "กัลยาณีกุมารี" ออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนามีนามปรากฏว่า "พระอัญญาโกณฑัญญภิกขุ"

ข้าพระบาทซึ่งเป็นภรรยาก็จำใจอนุญาตแล้วนึกโทมนัสขัดเคืองระคนน้อยใจในสามีเป็นนักหนา โดยคิดว่าสามีเป็นคนเห็นแก่ความสบายไม่นึกถึงความรักใคร่
ปล่อยภรรยาว้าเหว่เป็นดังนี้จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

วันหนึ่งเป็นยามราตรีมีฝนตกพรำๆ ภิกษุหนุ่มสาวกแห่งองค์พระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินเสียงร้องครวญครางแปลกประหลาด เปิดกุฏิออกไปก็ได้เห็น เปรต รูปร่างแสนทุเรศ และก็ได้ทราบว่า เปรตผู้นี้คือภรรยาตนก็เกิดความสงสารจับใจแต่ก็รู้ดีว่านางยังมีผลทานผลศีลเมื่อครั้งนำจีวรและสิ่งอื่นๆอันควรแก่สมณะ ทูนเหนือศีรษะมาถวายเป็นอันมาก จึงทรงบอกนางให้ระลึกถึงผลทานเหล่านั้น เมื่อ กัลยาณีกุมารีเปรตได้ฟังก็เกิดมหากุศลบันดาลให้อุบัติเป็นเทพนารี ณ ดาวดึงส์เทวโลกฉับพลันทันใด

"ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 16:02

ในศาสนาแห่ง พระโสภิตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครานั้นพระองค์ทรงเป็นมาณพหนุ่มรูปงามนามว่า อทุฏฐมาณพ ส่วนข้าพระบาทเกิดเป็นบุตรีของชาวชนบทชายแดนนามว่า จันทมาลากุมารี

กาลวันหนึ่ง มีข้าศึกมาล้อมพระนคร เที่ยวไล่ฆ่าฟันผู้คนชาวพระนครเป็นจำนวนมาก เจ้าอทุฏฐมาณพ เห็นว่าเหลือกำลังที่จะสู้ข้าศึกได้ จึงหลบหนีออกจากเมืองเดินทางมาถึง
ปัจจันตชนบทชายแดนชั่วคราวตั้งจิตว่าเมื่อรวบรวมผู้คนได้มากพอก็จะกลับพระนครอีก

ด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันนิวาส คนสองคนก็ได้พบกันและผูกสมัครรักใคร่กันเป็นสามีภรรยาในที่สุด บัดนี้ความคิดที่จะกลับสู่พระนครของอทุฏฐมาณพก็ล้มเลิก เป็นเพราะความรักความเสน่หา นางจันทมาลา ผู้ภรรยามีมากเกินจะละทิ้งนางไปได้จึงมีชีวิตอยู่ในชนบทชายแดนนั้นจนตาย

"ข้าแต่พระองค์ โทษผิดที่ข้าพระบาทเป็นเหตุให้พระองค์ต้องหลงใหลอยู่ปัจจันตชนบทจนสิ้นอายุขัย ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 16:16

โทษผิดอีกครั้งหนึ่งในศาสนาแห่งพระธรรมปาลสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้งนั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดิน ณ คีรีบูรณมหานคร
พระนามว่า สมเด็จพระอภินันทรัฐราชาธิบดี ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทก็ได้มาเป็นอัครมเหสีของพระองค์พระนามว่า นางมงคลเทวี

กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระอภินันทรัฐราชาธิบดีได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระชินสีห์พุทธธรรมปาลสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความโสมนัสยินดีในรสพระธรรมจึงขอยกพระอัครมเหสีที่รักให้เป็นทาน แล้ว ทรงสละราชสมบัติเป็นการชั่วคราวขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายพระอัครมเหสีก็ทรงเลื่อมใสศรัทธาอุตสาหะนำเอาปัจจัยมาถวายแด่พระภิกษุผู้เป็นสวามีทุกวันมิขาด

มีอยู่ครั้งหนึ่งมีนางทาสีของคหบดีคนหนึ่งหนีนายมาหลบซ่อนอยู่ใต้กุฏิของพระภิกษุราชาธิบดี เมื่อนางมงคลเทวีมาเจอเข้าก็เกิดความหึงหวงและโกรธเคือง ขึ้นไปต่อว่าพระภิกษุผู้เป็นสามีด้วยความเข้าใจผิดอาละวาดดึงจีวรขาดจนหาชิ้นดีมิได้ เมื่อหนำใจแล้วก็กลับสู่พระบรมราชวังด้วยความคลั่งแค้นไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร แต่อย่างใด ไม่ช้านางมงคลเทวีก็สิ้นพระชนม์ แล้วพลันไปเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาในนิรยภูมิ

"ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

วาโยรัตนะ 03-03-2009 16:30

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย ครั้งศาสนา พระกัสสปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์เสวยพระชาติ เป็นพญาหงส์ทอง ส่วนข้าพระบาทเกิดเป็น นางหงส์ ภรรยาของพญาหงส์อาศัยอยู่กับฝูงหงส์บริวารในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง

สมัยนั้น สมเด็จพระราชินี เขมเทวี เป็นนางกษัตริย์ในมหานครนั้น โปรดเสด็จประพาสป่าอยู่เนื่องๆได้พบสระน้ำใหญ่จึงสั่งให้ปลูกดอกไม้รอบๆสระและแต่งตั้งนายพรานคอยดูแลมิให้สิงห์สัตว์นกเนื้อทั้งหลายกล้ำกราย

ฝ่ายพญาหงส์ทองอยากเห็นสระของนางเขมเทวีว่าจะงดงามขนาดไหนจึงพาภรรยาพร้อมเหล่าบริวารมุ่งหน้าสู่สระนั้น เคราะห์ร้าย พญาหงส์ทอง ติดบ่วงของนายพรานไม่สามารถหนีไปได้จึงร้องบอกให้ภรรยาและบริวารหงส์ทั้งหลายให้รีบหนีไปโดยเร็ว นางพญาหงส์ทองไม่ทันได้พิจารณาพากันบินหนีอย่างรวดเร็วปล่อยให้พญาหงส์ทองทุกข์ทรมานอยู่เบื้องหลัง

ความผิดหนนั้นที่บินหนีไม่ยอมดูแลพระองค์ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว