กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5360)

เถรี 12-01-2017 19:21

ถาม : ปวารณาตัวว่าจะช่วยสังคมอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะทำความดีให้เกิดกับสังคมได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ไปยุ่งกับสังคมทำไม ? ถ้าเราเอาตัวเรารอดได้เมื่อไรคนอื่นเขาก็จะตามมาเอง ถึงเวลานั้นสังคมรอบข้างก็จะดีไปเอง แต่ถ้าเราเอาตัวไม่รอด เป็นตัวอย่างไม่ได้ คนอื่นเขาไม่ทำตาม สังคมก็บรรลัยอยู่เหมือนเดิม

ถาม : หนูคิดว่าคนทำผิดแล้วเราตักเตือนเขาก็น่าจะดี ?
ตอบ : คิดว่าเตือนแล้วเขาจะเชื่อไหม ?

ถาม : หรือควรจะคิดแค่เตือนตัวเอง ?
ตอบ : การที่เราจะตักเตือนคนอื่นเขาได้ เราต้องมีน้ำหนักเพียงพอ ถ้าน้ำหนักไม่พอเตือนให้ตายเขาก็ไม่ฟังเรา การจะทำให้น้ำหนักของตัวเองพอ ก็คือ ทำตัวเองให้เป็นที่น่าเชื่อถือก่อน ก็แปลว่าต้องเร่งการประพฤติปฏิบัติให้ดียิ่งกว่านี้

เถรี 12-01-2017 19:24

ถาม : มีคนทำบุญแล้วคนที่รับเงินเอาไปทำอย่างอื่น อย่างเช่นจัดคอนเสิร์ต จะโดนโทษย้ายพระเจดีย์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ไม่โดน

ถาม : ถ้าเกิดได้เงินมากกว่าเดิม แล้วเอาไปทำตามที่ตั้งใจไว้ละคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ไม่โดน ถ้าตายเสียก่อน ไม่ทันเอาเงินมาคืนเขาก็ซวยแน่ ๆ

เถรี 13-01-2017 14:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่น วิ่งหาหลวงปู่หลวงพ่อไม่เคยท้อทางไกล เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกัน สุดเหนือสุดใต้ก็ไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่ามีความบ้ามากกว่าคนอื่นก็เป็นได้"

เถรี 13-01-2017 14:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิด ต่อให้เป็นเด็กเล็กขนาดไหนก็ตาม พอถึงเวลาก็แสดงออกอย่างชัดเจน ถ้าเห็นเป็นธรรมดาก็ไม่มีอะไรน่าตำหนิ แต่ถ้าสามารถพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นได้ ก็จะเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ"

เถรี 13-01-2017 14:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานก่อสร้างของวัดท่าขนุนอาจจะสะดุดหยุดยั้งลงนิดหนึ่ง เพราะว่าบรรดาช่างต่าง ๆ โดนระดมไปทำพระเมรุมาศถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙"

เถรี 13-01-2017 15:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "แถวนี้คนมีฤทธิ์เยอะนะ...! พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าแผ่นดินไหวเกิดจากสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน อย่างแรกก็คือลมกำเริบ สอง...ผู้มีฤทธิ์บันดาล สาม...พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์ สี่...พระโพธิสัตว์ประสูติ ห้า...พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ หก...พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เจ็ด...พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร และแปด...พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน

อาตมาอยู่ที่นี่กลางคืนนอน ๆ อยู่ก็แผ่นดินไหว ผู้มีฤทธิ์บันดาลด้วย ๑๘ ล้อ..! วิ่งผ่านทีบ้านไหวทั้งหลังเลย

เราจะเห็นว่าสาเหตุของแผ่นดินไหว ๖ ประการนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ส่วนอีก ๒ ประการนั้นขึ้นอยู่กับว่าลมกำเริบ ก็คือภายในโลกของเราเป็นหินเดือด พอเดือดก็กลายเป็นไอขึ้นมา ไออากาศอันนี้ พอกันอัดมาก ๆ เข้าก็เหมือนกับหม้ออัดความดัน ไม่มีทางไปก็ต้องดันฝาหม้อ
ให้เผยอขึ้นมา แต่นี่ไปดันแผ่นดินเข้า แผ่นดินขยับกลายเป็นปลาอานนท์ขยับตัว ของไทยเราว่าปลาอานนท์ ของกรีกว่าเป็นพญางู โลกเราเหมือนกับไข่ฟองหนึ่ง มีพญางูขนดล้อมรอบอยู่ ถึงเวลาพญางูขยับตัวก็แผ่นดินไหว แสดงว่างูตัวนี้ใหญ่มาก"

เถรี 13-01-2017 15:40

"ผู้มีฤทธิ์บันดาลต้องดูตัวอย่างในสังคีติยวงศ์ การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราชอัญเชิญพระอุปคุตมาช่วยระวังป้องกัน เพราะว่าเกรงว่าพญามารจะมาทำลายงานสังคายนาพระธรรมวินัย

พอพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นหุ่นของพระอุปคุตแล้วไม่เลื่อมใส เพราะองค์ท่านผอมกว่าอาตมาอีก หาความเลื่อมใสไม่ได้ ก็เลยแกล้งปล่อยช้างให้ไล่เหยียบ ปรากฏว่าพระอุปคุตหันมาตวาดทีเดียว ช้างยืนแข็งทื่อเป็นหินไปเลย แล้วพระอุปคุตก็แจ้งพระเจ้าอโศกมหาราชว่า ถ้าอยากเห็นฤทธิ์จริง ๆ ให้เอาน้ำมาขันหนึ่ง จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว แล้วท่านคอยดูน้ำในขันที่กระเพื่อม

พระเจ้าอโศกมหาราชก็ฉลาดเกินไป บอกว่าถ้าเกิดบังเอิญแผ่นดินไหวเอง ? พระอุปคุตก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นอาตมาจะทำให้แผ่นดินไหวโดยที่น้ำกระเพื่อมแค่ครึ่งขัน ปรากฏว่าถึงเวลาบันดาลแล้ว แผ่นดินไหวน้ำกระเพื่อมแค่ครึ่งขันจริง ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้ยอมรับ สรุปว่าพระควรจะผอมหรือควรจะอ้วนดี ? ถ้าอ้วนก็เป็นกาลกิณี โบราณบอกว่า สัตว์ผอมฤๅษีพีเป็นกาลกิณี กินแค่มื้อสองมื้อจะอ้วนได้อย่างไร ?"

เถรี 13-01-2017 15:42

โยมรับพระแล้วหล่น "แสดงว่าจะเจริญมาก เขาเรียกว่าพระร่วง คำว่า "ร่วง" โบราณแปลว่าสว่างรุ่งเรืองมาก อย่างที่บอกว่า "รุ้งร่วงธำมรงค์เรือนครุฑ กรรเจียกจอนจำหลักลายซ้ายขวา บรรจงทรงมหามงกุฎ ห้อยอุบะนฤมิตผิดมนุษย์ งามดังเทพบุตรในชั้นฟ้า" สังข์ทองแต่งตัวแล้ว ไม่เป็นเงาะแล้ว

แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าจำอะไรได้เยอะแยะขนาดนี้ เพราะฉะนั้น...ราชวงศ์พระร่วงก็คือพระผู้รุ่งเรืองมาก"

เถรี 13-01-2017 15:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาเรียกพม่าว่า "ม่าน" แต่ว่าคนจีนโบราณเรียกคนที่มาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ว่า "ม่าน" เพราะฉะนั้นเบ้งเฮ็กเป็น "หม่านอ๋อง" เป็นไปได้ว่าเป็นได้ทั้งพม่าและเป็นได้ทั้งคนไทย แต่เขาบอกว่าเบ้งเฮ็กน่าจะเป็นคนไทยมากกว่า เพราะขี่ควายรบกับขงเบ้ง น่าจะเป็นต้นตระกูลของนายจันทร์หนวดเขี้ยว

ในส่วนที่ขงเบ้งต้องเครียดที่สุดก็คือเจอไสยศาสตร์ ลักษณะเสกหุ่นพยนต์ไปรบแทน ก็ดูแล้วน่าจะเป็นไสยศาสตร์ในพื้นภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานี่แหละ โปรย
เมล็ดถั่วเป็นทหาร ตัดกระดาษโยนไปเป็นทหาร ยังดีว่าได้ยอดฝีมือระดับขงเบ้งก็เลยแก้ตก เป็นคนอื่นก็สงสัยเหมือนกันจะแก้ได้ไหม ?

ตอนขุนแผนไปรบแค่ ๓๗ คน ยังเล่นงานเจ้าเมืองเชียงใหม่เสียท่าได้ ยกไป ๓๗ คน ถึงเวลาไปเสกหุ่นพยนต์เอา เวลาตั้งค่ายก็ประเภทเอาก้านอ้อมาตัดเสียบ ๆ "พอแม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ แขมอ้อก็กลับกลายเป็นไม้แก่น" ไม่เปลืองวัสดุดีนะ ก้านอ้อกลายเป็นเสาไม้จริงไปเลย"

เถรี 13-01-2017 15:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "เล่าเรื่องเมืองลับแลได้ไหม ? มานึกถึงพวกคาถา มีอยู่อย่างหนึ่งเขาเรียกคาถาบังไพร รุ่นหลังพวกนายพรานถ้าเจอตรงจุดไหนที่ล่าสัตว์ได้ง่าย มีสัตว์ชุม เขาจะใช้คาถาบังไพรทำเอาไว้ ไม่ให้คนอื่นเห็นที่ตรงนั้น หรือเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้

พวกลับแลรุ่นแรก ๆ เกิดจากการที่เขาอพยพหลบหนีศึกสงคราม แล้วผู้รู้เขาใช้คาถาบังไพรปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ไป ๆ มา ๆ พออยู่ข้างในนั้น สร้างคุณความดีมาก ๆ จะเป็นเทวดาก็ยังดีไม่พอ จะออกมาอยู่รวมกับมนุษย์เราก็ลำบาก ท้ายสุดก็ต้องกลายเป็นลับแลไป ที่เขาอายุยืนเพราะว่าเขาตั้งใจรักษาศีล ถ้าศีลดีจะอายุยืน

บังไพรแปลว่าปิดป่า ไม่ใช่บังภัยที่แปลว่ากันภัยอันตราย ถ้าหลงจะเข้าไปได้ แต่ถ้าตั้งใจจะไปจะหาไม่เจอ เรามานึกดูว่าคนรุ่นก่อน ๆ ถึงเวลาศึกเหนือใต้มาก็ลำบาก ต้องอพยพหอบลูกจูงหลานหนีภัยกัน ท่านที่มีวิชาความรู้ไม่อยากรบราฆ่าฟันกับใคร ค่อนข้างจะรักสงบ ก็ต้องหาทางรักษาคนของตัวเองเอาไว้ ก็ใช้วิชาบังไพรปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้เขาเข้าได้

ส่วนใหญ่ก็อย่างว่าแหละ ก็เหลือแต่พวกนายพรานสืบทอดกันมา แล้ววิชาก็เหลือน้อยลง เหลือแค่กันพื้นที่เอาไว้เท่านั้น"

เถรี 13-01-2017 15:55

"สมัยอาตมาเด็ก ๆ จะมีพรานจิตร บ้านอยู่ทางด้านหนองรี - ลำอีซู พอถึงเวลาถ้าแกล่าสัตว์ตรงไหนได้บ่อย ๆ แกจะเสกใบไม้กำหนึ่งโปรยเอาไว้ คนอื่นไปล่าสัตว์ไม่ได้เลย เป็นวิชาที่แปลก ๆ ดี

พรานจิตรมีปืนแก๊ปคู่มือ แกเรียกว่า "อีทองแดง" แสดงว่าเป็นปืนผู้หญิง แกรอดตายเพราะอีทองแดงมาหลายทีแล้ว อีทองแดงเฮี้ยนขนาดพรานจิตรไปนั่งโป่ง เสือใหญ่เข้ามาจะหาทางขึ้นไปขบหัว ปืนกระบอกนี้ปลุกเจ้าของขึ้นมายิงเสือได้..!"

เถรี 13-01-2017 15:59

พระอาจารย์เล่าว่า "คราวที่แล้วไปอังกฤษ ไปได้คำตอบที่ Stonehenge ที่เขาเถียงกันไม่รู้จักจบว่าคืออะไร ปรากฏว่ามีพรหมท่านหนึ่งมาบอกว่า เป็นวงกลมที่นักบวชโบราณใช้ทำพิธีเสริมบารมีให้กษัตริย์รบชนะ นักบวชพวกนั้นเขาเรียกว่า "ดรูอิด" เดี๋ยวไว้มีเวลาค่อยไปเขียนในบันทึกให้อ่านกัน"

เถรี 13-01-2017 21:39


พระอาจารย์กล่าวว่า "เรือใบไวกิ้งลำนี้ได้มาจากสถานทูตสวีเดน อาตมาเพิ่งจะเห็นราคาว่าลงผิด ราคาจริงเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทไปตั้งเยอะ ป้ายยังติดอยู่เลย ในเมื่อลงไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วก็แล้วกัน ต้องชมว่าเขาเข้าใจทำ เล่นเอาเงินมาทำเป็นเรือทั้งลำ สถิตอยู่หน้าหิ้งพระมานานแล้ว กำลังรอดูอยู่ว่าจะไปอยู่บ้านไหน

ตามหลักฮวงจุ้ยของจีนแล้วแล้ว คำว่าเรือหมายถึงความเจริญ เพราะเรือจะต้องแล่นไปตลอดเวลา บ้านคนจีนเขาจะตั้งเรือเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ สมัยก่อนตอนตรุษจีนหรือปีใหม่ อาตมาจะหาของขวัญให้ตัวเอง ไม่ต้องรอคนอื่นให้ หาซื้อเอง โดยเฉพาะบูชาวัตถุมงคล ตรุษจีนแต๊ะเอียออกมีสตางค์เยอะ มีโอกาสบูชาวัตถุมงคลที่เราชอบได้

ก่อนหน้านี้ตลาดวัตถุมงคลอยู่สนามหลวง แถว ๆ รอบ ๆ ศาลอาญา อีกส่วนหนึ่งก็มาอยู่ที่วัดราชนัดดา แต่ละที่ล้วนแล้วแต่มีเยอะแยะเต็มไปหมด คราวนี้ส่วนที่ล้นจากสนามหลวงไปอยู่ท่าพระจันทร์ ส่วนหนึ่งมาอยู่วัดราชนัดดา ตอนหลังสนามหลวงโดนปิด วัดราชนัดดาก็เลิก ก็เหลือแต่ตลาดพระท่าพระจันทร์ ส่วนที่เหลือก็ปรับตัวใหม่ ยกขึ้นห้างไปเลย

ตลาดพระท่าพระจันทร์ยุคแรกไม่ได้อยู่ท่าพระจันทร์ แต่อยู่ในวัดมหาธาตุเลย รุ่นเก่า ๆ เขาไปส่องพระกันอยู่กันแถว ๆ รอบ ๆ ต้นอโศก บรรดาพระนิสิต มจร.รุ่นแรก ๆ ก็เลยพลอยเป็นเซียนพระไปด้วย เดี๋ยวนี้อาตมาไป คนที่เขาดูแลการจราจรที่นั่นก็ยังจำได้ แกหาที่จอดให้ได้ทุกครั้ง เก่งมากเลย แล้วความจำอะไรจะดีขนาดนั้น รถมาทุกคันดูเหมือนว่าแกจะจำได้หมด ต้องบอกว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว"

เถรี 13-01-2017 21:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามีโยมถามปัญหาว่าภาวนาแล้วไม่หลับทำอย่างไรดี ? ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ต้องบอกว่าไม่ต้องทำอะไร การภาวนาแล้วไม่หลับมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือเข้าถึงปีติ สภาพจิตจะสว่างโพลง ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ถ้าลักษณะอย่างนั้นให้กำหนดเวลาว่าเราควรจะพักช่วงไหน ไม่อย่างนั้นแล้วบางทีก็โหมหนักข้ามวันข้ามคืน สภาพร่างกายรับไม่ไหว มีหลายคนสติแตกไปก็มี

ประการที่ ๒ คือสภาพจิตเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานละเอียด จะรู้ลมหายใจเข้าออกเองโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นสติจะตื่นอยู่ทั้ง ๆ ที่หลับ ถ้าลักษณะอย่างนั้นอย่าไปกังวล เรามีหน้าที่กำหนดรู้กำหนดภาวนาของเราไป ส่วนร่างกายจะหลับไม่หลับก็เรื่องของมัน เพราะว่าร่างกายนอนอยู่ก็ได้รับการพักผ่อนอยู่แล้ว เพียงแต่จิตตื่นอยู่แล้วเราไปคิดว่าไม่ได้หลับ บางคนพยายามไปบังคับให้ตัวเองหลับ ท้ายสุดก็กลายเป็นฟุ้งซ่านใหญ่โต"

เถรี 13-01-2017 21:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังคงจะอยู่ในใจของชาวบ้านรุ่นเก่า ๆ ไปอีกนานแสนนาน แต่คราวนี้มีบางอย่างที่ต้องกล่าวถึง ถ้าเป็นอย่างสมัยพุทธกาลต้องถือว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า ก็คือบรรดาเว็บหลายแห่งไปลงเอาไว้ว่า "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำบอกไว้ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาเกิดเป็นรัชกาลที่ ๙" อาตมาอยู่กับหลวงพ่อมาทั้งชีวิต ไม่เคยได้ยินคำพูดของท่านอย่างนี้เลย

สิ่งที่หลวงพ่อท่านพูด ก็คือลักษณะที่พระพูด จะพอเหมาะ พอดี พอควร ต่อก็เกิน ตัดก็ขาด สมบูรณ์บริบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเสือกมาทะลึ่งขยายความ...! เพราะมีแต่จะเป็นการดึงฟ้าต่ำหรืออิงสถาบัน กลายเป็นว่าครูบาอาจารย์พูดอย่างนั้นเป็นการประจบสถาบัน แต่ก็มีพวกแสนรู้ที่พยายามจะบรรยายขยายความ โดยคิดว่ากูรู้...ต้องใช่ แต่ไม่ได้ดูความเหมาะสมอะไรเลย ลูกศิษย์ประเภทนี้เขาเรียกว่าโง่แล้วขยัน...! ในทางทหารเขาบอกว่าให้ฆ่าทิ้งให้หมด

ทางทหารเขาแบ่งคนเป็น ๔ ประเภท ประเภทที่ ๑ ก็คือโง่แล้วขี้เกียจ ประเภทที่ ๒ โง่แล้วขยัน ประเภทที่ ๓ ฉลาดแล้วขี้เกียจ ประเภทที่ ๔ ฉลาดแล้วขยัน ท่านบอกว่าพวกฉลาดแล้วขยันให้ส่งไปแนวหน้า พวกนี้จะสร้างผลงานได้ดีมาก พวกโง่แล้วขี้เกียจให้ส่งไปอยู่กับพวกฉลาดแล้วขยัน พวกที่ฉลาดแล้วขยันจะลากไปได้เอง ส่วนพวกฉลาดแล้วขี้เกียจให้อยู่แนวหลัง คอยวางแผนส่งไปให้พวกฉลาดแล้วขยันนั้นทำ ส่วนพวกโง่แล้ว
ขยันท่านว่าฆ่าทิ้งให้หมด มีแต่จะทำให้หน่วยงานพินาศย่อยยับในเวลาไม่นาน"

เถรี 13-01-2017 21:53

"ฉะนั้น...พวกเราพึงสังวรไว้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านพูดนั้น พอดี พอควร พอเหมาะแล้ว ต่อก็เกิน ตัดก็ขาด สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ในตัว ไม่ต้องเสือกขยายความโง่ด้วยการไปอวดฉลาด โดยการที่ไปฟันธง อาตมายืนยันว่าฟันไปก็ธงหัก...! เพราะถ้าคนพูดบอกเองว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แล้วตัวเองจะทำหน้าอย่างไร ? เพราะตัวเองก็ไม่ได้รู้เอง แต่ใช้วิธีตีความโดยการอนุมานเอา

หลายอย่างที่อาตมาพูดก็อยู่ในลักษณะเดียวกันว่า พอเหมาะพอดีในสถานการณ์แล้ว ไม่ต้องไปขยายความต่อ ถ้าใครโง่ฟังไม่เข้าใจก็ปล่อยให้โง่ต่อไป...! ตัวเองโง่แล้วอย่าดันไปขยัน เพราะว่าบางอย่างเป็นการกระทบสถาบัน อยู่ในลักษณะในการดึงฟ้าต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการทหารถือว่าน่ารังเกียจมาก

แต่เท่าที่อาตมาสังเกตมา พวกโง่แล้วขยันนี่มีมากเป็นพิเศษ มักจะอวดรู้อวดฉลาดอยู่เสมอ แล้วก็ทำให้สถานการณ์ที่ดี ที่เหมาะ ที่ควร สวยงาม พอเหมาะ พอดี พังบรรลัยไปทุกครั้ง
ตราบใดที่เรายังรู้ไม่จริง อย่าพยายามไปพูด ท่านที่รู้จริงท่านจะรู้ด้วยว่าควรพูดได้แค่ไหน ไม่ต้องไปไกลหรอก เว็บบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างเว็บพลังจิตนี่แหละ พวกแสนรู้มีเยอะเป็นพิเศษ...!"

เถรี 14-01-2017 21:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่โยมเห็นครอบแก้วอยู่หลังตู้หนังสือนั่น ปกติอาตมาจะตั้งเบี้ยแก้อยู่ แต่วันงานนี้ต้องเอาเบี้ยแก้ไปเก็บก่อนเพราะแพง มีเบี้ยแก้ประหลาดอยากจะให้ดูกัน เป็นเบี้ยแก้ของหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ไม่มีใครคิดว่าท่านจะทำเบี้ยแก้พอกครั่ง อาตมามีอยู่ ๔ ตัว ยังตัดใจปล่อยไม่ได้ เป็นของทำจำเพาะ รุ่นเดียวแล้วเลิกเลย

สมัยก่อนตอนอยู่บ้านสายลม ท่านเจ้ากรมเสริมฯ เอามีดหมอดาบฟ้าฟื้นของหลวงพ่อวัดท่าซุง วางบูชาไว้หน้าหิ้งพระอย่างนี้แหละ อาตมาดูแล้วว่าท่านเจ้ากรมฯ ไว้ใจคนเกินไป ก็เลยเอาไปเก็บไว้บนหลังตู้แทน ปรากฏว่าวันนั้นท่านออกมาไหว้พระ ถามว่าเห็นมีดหมอของผมไหม ? เรียนท่านว่าอยู่บนหลังตู้ครับ พอท่านเห็นว่าต้องให้อาตมาช่วยเก็บให้ท่าน คราวหลังท่านก็
เลยเก็บเอง ไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นช่วยระวังแทน

คนเราถ้าไม่มีโอกาสก็ไม่ทำผิด ถ้ามีโอกาสแล้วกำลังใจสู้กิเลสไม่ได้ก็จะทำผิด เพราะฉะนั้น...อย่าเปิดโอกาสให้คนอื่นเขาได้ทำผิด เพราะจะกลายเป็นว่าเราสนับสนุนให้เขาทำชั่ว หลวงพ่อสมศรีท่านบอกว่า "อย่าขัดใคร อย่าทำตามใคร อย่าทำตามใจตัวเอง ให้ทำตามของคำสอนพระพุทธเจ้า"

เถรี 14-01-2017 22:01

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนอาตมาถวายการรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าอยู่หลายสิบรูป เนื่องจากว่าเป็นเด็กวัยรุ่นวิ่งคล่อง ๆ ท่านก็เรียกใช้ โดยเฉพาะว่าไม่กลัวพระ เด็กบางคนจะกลัวพระ อย่างหลวงพ่อวัน วัดภูผาเหล็ก (วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม) ท่านล่ำสันสูงใหญ่ เด็ก ๆ บางคนเห็นตกใจวิ่งหนีเลย ถ้าหากว่าเปรียบกันแบบชนิดที่ไม่เกรงใจ ก็คือคิดว่าองคุลีมาลเดินมา

สมัยของอาตมา เด็ก ๆ จะโดนขู่ว่าเดี๋ยวโดนพระธุดงค์จับไป พอพระธุดงค์ห่มผ้าจีวรสีกรักออกดำ ๆ เดินมา เด็ก ๆ วิ่งหนีหมดแหละ แต่อาตมาไม่กลัว ในเมื่อไม่กลัวก็เข้าไปถวายการรับใช้ท่าน ต้องการน้ำใช้ น้ำฉันอะไร เวลาท่านบอกก็ทำได้คล่องตัว ท่านจึงชอบใจ

ตอนแรกที่ยังไม่รู้ เห็นหม้อกรองน้ำมีผ้าโปร่งติดข้างบน แล้วข้างใต้ก็มีท่อน้ำไหลอยู่ ด้วยความที่ไม่รู้ ก็จัดการตักน้ำเสร็จก็เปิดให้ไหลลงทางด้านใต้ ท่านบอกว่า "ไม่ใช่..! กรองน้ำเสร็จแล้วให้เทกลับทางเดิมอีกทีหนึ่ง เป็นการกรองซ้ำ" แปลว่าให้เทออกทางปาก ไม่ให้เทออกทางก้น แต่คนโดยทั่ว ๆ ไปจะกรองครั้งเดียว ส่วนของพระสายวัดป่าท่านให้กรองซ้ำ ที่กรองน้ำเพื่อป้องกันพวกลูกน้ำอะไรติดเข้าไป แล้วจะเผลอฉันเข้าไปด้วย

อีกอย่างหนึ่งในป่านั้น พวกปลิงพวกทาก บางทีก็อยู่ในน้ำ อันตรายเหมือนกัน ไปรู้จักวิธีการล้างบาตร เช็ดบาตร ผึ่งบาตร ก็ตอนที่ท่านให้ทำถวายนั่นแหละ ตอนไปใหม่ ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก"

เถรี 14-01-2017 22:05

"สมัยโน้นพอเห็นท่านปฏิบัติเคร่งครัด แล้วเรื่องปาฏิหาริย์บางอย่างท่านก็ทำเป็นปกติ จึงมีความรู้สึกว่า ถ้าเราบวชก็จะบวชกับพระสายวัดป่านี่แหละ มีโอกาสเจออยู่หลายรูป แต่ปรากฏว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร พอหลวงปู่ฝั้นมรณภาพในปี ๒๕๒๐ อาตมารู้จักหลวงพ่อฤๅษีฯ ปี ๒๕๑๘ เหมือนกับว่าท่านส่งช่วงต่อกัน

ปี ๒๕๑๘ รู้จักหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็เริ่มหันมาฝึกปฏิบัติทางสายวัดท่าซุง เพราะว่าสายวัดป่าเหมือนกับให้พวกเราหากินเอง ติดขัดตรงไหนแล้วค่อยไปถามท่าน แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนี่ท่านทำเตรียมไว้ให้แล้ว ตักใส่ปากอย่างเดียวเลย

พอ
วันที่ ๓ มกราคม ปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ พระราชทานเพลิงเสร็จ ปี ๒๕๒๑ อาตมาก็ได้ฝึกมโนมยิทธิพอดี จากที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านไม่ได้เปิดฝึกมานานเป็นสิบ ๆ ปี พอเปิดฝึกมโนมยิทธิ อาตมาฝึกได้ก็เลยติดหนึบมาทางด้านนี้ ทางด้านโน้นก็นาน ๆ โผล่ไปกราบครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านว่าอะไร เพราะว่าตอนช่วงนั้นนี่ส่วนใหญ่แต่ละท่านดังมากแล้ว พอดังมากบรรดาลูกศิษย์เข้าไปถวายการรับใช้ก็มีมาก

อาตมารู้จักหลวงพ่อวิริยังค์ตั้งแต่ท่านยังเป็นพระหนุ่ม ๆ อยู่ ตอนนี้ท่าน ๙๐ กว่าปีแล้ว ไปเจอกันครั้งสุดท้ายในงานทำบุญอายุ ๘๕ ปีหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ก็ไปกราบท่าน เรียนว่า "หลวงปู่...ผมบวชได้เท่านี้พรรษาแล้ว" ท่านก็ว่า "หรือ... ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ?" เรียนท่านว่า "ลูกแม่ฮวยครับ" ท่านก็ "อ๋อ" ท่านจำแม่ได้ อาตมาเป็นเด็กก็โตไปเรื่อย แต่ถ้าเอ่ยชื่อคนแก่ท่านจะจำได้ง่าย"

เถรี 14-01-2017 22:08

"ตอนหลวงปู่อายุ ๗๐ กว่าจะ ๘๐ ยังเดินขึ้นเจดีย์เป็นว่าเล่นเลยนะ โอ้โฮ...แข็งแรงจริง ๆ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นเณร อายุตอนนี้ ๙๐ กว่า ทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นเณร

ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นเวลาแสดงธรรมเสียงท่านเบา ต้องตั้งใจเงี่ยหูฟังถึงจะได้ยิน คราวนี้บรรดาครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่ขึ้นไปกราบเรียนปรึกษาข้อธรรม ขอความรู้เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ใจ ว่าติดขัดแบบโน้น ติดขัดแบบนี้ ต้องแก้ไขอย่างไร ? ท่านเองมีหน้าที่ต้มน้ำถวายพระเถระก็ต้มไป แล้วก็แอบฟัง เงี่ยหูฟังลอดกระดานอยู่ใต้ถุนกุฏิ ต้มน้ำอยู่ใต้ถุนกุฏิ ปรากฏว่าฟังเพลิน หันมาอีกทีหม้อพังไปแล้ว น้ำเดือดจนแห้งหม้อดินแตกไปเลย

โอ้โฮ...กลัวท่านว่าเสียจนกระทั่งบอกไม่ถูก แทบจะหอบบาตรหนีเลย เรียนถามว่าทำไมกลัวขนาดนั้น ? ท่านว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน สมัยก่อนกลัวพระมาก แต่ท่านจะไม่ดุถ้าเราไม่ทำผิดอะไร แต่ถ้าทำผิดท่านจะดุแบบไม่ไว้หน้า ก็คือจะดุให้จำตลอดชีวิตเลย แล้วท่านก็กลัวมาก บอกว่าแทบจะหอบบาตรหนี ท่านว่าอย่างนั้น ยังดีที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า เณรไปหาหม้อใหม่มา ไปขอหม้อโยมในหมู่บ้านมา ก็เลยไปบอกโยมว่าหลวงปู่มั่นขอหม้อต้มน้ำใบหนึ่ง โยมก็หาหม้อดินใหม่ให้ ได้มาค่อยยังชั่วหน่อย รู้สึกว่ารอดตาย มัวแต่เงี่ยหูฟังธรรมจนลืมงานตัวเอง

ตั้งใจฟังประสบการณ์ของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ท่านบอกว่าเรื่องของจิตบางท่านโลดโผนพิสดารมาก ฟังจนเพลิน ลืมหมดทุกอย่าง บางท่านก็โชคดีนะ เจอครูบาอาจารย์ตั้งแต่เป็นเณรเล็ก ๆ บางท่านก็มาเจอเอาตอนแก่แล้ว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:59


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว