เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔
ถาม : มีหลักเกณฑ์การแปลงหน้าตักของพระที่นั่งว่า ถ้าเป็นพระยืนแล้วจะต้องมีความสูงเท่าไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่ขนาดหน้าตักพระนั่ง ความสูงขององค์พระจะประมาณ ๒ เท่าครึ่งของหน้าตัก จะไม่เกินนั้น ถ้าเกินนั้นจะเสียส่วนไป ถ้าพระยืนความสูงจะเป็น ๘ เท่าของฐานอย่างน้อย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้ส่วน เพราะฉะนั้น..อะไรที่แหกคอกก็อย่าไปทำ ทำทั้ง ๒ อย่างไปเลยก็หมดเรื่องหมดราว อยากสร้างพระยืนก็สร้าง แล้วก็สร้างพระนั่งไปด้วย ถาม : หนูไปอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีฯ เจอว่ามีสวนบนพระนิพพาน แต่สวนของท่านจะบรรยายว่าเป็นแก้ว แต่ที่หนูเห็นมาจะเป็นใบ ๆ ดอก ๆ เลยค่ะ ตอบ : เห็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น เพราะข้างบนพระนิพพานนั้น เราต้องการอะไรอย่างนั้นก็มา ไม่ต้องการท่านก็ไป ท่านว่าง่าย ไม่ดื้อหรอก คิดต้องการอะไรสิ่งนั้นก็มา หมดความต้องการสิ่งนั้นก็ไป ถาม : หนูไปเจอแต่ไม่ได้คิดอะไรเลย แสดงว่าเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ตอบ : แสดงว่าเราเคยมีความชอบอย่างนั้นมาก่อน ท่านก็เลยจัดให้ |
ถาม : แต่ก่อนหนูจะรู้สึกว่าไม่อยากตาย เพราะว่าตัวเองยังปฏิบัติไม่ถึงไหนเลย ถ้าตายไปแล้วคงจะแย่แน่ แต่ช่วงหลังจะมีความคิดเปลี่ยนไปว่าตายก็ดีเหมือนกัน ตายเร็วก็ดีเพราะอยู่ไปก็น่าเบื่อมีแต่ทุกข์
ตอบ : เอาอีกนิดหนึ่ง การปฏิบัติถ้าอยากตายยังไม่ใช่ของดี เพราะว่าการอยากตายนั้นแฝงไว้ด้วยกิเลสมาก นักปฏิบัติที่แท้จริงพอทำไปถึงระดับหนึ่งไม่ได้อยากตาย แต่พร้อมที่จะตาย ต่างกันมากเลยนะ เพราะถ้ายังอยากตายนี่อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็ม ๆ อยู่เลย ดังนั้น..ตายเมื่อไรก็ไปไม่ดีหรอก มีนักปฏิบัติอยู่จำนวนมากต่อมากด้วยกันที่คิดว่าปฏิบัติถึงระดับที่อยากตายแปลว่าดีแล้ว ขอยืนยันว่าไม่ดีแน่ ถาม : จากนั้นหนูก็มานั่งนึกว่าทำไมความคิดถึงได้เปลี่ยนไป ? ตอบ : เป็นไปตามสิ่งที่เราสั่งสมมา สติ สมาธิ ปัญญาสูงขึ้น มุมมองก็กว้างขึ้น การรู้เห็นก็มากขึ้น และการรู้เห็นที่ถูกต้องก็มีมากขึ้น ถาม : หนูก็มานั่งนึกว่า จะเป็นเพราะหนูคิดมั่นใจว่าตายแล้วต้องไปดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี่หรือเปล่า ? แล้วหนูกำลังโดนหลอกอยู่หรือเปล่า ? ตอบ : มีส่วนโดนหลอก บอกแล้วว่ากิเลสยังเต็มที่อยู่ |
ถาม : ตอนภาวนาแล้วหลุดออกไป อยากจะเห็นตัวเอง หนูเคยพยายามก้มลงมองก็เห็นแต่ส่วนล่าง
ตอบ : ไม่ต้องก้ม กำหนดนึกถึงว่าสภาพตัวเราเป็นอย่างไร เราจะเห็นทั้งตัว เห็นรอบด้าน ไปก้มก็เห็นแต่ตีนสิ..! ถาม : แต่ละครั้งลักษณะก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วยใช่ไหมคะ ? ตอบ : ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตตอนนั้นว่าบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์มากน้อยเท่าใด ถาม : หนูมีปัญหาเกี่ยวกับการจับลมหายใจค่ะ ปกติหนูจะพยายามรู้ลมอยู่ตลอด ทีนี้เวลายกจิตขึ้นไป หรือภาวนาแล้วหลุดออกไป หนูก็คอยแต่จะกลับมาจับลม ยิ่งตอนหลังระแวงยิ่งหล่นลงมาเร็วใหญ่เลยค่ะ ตอบ : ถ้าไปแล้วไม่ต้องคิดถึงลมหายใจ การที่เรายกจิตไป เราไปด้วยกำลังที่สูง การนึกถึงลมหายใจเท่ากับเรากลับมาตั้งต้นนับ ๑ ใหม่ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวแล้วไม่ต้องไปสนใจลมหายใจ ประเภทจบปริญญาแล้วกลับมาเริ่มต้น ก.ไก่ ทุกทีก็เจริญ..! กลับมา ก.ไก่ เมื่อไรก็ร่วงเมื่อนั้น |
ถาม : สมัยโบราณ พระที่ท่านธุดงค์ท่านใช้จีวรสีกรักเหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : บางท่านที่ขี้เกียจเปลี่ยนจีวรสีกรัก ท่านก็ใช้สีเหลืองนั่นแหละ เขามานิยมสีกรักในตอนหลังก็เพราะว่าเปื้อนยาก แต่บางท่านก็ไม่ห่วงเรื่องความเปื้อน อาตมาก็เคยลุยด้วยสีเหลืองอยู่หลายป่าเหมือนกัน ถาม : แล้วสีกรักของโบราณจะแดงกว่าสีกรักสมัยนี้ไหมคะ ? ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตผ้าแค่ ๓ สีเท่านั้น ก็คือ สีเหลืองที่ย้อมจากน้ำขมิ้น สีเหลืองเจือแดงเข้มเพราะย้อมด้วยลูกรัง อย่างของท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านหาไม้มาเพื่อย้อมไม่ได้ ท่านก็เลยใช้ลูกรังต้ม คราวนี้จีวรสีเดิมเหลืองอยู่พอไปผสมกับน้ำลูกรังสีแดงเข้า ก็เลยกลายเป็นสีกลาง ๆ ระหว่างเหลืองกับแดง อีกอย่างก็คือผ้าย้อมน้ำฝาดประเภทแก่นขนุน จะออกมาเป็นสีกรัก ฉะนั้น...จะมีแค่สีเหลือง สีกรัก และสีเหลืองเจือแดงเข้ม ๓ สีเท่านั้น อย่างไรเสียก็ไม่ไปเกินกว่านี้ ถ้าเกินมาแปลว่าผิดพระวินัย..! |
พระอาจารย์ได้อธิบายเกี่ยวกับนิยายที่หวงอี้แต่ง ว่าทำไมจะต้องรอให้ถึงจุดอับแล้วฝีมือจึงค่อยรุดหน้า "คนเราถ้าไม่ถึงจุดอับ ศักยภาพจะไม่แสดงออกมา แบบเดียวกับนักปฏิบัติ ถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่รู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร
นักปฏิบัติอย่างเรา ถ้าทำไปเรื่อย ๆ บางทีก็ไม่รู้ว่าตนเองไปถึงไหน แต่พอใกล้ตายขึ้นมา อารมณ์ตอนนั้นรวมตัว จะรู้เลยว่าเรามีต้นทุนเท่าไร พูดง่าย ๆ ว่า ร้อยละ ๙๙ ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ตกอยู่ในที่ลำบากก็ไม่ดิ้นรนเต็มที่ ถ้าดิ้นรนเต็มที่ ก็จะรู้ว่าส่วนที่เราเก็บสะสมเอาไว้มีเยอะกว่าที่คิด เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้" ถาม: อย่างท่านเองเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอมีมากกว่าแล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรอ คำว่ามีมากกว่าก็คือ สิ่งที่เราทำได้มีมากกว่าสถานการณ์ที่ต้องใช้ ก็ไม่ต้องไปรอจุดอับ ไม่ต้องดิ้นแล้ว แค่ขยับเพิ่มขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้นเอง |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนขณะกำลังเดินทางกลับจากเชียงใหม่ อาตมาภาวนาไปเรื่อย ๆ เห็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านโผล่มาอยู่ข้าง ๆ ก็เลยถามว่าท่านมาทำไม ? ท่านบอกว่าวันนี้ว่าง..มีเวลาว่างกับเขาเหมือนกัน ในเมื่อว่างท่านก็เลยมาช่วยดูแล
จึงถามท่านท้าววิรูปักษ์ว่า จะมีวิธีไหนที่ทำให้อาตมามั่นใจเห็นว่าปลอดภัย ท่านก็สลัดอาวุธท่านออกไป พุ่งนำหน้าเหมือนกับยิงจรวดนำวิถีเลย ตั้งแต่ตรงจุดที่กำลังเดินทางอยู่จนถึงปลายทางนี่ราบเป็นหน้ากลอง ท่านแสดงให้ดูว่าจะไม่มีอุบัติเหตุหรือมีอะไรขวางได้ ต้องปลอดภัยแน่นอน อาตมาก็ อ๋อ..ที่แท้จรวดนำวิถีนี่เขามีมานานแล้ว ความจริงท่านไม่ได้ว่างหรอกนะ ท่านรับผิดชอบงานมหาศาล ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีงานที่เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์โดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องดูแลสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา อำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลที่ท่านบำเพ็ญกุศล ดูแลรักษาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่เป็นสมบัติของแผ่นดิน ที่สำคัญก็คือ รับบัญชีบันทึกบุญบาปของชาวบ้านไปส่งให้ปัญจสิกขเทพบุตร ดังนั้น..เทวดาชั้นจาตุมหาราชจะมีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เยอะมาก เพราะเป็นหน้าที่ท่านโดยตรง เราถึงได้เรียกท่านว่า โลกบาล หรือ โลกะปาละ ผู้รักษาโลก" |
ถาม : เวลานำท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ไปตั้ง ต้องหันหน้าเหมือนพระ คือหันไปทางทิศตะวันออกเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แบบเดียวกัน เอาปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าตั้งท่านบนหิ้งพระก็ให้ท่านต่ำกว่าพระนิดหนึ่ง อย่างของอาตมาจะมีโต๊ะหมู่ตัวใหญ่ และมีตัวเล็กอีก ๙ ตัว ๙ ตัวนั้นก็ตั้งพระพุทธบ้าง ตั้งพระสงฆ์บ้าง ท่านท้าวมหาราชเราก็ตั้งไว้ที่บนโต๊ะใหญ่ ข้างหน้าสุดเลย ท่านแม่ก็อยู่ด้านหนึ่ง ท้าวมหาราชก็อยู่ด้านหนึ่ง พอดีได้ที่เลย จริง ๆ ท่านแม่จะเอาขึ้นไปเสมอพระสงฆ์ก็ได้เพราะท่านไปพระนิพพานแล้ว แต่ว่าในรูปลักษณ์ที่สร้างขึ้นมา คนที่ไม่รู้เขาจะตำหนิเอาได้ เพราะฉะนั้น..จะทำอะไรต้องเกรงใจคนบ้าง อย่าให้ตัวเราต้องไปสร้างโทษให้คนอื่นเลย ถาม : อย่างพระนารายณ์ทรงฤทธิ์ของวัดเขาวง เอาไว้ระดับเดียวกันได้ไหมคะ ? ตอบ : ได้จ้ะ ท่านเป็นเทวดาเหมือนกัน |
ถาม : แล้วอย่างฮก ลก ซิ่ว ของจีนเล่าคะ ?
ตอบ : ฮก ลก ซิ่ว นี่มีตัวจริงบ้างไม่มีตัวบ้าง แต่ในเมื่อเขาเคารพเขาเชื่อถือ ก็ตั้งไปเถอะ อยู่ระดับเดียวกันได้ไม่เป็นไร เพราะนั่นก็ถือเป็นเทพที่คนจีนเขาเคารพอยู่เหมือนกัน ฮก คืออำนาจวาสนาบารมี ลก คือความร่ำรวย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ซิ่ว คืออายุวัฒนะ ปราศจากโรค คนจีนเขาถือว่ามีครบ ๓ อย่างนี้ จัดเป็นความสุขสุดยอดของมนุษย์แล้ว แต่อย่างท้ายนี่ยากหน่อย ถ้าไม่ได้สร้างบุญมาดีจริง ๆ อย่างพระพากุลเถระ ไม่มีทางที่จะปราศจากโรคได้ แพ้เหล่าโจ้วที่เป็นเซียนอายุวัฒนะ ท่านอายุได้ ๘๐๐ ปี ลูกก็ตาย หลานก็ตาย เหลนก็ตาย โหลนก็ตาย ส่วนตัวเองยังอยู่ ท่านเบื่อเต็มทีไม่มีคนคุยรู้เรื่องแล้ว ท่านก็เลยไปดีกว่า บันทึกเขาเขียนว่าท่านเดินหายเข้าป่าไปเฉย ๆ หากว่าใครมีความสามารถถึงขนาดปรับธาตุตัวเองได้อย่างท่าน ก็ยืดอายุให้นานได้ แต่ถ้าไม่อยากลำบากก็อย่าไปทำเลย อยู่นานยิ่งหาคนคุยด้วยได้ยาก ฮก อำนาจวาสนาบารมี ก็ต้องพุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต บูชาพระพุทธเจ้า ลก ร่ำรวย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เอารวยอย่างเดียวนะ ก็ต้อง สังฆะปูชา มะหาโภคะวะโห การบูชาพระสงฆ์ ถือว่าจะส่งผลให้สำเร็จไปด้วยโภคสมบัติต่าง ๆ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่การบูชาพระสงฆ์ ก็คือ เราถวายอามิสทาน โดยเฉพาะเรื่องของการใส่บาตร แต่ซิ่วนี่ต้องไปที่ศีลอย่างเดียวเลย รักษาศีลดีอายุยืนนาน ผู้ไม่มีปาณาติบาตย่อมไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีอายุยืนนาน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมบุญจึงมีความอัศจรรย์ส่งผลได้มากขนาดนั้น ? เพราะว่าบุญอยู่ในลักษณะทวีคูณ ยิ่งสภาพจิตของผู้รับบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็เหมือนกับคนแข็งแรง
สมมติว่าคนแข็งแรงหยิบของชนิดหนึ่ง แล้วขว้างออกไป อย่างเราขว้างได้แค่ใกล้ ๆ แต่ท่านสามารถขว้างไปไกลลิบเลย คือส่งผลให้มากขึ้นตามกำลังของท่าน ฟัง ๆ ดูในเรื่องของบุญ บางทีก็เหมือนกับโฆษณาชวนเชื่อ แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่า ส่วนที่เขาทำนั้นจำเป็นที่จะต้องเลือกเนื้อนาบุญ ทั่ว ๆ ไปเราเห็น เราเจอ เราสามารถทำได้ ให้ทำไปเลย ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่ถ้ามีโอกาสประกันความเสี่ยง มีให้เลือกได้ เราก็เลือกทำกับเนื้อนาบุญที่ดี พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำได้ทุกที่ ทำไปเถอะ แต่ตรงไหนที่เรามั่นใจเราก็เป็นขาประจำหน่อย" |
ถาม : ถ้าทิศตะวันออกกับทิศเหนือเราตั้งพระหมดแล้ว สามารถตั้งพระทิศตะวันตกกับทิศใต้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ควรเสี่ยง แต่จะลองดูก็ได้ จะได้รู้ผล ถาม : อย่างไรก็ควรพยายามหาทิศตะวันออกให้ได้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : เราจะเชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องลอง..! เกิดผลอะไรขึ้นจะได้พูดเต็ม ๆ ปาก ว่าลองมาแล้ว ถ้าหากหามุมไม่ได้อีกแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าหามาเพิ่ม..! |
ถาม : บางครั้งเวลาใช้มรณานุสติแล้วผมกดโทสะไม่อยู่ สองสามวันก่อนผมโกรธมาก ถ้าเราตายไปตอนนี้..?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง ลงนรกแน่นอน..! ถาม : ทุกครั้งเอาอยู่ แต่ครั้งนี้คิดว่าเรายังไม่ตาย ขอก่อน ขอโกรธก่อน มีวิธีแนะนำไหมครับ ? ตอบ : มี..อย่าให้อารมณ์ถึงที่สุด รีบเผ่นออกจากสถานการณ์นั้นก่อน นึกถึงที่หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกว่า หัดเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเอาแต่เป็นนักรบอย่างเดียว สถานการณ์ที่รบแล้วตายอย่างเดียวแล้วยังรบอยู่ เขาเรียกว่าโง่..! ชัดไหม ? เราไม่ยอมออกจากเหตุการณ์ก็ต้องระเบิดอารมณ์จนได้ สมัยก่อนตอนที่อาตมาสู้กับพวกนี้อยู่ อาตมาไม่เกรงใจใครหรอก ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ทำให้เกิดโทสะ ก็จะหันหลังเดินหนีไปเลย ใครจะว่าเสียมารยาทก็ช่างหัวมัน ต้องเอากำลังใจของตัวเองไว้ก่อน ยังดีนะที่คุณยังคิดถึงมรณานุสติได้ ถ้าเป็นอาตมาสมัยก่อนไม่เสียเวลาคิดหรอก ลงมือไปแล้ว..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครดูข่าวที่หมาคาบเอาใบไม้มาแลกข้าวบ้าง ? เขาเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นหมา ยังเคยชิน มีหิริโอตตัปปะอยู่ ว่าไม่ควรเอาของใครฟรี ๆ พอคนให้อาหารเขาก็ไปคาบใบไม้มาให้
หมาที่วัดท่าขนุนก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ทำแบบนี้เหมือนกัน พอถึงเวลาเขาจะเอาใบไม้มาแลก ใบไม้ต้องเป็นใบสะอาดด้วยนะ ใบไม้สกปรกเขาไม่เอามา ความรู้สึกของเขายังเป็นคนอยู่ เหมือนกับว่าเวลาไปตลาดแล้วซื้อของต้องจ่ายเงิน เขาจึงหาใบไม้มาแลก จะเอาอย่างอื่นมาแลกก็หาไม่ได้" |
ถาม : แกะทองที่เลี่ยมพระเครื่องออกไปขาย จะมีโทษหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเจตนาแรกตั้งใจทำถวายเป็นพุทธบูชาแล้วไปแกะทองออก อย่างนั้นจะมีโทษ ถ้าตอนแรกไม่ได้เจตนาก็ไม่เป็นไร |
ถาม : อภัยทานกับธรรมทาน อย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ ในทานทั้งหลาย ธรรมทานนั้นชนะทานทั้งปวง ในรสทั้งหลาย รสแห่งธรรมนั้นชนะรสทั้งปวง |
ถาม : อภิสังขารมารคืออะไรครับ ?
ตอบ : อภิสังขารมาร แปลว่าสิ่งที่ยิ่งกว่าการปรุงแต่ง ก็คือในส่วนของบุญบาปที่เป็นมารได้ อย่างเช่นว่า เราสร้างบุญ แล้วสิ่งที่ตอบแทนมาเป็นความดี ความสุข เราก็เพลิดเพลินติดอยู่แค่นั้น ทำให้เข้าถึงมรรคผลไม่ได้ เราสร้างบาป ก็พาเราตกต่ำลงสู่อบายภูมิ เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ เท่ากับขวางเราจากทางของความดี เขาก็เลยเรียกว่าอภิสังขารมาร เพราะถือว่าเป็นผู้ขวางหรือผู้ฆ่าเราจากความดีเหมือนกัน ถาม : มีโทษมากไหมครับ ? ตอบ : แค่ไปนิพพานไม่ได้เท่านั้นแหละ ไม่มากหรอก..! |
พระอาจารย์เล่าเรื่องอาฬวกยักษ์ให้ฟังว่า "อาฬวกยักษ์อยู่ที่เมืองอาฬวี พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด เหล่าบรรดาบริวารของอาฬวกยักษ์ได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเข้าไปยังสำนัก เหมวตยักษ์กับสาตาครียักษ์ผ่านไปเห็นก็ทำความเคารพพระพุทธเจ้าแล้วรีบไปยังสถานที่ประชุม ไปบอกอาฬวกยักษ์ว่า ลาภใหญ่กำลังเกิดกับท่านแล้ว พระสมณโคดมไปเยือนสำนักของท่าน
ปรากฏว่าอาฬวกยักษ์ไม่ได้รู้สึกดีใจ รีบกลับไปยังสำนักตนเพราะมียักษ์สาว ๆ อยู่เยอะ กลัวพระพุทธเจ้าจะพาไปหมด ต้องบอกว่ากำลังใจของคนที่ต่างกันทำให้คิดต่างกันจริง ๆ พออาฬวกยักษ์เข้าไปถึงเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ข้างใน บรรดาสาวสรรกำนัลในของตัวเองกำลังปรนนิบัติเต็มที่ ไปถึงก็ไล่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เดินออกไป เดินไปได้ครึ่งทางอาฬวกยักษ์ก็แปลกใจ ไหนว่าพระสมณโคดมมีอำนาจ ครอบงำตั้งแต่ภควพรหมลงมา พอเราไล่ทำไมไปง่าย ๆ อย่างนี้ ? อาฬวกยักษ์จึงบอกให้พระพุทธเจ้ากลับมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็เดินกลับมา อาฬวกยักษ์ก็งงอีก พระพุทธเจ้าสั่งง่ายขนาดนี้เลยหรือ ? จึงไล่อีก ท่านก็ไปอีก" |
"เมื่อเป็นดังนั้น อาฬวกยักษ์จึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าเข้าไป และตั้งปัญหาถาม ปัญหามีหลายข้อด้วยกัน อย่างเช่นว่า การข้ามโอฆะ (ห้วงน้ำแห่งกิเลส) ต้องทำอย่างไร ? พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ อาฬวกยักษ์จึงกลายเป็นพระโสดาบัน
ที่เล่ามานี่จะบอกว่าอาฬวกยักษ์ท่านไปพระนิพพานแล้ว สมัยพุทธกาลท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนที่ท่านจะไปพระนิพพานท่านก็แวะมากราบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่ามาขอลาไปพระนิพพาน แล้วท่านก็ดึงผ้าพันคอของท่านที่ใช้เป็นอาวุธ ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ใช้งาน หลวงพ่อวัดท่าซุงถามท่านว่า มีอานุภาพอย่างไร ? ท่านบอกว่า "ถ้าขว้างลงไปกระทบพื้นก็เป็นไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก.." หลวงพ่อบอกว่า "เชิญเอากลับไปเถอะ ไอ้ของระยำอย่างนี้ ข้าไม่เอาหรอก มันรุนแรงเกินไป" อย่าลืมว่านั่นเป็นแค่ยักษ์ระดับมหาอำมาตย์เท่านั้น ยังไม่ใช่องค์จตุโลกบาลนะ แล้วถ้าเป็นระดับมหาราชของท่านทั้งหลายเหล่านี้ อาวุธของท่านจะมีศักดานุภาพขนาดไหน ? ฉะนั้น..โลกมนุษย์ของเรานี่ไม่พอให้ท่านใช้เท้าเหยียบข้างหนึ่งหรอก" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบมุดเข้าไปในซอกเล็กซอกน้อย ผู้ใหญ่เขาเตือนว่า "ระวังผีจะลักซ่อนนะ.." แต่ก็ไม่กลัวหรอก มุดเข้าไปทุกที่ แต่ว่าเพื่อนบ้านใกล้ ๆ โดนเหมือนกัน หายไปอยู่ ๒ วัน ตามหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตอนหลังพระท่านช่วย ทำน้ำมนต์พรมเสร็จก็เห็นเข้าไปนอนอยู่ในสุ่มไก่ มุดเล่นอยู่ในสุ่มไก่ นอนอยู่เฉย ๆ ๒ วัน
พอถามเขาก็บอกว่าเล่นซ่อนแอบอยู่ มีคุณอา..ไม่รู้คุณอาอะไรของเขา มาชวนไปบ้าน มีขนมให้กิน บ้านคุณอาเขาสวย มีสวนสวย ๆ ไปตลอดทาง กินขนมเสร็จคุณอาก็บอกว่า "กลับบ้านเถอะ แม่กำลังหาอยู่ ๒ วันแล้ว" เวลาต่างกันขนาดนั้น นั่นกินขนมแค่พักเดียวแล้วก็กลับบ้าน" ถาม : ถ้าไม่กลับมาจะเป็นอย่างไร ? ตอบ : ถ้าหมดอายุก็ไปเลย ถ้าไม่หมดอายุก็เป็นลักษณะนอนเงียบไปเฉย ๆ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะว่าสภาพร่างกายที่ออกไปลักษณะอย่างนั้น เหมือนกับการออกไปด้วยกำลังของฌาน ๔ กำลังฌานช่วยรักษาร่างกายได้ |
ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันมาเขาก็ไม่มาชวนหรอก โบราณเขากลัวผีลักซ่อนก็คือลักษณะนี้ ถึงเวลาเขาก็บังตาไว้ แบบเดียวกับที่เขาใหญ่ตรงจุดใกล้ ๆ เหวสุวัต เขาทำเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ปรากฏว่าเด็กหายไปคนหนึ่ง มีพนักงานป่าไม้ผู้อาวุโสบอกให้จุดธูป ๕ ดอกปักลงดิน ขอเจ้าพ่อที่ศาลตรงนั้นให้หาเด็กเจอ
จริง ๆ เด็กก็อยู่แถวนั้นแหละ คนเดินไปเดินมาอยู่ตลอด เด็กนั่งอยู่ตรงลานหินใกล้ ๆ กับสระน้ำ ตอนเขาหากัน เด็กก็เห็นคนเดินไปเดินมาอยู่ แต่พอคนตะโกนเรียก เด็กเขาบอกว่าไม่ได้ยิน เขาไม่คิดว่าคนมาหา คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวมาเดินธรรมดา เขารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียวเอง แต่ปรากฏว่ากินเวลาไปวันกว่าเกือบ ๒ วัน สมัยก่อนเรื่องลี้ลับของป่ามีเยอะ พอสมัยใหม่แค่เรื่องไฟฟ้าเรื่องเดียวทำให้ผีหายไปเกินครึ่ง เพราะว่าไฟฟ้าวิ่งด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้งต่อวินาที เท่ากับสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา เมื่อผีเขาจะแสดงร่างเขาให้เราเห็น เขาต้องรวบรวมกำลังดึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ รอบข้างมารวมเป็นตัวหยาบ แต่พอไฟกระพริบ ๆ กลายเป็นพลังงานกระแทกกระจายไป จึงทำให้ผีเขารวมไม่ติด ที่โบราณเขาบอกให้เปิดไฟนอนแล้วผีไม่หลอกนี่เป็นเรื่องจริง แต่หมายถึงผีที่มีฝีมือต่ำ ๆ นะ ถ้าไปเจอระดับด็อกเตอร์ผีเข้า เที่ยง ๆ เขาก็มาได้ ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าระยะหลังผีหลอกคนน้อยลงเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะดึงเอาดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมเป็นตัวได้ กำลังไฟที่สะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทำให้โมเลกุลเกาะกันไม่ติด นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วนะ ถาม : แล้วถ้าอย่างเป็นไฟกองใหญ่ ๆ ? ตอบ : เหมือนกันแหละ ลักษณะเดียวกัน เพราะเปลวไฟที่สะบัดพรึบ ๆ ตลอดเวลา ส่งพลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอด โดยเฉพาะว่าทำให้ดิน น้ำ ไฟ ลม ตรงนั้นไม่สมดุลกัน ในเมื่อไม่สมดุลกัน คุณจะประกอบร่างท่าไหน คิดจะเอาดินมาปั้นตรงนั้นก็เหลือแต่ไฟล้วน ๆ |
ถาม : เวลาที่เราอ่านนิยายแล้วเรามีอารมณ์รู้สึกคล้อยตามตัวละครในเนื้อเรื่องไปด้วยนี่ ?
ตอบ : มีการปรุงแต่งด้วย เรียกว่าใส่อารมณ์ตาม จิตสังขารนี่ตัวแสบเลย ยิ่งปรุงแต่งมากโอกาสที่เราจะติดอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลงก็ยิ่งมาก สังเกตไหม ? บรรดานางร้ายเข้าไปในตลาดแล้วโดนรองเท้าตบ นั่นเขาปรุงเกินเหตุ เรื่องในจอแท้ ๆ คิดว่าเป็นเรื่องจริง ถาม : เราไม่ชอบตัวละครตัวนี้ ? ตอบ : ก็แปลว่าอารมณ์ใจของเราไปปรุงแต่งตามโดยไม่รู้ตัวแล้ว ความรักชอบเกลียดชังถึงได้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าชอบก็เป็นราคะ ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสะ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถาม : แล้วจะสนุกได้อย่างไรละคะ ? ตอบ : ถ้าไม่ปรุงก็ไม่สนุก ทุกวันนี้ที่ฝึกอ่านก็เพื่อทำให้ใจไม่คล้อยตามและอ่านรู้เรื่องด้วย รู้ไว้เพื่อคุยกับเขาก็พอ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:29 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.