กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=434)

เถรี 05-05-2009 05:56

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒
 
ในเรื่องของภาษา หลวงพ่อเล็กบอกว่า "สมัยพุทธกาลถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณที่สามารถใช้ภาษาใจได้แล้ว การเผยแผ่พุทธศาสนาจะเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะสมัยนั้นมีหลายภาษามาก ในปัจจุบันอินเดียประเทศเดียวก็มีสามร้อยกว่าภาษาแล้ว

หลวงพ่อฤๅษีเคยเล่าเรื่องหลวงปู่สร้อยให้ฟัง ใครพูดภาษาอะไรหลวงปู่สร้อยพูดได้หมด หลวงพ่อก็เลยไปลองดู เอาคนพูดภาษาอังกฤษไปคุยด้วย เอาคนพูดภาษาเยอรมันไปคุยด้วย เอาคนญี่ปุ่นไปคุยด้วย ปรากฏว่าหลวงปู่พูดได้หมดทุกภาษา พอหลวงพ่อถามว่า "หลวงปู่พูดภาษาเขาได้ยังไง ?" หลวงปู่บอกว่า "ไม่รู้ ได้ยินเป็นภาษาไทยและตอบเป็นภาษาไทย"

เอากับเขาสิ ! ได้ยินเป็นภาษาไทย ตอบเขาเป็นภาษาไทย แต่คนฟังกลับฟังเป็นภาษาตัวเอง"

เถรี 05-05-2009 06:18

นอกจากนี้ หลวงพ่อเล็กยังเล่าถึงความสามารถทางด้านภาษาของหลวงพ่อฤๅษีให้ฟังว่า

มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่อาตมายังไม่ได้บวช วันนั้นอยู่กับหลวงพ่อฤๅษีที่บ้านสายลม ก็มีคุณยายคนหนึ่งมาจากสุรินทร์ เดินทางมาทั้งคืน มาถามหาหลวงพ่อ เนื่องจากคุณยายคนนี้พูดภาษาอีสานปนส่วยปนเขมร คนทั่วไปจะฟังไม่รู้เรื่อง โชคดีที่อาตมาไปอยู่ชายแดนเขมรมาก่อน ก็เลยพอจะฟังได้

พอยายเจอหลวงพ่อก็เลยขอถามปัญหา เนื่องจากยายแกพูดไม่รู้เรื่อง หลวงพ่อเลยหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่า "เฮ้ย ใครฟังรู้เรื่องแปลให้ที" อาตมากราบเรียนหลวงพ่อว่า "ผมพอฟังได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะแปลได้หมด" หลวงพ่อก็บอกว่า "เออ..ช่วยเป็นล่ามให้หน่อยลูก"

คุณยายถามหลายปัญหามาก แต่ปัญหาใหญ่ที่ยายถามคือ ยายบ้าไปหรือเปล่า? เพราะยายถือศีลปฏิบัติธรรมในขณะที่คนทั้งหมู่บ้านไม่ทำกัน เขาเลยหาว่ายายเป็นผีบ้า หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วบอกว่า "ยายน่ะปกติ แต่พวกนั้นบ้าทั้งหมู่บ้าน" บอกไปแบบนี้ ยายแกจะได้สบายใจ เพราะยายเขาเครียดมาก

ต้องชมกำลังใจของยายว่าสุดยอด โดนชาวบ้านเขาด่าเป็นยายผีบ้าทุกวัน แต่ยายก็ยังคิดที่จะทำอยู่ ถ้าเป็นเรา...มีคนเดียวแล้วทั้งหมู่บ้านเขาด่า เราจะสู้ไหวหรือไม่ ? ยายเขาสุดยอดกำลังใจ พอรู้ว่ามีพระดี ก็ดั้นด้นมาจากสุรินทร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าหมดค่ารถไปเท่าไร

พออาตมาแปลไปแล้วชักเหนื่อย บางคำคิดไม่ทันก็หยุดนึกเป็นภาษาไทย ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านตอบไปก่อน ตรงเป๊ะเลย ถึงได้รู้จริง ๆ ว่าท่านฟังออกหมดทุกภาษา ส่วนที่ให้เราแปล เพราะจะได้ไม่ผิดปกติ คนอื่นก็จะไม่รู้ คิดว่าท่านตอบตามที่เราแปล

ก็เลยโยงกลับมาจุดที่ว่า ในสมัยพุทธกาล ความสามารถเหล่านี้เป็นสาธารณะ บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ มีหลายคนทำได้ ขณะเดียวกันพระสงฆ์ของเราที่สำเร็จมรรคผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณก็ทำได้เยอะ เลยกลายเป็นของไม่แปลก ในขณะเดียวกัน ที่ท่านพูดกับเขาได้ เขาไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาคิดว่าท่านพูดภาษาของเขา

เถรี 05-05-2009 06:29

ถาม : พระอรหันต์สมัยพุทธกาลท่านแสดงปาฏิหาริย์เป็นปกติหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่

ถาม : แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าท่านแสดงปาฏิหาริย์ได้ ?
ตอบ : พระปิณโฑลภารทวาช ไปแสดงให้เขาเห็น

ถาม : แล้วท่านพูดได้หมดทุกภาษาหรือเปล่า ?
ตอบ : เมื่อวานก็แปลภาษาเทวนาครี แทบตายกว่าจะได้

เถรี 05-05-2009 14:37

พระอาจารย์บอกว่า "เวลาท่านปู่นายบัญชี มาสำรวจตอนที่เรากำลังทำกรรมฐาน ท่านจดตอนที่กำลังใจเราสูงสุด ตอนที่กำลังใจห่วยแตกเขาไม่จดหรอก เสียเวลาเปล่า เช่น ช่วงแรกเราได้อุปจารสมาธิ สักพักเราได้ปฐมฌานซึ่งนับว่าเป็นกำลังใจสูงสุดในช่วงนั้น เครื่องของเขาก็จดโดยอัตโนมัติ จดตอนกำลังใจสูงสุดอย่างเดียว"

เถรี 05-05-2009 14:39

ในเรื่องฌานใช้งาน พระอาจารย์บอกว่า "เวลาที่สมาธิมันขึ้นสูงสุด กำลังใจจะทรงตัวอยู่ระดับนั้น เมื่อกำลังมันถอยเป็นปฐมฌานหรืออุปจารสมาธิ ก็เลยกลายเป็นฌานใช้งาน

ฌานใช้งานจะบังคับให้เราเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างได้ ๆ แต่ความสงบของใจมันเท่ากับกำลังสูงสุดที่เราทำได้"

ทิดตู่ 05-05-2009 14:46

มีตอนหนึ่งในช่วงของการเจริญกรรมฐานในคืนวันเสาร์ ที่หลวงพี่ท่านกล่าวถึงความสำคัญในการระลึกถึงลมหายใจเข้า-ออก ช่วงหนึ่งท่านกล่าวไว้ประมาณนี้ว่า

"การนึกถึงลมหายใจมีความสำคัญไม่ต่างจากการที่เรานึกถึงความดี"

ทำให้มีวิธีที่จะได้บอกกับใจของตัวเองตลอดเวลาที่นึกได้ว่า
ตอนนี้ "เรานึกถึงความดีแล้วหรือยัง?"
เก็บตกเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกันครับ

เถรี 05-05-2009 14:54

ในเรื่องเด็ก ๆ พระอาจารย์สอนว่า "เราจะเห็นได้ว่าเด็ก ๆ เขาก็มีสักกายทิฏฐิกันแล้ว สิ่งที่เขาแสดงออกไม่ว่าจะเป็น ต้องการให้คนอื่นสนใจ ต้องการให้คนอื่นใส่ใจ ต้องการให้ตนเองเป็นคนสำคัญ ทั้งหลายเหล่านี้เขาจะไม่รู้ตัว มันเป็นสังโยชน์ชัด ๆ"

เถรี 05-05-2009 16:06

พระอาจารย์พูดถึงเรื่องการเมืองว่า "ปัจจุบันความแตกแยกในบ้านเมืองของเราเหมือนกับตกอยู่ในความมืด ตกอยู่ในวังวนของผลประโยชน์ มีปรัชญาการเมืองว่า การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ จึงไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร

แม้ว่าเปลือกนอกเหมือนว่ารัฐบาลได้เปรียบ แต่ทักษิณเขามีฤทธิ์มากกว่าที่คิด ขอให้รู้ว่าในขณะนี้เขากำลังเจรจากันอยู่ เขาเจรจาในลักษณะที่ว่าทำอย่างไรจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในความมืด ความมืดคือผลประโยชน์ที่เกิดจากรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากมีความสมประโยชน์ คือได้กันทั้งสองฝ่าย เรื่องจะจบ ถ้าหากไม่ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างไรเรื่องก็ไม่จบ

ดังนั้น..เวลาทำกรรมฐานก็ขอให้อธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย ทำอย่างไรที่จะทำให้พวกเขามีกำลังใจเกาะในด้านคุณความดี เพื่อที่แสงของธรรมะจะได้ฉายเข้าไปขับไล่ความมืดในใจของเขาออกไปได้บ้าง"

เถรี 05-05-2009 16:20

พระอาจารย์บอกว่า "ธรรมะหมวดที่มนุษย์รู้เรื่องน้อยที่สุดก็คือพระอภิธรรม เพราะพระพุทธเจ้าท่านเอาไว้สอนเทวดาที่เป็นอุคฆติตัญญู ฉะนั้น..ใครเรียนอภิธรรมต้องบอกว่าเก่งพอกับเทวดา

เมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในสัปดาห์ที่ ๔ เสวยวิมุตติสุขอยู่ สุดยอดอัจฉริยะมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้า ทรงใช้เวลาพิจารณาพระอภิธรรม ขนาดคิดตรองในใจโดยไม่ได้กล่าวออกมา ใช้เวลา ๗ วันเต็ม ๆ แล้วพระพุทธเจ้าทรงขึ้นไปสอนเทวดาที่เป็นอุคฆติตัญญู ฟังแต่หัวข้อก็เข้าใจเลยโดยไม่ต้องอธิบาย ขนาดนั้นยังใช้เวลาเท่ากับสามเดือนของมนุษย์ แล้วคิดดูว่าถ้าไปเทศน์สอนคนธรรมดา จะฟังได้ครบหรือไม่?

ดังนั้น..ปัจจุบันที่เรียนอภิธรรมกัน บางทีก็ทำให้เกิดมานะว่ารู้มากกว่าคนอื่นเขา ซึ่งเป็นการรู้ในแบบตำรา แล้วเป็นการรู้ในแบบส่วนหยาบ ๆ ด้วย ไม่สามารถอธิบายในส่วนที่ละเอียดได้ เลยกลายเป็นว่า ไปศึกษาส่วนประกอบของอาหารว่ามีอะไรบ้าง ทั้งที่อาหารวางอยู่ตรงหน้าแล้วไม่กินสักที

ที่ทองผาภูมิมีอยู่คนหนึ่ง ปีนี้อายุ ๘๓ ชื่อโยมไล ชอบสนทนาธรรมกับพระ โยมคนนี้ถ้าหากว่าเรารู้ธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นจากตำราหรือการปฏิบัติก็ตาม ถ้ารู้ไม่มากพอ แกจะไม่นับถือ โยมคนนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สายรุ่นแรก ๆ และนับถือหลวงปู่อุตตมะด้วย โยมเขาเรียนอภิธรรม หลวงปู่อุตตมะเตือนไว้แล้ว บอกว่า "โยมไล..เรียนอภิธรรมแล้วเดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ"

เพราะจะคิดว่าตนเองรู้มากกว่า เมื่อคิดว่ารู้มากกว่าก็เกิดมานะและสักกายทิฏฐิ ทำให้พลาดผลที่จะพึงได้ไปอย่างน่าเสียดาย

ทุกวันนี้โยมคนนี้เรียกอาตมาว่าหลวงปู่ โยมเขาถือว่าอาตมาแก่เพราะรู้มากกว่า"

เถรี 05-05-2009 17:56

"ในธรรมะแปดหมื่นพระธรรมขันธ์ มีหลายส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเฉพาะ

อย่างพระมหาสติปัฏฐาน ท่านก็สอนแต่เฉพาะชาวกุรุ ชาวกุรุมีพื้นฐานมาจากอุตรกุรุทวีป ซึ่งมาจากต่างดาว พวกเขามีความฉลาดมาก ซึ่งถ้าใครไปศึกษาในมหาสติปัฏฐาน หมวดท้าย ๆ ที่ว่า เห็นจิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติมาอย่างช่ำชอง จะปฏิบัติได้ยากมาก เรียกได้ว่าเกาะไม่ติดเลย แสดงว่าเราฉลาดสู้มนุษย์ต่างดาวไม่ได้

ในโลกเราสมัยที่มีพระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์ท่านต้องปราบได้ทั้งสี่ทวีป คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยาน บุพวิเทหทวีป และชมพูทวีป เนื่องจากพระเจ้าจักรพรรดิท่านจะเกิดได้เฉพาะในชมพูทวีป

เวลาไปปราบท่านก็ไปกวาดต้อนประชาชนมาส่วนหนึ่งเพื่อแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ ชาวอุตรกุรุทวีปก็เอาไว้ที่แคว้นกุรุ ชาวอมรทวีปก็ไว้ที่แคว้นอมรปุระ พวกบุพวิเทหทวีปก็อยู่ที่เทวทหะ คราวนี้รู้หรือยังว่าชื่อเมืองมาจากไหน? ก็มาจากบ้านเขา แปลว่าพระพุทธเจ้าท่านมีเชื้อสายมาจากมนุษย์ต่างดาว เพราะเทวทหะเป็นเมืองแม่ของท่าน

ในเมื่อเขามีความฉลาดมากพระพุทธเจ้าก็เทศน์ธรรมะที่เหมาะแก่จริต เหมาะแก่อัธยาศัยที่เขามีอยู่ในช่วงนั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติมาในระดับที่เข้าใจในจุดนั้น ปฏิบัติไปก็ไม่รู้เรื่อง"

เถรี 05-05-2009 17:59

"ในเรื่องมหาสติปัฏฐาน ให้พวกเรารู้จักดูกำลังใจของเราว่า เวลาที่เราไปไหนในแต่ละงาน แต่ละสถานที่ กำลังใจของเรายินดียินร้ายอย่างไร? ให้รู้เท่าทันและระวังป้องกันมัน พยายามให้มันเป็นอุเบกขารมณ์ ก็คือวางเฉยให้ได้ทุกสถานการณ์ จิตใจจะได้ไม่ปรุงแต่งไปกับรัก โลภ โกรธ หลง

ตรงจุดนี้มันเป็นการดูจิตในจิตของเรา เกือบจะเป็นหมวดสุดท้ายแล้วในมหาสติปัฏฐาน แล้วถ้าหากดูได้มาก ๆ จะเห็นธรรมไปอีกส่วนหนึ่ง จะเป็นเห็นธรรมในธรรม

เสียดายมหาสติปัฏฐาน บางทีเราจะศึกษามัน ก็จะพาให้เนิ่นช้า เพราะยากสำหรับพวกเรา เราก็ทำเฉพาะบรรพต้น ๆ อานาปานบรรพ สัมปชัญญะบรรพ อิริยาบถบรรพ นวสีวถิกาบรรพ ก็คืออสุภกรรมฐาน พอทำกันได้

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า จงอย่ายึดอะไร ๆ แม้แต่น้อยหนึ่งในโลกนี้ มันจบตรงนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ตอนหนึ่งถ้าทำจริงได้ก็จบแล้ว อาตมาก็เลยอ่านมหาสติปัฏฐานไม่จบสักที พออ่านแล้วชอบใจจะลงมือทำเลย จนกระทั่งต้องบนตัวเอง คำว่าบนตัวเอง คือทำอย่างไรเราจะอ่านให้จบ ต้องบังคับตัวเองให้ได้"

เถรี 05-05-2009 18:01

"ตอนเรียนนักธรรมเอกอาตมาป่วยหนัก มาลาเรียกิน ไม่มีแรงจะดูหนังสือ วัน ๆ เอาแต่นอนซม พอดีได้เวลาต้องไปสอบ สมัยนั้นข้อสอบมันยาก หนังสือกองเป็นตั้ง บางอย่างอ่านทั้งเล่มยังไม่ออกเลย ก็เลยต้องบน

บนว่าถ้าสอบนักธรรมเอกได้จะเขียนมหาสติปัฏฐานด้วยลายมือตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ ปรากฏว่าดวงมันต้องยากเข็ญ เลยต้องมานั่งเขียนหลังจากสอบได้ ถ้าไม่บังคับตัวเองก็อ่านไม่จบ"

เถรี 05-05-2009 18:05

ถาม : จักรวาลอื่นมีพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือมีแค่จักรวาลนี้ ?
ตอบ : เหตุที่โลกนี้เรียกว่ามงคล เพราะว่าเป็นจักรวาลที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ ที่เขาว่าจักรวาลอื่นมีพระพุทธเจ้าเพราะเอามาจากมหายาน

เถรี 05-05-2009 18:11

ในเรื่องของความเชื่อ พระอาจารย์บอกว่า "ความเชื่อ ๔ ประการ คือ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง และท้ายสุดตถาคตโพธิศรัทธา คือ ความศรัทธาเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่มีตรงนั้น มันจะขาดศรัทธาปสาทะที่เกิดขึ้นในใจของเรา

ดังนั้น..ในศาสนาทุกศาสนา ในการปฏิบัติทุกระดับชั้น ต้องเริ่มด้วยศรัทธาก่อน ไม่มีศรัทธาไม่มาทำแน่"

เถรี 05-05-2009 18:17

ในเรื่องของมหายาน พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสังฆปรินายก ๖ องค์แรกของจีน มรณภาพในท่านั่งสมาธิและไม่เน่าสักราย เราจะเห็นได้ว่ามหายานเขาผ่อนปรนเยอะในเรื่องของศีล จริง ๆ เขาถือว่าธรรมะสำคัญกว่าศีล ถ้าหากปฏิบัติธรรมได้ ศีลจะมาเองโดยอัตโนมัติ

ส่วนเถรวาทของเราถือว่าศีลสำคัญมาก เพราะศีลจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เราตกไปสู่ความชั่ว จะได้มีเวลาปฏิบัติธรรมได้ มองคนละมุม ปฏิบัติคนละแบบกัน เราจะไปว่าของเขาผิดก็ไม่ได้

เหมือนกับเรามาอนุสาวรีย์ ก็มาจากเส้นพหลโยธินได้ มาจากเส้นวิภาวดีก็ถึง ฯลฯ แล้วแต่ว่าจะเดินสายไหน

แรก ๆ ศาสนิกชนที่เข้ามา หลักปฏิบัติต้องมีอะไรที่ดูว่าไม่ยากเกินกำลังของเขา เมื่อเขาเข้ามาและเกิดศรัทธาแล้ว เราจะให้อะไรเขา ถึงเวลานั้นสิ่งสำคัญก็อยู่ที่เราแล้ว"

เถรี 05-05-2009 18:22

พระอาจารย์บอกว่า "ความดีหรือความชั่วเมื่อมันเข้ามาในใจ เราจะรับมันได้ทีละอย่าง ให้เราเร่งความดีใส่ในใจของเราเสีย ความชั่วก็เข้ามาแย่งไม่ได้

เปรียบเหมือนเก้าอี้มันมีอยู่ตัวเดียว ในเมื่อเก้าอี้มีคนนั่งแล้ว ก็คือมีความดีนั่งอยู่แล้ว ความชั่วมันก็เข้ามาแย่งไม่ได้

ดังนั้น..ในแต่ละวันให้รีบหาความดีเข้ามานั่งเสียก่อน ต่อให้ความชั่วมันมาเยอะขนาดปิดล้อมอนุสาวรีย์ มันก็มาแย่งที่นั่งไม่ได้หรอก"

เถรี 05-05-2009 18:27

ถาม : โรคไข้หวัดหมู เป็นอย่างไร ?
ตอบ : ก็เป็นหวัด..! เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากกรรมเก่าที่สร้างไว้ ถ้าหากเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำกรรมไว้ อย่างไรก็ไม่เป็น แต่ถ้าสร้างกรรมไว้ ก็ยึดพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง สิ่งที่ควรจะเป็นก็ปลาสไปด้วยพุทธบารมี

ถาม : ขอบารมีท่านปกปักรักษาผมตลอดไปนะครับ
ตอบ : เอาสัก ๕ นาทีได้หรือเปล่า..!

เถรี 05-05-2009 19:07

ถาม : เดี๋ยวนี้พวกทหารยังนับถือพระมหากษัตริย์กันอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : จางไปเยอะ รุ่นหลัง ๆ สายตามันแคบ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะจอมทัพไทย ท่านเอาเวลาไปสู้รบกับความยากจนของชาวบ้าน โอกาสที่จะนำทัพออกรบให้เขาเห็นฝีมือเลยมีน้อย

พวกคนหลัง ๆ ที่สายตาแคบก็มองว่าจะไปนับถือกันทำไมมากมาย หารู้ไม่ว่าการรบกับความยากจนของชาวบ้านมันยากกว่าไหน ๆ แถมระยะหลัง ๆ พอทุนนิยมเข้ามาเขาก็เห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเป็นสิ่งแปลกประหลาด

ถ้าเราปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่ท่านบอกมา ป่านนี้เราไม่ลำบากหรอก ยืนด้วยตัวเองได้อย่างสบายแล้ว

เถรี 05-05-2009 19:29

พระอาจารย์บอกว่า "ศาสนาพุทธที่สูญหายไปจากอินเดียระยะหนึ่งนั้น จริง ๆ ไม่ได้สูญ อยู่ครบถ้วนเลย มันสูญแต่รูปแบบแต่หลักการปฏิบัติยังอยู่

ช่วงที่ศังกราจารย์ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ทางฮินดู (ที่เขียนนารายณ์สิบปาง) เขาเขียนให้พระพุทธเจ้ากลายเป็นปางที่เก้า ปางอวตารของพระนารายณ์ นอกจากนั้นแล้วเขายังศึกษาธรรมะตามพระไตรปิฎกจนกระทั่งเอาไปเขียนเป็นปรัชญาเวทานตะ ซึ่งปรัชญาเวทานตะนี้เป็นหลักของศาสนาพุทธเต็ม ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์

ในเมื่อแพร่หลายในฮินดู แสดงว่าแก่นแท้ของพุทธศาสนาจริง ๆ ยังอยู่ เพียงแต่ว่าหมดรูปแบบไป ที่หมดไปเพราะว่า ประการแรก คนฮินดูเห็นว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าเป็นปางอวตาร ไม่นับถือพระพุทธเจ้าก็ได้ มานับถือพระนารายณ์ก็เหมือน ๆ กัน

ประการที่สอง พวกตันตระเข้ามาเยอะ มัวแต่ไปเล่นคาถา ปลุกเสกเลขยันต์เพลิดเพลินเจริญใจ และประการสุดท้าย กองทัพอิสลามเข้ามาถล่มอินเดีย

มีคำถามว่า แล้วทำไมพุทธศาสนาจึงสูญไปจากอินเดีย แต่ฮินดูจึงไม่สูญบ้าง ทั้งที่โดนอิสลามเล่นงานเหมือนกัน? ก็เพราะว่าศาสนาพุทธของเราเป็นเป้าที่เด่นชัด แต่งตัวอย่างนี้ไปไหนรู้เลยว่าเป็นพระ แต่ฮินดูเขาอยู่กับฆราวาสทั้งหมด พวกพราหมณ์เขาก็มีครอบครัวเวลามีพิธีจึงค่อยแต่งตัวให้ดูโก้ ของพวกเขาจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นผู้นำใครเป็นนักบวช แต่ของเราจะแยกออกได้

ก็เลยทำให้ศาสนาพุทธสูญไปจากอินเดีย มันสูญแต่รูปแบบและนักบวช แต่ปรัชญาและหลักการก็อยู่ในเวทานตะ"

เถรี 05-05-2009 19:34

พระอาจารย์บอกว่า "งานอะไรก็ตามที่เป็นงานของพุทธศาสนาจะเป็นงานที่พระท่านช่วยสงเคราะห์ ดังนั้น..จะเป็นงานง่ายกว่าที่คิด"

เถรี 06-05-2009 13:09

พระอาจารย์กล่าวถึงเมียประเภทต่าง ๆ ว่า

วธกาภริยา เมียเหมือนเพชฌฆาต
โจรีภริยา เมียเหมือนโจร ทรัพย์สินในบ้านนอกจากไม่ช่วยรักษา ยังยักยอกทรัพย์สารพัด

สขีภริยา เมียเหมือนเพื่อน คู่ทุกข์คู่ยากกอดคอกันไป
มาตาภริยา เมียเหมือนแม่ สารพัดจะเลี้ยงดูเอาอกเอาใจทุกอย่าง

ภคินีภริยา เมียเหมือนน้อง มันอ้อนตลอด ประเภทนี้ต้องคอยบ้องหู ไม่งั้นเดี๋ยวมันล้น
ทาสีภริยา เมียเหมือนทาส ประเภทจิกหัวใช้งานขนาดไหนไม่พูดสักคำ ทำงก ๆ ทั้งวัน

อัยยาภริยา เมียเหมือนเจ้านาย ถ้าผัวเป็นทาสี เมียต้องเป็นอัยยา แต่ถ้าเมียเป็นอัยยา ผัวต้องเป็นทาสี ตรงกันข้ามพอดี คนหนึ่งเป็นเจ้านายคนหนึ่งเป็นทาส

มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ผัวไปคุยกับเพื่อนว่า "โอย..เมียหรือ ผมไม่กลัวหรอก ตวาดคำเดียว เงียบไปเลย" ปรากฏว่าจู่ ๆ เมียเดินมา เพื่อนก็เลยถามต่อว่า "แกตวาดเมียว่ายังไงวะ ?" ผัวหันไปเห็นเมียเดินมา รีบบอกทันทีว่า "อ๋อ..เมียใช้ให้ไปซักผ้า กูตวาดคำเดียวว่าเอากะละมังมา..! เมียเงียบไปเลย" ผัวมันเอาตัวรอดเก่ง พวกนี้ปฏิภาณไว ถ้าฝึกกรรมฐานมีสิทธิ์ได้ปฏิสัมภิทาญาณ

เรื่องของสามีภรรยาพระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องมีสมชีวิธรรม มีธรรมเสมอกัน คือ สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมสีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีทาน การให้เสมอกัน สมปัญญา ต้องมีปัญญาเสมอกัน ไม่เช่นนั้นอยู่กันยาก คนหนึ่งทำทาน คนหนึ่งไม่ยินดีด้วย ก็พัง

มีโยมคนหนึ่ง เขามาที่นี่แล้วบอกว่า "หลวงพ่อช่วยทีเถอะ จะมาหาพระหาเจ้าแต่ละที บอกเมียมันไม่ได้ ต้องโกหกมันว่าไปที่อื่น" อาตมาก็บอกว่า "อย่านึกว่าโกหกสิ นึกว่าพูดให้มันฟังอย่างนั้น พอนึกว่าพูดให้มันฟังอย่างนั้นแล้วก็ไปหาพระ"



เถรี 06-05-2009 13:56

พระอาจารย์บอกว่า "การสะเดาะเคราะห์สวดบังสุกุลต่าง ๆ ถ้ามองให้ลึก ๆ แล้ว เป็นการกลัวตายอย่างหนึ่ง ทำไมถึงกลัวตาย? ก็เพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะตาย ทำไมถึงยังไม่พร้อมที่จะตาย? ก็เพราะว่าไม่แน่ใจว่าตายแล้วจะได้ไปดี ได้ไปสุคตินั่นเอง"

เถรี 06-05-2009 14:30

พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่รายหนึ่งตรงใกล้ ๆ กับวัดท่าซุง เจอทีไรเขาก็ทำนา ทำทั้งปีต่อเนื่องมาตลอด ลักษณะของการทำต่อเนื่องแบบนั้น ทำให้ได้ผลต่อเนื่องตลอด เหมือนลักษณะการปฏิบัติ ทำอย่างไรเราจะทำให้ได้ต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลดีกับใจ

การปฏิบัติของพวกเราในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ทำเฉพาะตอนนั่ง พอเลิกแล้วเลิกเลย กลับไปก็ไม่ได้รักษาอารมณ์ต่อ การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเหมือนว่ายทวนน้ำตลอด การปฏิบัติก็เหมือนกันต้องว่ายทวนน้ำ

พวกเรานั่งทำแค่ ๑ ชั่วโมง แล้วปล่อยลอยตามน้ำ ๒๓ ชั่วโมง จากนั้นค่อยกลับมาว่ายใหม่ แล้วก็ปล่อยลอยตามน้ำอีก ว่ายใหม่ และก็ปล่อยอีก เราจะกลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ไม่มีผลงานเพิ่มเลย

ดังนั้น..ถ้าทำได้แล้วต้องรักษาอารมณ์ให้ได้ด้วย โดยการเอาสติเข้าไปควบคุมเอาไว้"

เถรี 06-05-2009 17:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติ มารเขาจะหลอกเรา ยิ่งใครรู้เห็นชัดเจนก็จะหลอกได้ง่าย เพราะฉะนั้นอย่ารู้เห็นเลย

มีบาลีเขาบอกว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอก เราเท่านั้นต้องขวนขวายพยายามให้ตัวเอง ถ้าหากอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ จะบอกว่า ทำตรงนี้ เร่งตรงนี้จึงจะไปได้

แต่ประเภทไปรับแล้วบรรลุเลยไม่มีปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์"

เถรี 06-05-2009 17:13

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาปล่อยปลาครั้งแรกเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "เล็ก..แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้เยอะ เศษกรรมจะทำให้ป่วยบ่อย เพราะฉะนั้น ให้ไปปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อฆ่าสักเดือนละตัวสองตัวเป็นประจำ จะช่วยให้บรรเทาเศษกรรมตรงนี้ได้"

อาตมาจึงถามว่า "ปล่อยปลามันต่ออายุไม่ใช่หรือครับ? ผมไม่อยากอายุยืน" หลวงพ่อบอกว่า "แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะถูกฆ่า จะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรมเข้ามา แต่ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามา การปล่อยปลาตรงนี้จะทำให้ชีวิตสะดวกสบาย"

หลังจากที่ปล่อยมาได้ประมาณ ๒๐ ปี ก็ได้ยามาตัวหนึ่งที่พอบรรเทาอาการป่วยได้ ไม่อย่างนั้นโยมมาเจออาตมานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ตรงนี้แน่ ไม่ได้รื่นเริงอย่างที่เห็นหรอก ก็แสดงว่าที่หลวงพ่อพูดมันบรรเทากรรมที่มาจากปาณาติบาตได้จริง อาตมาอยากจะลองดูว่าถ้าครบ ๔๐ ปีแล้วมันจะหายไหม? ปล่อยใช้ชีวิตเขาไปเรื่อย ๆ

เวลาป่วยหนัก ๆ ก่อนจะหาย อาตมาจะเห็นภาพว่าตัวเองไปทำอะไรมาจึงป่วย อาตมาเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ บางครั้งก็กวาดเขาหมดทั้งกองทัพเลย"

เถรี 06-05-2009 17:55

ถาม : รู้สึกกังวลใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลล่วงหน้า จำเอาไว้ว่าคนเรามีบุญมีกรรมเป็นของตัวเอง ถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่ อย่างไรถึงเวลามันก็ต้องมีคนช่วยเหลือ ถ้าหากวาระกรรมเข้ามาตัดรอน ต่อให้มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ก็อาจจะต้องสูญเสียไปหมด อย่าไปห่วงเลย มีหน้าที่ทำดีละชั่วเท่านั้น

ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ เรื่องอื่นไม่ต้องไปกังวล มันยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าบอกว่า อตีตํ นานุโสจนฺติ อย่าไปคำนึงถึงอดีต เพราะมันผ่านมาแล้ว รถที่มันวิ่งเลยไปแล้ว เราขึ้นไม่ได้หรอก นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต รถที่ยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้หรอก ปจฺจุปนฺเนน ยาเปนฺติ เอาใจจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น เพราะว่ารถขบวนนี้ที่จะออกเราจึงจะขึ้นมันได้

เราถึงได้มีวันเดียวและตอนนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นช่างมัน

ถาม : กังวลว่าตัวเองจะไม่มีอะไร ?
ตอบ : คนไม่มีอะไรเลยอาตมาขอยืนยันว่าน่าอิจฉามาก ไม่มีอะไรเลยก็ไม่มีอะไรจะเสีย

เถรี 06-05-2009 19:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเทวตาสังยุต เทวดาเขากล่าวคาถาว่า คนมีบุตรปลาบปลื้มเพราะบุตร คนมีโคปลาบปลื้มเพราะโค แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค

มองกันคนละมุม"

เถรี 06-05-2009 19:51

ถาม : มีหรือเปล่าคะ พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีที่มาเกิด เพราะปกติจะได้ยินก็เพียงแต่คนที่ยังไม่ได้มรรคผลใด ๆ แล้วมาบำเพ็ญบารมีในชาตินั้นจึงเป็นได้ แต่คนที่เป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีแล้วมาเกิดนี่ยังไม่เคยได้ยิน?

ตอบ : ไม่เคยได้ยินหรือ ? แต่อาตมาเคยเจอ เป็นการเจอแบบที่เราทึกทักเองว่าใช่ ในขณะที่ตัวเขาเองไม่รู้ตัวเขาเลย สิ่งที่เขาทำทั้งหมดมันบ่งบอกความเป็นตัวเขา แต่ตัวเขาเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ถ้าไม่ได้มาสายอภิญญาไม่รู้หรอก

เถรี 06-05-2009 21:04

พระอาจารย์บอกว่า "ถ้าหากของที่ตั้งใจใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน แล้วพระไม่มา เอามากินได้เพราะยังเป็นของเราอยู่ ถ้าเราตั้งใจใส่ พระท่านติดกิจนิมนต์หรืออาพาธ ไม่ได้มาบิณฑบาต เหลือไปก็เสียเปล่า ๆ สามารถกินได้

ส่วนของที่เราทำแล้วตั้งใจไปถวายพระที่วัด เดินไปกลางทาง เกิดเปลี่ยนใจไม่ไปถวาย นั่นแย่แล้ว เป็นของกึ่งกลางสงฆ์ เพราะตั้งใจไปครึ่งทางแล้ว ถ้าเกิดเลี้ยวกลับมา ให้ฝากใครไปถวายพระเสีย ไม่เช่นนั้นอันตราย

ของ ๆ เราถ้ายังอยู่ที่บ้านเราก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าขยับเท้าออกจากบ้าน นำของไปถวายที่วัด จะกลายเป็นของสงฆ์ ถ้ายังไม่ถึงวัดก็จะเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ ถือว่ามีสิทธิ์เป็นของท่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว"

เถรี 06-05-2009 22:31

"ถ้าพระท่านรับการถวายสังฆทานภัตตาหารแล้ว จะมีการอปโลกน์ อปโลกน์ ก็คือ การกล่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ว่าจะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างไร จะมีรูปแบบของมันอยู่

วัดที่มีความรู้ความเข้าใจด้านนี้จะทำการอปโลกน์เพื่อเป็นการป้องกันโยมไม่ให้เกิดโทษ ของกินที่เหลือจากพระแล้ว ยิ่งถ้าเหลือจากมื้อกลางวัน โยมเขารู้ว่าพระท่านไม่เก็บไว้อยู่แล้ว ทีนี้ก็ขนกลับบ้าน ตอนขนกลับบ้านนี่แหละจะมีปัญหา ถ้าพระไม่ได้อปโลกน์ไว้จะมีโทษ"

เถรี 06-05-2009 23:03

ถาม : สมมติกลางเดือนตั้งใจถวายสังฆทาน ๕๐๐ บาท พอถึงต้นเดือนลดเหลือ ๒๐๐ บาท จะติดหนี้สงฆ์หรือไม่?
ตอบ : ไม่ติดหนี้สงฆ์ แต่อานิสงส์ลดน้อยลง เช่น สมมติจะถูกรางวัลที่ ๑ แต่พอถึงเวลาหยิบผิดไปเบอร์เดียว ลดเหลือรางวัลที่ ๕ เป็นต้น

เถรี 19-05-2009 16:54

พระอาจารย์บอกว่า "พระที่เป็นเพศที่สาม ถ้าหากท่านทั้งหลายเหล่านี้บวชเข้าไปแล้วเก็บอาการอยู่ ไม่สร้างความเสียหายให้แก่พุทธศาสนา ก็สามารถอยู่ได้

เรื่องแบบนี้ถ้าเขาจะปรับโทษ เขาปรับโทษแต่อุปัชฌาย์ เพราะพระอุปัชฌาย์เป็นคนกลั่นกรองผู้ที่เข้ามาบวช ถ้าหากเป็นวิบัติ คือคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ก็ไม่สามารถให้การอุปสมบทได้ แต่ถ้าคนที่บวชเข้าไปแล้ว เขาไม่มีโทษทางด้านอื่น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสึก แต่ว่าให้รักษาอาการไว้หน่อย

ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาอยู่ต่อหน้าโยมจะเก๊กเก่งมาก ดูเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเรียบร้อยกว่าเราเยอะ"

เถรี 19-05-2009 17:18

ถาม : แล้วพระพวกนี้มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ไหม?
ตอบ : ต้องถามท่านว่า...ท่านจะเอาไหม? ถ้าท่านมุ่งมั่นจริง ๆ ก็ต้องมีโอกาส แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายมักสนใจอย่างอื่นมากกว่า

เถรี 19-05-2009 17:39

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนอาตมาแข่งนั่งสมาธิกับคนอื่น ให้นั่ง ๓ ชั่วโมงเราก็นั่งได้ นั่ง ๕ ชั่วโมงก็นั่งได้ แต่ใจมีคุณภาพแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือด่าพ่อด่าแม่ไปเสียเยอะ

ลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นว่าขาดทุน เพราะว่ากำลังใจส่วนที่มีคุณภาพมีแค่นิดเดียว ที่เหลือเป็นกำลังใจที่ผสมด้วยโทสะ ส่วนใหญ่เราไม่เข้าใจคิดว่านั่งนานแล้วดี เหมือนกับสมัยก่อนท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี บอกว่า "พระของผมเก่งมาก ๆ เลยนั่งที ๒๑ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงตัวตรงไม่กระดิกเลย"

พวกนั้นก็เลื่อมใสถามว่า "อยู่คณะไหนจะได้ไปกราบ"
ท่านบอกว่า "สึกไปแล้ว"

เรื่องของสมาธิ ถ้าเลยอัปปนาสมาธิไปแล้ว เวทนาจะไม่มี"

เถรี 19-05-2009 17:55

พระอาจารย์บอกว่า "ให้ระวังไว้ ระยะแรก ๆ พอสมาธิเริ่มทรงตัว จะไม่อยากพูดกับใคร จะมีความสุขอยู่กับสมาธิ เราต้องผ่านขั้นตอนนี้ไประยะหนึ่งจนสามารถปรับให้เข้าออกในสมาธิได้ตามที่เราต้องการแล้ว จึงจะกลับเป็นคนปกติอีกที

ช่วงที่ไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็บอกเขาแล้วกัน ว่ากำลังรักษาสมาธิอยู่ อย่าเพิ่งมายุ่ง ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า

ถ้าอารมณ์ทรงตัว ต่อให้มีคนมาตะโกนอยู่ข้างหูมันก็ไม่ใส่ใจ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนอื่น รู้หมดทุกอย่างแต่ไม่ไปสนใจมัน"

เถรี 19-05-2009 18:16

ในเรื่องของปีติ พระอาจารย์บอกว่า "ถ้ามีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เช่น น้ำตาไหล ตัวโยกไปโยกมา หรือดิ้นตึงตังโครมคราม หรือตัวพองตัวใหญ่ ตัวระเบิด เห็นแสงเห็นสีอะไรก็ตาม กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าสังเกตดูจะรู้ว่าใจของเรามันนิ่งมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว มันจะเป็นอย่างไรช่างมัน

ถ้ามันขึ้นของมันเต็มที่แล้ว มันจะเลิกเลย แต่ถ้าเราไปกลัว อายคน หรือกลัวว่าจะถึงแก่ชีวิตบ้าง คิดจะให้มันหยุด ถ้าทำสมาธิถึงตรงนั้นเมื่อไรอาการมันจะเกิดขึ้นอีก มันจะเกิดไปเรื่อย เกิดไม่เลิกจนกว่าเราจะยอมปล่อยมันเต็มที่ ถ้าอาการนี้เกิดขึ้นเรามีหน้าที่เป็นคนดูอย่างเดียว ถ้ามีลมหายใจกำหนดลม ถ้ามีคำภาวนากำหนดคำภาวนา อาการภายนอกเป็นอย่างไร ช่างมัน

ในเรื่องของตัวพองนั้น มันเป็นปีติ จะว่ามันเป็นการที่ร่างกายปรับธาตุให้เข้าที่ก็ได้ แต่จริง ๆ ไม่ได้พองอย่างนั้นหรอก มันเป็นความรู้สึก บางทีไม่พองเปล่า มันแตกเป็นรูรั่ว ก็ให้กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปอยากให้มันเป็น อย่าไปอยากให้มันหาย ทำหน้าที่เป็นคนดูอย่างเดียว อาการอื่น ๆ เป็นอย่างไรไม่รู้ เรารับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่นานมันก็คลาย จะว่าไม่นานก็ไม่ได้ เพราะว่าบางทีทำใจยาก ในเมื่อยาก กลัวบ้าง อายบ้าง ไม่ปล่อยเต็มที่ มันเลยไม่คลาย"

เถรี 19-05-2009 18:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อทำไประยะหนึ่ง ถ้าใจมันเริ่มทรงตัว มีข้อให้ระวังอยู่ว่า รัก โลภ โกรธ หลง มันเหมือนกับโดนเก็บกด มันจะหาจังหวะเอาคืน แล้วมันจะทำให้เราเป็นคนกระทบอะไรง่าย

บางทีได้ยินปุ๊บโกรธเลย เห็นปุ๊บโกรธเลย แล้วปฏิกิริยาตอบโต้จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าถึงเวลานั้นบางท่านที่ไม่เข้าใจก็จะว่า "เป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร..!" ให้ระวังตรงนี้ไว้ให้ดี จะต้องเจอทุกคน เพียงถ้าหากสติ สมาธิของเราสมบูรณ์ มันจะระงับปากของเราไว้ได้ทัน แต่มันจะอกแตกตาย

ตอนนั้นจะเป็นการรบที่สนุกมาก ทำอย่างไรที่เราจะชนะเขาได้ ค่อย ๆ ทำมันจะมีพัฒนาการทีละขั้น

ถ้าพวกนี้โผล่อย่าคิดว่าตัวเองเลว ให้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเราก็มีเป็นปกติ แต่เราไม่เห็นหน้ามัน มันเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำมันนิ่งจะสะท้อนเห็นเงาหน้ามัน เห็นหน้ามันชัดและออกอาการแรง จนกว่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้

ถ้าวันไหน ๆ กระทบกับใครเขามากเกินกว่าปกติ ให้รู้ไว้ว่ามันมาแล้ว"

เถรี 19-05-2009 21:00

ถาม : ขอคำแนะนำการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับโทสะ
ตอบ : ถ้าเขาทำให้เราโกรธ ก็ต้องมาดูว่าเรื่องนั้นจริงหรือไม่จริง ถ้าหากเรื่องที่เขาทำให้โกรธนั้นเป็นจริง เราก็ไม่ควรจะโกรธเขาเพราะว่าบุคคลที่ทำให้เรารู้ตัวตนของเราที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นครู โกรธครูไม่ได้ความรู้แน่ ๆ

แล้วก็มาดูอีกทีว่าถ้าเรื่องนั้นไม่จริง เขาทำให้เราโกรธ ก็มาพิจารณาว่า กระทั่งความจริงเป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย คนโง่ขนาดนั้นมันน่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ ถ้าพิจารณาได้แบบนั้นความโกรธมันจะคลายตัวลง

เรื่องรักก็เหมือนกันพอเห็นเขา โอย....จะเป็นจะตาย จะหอบเสื้อผ้าตามไปเสียให้ได้ ต้องเอามาคิดพิจารณาดูว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นจริงแค่ไหน พ่อแม่เลี้ยงเรามากว่าสิบปียี่สิบปี เราให้ความรักเหมือนกับเขาไหม ถ้าหากไม่ใช่แสดงว่าไม่ใช่เรื่องของเหตุผลปกติ มันเป็นเรื่องของอารมณ์แล้ว ในเมื่อเป็นเรื่องของอารมณ์แล้ว เราก็ต้องมาพิจารณาเรื่องความพอเหมาะพอควร เรื่องของศีลธรรมและประเพณี จะได้ค่อย ๆ คลายใจออกจากสิ่งนั้น

เรื่องของกิเลสไม่เคยปรานีหรอก พลาดเมื่อไร มันตีเราเยิน

ต้องคิดให้เป็นจะได้ไม่ต้องมาเก็บไว้ในใจ สะสมขยะบูดไว้เยอะ ๆ เดี๋ยวมันเกิดโทษ

เถรี 19-05-2009 21:05

ถาม : แล้วถ้าทำได้แต่ภายนอกละคะ?

ตอบ : แปลว่ายังใช้งานจริงไม่ได้ อันนั้นเขาเรียกว่ารู้แต่ทฤษฎี ยังไม่สามารถนำสู่การปฏิบัติได้

เถรี 19-05-2009 23:40

ถาม : มีบางคนเขามาด่า
ตอบ : เขาด่าเราจริงหรือเปล่า? ลองชี้ให้ดูซิว่า เราคือส่วนไหน? ใครก็ได้ลองชี้ให้ดูซิว่าตัวเองคือส่วนไหน? จิ้มไปเถอะ นี่ก็จมูก นี่ก็ตา นี่หน้าอก นี่หัว ไม่มีตัวเรา เพราะว่าทั้งหมดเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราวเหมือนกับอยู่ในบ้าน หรือว่าขับรถอยู่ สิ่งที่มันมากระทบก็เหมือนกับเขามาขว้างบ้านหรือรถ

ก็ในเมื่อเขาขว้างบ้านก็อย่าไปสนใจ เปิดประตูหน้าต่างให้หมดหรือไม่ก็ทลายกำแพงประตูหน้าต่างให้หมด ขว้างมาก็เลยไป เฉย ๆ ไม่กระทบบ้าน ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ไม่ต้องไปโกรธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:01


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว