กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1954)

เถรี 07-07-2010 15:54

ถาม : ตัวที่รู้เห็นวิญญาณ การเกิดดับ คือตัวพุทโธ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ใช่

ถาม : ตัวนี้จะกล่าวได้ไหมครับว่าคือพระนิพพาน ?
ตอบ : คุณสามารถที่จะยัดพระนิพพานเข้าไปในทุกสิ่งได้เลย เพียงแต่จะทำถึงหรือเปล่า ? การปฏิบัติถ้าเรามัวแต่มาเรียกว่ามันคืออะไร ก็เสียเวลา สำคัญตรงที่ลงมือทำเลย

เถรี 07-07-2010 19:32

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี แม่ชีที่เขาอยู่ที่นั่นมาสามเดือน พอเราไปเยี่ยมเขาก็ขอออกมาคุยด้วย

เขาบอกว่ากิเลสมันสุดยอดของการหลอกเลย พอถึงเวลาอยู่ในห้อง ปฏิบัติไม่ได้ออกไปไหน กิเลสมันดิ้นอยู่นั่นแหละ สองเดือนกว่ามันไม่ยอมเลย สู้กับมันมาตลอดจนแทบจะหมดแรงกายแรงใจ

เขาบอกว่าถึงเวลามันออกไปไหนไม่ได้ เพราะเขามีระเบียบบังคับ ตัวเองก็ต้องไปยืนหนอ..ยืนหนอ อยู่ตรงหน้าต่าง ขอให้ได้มอง ได้เห็นก็ยังดี แล้วมันก็ปรุงแต่งไปสารพัด ปวดท้องจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว ขอไปห้องน้ำหน่อยเถอะ

จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจไปห้องน้ำหรอก แต่ขอให้ไปเจอ ไปเห็นสักหน่อย พอเดินไปมันหายปวดปัสสาวะเลย กิเลสมันหลอกขนาดนั้น

ถ้าหากเราปล่อยให้กิเลสมันอด มันจะดิ้นสุดชีวิตเลย มันต้องการอาหารของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีอาหารให้มัน เดี๋ยวมันจะตาย

ก็อยู่ที่เราว่าจะต้องสร้างตบะเผาให้มันตายให้ได้ มันดิ้นเราอย่าไปเชื่อมัน ส่วนใหญ่เราไปเชื่อมัน พอมันดิ้นจะตาย ๆ เราก็จะตายตาม เลยไปยอมให้มัน พอมันแข็งแรงก็กลับมาฟัดเราใหม่ ส่วนใหญ่พวกเราเป็นอย่างนี้ เมตตากิเลสมัน"

เถรี 07-07-2010 19:37

"แม่ชียืนมองเพราะตาอยากเห็นรูป สมัยที่อาตมาฝึกใหม่ ๆ ถ้าฟุ้งซ่านจนเอาไม่อยู่ ก็จะไปนั่งอยู่หน้าพระประธาน ทำอะไรไม่ได้ก็นั่งมอง คือ เรานั่งอยู่ตรงนั้น กายเราทำชั่วไม่ได้อยู่แล้ว วาจาเราพูดชั่วไม่ได้อยู่แล้ว ก็เหลือแต่ใจ ถ้าคิดชั่วก็คิดไป เราได้กำไรสองในสาม เอาเท่านี้

ในเมื่อไม่มีทางจะสู้แล้วก็ต้องใช้วิธีหน้าด้าน นั่งมองพระ มีปัญญาคิดชั่วก็คิดไป แต่ข้าจะไม่ไปไหน ดูว่าใครจะดื้อกว่ากัน"

เถรี 07-07-2010 19:42

ถาม : วันหนึ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยค่ะ หลับก็เหมือนไม่ได้หลับ
ตอบ : นอนให้ร่างกายได้พักผ่อน จำเป็นที่จะต้องนอน แต่สติที่กำหนดรู้จะตื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราระมัดระวังได้ว่า แม้แต่กิเลสจะเข้ามาตอนหลับ เราก็จะรู้ จะได้ระวังป้องกันได้ทัน

พอจิตจะปรุงแต่ง สติตัวรู้ก็เตือนทันที เราก็จะหยุด
แม่ชีเขาก็เริ่มถึงตรงนี้แล้ว บอกแม่ชีเขาสังเกตว่า ตอนที่เขาจะหลับ จิตจะเหมือนกับดวงไฟ ค่อย ๆ ถูกกดหรี่ลง...หรี่ลง ถ้าเลยจุดนี้ ก็จะหลับเลย แต่ถ้าหากเราสามารถล็อกให้อยู่ตรงจุดนี้ จะหลับจะตื่นเราจะรู้เท่ากันหมด

ถ้าหากมีเรื่องที่จำเป็น เราก็จะคลายกำลังใจออกมารับรู้ พอหมดเรื่องที่จำเป็นก็จะกลับเข้าไปสู่จุดเดิม ถ้าอยู่ในสภาพนี้พักผ่อนน้อยก็เหมือนพักผ่อนมาก แต่ว่าควรจะตั้งเวลาไว้อย่างน้อย ๖ ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นร่างกายเราโทรมมาก เดี๋ยวจะไปไม่ไหว


ถาม : มีเหมือนกันว่า มีคนมาช่วยเตือน พอเผลอจะตัดหลับแค่ ๑ นาทีเท่านั้น ใครก็ไม่รู้มาทับหน้าอก ก็ต้องตื่นขึ้นมา ช่วยเตือนให้ว่า ห้ามตัดหลับ ต้องทำไปต่อ
ตอบ : บอกเขาไปว่า ขอนอนบ้างสิ

เถรี 07-07-2010 19:46

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ตะกรุดลูกอมโลกธาตุของท่าน ใช้แผ่นทอง แผ่นนาก หรือแผ่นเงิน ยาว ๗ ใบมะขามเรียง (ประมาณ ๗ ซม.) จารอักขระเสร็จแล้วก็ม้วน ที่ต้องยาว ๗ ใบมะขามเรียง ก็คือถือเคล็ดธรรมจากโพชฌงค์ ๗

ลูกศิษย์ท่านเอาไปใช้ โดยอมเข้าไปในปาก พอฉุกเฉินท่านให้กลืนได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกลัว ถึงเวลาก่อนนอนก็ปูผ้าขาวไว้ข้างตัว ตื่นเช้าขึ้นมาลูกอมจะออกมาอยู่ที่ผ้าขาวเอง และเป็นอย่างนั้นทุกคน หลวงปู่ก็ไม่อยู่สอนเราเสียด้วย

คนเขาจะไปเรียนวิชากับท่าน ต้องเพ่งเทียนจนกระทั่งขาด ถ้าหากไส้เทียนไม่ขาด ก็ไม่สำเร็จ ถ้าเพ่งเทียนขาดได้จึงจะไปเรียนกับท่านได้"


ถาม : เทียนขาดได้อย่างไร ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสมาธิของเราเอง ตั้งใจให้ขาดอย่างเดียวก็พอ

เถรี 07-07-2010 19:51

ถาม : สมาธิถ้าทำแล้วจะไม่ขี้เกียจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับได้เท่าไร ถ้าหากยังไม่สามารถปรับเป็นสมาธิใช้งานได้ จะรู้สึกไม่อยากเคลื่อนไหว คนที่ไม่อยากเคลื่อนไหว เอาแต่นั่งนิ่ง ๆ บางทีก็โดนคนเขาว่าขี้เกียจเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ขี้เกียจหรอก แต่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิอยู่ แต่ถ้าหากขี้เกียจทำงานโดยอ้างว่าจะปฏิบัติ อันนี้ใช่เลย..!

ถาม : ตอนอยู่เยอรมันฟังธรรมจากเว็บครับ ตั้งใจทำสักเดือนสองเดือนก็เละอีก
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ

ถาม : หลายรอบมาก เป็น ๆ หาย ๆ
ตอบ : เดือนหนึ่งเขาล้มเป็นร้อยเป็นพันครั้ง บางทีก็อาจจะหลายแสนรอบ ของเราแค่หลายรอบ

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ห้ามหยุด..!

เถรี 07-07-2010 19:58

ถาม : กรรมฐานสี่สิบกอง ที่เราเลือกมาปฏิบัติครั้งแรก ถ้าทำไป ๆ แล้วรู้สึกว่ายังไม่ไปไหน แล้วเปลี่ยนกองถือว่าเป็นการโลเลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่โลเล แต่จะเหมือนกับที่เคยเปรียบว่า ขุดบ่อแต่ไม่ได้น้ำ สมมติมีน้ำอยู่ในระดับ ๑๐ วา พอขุดไป ๆ ถึง ๕ วา ไม่ถึงตาน้ำสักที เราก็ย้ายที่ไปขุดใหม่ เท่ากับเราเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ถาม : ถ้าเลือกมาสัก ๒ กองแล้วทำ
ตอบ : ๒ กองที่คุณเลือก หรือกองเดียวที่คุณเลือก ให้เป็นอานาปานสติไว้ก่อน ๑ กอง ซึ่งกองอื่นเลือกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก กรรมฐานทุกกองไปไม่รอด

ถาม : แล้วถ้าวันหนึ่งจับภาพพระ อีกวันหนึ่งจับกสิณ
ตอบ : เจริญแน่..! ทำแบบนั้นอีกกี่ชาติก็ได้แค่ทำ..!

ถาม : เปลี่ยนไปทุกวัน
ตอบ : ชาติหน้าตอนเย็น ๆ อาจจะได้..!

ถาม : ถ้าทำอย่างนี้ชาติหน้าตอนเย็น ๆ จะได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าวันนี้คุณจับกสิณ แล้วคุณก็เลิก..ปล่อย ถ้าสมาธิคลายตัวก็ไหลตามกิเลส พอรุ่งขึ้นแทนที่คุณจะมาจับกสิณเพื่อว่ายทวนกิเลสต่อ แต่คุณไปจับอีกกองหนึ่ง แล้วคุณก็ปล่อยและก็ไหลตามไป พออีกวันคุณก็กลับไปทำอีกกอง

ลองนึกดูก็แล้วกัน คนไหลตามกิเลสไปสองวัน แล้วว่ายกลับมา จะหาความก้าวหน้าได้อย่างไร ? ขาดทุนสะสมไปเรื่อย รอวันล้มละลาย..!


ถาม : แล้วถ้าทำทุกวัน อย่างละกองวันละชั่วโมงละครับ ?
ตอบ : ๒๔ ชั่วโมงยังไม่รอดเลย..!

ตอนนี้ค่าแรง ๒๕๐ บาท ก็ตีเสียว่าชั่วโมงหนึ่ง ๑๐ บาท สิบบาทพอกินไหม ? กินซาละเปาลูกหนึ่งก็หมดเงินแล้ว

เรื่องของการปฏิบัติ เลือกกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้วทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถ้าหากถึงที่สุดแล้วกองอื่นจะเป็นของง่ายเพราะกำลังที่ใช้เท่ากัน เปลี่ยนแค่วิธีการนิดเดียว เพราะฉะนั้น..อย่าหลายใจ กรรมฐานไม่ใช่วิชาทางโลก ที่จะได้สะสมหน่วยกิตได้ เขาต้องการความจดจ่อต่อเนื่องตลอด คุณไปสะสมหน่วยกิตก็ได้เหมือนกัน ได้แค่ในส่วนอานิสงส์ที่เป็นกุศลกรรม แต่ความสำเร็จมาถึงยาก

เถรี 07-07-2010 20:07

ถาม : พระที่วัดครับ ท่านบวชได้สองเดือน แล้วเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นเทวดา เกรงว่าท่านจะพลาด ผมไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไรดี ?
ตอบ : ถามท่านว่า พรุ่งนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง ? หรือมีโยมคนไหนจะมาวัดบ้าง ? เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ? ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? ขับรถสีอะไร ?

เสร็จแล้วก็จดไว้เป็นการพิสูจน์ ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ตรงจุดนี้ได้ ก็บอกท่านว่า อย่าพูดดีกว่า เดี๋ยวเสียพระเปล่า ๆ ถ้าเตือนท่านได้บอกท่านว่าอย่าไปสนใจนิมิต เพราะหลงทางมามากแล้ว

เถรี 07-07-2010 20:11

ถาม : เวลาที่นั่งมองสายน้ำ ถ้าหากได้จังหวะนั่งนิ่ง ๆ แล้วมอง จะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูดไป แล้วจะลืมทุกอย่างรอบข้างไปได้ เหมือนอยู่ในภวังค์ตัวเองได้ช่วงหนึ่ง ถ้าไม่มีใครมายุ่งอะไร สามารถอยู่ตรงนั้นได้ ๓ - ๔ วัน
ตอบ : ทำบ่อย ๆ ไม่ต้องกินอะไร ๓ - ๔ วัน ประหยัดดี นั่นเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

ถาม : ไม่ได้ตั้งใจทำค่ะ เป็นเอง
ตอบ : ถ้าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ถ้าหากสิ่งรอบข้างอำนวย ก็จะเป็นไปเอง ไม่ต้องไปตั้งใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเรายังตั้งใจอยู่ แปลว่าเรายังอยากอยู่ ถ้าอยากอยู่โอกาสได้มันน้อย ถ้าไม่ตั้งใจแปลว่าไม่อยาก ยิ่งได้ง่ายขึ้น

เถรี 07-07-2010 20:30

ถาม : ทำไมบางคนถือศีลแปด เขาบอกว่ากินน้ำเต้าหู้ หรือ โอวัลตินได้ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเขาห้าม แต่เป็นฆราวาสกินไปเถอะ เพราะว่าพระเขาให้แยกแยะว่าสิ่งไหนเป็นอาหาร สิ่งไหนเป็นปานะ

โอวัลตินมีส่วนผสมของข้าวมอลต์ มีส่วนผสมของไข่ไก่ที่เป็นอาหาร ถือว่าเป็นอาหาร ส่วนน้ำเต้าหู้ผลิตมาจากถั่วเหลืองที่เขาถือว่าเป็นอาหาร เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ ถึงเป็นน้ำปานะก็ไม่ควรสำหรับพระ ท่านห้ามเฉพาะพระ ไม่ได้ห้ามฆราวาส


ถาม : แต่ถ้าเราไม่กินเลย ก็ถือว่าได้ศีลแปดไปในตัว
ตอบ : ถ้าหากสามารถห้ามได้เลยก็ถือว่าเยี่ยม

ถาม : แล้วครีมกันแดดเล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ที่ท่านห้าม ก็คือ ห้ามแต่งตัวเพื่อไปยั่วเพศตรงข้าม

เถรี 07-07-2010 21:58

ถาม : ผมไปบวชและลองไปปฏิบัติแบบสายพระป่าครับ เราต้องทำสมาธิแบบไหนจึงจะพอ เพราะผมเคยศึกษาสายหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่าเอาเฉพาะเท่าที่เราทำได้ แต่พอไปอีกทางหนึ่ง เวลาที่ปวดขาหรือเวทนารบกวน ท่านบอกว่า แค่ตอนนั่งสมาธิเราปวดขา เราก็ยังทนไม่ได้ แล้วตอนที่เราจะตายแล้วเวทนามารบกวน เราสามารถที่จะพ้นได้หรือ ? อย่างไรจึงจะเรียกว่าพอดีสำหรับเราครับ ?
ตอบ : เราอยากทนไหมละ ?

ถาม : ไม่อยากทนครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากทนก็ไปฝึกอย่างนั้นต่อ ถ้าไม่อยากทนก็ไปฝึกอย่างหลวงพ่อฤๅษี

ถาม : ปลายทางเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยเหมือน การศึกษาปฏิบัติมี ๔ แนวทางด้วยกัน ก็คือ ปฏิบัติยากบรรลุยาก ปฏิบัติยากบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุยาก

ถาม : ปฏิบัติง่ายบรรลุง่ายใช้แนวทางไหนครับ ?
ตอบ : ใช้สมาธิสูงสุดที่เราทำได้ ฌานสี่หรือสมาบัติแปดยิ่งดี กดกิเลสเอาไว้ก่อน แล้วบีบคอให้กิเลสตายไปเลย

ถาม : บีบคอให้ตาย ?
ตอบ : กิเลสกับเราหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย พอบีบคอเข้าก็ชักดิ้นจะเป็นจะตาย แล้วคิดว่าเป็นตัวเราเองที่จะตาย เราก็มักจะไปรามือให้ทุกที พอเห็นว่าทำหน้าตาเหมือนเราเข้าหน่อย รีบไปเมตตากิเลสเชียว

โบราณเขาจึงได้บอกว่า ให้ตั้งใจว่าตายเป็นตาย ถ้าไม่คิดอย่างนั้นแล้วกิเลสจะหลอกเราทุกครั้ง


ถาม : แล้วการบีบคอเราใช้อะไรครับ ?
ตอบ : จะใช้สมาธิอย่างเดียวก็ได้ แต่ว่าจะต้องยาวนานพอ จะใช้วิปัสสนาญาณอย่างเดียวก็ได้ แต่ต้องมั่นคงพอ

คราวนี้วิปัสสนาญาณจะให้มั่นคงก็ไม่ได้ เพราะสมาธิมีน้อย สมาธิจะให้กดกิเลสจนตายก็ยากอีกเหมือนกัน เพราะว่าขาดความแหลมคม ก็เลยต้องใช้สองอย่างรวมกัน ก็คือ ภาวนาและพิจารณา ถ้าหากกำลังสมาธิคลายตัว ก็ภาวนาใหม่ สลับไปเรื่อย ถ้ากำลังพอเมื่อไร รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ก็จะวางได้เอง

เถรี 08-07-2010 00:48

ถาม : พ่อผมเขาเป็นมะเร็งลำไส้ เขาให้ผมมากราบเรียนถามว่ามียาอะไรที่พอจะรักษาโรคมะเร็งได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าอาการถึงระดับไหนแล้ว ถ้าหากยังไม่เกินระยะที่สอง สมุนไพรยังพอประทังได้อยู่

เอาขมิ้นชัน ๑ หัวแม่มือ และหญ้าแพรก ๑ กำมือ ล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียด ละลายน้ำปูนใส คั้นให้ได้สัก ๑ ถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง วันละถ้วย สามวันเท่านั้น


ถาม : ถ้าเกินขั้นสองก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเกินขั้นสองไปแล้ว ก็ทำใจเถอะ กินไปก็ช่วยบรรเทาเท่านั้น รักษาไม่หายหรอก

เถรี 08-07-2010 10:36

พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "จริง ๆ แล้วพระที่ไม่ถึง ๕ พรรษา พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามไว้เลยว่า ไม่ให้ไปพ้นจากครูบาอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่พวกเรามั่นใจตัวเองจนเกินเหตุ ในเมื่อมั่นใจในตัวเองจนเกินเหตุ อยากจะไป..ผมไม่ได้ห้าม แต่ให้เข้าใจว่าเราแบกอาบัติติดตัวไปตลอดเวลา เพราะว่าเราไปฝืนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับเราไม่ได้เอื้อเฟื้อ (เคารพ) ในพระวินัย

ในเมื่อเราต้องอาบัติอยู่ทุกวัน เผลอวันไหนก็ซวยวันนั้นแหละ ที่ไม่ได้ห้าม เพราะจะกลายเป็นว่าผมไปอิจฉาเด็ก ก็เลยปล่อยให้เด็กซวยกันเองตามอัธยาศัย ในเมื่อบวชเข้ามาแล้วไม่ศึกษากันเองว่าจะต้องทำอะไรกันบ้าง อยากจะไปก็ไป

อาตมาก่อนจะบวช ศึกษากติกาการบวชอยู่สองปี เริ่มตั้งแต่อดข้าวเย็นเลย วัดสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เขาเป็นตาผ้าขาวก่อนอยู่ ๑ หรือ ๒ ปี แล้วแต่ศรัทธา แต่ให้ปฏิบัติในศีล ๒๒๗ แบบพระเลย ทีนี้ตัวเองเป็นผ้าขาวปฏิบัติศีล ๒๒๗ ถ้าผิดก็ไม่มีโทษ ถ้าปฏิบัติจนชินมั่นใจแล้วบวชได้ ถึงเวลาเป็นพระก็จะไม่ผิด

แต่พวกเรานี่การฝึกปฏิบัติต่าง ๆ ก็ไม่มี แถมห่างไกลครูบาอาจารย์ก็หนักเข้าไปใหญ่ แทนที่จะดีจะมีแต่เสียมากกว่า"


ถาม : บางท่านเขาก็บอกว่ารู้แล้ว รู้มากกว่าเราอีก เราก็ไม่อยากพูด บางทีก็เป็นเพื่อน ๆ กัน
ตอบ : ตอนนี้คุณเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้บังคับบัญชา จำเป็นต้องพูด ไม่พูดไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราจะพูดแล้วเขาเชื่อได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัติของเราต้องเคร่งครัดกว่า ก็จะซวยตรงนี้ เพราะต้องแบกภาระทั้งข้างนอกและข้างใน

เถรี 08-07-2010 10:38

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าเจ้านายเคยเรียกใช้คนไหนแล้วได้อย่างใจ เขาจะเรียกใช้แต่คนนั้น

อาตมาโดนจนเข็ด บางทีเราก็ต้องทำเป็นไร้สมรรถภาพบ้าง แต่ก็ทำใจไม่ได้อีก เราทำนิดหน่อย ๆ ก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าคนอื่นเขา แล้วจะหมดสมรรถภาพได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น..จงเหนื่อยต่อไปเถอะ

พวกเราอยู่ในลักษณะอาสาศึกจนตัวตาย ถ้ายังไม่ตายเขาก็ใช้ไปเรื่อย เป็นกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว ถึงเวลาความสบายเป็นของคนอื่น เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร ลำบากก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ..! อาตมาไม่ได้ประชดนะ พูดจากเรื่องจริงที่เจอมา"

เถรี 08-07-2010 10:40

ถาม : เวลาแม่อธิษฐาน แม่จะอธิษฐานว่า ขอให้คนที่คิดร้ายต่อแม่แพ้ภัยตัวเอง กระแสตอนที่แม่พูด เหมือนจะเป็นความร้อนรน คล้าย ๆ กับแค้น
ตอบ : ไม่เป็นไร กำลังใจของแม่ยังแค่นั้น ปล่อยท่านไปก่อน

ถาม : แล้วเราเป็นลูก เราควรช่วยอย่างไรเพื่อที่จะให้จิตใจของแม่เย็นลงจากความร้อนตรงนี้ได้ ?
ตอบ : จนกว่าเราเองจะเย็นจริง ๆ ถ้าเราเย็นจริงได้เมื่อไร ท่านรับได้ ท่านก็จะตามมาเอง

ถาม : ทำอย่างอื่นไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พูดกรอกหูท่านไปเรื่อย ๆ ว่า ถ้าเราตั้งใจทำดีจริง ๆ คนชั่วก็แพ้ภัยไปเอง ไม่ต้องไปคิดไปแค้นก็ได้

เถรี 08-07-2010 10:43

ถาม : เขานั่งคุยกับผมอยู่และนั่งจับลมหายใจไปด้วย เขารู้สึกว่าคำพูดผมเหมือนกับห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าสมาธิลึกลงไปเรื่อย พอสมาธิลึกลงไปเรื่อย สิ่งที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ก็จะเบาลงไปเรื่อย

ถาม : ก็คือ ทันทีที่เขามาจับความสนใจที่ผมพูดต่อ ก็จะดึงกลับออกมา
ตอบ : คลายออกมา แต่ถ้าเขาปล่อยยาวออกไป ก็จะเป็นอัปปนาสมาธิ

ถาม : เป็นการแบ่งจิตเป็นสองส่วน ใช่ไหมครับ คือ ส่วนหนึ่งจับลมหายใจ ?
ตอบ : ใช่..แต่ถ้าไม่คล่องตัวก็จะทำยาก เอาสมาธิให้แน่นไปก่อน หลังจากนั้นค่อยมาแบ่งทีหลัง

ถาม : แต่เขาขับรถอยู่ด้วย
ตอบ : ขับรถอยู่ด้วย คนอื่นอาจจะเดือดร้อนได้ คือ ตัวเองไม่เป็นไรหรอก สมาธิที่ทรงระดับฌาน กำลังของฌานป้องกันเราได้ แต่ถ้าเกิดไปชนคนอื่นเพราะร่างกายเราขับรถไม่ได้ คนอื่นก็ซวยไป..!

เถรี 08-07-2010 10:45

ถาม : เวลาช่วงที่เราจับลมหายใจเข้าออก ช่วงเวลาตรงนั้นยาว คราวนี้เราก็ฟุ้งซ่านอีก พอเราภาวนาว่าพุท ก็ใช้เวลาครู่เดียว แต่เวลาที่เหลือก็ออกไปเยอะแยะได้ คราวนี้เวลาที่เราจับพุทไปด้วย จับลมชีพจรไปด้วยแบบนั้น ก็ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเวลาเหลือ ให้เพิ่มเข้าไปอีก อาจจะเป็นพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๓ ครั้งต่อ ๑ ลมหายใจเข้าก็ได้

ถาม : แล้วเราไปจับชีพจรด้วยจะดีไหมครับ หรือมันเป็นการไปยุ่งกับร่างกาย ?
ตอบ : ถ้าหากไปสนใจอย่างอื่นมาก สมาธิก็จะไม่ทรงตัว นั่นใช้สำหรับคนที่เขาคล่องตัวแล้ว ทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วเขาไปแบ่งกำลังใจสนใจหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ถ้ายังไม่คล่องเอาทีละอย่างดีกว่า

ถาม : ที่เขาพยายามไปจับอยู่ตรงปลายนิ้ว ปลายเท้า อะไรพวกนั้น สำหรับคนคล่องใช่ไหมครับ?
ตอบ : ไม่คล่องตัวไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวก็เพี้ยน..!

เถรี 08-07-2010 10:48

ถาม : ปฏิบัติมาค่อนข้างตึง ๆ และแน่น
ตอบ : อย่าไปสนใจอาการทางร่างกาย ตั้งใจว่าเราทำความดีอยู่ ถึงจะตายลงไปก็ช่าง สักแต่ว่ากำหนดรู้ไว้ว่าอาการเป็นอย่างนี้

ถาม : ปล่อยไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ถ้ายังมีคำภาวนาใช้คำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจดูลมหายใจ ถ้าไม่มีกำหนดรู้แค่อาการที่เป็นตอนนั้น อย่าอยากให้หาย และอย่าอยากให้เป็น แล้วจะเป็นสมาธิลึกเข้าไปเอง ถ้าเราอยากให้หายจากอาการนั้น หรือภาวนาแล้วอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็จะไม่เป็น เพราะเราไปอยาก..!

ถาม : ภาวนาแล้วสว่าง
ตอบ : ช่างมัน..ถ้าเราไปใส่ใจ สมาธิจะเคลื่อน

ถาม : ผมรู้สึกว่าตัวไปตรงสว่าง ๆ ลอยไปตรงนั้น
ตอบ : ไปได้ก็กลับได้ ไม่มีอะไรที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตนี้หรอก ไปแค่ไกลไหนก็กลับ ดังนั้น..ถ้าอยากไปก็ไป ไปแล้วพบเห็นอะไรก็ตั้งสติไว้ เจอพระไหว้พระ เจอเทวดาไหว้เทวดา อย่าไปขอหวยก็แล้วกัน

เถรี 08-07-2010 10:53

ถาม : พระธรรมยุติกับพระมหานิกาย ต่างกันตรงไหน?
ตอบ : ต่างกันโดยนัยของการปฏิบัติ แต่ในเรื่องของหลักศีล สมาธิ ปัญญาไม่มีอะไรต่างกัน ต่างกันอย่างเช่นว่า พระธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาท่านเดินเท้าเปล่าไม่สวมรองเท้า ท่านไม่ฉันนม ฯลฯ

จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นการปฏิบัติของศีลในส่วนของอภิสมาจาร คือ รายละเอียด ใครสามารถทำได้ก็เป็นการดี เพราะว่าจิตยิ่งละเอียดการเข้าถึงธรรมก็ยิ่งสูง แต่ที่พบโดยส่วนใหญ่ ท่านปฏิบัติแล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวท่านดีกว่า กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ก็เลยเข้าใจว่าส่วนน้อยที่เข้าใจถูกแล้วปฏิบัติได้ดีเลย แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจก็ยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกูหนักเข้าไปอีก

อย่างเวลาพระมหานิกายไป เขาจะมองเราเป็นแค่เณรเท่านั้น เรามีอายุพรรษามาก เขาก็แค่ให้นั่งเหนือเณร จะไม่มีโอกาสนั่งตามพรรษาตัวเอง ขณะเดียวกัน เราไปหยิบไปจับข้าวของของท่าน บางท่านไม่เกรงใจสั่งเณรประเคนใหม่เดี๋ยวนั้นเลย

อาตมาเองทั้ง ๆ ที่มีฎีกานิมนต์ ไปวัดเขาแล้วขึ้นวัดไม่ได้ เขาไม่ให้ขึ้นศาลาสวดมนต์ เพราะตอนนั้นไปนุ่งห่มสีเหลืองต่างจากเขา ก็เลยต้องนั่งอยู่ข้างล่าง พระที่ท่านนิมนต์เรามาก็หน้าเสีย วิ่งตาลีตาเหลือกมา บอกว่า "ผมไม่นึกเลยว่าเขาทำกับท่านอาจารย์ขนาดนี้" บอกท่านไปว่า "คุณจะไปเดือดร้อนอะไร คุณเห็นหรือเปล่าผมนั่งอยู่กับโต๊ะจีน สวดก็ไม่ต้องสวด ถึงเวลาก็รับปัจจัยเท่าเขา นั่งอยู่ที่โต๊ะจีนแบบนี้รับประกันซ่อมฟรีด้วยว่าไม่อดแน่" แต่คนที่คิดอย่างเราไม่ค่อยมี

เถรี 08-07-2010 10:57

ถาม : เขาบอกว่า เพศที่สามไม่มีโอกาสบรรลุ ?
ตอบ : ใครบอก ?

ถาม : อ่านหนังสือมา
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระพุทธวจนะ อย่าเพิ่งเชื่อ การสร้างบารมีของบุคคล ชาติแรก ๆ จะเริ่มเป็นผู้หญิงก่อน พอบารมีเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะเริ่มเป็นผู้ชาย อันนี้เป็นไปตามสภาวะเลย

ก่อนที่จะเกิดเป็นผู้ชายก็จะมีนิสัยของผู้ชายปรากฏก่อน ก็จะกลายเป็นหญิงห้าวสาวหล่อ เราก็จะไปเรียกเขาว่า "ทอม" พอข้ามไปเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยบางส่วนของผู้หญิงยังติดอยู่ เราก็ไปว่าเขาเป็น "ตุ๊ด" แต่ความจริงเป็นเรื่องปกติ จะเป็นอย่างนั้นไประยะหนึ่ง

ถามว่าก่อนหน้านั้นไม่มี แล้วทำไมสมัยนี้มี ? ก็เพราะระยะนี้พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเกิดมาก คราวนี้พอพัฒนาไปเรื่อย ๆ พอถึงอุปบารมีขั้นปลาย โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เริ่มมี ฉะนั้น..ที่บอกว่าไม่มีโอกาสเข้ามรรคผลเลย..ไม่ใช่ ต้องดูระยะเวลาและสิ่งที่เขาทำด้วย ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีความแข็งแรงของผู้ชาย และมีความละเอียดของผู้หญิง เพราะฉะนั้น..เขาทำงานได้ดีกว่าเราเยอะเลย


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : มีเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่บางส่วนนั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงบางท่านถึงแม้จะเป็นปรมัตถบารมี แต่ก็ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็เพราะว่าอธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์

อีกประเภทหนึ่ง ผู้ชายเกิดเป็นผู้หญิงนั้นเพราะเจ้าชู้ เขาต้องการให้เกิดเป็นผู้หญิง จะได้รู้ว่าช้ำใจอย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็คือเป็นหญิงเลย แม้จะมีนิสัยใจคอรวบรัดเหมือนผู้ชาย แต่ก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:17


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว