กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=44)
-   -   เก็บตกจากเกาะพระฤๅษี ๑๔ เมษายน ๒๕๔๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4393)

เถรี 29-03-2015 21:19

เก็บตกจากเกาะพระฤๅษี ๑๔ เมษายน ๒๕๔๙
 
ถาม : กสิณแสงสว่าง ปกติที่เขาฝึกกัน เขาฝึกอย่างไรครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาใช้แสงสว่างที่ลอดทะลุหลังคามา มองแล้วจดจำเอาไว้ ถ้าเลือนหายไปก็ลืมตามองใหม่ ปัจจุบันนี้ง่าย ใช้ลูกแก้วก็ได้ พระแก้วก็ได้

ถาม : แล้วที่บอกว่าต้องทำเป็นแก้วประกายพรึก หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : พอภาพกสิณติดตา ตอนนั้นเราต้องประคับประคองรักษาอารมณ์ ซึ่งภาพจะเปลี่ยนไปเรื่อยตามกำลังสมาธิของเราที่ลึกไปทุกที ๆ พอสมาธิลึกถึงที่สุดจนเป็นฌานสี่ ภาพกสิณจะสว่างเจิดจ้าเหมือนอย่างกับเรามองดวงตะวัน ถึงตอนนั้นเราก็ลองอธิษฐานขยายให้ใหญ่ขึ้น ให้เล็กลง ให้มาได้ ให้ไปได้

ถาม : ตอนเป็นฌานสี่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตอนนั้นเราจะไม่รู้หรอก เพราะเราจับภาพกสิณไว้ ไม่ได้สนใจของอารมณ์สมาธิ แต่การจับภาพจะเป็นขั้นตอนของสมาธิทุกระดับ เริ่มตั้งแต่เป็นอุคหนิมิตติดตาจะเป็นอุปจารสมาธิ บางคนก็ทำกสิณไปเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทรงฌานไปเต็ม ๆ แล้ว

เรื่องของกสิณ หลายคนเข้าใจว่าต้องไปนั่งจ้องอยู่ ความจริงให้มองวัตถุที่เป็นดวงกสิณแล้วหลับตาลง ก็นึกภาพได้พักหนึ่ง สำหรับคนที่ยังไม่เคยชิน มองแล้วหลับตาลง
จะนึกถึงภาพได้พักหนึ่ง พอภาพหายไปก็ลืมตาขึ้นมองใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึง พร้อมกับคำภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ไม่ใช่แค่ ๓ ครั้งก็เบื่อแล้ว

พอเริ่มหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น ไปไหนก็เห็น คราวนี้นิมิตกสิณที่เราตั้งไว้ก็มีความจำเป็นน้อยลง เหลือความจำเป็นตรงการประคับประคองภาพกสิณให้อยู่กับเราให้ได้ ตอนนั้นยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอ่อนอีก พลาดเมื่อไรตก หลุดมือตายเมื่อนั้น ต้องเริ่มต้นใหม่ ฉะนั้น..กสิณดีตรงที่ทำให้สติของเราสมบูรณ์ เพราะว่าเป็นของหยาบ มีนิมิตเป็นเครื่องโยง

ประคองภาพไว้ทั้งวัน จะทำอะไรก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน ถึงเวลาต้องแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งนึกถึงภาพกสิณไว้เสมอ ตอนนั้นกิเลสโผล่ไม่ได้หรอก เพราะว่าสติของเราไปจดจ่ออยู่กับภาพกสิณตลอด นับเป็นเรื่องดี

เถรี 29-03-2015 21:21

กสิณทำแล้วจะสร้างให้เกิดฤทธิ์เกิดเดชขึ้นได้ พอเริ่มทำอะไรเกินชาวบ้านได้ ถ้าคนไม่มองเราว่าเป็นผู้วิเศษ ก็จะมองว่าเราบ้า มีสองอย่าง ถ้าเขาว่าเราบ้าเขาก็จะกระจายความคิดนี้ไปเรื่อย แล้วคนรอบข้างก็จะว่าเราบ้า ตอนนั้นถ้าเราทนเขาพูดไม่ได้ เราก็จะเลิกทำความดี แต่ถ้าเขาเห็นเราเป็นผู้วิเศษ เขาก็จะมากันหัวไม่วางหางไม่เว้น เหนื่อยตายเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น..ถ้าทำได้ให้ปิดตัวเอง พยายามอย่าไปยุ่งกับคนอื่น จนกว่าจะผ่านขั้นตอนสำคัญ ก็คือสามารถทรงอารมณ์ในลักษณะที่ต้องการเมื่อไรก็ปรากฏได้ ใช้งานได้ทันที คราวนี้จะไปพบปะพูดคุยกับใครก็ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงตอนนั้นก็จะหลุด เสียเวลาในการปฏิบัติ

เรื่องของกสิณอย่าเป็นคนหลายใจ เคยทำกองไหนให้ตั้งหน้าตั้งตาทำกองนั้นให้สำเร็จไปเลย ถ้าเรายังทำกองนั้นไม่สำเร็จ แล้วไปอ่านเจอกองอื่นว่าคุณสมบัติของกองนี้ดี เราก็เปลี่ยนไปทำอีกกอง อาตมาเคยเปรียบไว้ว่า ขุดบ่อจวนจะถึงน้ำแล้ว เราว่าตรงอื่นดีแล้วก็ไปเริ่มขุดใหม่ ตรงโน้นดีเราก็ไปเริ่มขุดใหม่ เมื่อไรเราจะได้น้ำเสียที ?

กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองไม่มีอะไรยาก ถ้าเราตั้งหน้าทำให้ได้สักผลกองหนึ่ง กองอื่นก็ใช้อารมณ์ใจเท่ากัน ไม่เกินฌานสี่ ต่อให้เป็นสมาบัติ ๘ ในอรูปฌานก็ใช้กำลังแค่ฌานสี่ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการของการทรงฌานเท่านั้นเอง ถ้าเต็มที่ได้กองหนึ่ง กองอื่นก็จะง่าย แต่ถ้าไม่ได้สักกองก็จะยากทุกกอง

เถรี 29-03-2015 21:29

ถาม : เคยอ่านประวัติมา ที่หลวงพ่อปานสอนหลวงพ่อว่าให้ทำวิปัสสนาด้วย ทรงศีลด้วย มองภาพพระด้วย อย่างนี้รวมหลายกรรมฐานหรือครับ ?
ตอบ : แรก ๆ เอาอย่างเดียวพอ หลังจากที่มีความคล่องตัว ค่อยเอาหลาย ๆ อย่างมาประยุกต์รวมกัน ถ้าคุณไปฟังไฟล์เสียงกรรมฐานที่ให้เว็บพลังจิตไป จะเห็นว่าบางตอนอาตมารวมกรรมฐานเกือบ ๔๐ กองอยู่ในตอนเดียวกัน เพียงแต่ว่าคุณจะแยกออกไหม ? คนที่เข้าใจฟังไปก็ร้องโอ้โหไป

จริง ๆ แล้วพระธรรมของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าประยุกต์เป็นก็รวมลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้หมด ลองย้อนกลับไปฟังใหม่ดู แล้วก็ไล่ไปเรื่อย ตั้งแต่กสิณ ๑๐ อนุสติ ๑๐ อสุภกรรมฐาน ๑๐ อรูปฌาน ๔ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อยู่ในนั้นหมด เพียงแต่เราจะแคะออกหรือเปล่า ? อาตมาให้หมดตัวแล้ว ตายตอนนี้ก็ไม่เสียดายแล้ว

ปีนั้น
บังเอิญว่าอาตมาต้องไปบูรณะวัดทองผาภูมิที่หมดสภาพ มีพระมีเณรตามไปด้วย ยอมลำบากลำบนทำงานอยู่ด้วยกัน คิดว่าควรจะตอบแทนท่านบ้าง จึงสอนท่านทุกเช้า ครบ ๔๐ กอง

ปัจจุบันนี้พระที่สอนกรรมฐานครบ ๔๐ กองในของประเทศเรามีน้อยมาก เพราะเขาเรียนมาไม่ครบ ก็มักจะไปปฏิเสธของคนอื่น ประเภทตัวเองกินผัดกะเพราแล้วไปบอกว่าก๋วยเตี๋ยวใช้ไม่ได้ ไปค้านเขาโดยที่คิดว่าของตัวเองดีอยู่คนเดียว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนกรรมฐานถึง ๔๐ กอง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดลักษณะนั้น

เถรี 29-03-2015 21:40

ถาม : มรณานุสติถึงฌานสี่เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เมื่อเราพิจารณาจนเป็นปกติแล้วว่า เรามีสภาพตายแน่นอน คนและสัตว์ทั้งหมดก็ตายเหมือนกัน พออารมณ์ใจยอมรับแน่นอนตรงนี้แล้ว เราก็จับลมหายใจเข้าออกภาวนาต่อไปเลย จะเป็นฌานสี่ได้ก็ตรงอาศัยอานาปานสติมาช่วย

เถรี 29-03-2015 21:50

ถาม : พรหมวิหาร ๔ เป็นฌานสี่ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : แบบเดียวกัน พอเราแผ่เมตตาจนกระทั่งเต็มความรู้สึกแล้ว ก็จับอารมณ์ภาวนาต่อ จนอารมณ์เมตตาทรงอยู่กับเราตลอดเวลา

ถาม : ใช้อานาปานสติทรงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กรรมฐานทุกกอง ถ้าไม่มีอานาปานสติเป็นพื้นฐานก็ทำเป็นฌานสี่ไม่ได้ ปกติจะเป็นอุปจารสมาธิ หรือบางอย่างมีภาพเป็นเครื่องโยงก็เป็นปฐมฌานได้ แต่เนื่องจากโบราณาจารย์ท่านฉลาด โดยเฉพาะหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านประยุกต์รวมกัน โดยเอาอานาปานสติมาเสริม แล้วทำเป็นฌานสี่ ทรงเป็นสมาบัติ ๘ ได้หมดทุกกอง

เถรี 29-03-2015 21:57

ถาม : นึกคำถามไม่ออก ?
ตอบ : พวกเราจะมีปัญหาเฉพาะตอนก่อนจะมา ถึงได้แนะนำบางคนว่า พอนึกอะไรได้ให้จดมา พอมาอยู่ตรงนี้แล้วคำถามจะหายหมด เหมือนกับคนที่เดินตากแดดมาเป็น ๑๐ กิโลเมตร อากาศร้อน นั่นก็อยากได้ นี่ก็อยากกิน น้ำเย็นก็จะเอา พอเข้าที่ร่มแล้วก็ลืมเกือบหมด เพราะพ้นจากสภาวะนั้นแล้ว พวกเราก็เหมือนกัน อยู่ในสภาวะคล้าย ๆ กัน

เถรี 30-03-2015 10:29

ถาม : ทำไมคนเราจึงจำอดีตชาติไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าจำอดีตชาติได้ จำนรกได้ จำสวรรค์ได้ การทำความดีความชั่วของเราจะไม่ได้เกิดจากสันดานที่แท้จริง แต่ทำเพราะโดนบังคับโดยปริยาย เห็นนรกแล้วกลัว ทำความดีเพราะกลัว เห็นสวรรค์แล้วชอบ ทำความดีเพราะอยาก

ฉะนั้น..พอระลึกได้เมื่อไร ก็แปลว่าไม่ได้ทำความดีจากน้ำใสใจจริงของตัวเอง แต่ทำเพราะโดนสภาพบังคับ จึงจำเป็นต้องใช้ระบบลบข้อมูลออกจากสมอง ถึงวาระจะได้ทำของเขาเอง เลือกโดยตัวของเขาเอง


ถาม : ระบบที่ลบ ลบจากตรงไหนคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นของจีนเขาบอกว่าต้องไปดื่มน้ำชาของแม่เฒ่าก่อน แต่ถ้าของไทยต้องไปกิน "ลูกลืม"

ถาม : ลูกลืมที่เป็นขน ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ความจริงไม่ใช่...ระบบที่ลบนั้นลบตรงที่เราไปเกิดเป็นอย่างอื่นนาน ๆ เช่น ตกนรกหลายแสนหลายล้านปี ถึงเวลาเราย้อนกลับมาเกิดเป็นคน เราก็จะจำตอนที่เป็นคนเดิมไม่ได้ แต่ถ้าตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนทันทีก็จะจำได้ ฉะนั้น..จะเห็นว่าบางคนระลึกชาติได้ บางคนระลึกไม่ได้ ที่ระลึกชาติได้เพราะตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนใหม่ หรือไม่ก็ต้องมีพื้นฐานสมาธิที่ดีพอ ทรงทิพจักขุญาณได้ก็จะระลึกชาติได้

เถรี 30-03-2015 10:40

ถาม : ในสมัยพุทธกาล มีกรณีที่ตายจากคนแล้วไปเกิดเป็นหมา ทำไมจึงระลึกชาติที่เกิดเป็นคนได้ ?
ตอบ : ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนบอก ถึงได้รู้ว่านายโกตุหลิตะตายจากคนแล้วกลายเป็นหมา พอให้การสงเคราะห์พระปัจเจกพุทธเจ้า จากหมาเลยเกิดเป็นโฆสกเทพบุตร ตัวหมาเองเล่าไม่ได้หรอก แต่ผ่านการบอกเล่าของพระพุทธเจ้าท่าน

เถรี 30-03-2015 11:33

ถาม : แต่ก่อนเขาฝึกสมาธิ ฝึกมโนมยิทธิได้ดีมากครับ พอมาช่วงหนึ่งแล้วเขาจิตตก เข้าไปช่วงเดิมไม่ได้แล้วครับ เป็นเพราะอะไร และแก้อย่างไร ?
ตอบ : ก็เป็นเพราะว่าตก จริง ๆ นะ..เราขึ้นบันไดไปถึงยอดเขา มองลงไปอะไรก็เห็น ทีนี้กลิ้งลงมาอยู่ตีนเขาจะไปเห็นอะไร ต้องพยายามตะกายกลับขึ้นไปใหม่

เนื่องจากกำลังใจของเราที่ผ่องใสจากกิเลสมานาน พอกิเลสได้โอกาสตีกลับจึงงอกงามอย่างรวดเร็ว จนท่วมทับความผ่องใสไป คราวนี้ที่กิเลสงอกจนท่วมฟ้า เราจะขุดออกก็ยาก ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงเลย ที่อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เราปล่อยลอยตามน้ำไป แล้วเราว่ายทวนน้ำมา จากนั้นก็ปล่อยลอยไปอีก ถึงเวลาก็ว่ายทวนใหม่ พอหลาย ๆ รอบเข้าก็จะล้า จะยากขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ยาก ยากตรงที่เราไป "อยาก" อยากให้เป็นเหมือนเดิม อยากให้ได้เหมือนเดิม ตัวอยากทำให้เราทำเกิน ต้องลดกำลังใจมานิดหนึ่ง วางกำลังใจให้เป็นอุเบกขา ตัดตัวอยากนั้นออกเสีย คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดอย่างเดิมหรือไม่ก็ช่าง ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้ได้ ก็จะได้เร็ว ถ้าทำตรงจุดนี้ไม่ได้ก็จะลำบาก

เถรี 30-03-2015 12:04

ถาม : อุเบกขากับขี้เกียจต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกัน อุเบกขาวางเฉยด้วยความมีปัญญา แต่ขี้เกียจปล่อยวางเพราะไม่อยากทำ

ถาม : ผมเปรียบเทียบตัวเองแล้วเหมือนขี้เกียจ ?
ตอบ : ให้สังเกตดู เรื่องของการปฏิบัติจะมุ่งหน้าไปเรื่อย เหมือนอย่างกับเต่าเดิน เต่าเดินช้า แต่ใครเคยเห็นเต่าเดินถอยหลังบ้าง ? ไม่มีหรอก เจออุปสรรคอะไร เต่าก็หดเข้ากระดอง เมื่อไม่มีอะไรยืดออกมาก็เดินต่อ ถ้าใครเคยเห็นเต่าเดินถอยหลังช่วยบอกที จะให้รางวัล ฉะนั้น..เราต้องใช้นิสัยแบบเต่า ขึ้นหน้าไปเรื่อย ถึงเวลาเจออุปสรรคก็หดไว้ก่อน หรือไม่ก็เดินอ้อมไป หรือไม่ก็เล่นอย่างเต่าหกขา พัฒนาเพิ่มขาช่วยเดินขึ้นมา

เราจะต้องไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเราไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไปช้าก็ไม่ถือว่าขี้เกียจ แต่รู้กำลังของตัวเอง เราต้องประคับประคองมัน รู้ว่าตัวพอดีอยู่ตรงไหน ตัวพอดีของแชม์เปี้ยนโอลิมปิกคือ ๙.๘ วินาที แต่ของเราอย่างน้อย ๆ สัก ๒๐ วินาที ไม่อย่างนั้นอาจจะเหนื่อยตับแตกตายเอง

มัชฌิมาปฏิทา ความพอดีของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา และกำลังบารมีที่สั่งสมมา เคยไปนั่งกรรมฐานแข่งกับเขา ๓ ชั่วโมงก็ได้ ๕ ชั่วโมงก็ได้ เราไปกับเขาได้ แต่กำลังใจจะมีคุณภาพอยู่พักหนึ่ง สักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ที่เหลือนั่งด่าแม่ตลอด "ไอ้ห่าเมื่อไรจะเลิกซะที เจ็บตูดจะตายห่า" ด่าไปเรื่อย

ตัวพอดีของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน อย่างเรานี่เรารู้ชัดเลย ลุงพุฒิหรือท่านนายบัญชีเวลาท่านบันทึกความดีของเรา ท่านบันทึกตอนกำลังใจเราสูงสุด เหมือนกับบันทึกอุณหภูมิของพวกป่าไม้หรือพวกกรมอุตุ วันนี้ ๓๖ องศา หลังจากนั้นจะสูงหรือต่ำก็ไม่สน สนแต่ ๓๖ องศาอย่างเดียว

ฉะนั้น กำลังใจเราใช้วิธีเอาแค่เสมอตัวหรือกำไร อย่าไปเอาขาดทุน รักษาประคับประคองอารมณ์ให้อยู่ในด้านดีเอาไว้ เราอาจจะรักษาโดยการทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย แล้วระวังประคองอย่าให้ศีลขาดก็พอ พอมีเวลา กำลังใจอยากภาวนา เราก็มาเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่กำลังใจดิ้นรนส่งส่ายไม่เอาแล้ว ก็ไปบังคับให้ภาวนา

การปฏิบัติต้องรู้จักประคองไว้ เอาแค่เสมอตัวกับกำไร จะก้าวหน้ามาก แต่ถ้าเราไปตื๊อมันก็เหมือนกับคนโหมทำงาน แล้วไปโหมทำงานที่ตัวเองเริ่มไม่ชอบแล้ว ก็จะหมดกำลังใจ วันต่อไปจะไม่เอาแล้ว ใจจะเริ่มฟุ้งซ่าน หลังจากนั้นจะคุมมันได้ยาก

เถรี 30-03-2015 12:30

ถาม : ศีลข้อสามครับ ถ้าไม่ได้แต่งงานกัน อยู่ด้วยกัน ดูแลเป็นสามีภรรยา ?
ตอบ : ถ้าพ่อแม่อนุญาตถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้คุณรับผิดชอบชีวิตเขาดีขนาดไหนก็ผิดศีลข้อนี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ ๑๕-๑๖ หัวข้อ มีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง มีญาติปกครอง มีพระราชาปกครอง เป็นบุคคลที่ผู้อื่นจองแล้วด้วยพวงมาลัย ประเภทนี้ที่เขาหมั้นเอาไว้ จนกระทั่งท้ายสุดไม่มีอะไร แต่มีธรรมปกครอง ไม่รอดสักกรณี

เพราะฉะนั้น..อย่างน้อยต้องให้ผู้ใหญ่เขาอนุญาต หรือถ้าอยู่ตัวคนเดียวหาญาติไม่ได้ มีลูกก็ต้องขอลูก


ถาม : อย่างมีธรรมปกครอง คืออย่างไรคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยเราอยู่ในแวดวงที่รู้ธรรม ก็คือ เป็นบุคคลที่เข้าใจว่าศีลมีสภาพเป็นอย่างไร ในเมื่อเราเข้าใจว่าศีลมีสภาพเป็นอย่างไรก็แปลว่าเรามีธรรมเป็นผู้ปกครอง ถ้าบุคคลอื่นล่วงเมื่อไรก็คือศีลขาด

เถรี 30-03-2015 19:11

ถาม : พระพุทธเจ้าเป็นคนประเทศอื่น ทำไมจึงมาถึงไทย (เด็กถาม) ?
ตอบ : เพราะหลวงปู่โสณะกับหลวงปู่อุตตระท่านแบกใส่บ่ามา ถ้าไม่เชื่อลองย้อนไปดู พ.ศ. ๓๗๕ พูดเล่น..! ท่านเอาพระพุทธศาสนามาเผยแพร่ต่อ พอแพร่มาถึงเราก็รับไว้

เถรี 30-03-2015 19:40

ถาม : วัดพระแท่นดงรัง ที่ว่าเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระแท่นดงรังเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมา แต่ไม่ใช่ที่ที่ปรินิพพาน แต่สาระไม่ได้อยู่ตรงใช่หรือไม่ใช่ อยู่ตรงที่เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ? ถ้าเราระลึกถึงต่อให้สถานที่นั้นไม่ใช่ แต่เรานึกถึงท่านก็จัดเป็นอนุสติ แต่ถ้าสถานที่นั้นใช่ เรานั่งเฝ้าอยู่ทุกวัน แต่ไม่เคยนึกถึงพระพุทธเจ้าเลยก็ช่วยอะไรไม่ได้

ดังนั้น..สถานที่อันเหมาะสม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง เขาบอกว่าใช่ เราไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหรือไม่เชื่อตรงนั้น แต่ขณะที่เรากราบไหว้นั้น เราบูชาอะไร ? แล้วเราระลึกถึงอะไร ? สาระอยู่ตรงนี้


ถาม : พี่คนหนึ่งเขาไปปฏิบัติธรรม แล้วเขาเห็นมีการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า จะเห็นเป็นเปลวไฟ ?
ตอบ : การที่เราเห็น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะจริง ในเมื่อใจเรายึดเกาะอยู่ตรงนั้น ท่านก็แสดงให้เห็นได้ จึงได้บอกว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเห็นจริง แต่ไม่แน่ว่าเราสิ่งที่เราเห็นจะจริงตามที่เราเห็นว่าคืออะไร อาตมาเคยยกตัวอย่างว่า เห็นคนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ฉวยมีด ฉวยไม้เอาไปช่วย เดี๋ยวก็โดนเขารุมกระทืบเพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่าจริงหรือเปล่า ? เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นนั้นจริงไหม ? ต้องใช้สติปัญญาให้ดีด้วย

เถรี 30-03-2015 19:56

เรื่องของนิมิตทุกอย่าง ถ้าปฏิบัติไปจนถึงจุดท้าย ๆ จะเหลือคาถาอยู่คำเดียวเหมือน ๆ กันหมด คือ "กูไม่เชื่อ" การที่ไม่เชื่อไม่ได้หมายความว่าเราปรามาสพระรัตนตรัย แต่เราไม่เชื่อ คือ การที่เรารั้งกำลังใจไว้ในจุดที่ว่า สิ่งที่เรารับรู้มา เรารับรู้ไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเกิดขึ้นตามนั้นก็จะน้อมใจเชื่อ

ครั้งที่หนึ่งใช่ ครั้งที่สองใช่ ครั้งที่สามก็ไม่แน่ว่าจะใช่ บรรดาผู้ได้ทิพจักขุญาณตอนหลังที่เป๋ไปเยอะก็เพราะไปน้อมใจเชื่อเสียทีเดียว อย่างท่าน...น่าเสียดายที่สุด เพราะตอนหลังท่านไปน้อมใจเชื่ออย่างเดียว เขาดึงออกนอกทางนิดเดียวเท่านั้น อาตมายืนยันว่า มารกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว สำคัญตรงก้าวสุดท้ายว่าเขาพาเราเลี้ยวไปทางไหน

อาตมาไปเปิดดูบันทึกของเขา เขาบันทึกเอาไว้ว่า "วันนี้พระบอกว่า ระยะเวลาของการเข้าถึงมรรคผลใกล้เข้ามาแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งเร่งปฏิบัติมากเท่าไรยิ่งจะได้ผลเร็วเท่านั้น" มีตรงไหนผิดบ้าง ?


ถาม : กินน้อย นอนน้อย ?
ตอบ : ไม่ใช่ "เร่งปฏิบัติมากเท่าไรยิ่งจะได้ผลเร็วเท่านั้น" ตรงนี้ผิด ผิดแบบไม่น่าผิด ๘๐ เปอร์เซ็นต์ที่ผ่านมาใช่ พอมาบรรทัดสุดท้ายเขาก็เลยไม่เฉลียวใจ โดนหลอกตรงนี้ อย่าลืมว่าถ้าคุณเริ่มเดินทางตรงนี้ คุณหันผิดไป ๑ องศา ๑๐๐ กิโลเมตรข้างหน้าคุณจะห่างเท่าไร ? ๑๐๐ กิโลเมตรข้างหน้า คุณห่างเป้าหมายหลายร้อยเมตรเลย

ดังนั้น นักปฏิบัติทุกคนพอเริ่มเข้าถึงอุปจารสมาธิ ตัวปีติจะเกิด มารเขารู้แล้ว ไอ้นี่จะหลุดมือกูแล้ว เขาจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างเป็นเครื่องทดสอบเรา ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ อะไรก็ตาม มารเขาใช้เป็นเครื่องทดสอบเราได้หมด

มองไปสิ "ไอ้ห่..ใครเอาของชิ้นนี้มาวะ ? เกะกะฉิบหาย" โทสะเกิดแล้ว มองไปทางด้านโน้น "ดอกไม้สวยดี" ราคะอีก เขาใช้ได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะคนที่เรารักที่สุด เขาดลใจให้พูดผิดหูไปคำเดียว บางทีเราโกรธไปสามวันสามคืน คนพูดไม่รู้เรื่องเลย นั่นแหละระวังเอาไว้

เถรี 31-03-2015 11:48

จริง ๆ แล้วมารไม่ใช่ศัตรู แต่เขาเป็นครูที่ขยันที่สุด เขาทดสอบเราอยู่ทุกวินาที แต่เราจะรู้เท่าทันหรือเปล่า ? ถ้าเรารู้เท่าทัน สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม เราก้าวข้ามไป เราก็จะพ้นจากจุดนั้นไปเลย เขาก็ต้องหาที่ละเอียดกว่านั้นหรือหนักแน่นกว่านั้น เพื่อที่จะมาทดสอบเราต่อไป แต่ถ้าเราก้าวข้ามไม่ได้ สอบเมื่อไรก็ตก ก็ติดอยู่แค่นั้น

เขาก็คือมาร ผู้ฆ่าเรา ผู้ขวางเราจากความดี แต่ถ้าเราก้าวข้ามผ่านไปได้ เขาก็คือครูที่มีความเมตตาอย่างที่สุด เป็นครูที่ขยันที่สุด ทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น..ทุกคนอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น แต่ต้องทดสอบแล้วทดสอบอีก ฝึกฝนแล้วฝึกฝนอีก ทวนแล้วทวนอีก

เถรี 31-03-2015 12:03

เมื่อวานตอนเดินทางไปกัน ตลอดทางก็มีการทดสอบไปเรื่อย ไม่ได้ทดสอบอะไรหรอก ดูกำลังใจหมา เรารู้กำลังใจคนได้ เราต้องรู้กำลังใจหมาได้ เพราะหมากำลังใจต่ำกว่าเรา หมาตัวนี้ข้ามถนนจะไปทางไหน ? จะเลี้ยวกลับเวลารถมาหรือเปล่า ? จะไปซ้ายหรือไปขวา ?

พอทดสอบ อาตมาฟันธงว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้วก็เป็นตามนั้น แต่อย่างพวกน้องเล็กจะไม่กล้า เขารู้นะ แต่พอเอาจริงให้ยืนยัน เขาเริ่มอึกอัก เพราะอะไร ? กลัวหน้าแตก ตัวกลัวหน้าแตกที่โผล่ขึ้นมานี่ก็คือสักกายทิฐิ ตัวกูของกูยังทิ้งไม่ได้ เพราะกลัวผิด

สมัยอยู่วัดท่าซุง อาตมาจะโดนเพื่อนพระกระทืบมาหลายที พอหลวงพ่อถาม "เฮ้ย..วันนี้ทดสอบทิพจักขุญาณกันดีไหม ?" "ดีครับ" ไปดีครับอยู่คนเดียว อาตมาถือว่าตอบถูกได้กำไร แต่ถ้าตอบผิดเราได้บทเรียน หลวงพ่อท่านจะบอกว่าผิดตรงไหน แต่คนอื่นกลัวผิด ต่างกันตรงนี้ ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติอย่าไปกลัวผิด แต่ถ้าผิดแล้ว รู้ตัวเมื่อไรให้รีบแก้ไข ทำถูกเราได้กำไร ทำผิดเราได้บทเรียน เรามีแต่ได้ ไม่มีเสีย


ถาม : วางกำลังใจต่างกัน ?
ตอบ : แบบที่อาตมาว่ามานี่แหละคืออุเบกขา จำไว้ชัด ๆ เลย ว่าเบรกขาด้วย เบรกแขนด้วย เวลาที่ท่านเบิร์ธมาเล่าเรื่องคนอื่นให้ฟัง อาตมาก็แหย่ไปด้วย สนุกดี จนเขาว่า ทำไมหลวงพ่อมองโลกในแง่ดี เพราะว่าเราต้องคิดแทนคนอื่นในด้านดี ๆ ถ้าไปคิดแทนคนอื่นในด้านร้ายก็บรรลัย ก็ในเมื่อคิดด้านดีได้ แล้วจะไปคิดด้านร้ายทำซากทำไม..!

เถรี 31-03-2015 12:37

ถาม : การคิดฟุ้งซ่านกับการคิดวางแผนต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน การวางแผนเป็นการฟุ้งซ่านได้ถ้าไม่มีสมาธิควบคุม แต่ถ้ามีสมาธิควบคุม เรารู้อยู่ว่าเราจะทำอะไร "เราตั้งใจไว้ว่า ถ้าอย่างนี้...เป็นอย่างนี้" ลักษณะก็คล้าย ๆ การพิจารณาวิปัสสนาญาณ เพียงแต่เอามาใช้ในการงานปกติเท่านั้น จะมีสติและสมาธิควบคุมอยู่ตลอด และหยุดเป็น ฟุ้งซ่านจะหยุดไม่เป็น จะฟุ้งไปเรื่อย ไปจนจบแล้วยังนับหนึ่งใหม่อีก "ถ้าเป็นอย่างนี้..เราจะเป็นอย่างนี้นะ..เราจะได้อย่างนี้ มีเมีย ๑ คน มีรถ ๑ คัน มีบ้าน ๑ หลัง มีลูกสักสอง แก่ ๆ แล้วกูค่อยบวช" ก็น่าจะจบ ที่ไหนได้ มาเริ่มต้นคิดใหม่อีก

ลองไปตามความคิดตัวเองแล้วจะรู้ว่าสนุกเป็นบ้า ถ้าตามความคิดตัวเองทันก็รู้ทันความคิดคนอื่นหมด บางทีพออาตมาพูด ๆ เขาก็ไปบอกว่า ไม่ต้องถามหรอก หลวงพ่อพูดออกมาหมดแล้ว ก็แค่นั้น ถ้าเรารู้กำลังใจตัวเองเท่าไร ก็จะรู้กำลังใจคนอื่นเท่านั้น เพียงแต่ว่ารู้แล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปลำเลิกเบิกประจานใคร

มีหลายคนที่มาแล้วก็หายไปนาน บางที ๕-๖ เดือน โผล่มาทีหนึ่ง ถามว่าหายไปไหนมา ? เขาบอกว่ากำลังใจไม่ดี เลยไม่อยากมา จึงได้เตือนว่า "จำไว้เลยว่า..ถ้าเป็นพระจริง ๆ ไม่มีใครเขาดูว่าเราชั่วอย่างไร แต่ท่านจะดูว่าช่วยเราได้อย่างไร" ตอนที่เราช่วยตัวของเราเองด้วยความสามารถของเราไม่ได้ ควรที่จะไปหาพระ เพราะอย่างน้อย ๆ ท่านจะได้ช่วยยึด เป็นหลักให้เราเกาะ เพื่อที่เราจะได้ขยับขยายเข้ามาในจุดที่ปลอดภัยกว่านั้น และเราจะได้ก้าวหน้าไปต่อข้างหน้าได้

ตอนที่เอ็งไปปล้ำจนดีแล้วมา ดีแล้วจะมาทำไม ? พระไม่ต้องไปช่วยแล้วนี่ มาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้น..ตอนชั่วมาก ๆ ก็โผล่หน้ามาเถอะ อย่างเก่งโดนด่าทีสองที ประจานเสียหน่อยจะได้รู้จักจำ..!

เถรี 31-03-2015 12:58

ถาม : มีน้องที่อยู่ฝรั่งเศส เขากังวลใจมากเพราะเขาเคยทำแท้ง เขาอยากทำบุญแต่ยังติดตรงนี้ ?
ตอบ : ระวังไว้..ถ้าไปเจอพวกไม่มีศีลไม่มีธรรม เขาหลอกหมดตัวเลยจริง ๆ เพราะตัวเองไปกังวลอยู่ บอกให้ทำเท่าไรก็ไม่พอ

ให้บอกเขาว่าไม่ใช่กรรมของเราอย่างเดียว เด็กเขาก็สร้างกรรมหนักมาด้วย ปาณาติบาตหนักในอดีตของเขาทำให้เขาต้องมาตายทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันลืมตาดูโลก เกิดจากการสร้างกรรมทั้งสองฝ่าย แต่เนื่องจากกรรมนั้นเนื่องด้วยเรา ในวาระและเวลาที่ยังไม่สมควร จำเป็นขึ้นมาเราต้องทำลงไปแล้ว สิ่งที่เราทำเป็นความผิดแน่นอน แต่เราพยายามแก้ไขความผิดนั้นให้ดีที่สุด ก็คือ พยายามสร้างสมส่วนบุญอะไรก็ตาม แล้วอุทิศให้เขาอยู่เรื่อย ๆ ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ หรืออย่างไรก็ให้มาเกิดกับเราใหม่


ถาม : หนูบอกเขาไปว่า เด็กก็มีกรรมเหมือนกัน ให้ทำบุญและแผ่เมตตาไป ?
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ ให้บอกเขาไปว่า ไม่ต้องลืม ให้ภาวนานึกถึงลูกคนนั้นวันละครึ่งชั่วโมง แล้วนึกให้ตลอดนะ ฟุ้งซ่านเรื่องอื่นเมื่อไร..เลิก ให้มานึกถึงลูกภาวนาใหม่ พอกำลังใจทรงตัวเดี๋ยวก็หายฟุ้งไปเอง แต่ถ้าเราไปบังคับให้ทำอย่างอื่นนอกจากเป้าหมายของเขา เขาจะไม่เอาด้วย เมื่ออยากคิดถึงใช่ไหม ? ดีเลย..คิดไปเรื่อย แต่ให้คิดแล้วภาวนาด้วย

ถาม : ให้เขาภาวนาอย่างไรคะ ?
ตอบ : จะพุทโธก็ได้ ลูกจ๋าก็ได้ ว่าไปเถอะ ให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก พอถึงเวลากำลังใจก็ทรงตัวได้เอง

เถรี 31-03-2015 13:57

ถาม : น้องเขามีแฟนเป็นฝรั่ง แฟนเขาก็ไม่อยากให้มาทำบุญ เขาก็ต้องแอบ ๆ ทำ ?
ตอบ : เรื่องแบบนี้ลำบาก เจอมาเยอะ บางคนเป็นอิสลาม แอบมาทำบุญ ถึงเวลาอาตมาให้พระเขาก็เอาไปฝากเพื่อน เพราะเอาเข้าบ้านไม่ได้ ให้หนังสือไป อยากอ่านก็ต้องตัดรูปพระออกก่อน

ถาม : อย่างนี้ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็น..เพราะเป็นความจำเป็นในครอบครัวเขา ดีไม่ดีก็ช่วยคนไม่ให้ลงนรกได้อีกเยอะ เจออยู่ครอบครัวหนึ่ง ตัวเป็นไทยแต่ได้สามีเป็นอิสลาม เขาจะมีห้องนอนส่วนตัวของเขา ไม่ใช่ห้องที่เขาอยู่กับสามีนะ ในห้องส่วนตัวเขาก็ตั้งหิ้งพระ บอกสามีว่าเขาตั้งหิ้งพระไว้ในห้องนี้ พอสามีรู้ก็จะไม่ไปยุ่ง เพราะพวกนี้เขาถือว่าเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่นไม่ได้ จะทำให้ตกนรก จริง ๆ แล้วน่าจะตั้งให้ทั่วบ้านนะ เขาจะได้ไปที่อื่นเลย

ถาม : หนูมีเพื่อนเป็นอิสลามที่นิมนต์พระไปทำนั่นทำนี่ให้ตลอด ?
ตอบ : สิ่งที่เป็นบุญกลายเป็นบาปไม่ได้หรอก เพียงแต่บาปของเขาเป็นบาปโดยการ "คิดว่า" ซึ่งเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่ของพระพุทธเจ้านี่เป็น "อริยสัจ" คือ พิสูจน์แล้วว่าจริงแน่ ๆ ดังนั้น..ที่เขาว่าบาป แต่ในสายตาเราเห็นว่าเหลวไหล อย่างที่เขาเห็นว่าเป็นบุญ เช่น ฆ่าคนเพื่อปกป้องพระศาสนา หรือไม่ก็ฆ่าสัตว์เพื่อปลดปล่อยเขาไปสวรรค์

ถาม : ต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกับธรรมยุตกับมหานิกาย ของกูเคร่งกว่า เรื่องการหลุดพ้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเคร่งหรือไม่เคร่ง อยู่ที่ว่าทำแล้วเข้าถึงมรรคผลไหม ? แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ไปวัดผลตรงนั้น เขาไปวัดตรงเปลือก ถ้าไม่จับเงิน ไม่สวมรองเท้า ใช้ผ้าสามผืน ไม่ฉันนมแสดงว่าคุณเคร่ง กลายเป็นสีลัพพตุปาทาน คือ ยึดมั่นในหลักการปฏิบัติของตัวเอง แล้วถ้ายึดอยู่จะหลุดได้อย่างไร ? ต้องปล่อยจึงจะหลุด

พวกเราก็เหมือนกัน ที่ทะเลาะจนเว็บกระจาย ก็เพราะต่างคนต่างยึด ยึดว่าอาจารย์กูดี ใครแตะไม่ได้ เป็น untouchable

เถรี 31-03-2015 14:16

ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงสมัยก่อนมีจำนวนมาก ที่ยกคำว่า "หลวงพ่อ" ให้สำหรับท่านคนเดียว หลวงพ่อองค์อื่นไม่มี พอเขาว่าหลวงพ่อวัดนั้น หลวงพ่อวัดนี้ ไอ้นี่โวยทันที ไม่ได้หรอก..หลวงพ่อต้องมีวัดท่าซุงองค์เดียว เถียงกันแทบจะตีกันตาย

จริง ๆ ก็คือกิเลสส่วนตัวของพวกเราที่ไปคิดว่าใช่ แล้วจริง ๆ ใช่ของเราหรือใช่ของส่วนรวม ? หรือใช่ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ?
ฉะนั้น..กระทู้บางอย่างล่อแหลมมาก บางคนก็ตั้งกระทู้ในลักษณะรู้คำตอบอยู่ในใจแล้ว ในเมื่อมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เขาว่ามาไม่ตรงก็พยายามลากเข้ามาจนได้


ถาม : บางคนอ้างตัวว่าเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ อ้างว่าเป็นด็อกเตอร์ ?
ตอบ : บุคคลที่ความรู้สูง ฐานะทางสังคมสูง อัตตาก็สูงไปด้วย ในเมื่ออัตตาสูงไปด้วย สิ่งที่ตัวเองเห็นว่าใช่ ก็อยากให้คนอื่นคล้อยตาม

จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ควรไปยุ่ง ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดเจน เราไม่ควรกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ต้องทุ่มเถียงกัน เพราะการที่ทุ่มเถียงกัน ทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:44


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว