กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3491)

เถรี 22-08-2012 19:57

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
 
ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตามแต่ที่ตนเคยมีความถนัด

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการเจริญกรรมฐานประจำเดือนสิงหาคมวันสุดท้าย เมื่อตอนช่วงบ่าย อาตมาอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งมีตัวบทคาถาต่าง ๆ อ่านด้วยความเคยชินที่เคยเล่นเกี่ยวกับเรื่องของคาถาอาคมมา สภาพจิตก็จะวิ่งไปอยู่ในระดับที่ทำแล้วเคยใช้คาถาต่าง ๆ ได้ผล ก็เลยทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าของขึ้น หรือคาถาขึ้น อย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ไม่ได้ใช้คาถาเหล่านี้มา ๒๐ - ๓๐ ปีแล้ว

จึงมานึกได้ว่า ในการปฏิบัติของเรานั้น บางทีสภาพจิตที่ฟุ้งซ่านมาก ๆ ไม่สามารถที่จะรั้งอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยมอบคาถาเรียกจิตเอาไว้ให้ ผู้ใดเกิดความฟุ้งซ่าน ไม่สามารถที่จะระงับใจให้สงบนิ่ง ไม่สามารถที่จะภาวนาได้ ท่านให้ภาวนาคาถานี้สัก ๓ - ๕ นาที ก่อนการปฏิบัติกรรมฐานทุกครั้ง จะช่วยให้จิตสงบได้เร็ว คาถามีว่า “อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง”

เรื่องของคาถานั้น เป็นบาทหรือเป็นพื้นฐานของอภิญญา บุคคลที่จะทำคาถาขึ้น ต้องมีความจริงจัง สม่ำเสมอ เคยทำอย่างไร เท่าไร วันละกี่จบ ต้องทำให้ได้อย่างนั้น เท่านั้น สม่ำเสมอกันทุกวัน ถึงจะเกิดผล และโดยเฉพาะต้องมีความเชื่อ ความเลื่อมใส ทุ่มเทกำลังใจทั้งหมดลงไปจริง ๆ จึงจะเกิดผลอย่างที่ต้องการ

ถ้าทำแบบขอทดลองดู ทำแบบไม่เลื่อมใส อยากรู้ว่าอานุภาพเป็นอย่างไรเท่านั้น หรือทำเพราะอยากดี อยากเด่น อยากดัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่เกิดผลแก่เรา

เถรี 24-08-2012 12:00

คาถาอีกบทหนึ่งนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียนมาจากหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ท่านบอกว่าเอาไว้สำหรับคนที่กำลังกลัดกลุ้ม มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความเศร้าในชีวิต ท่านบอกว่าให้ภาวนาคาถานี้ แล้วจะทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงและหายไปจากชีวิตของเรา

ตัวคาถาว่า “ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน โหตุ สัพพะทา” คาถาค่อนข้างจะยาว แต่ถ้าใครเคยสวดมนต์ทำวัตรเป็นประจำ จะรู้ว่าบทนี้แหละที่เวลาเจริญพุทธมนต์ พระภิกษุสงฆ์ใช้เป็นบทส่งเทวดากลับ เพียงแต่ต่อท้ายด้วย โหตุ สัพพะทา เท่านั้น ท่านให้ภาวนาไปเรื่อย ความทุกข์ ความเศร้าหมองต่าง ๆ จะค่อยหมดไปจากใจของเราเอง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ของเรา ท่านทำแล้วเกิดผล จึงนำมาสั่งสอนต่อ ๆ กันมา ถ้าเรามีความเชื่อ มีความเลื่อมใส เป็นคนมีสัจจะ ทำอะไรทำจริงจังและสม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะทำแล้วเกิดผลได้ง่าย ความจริงคาถานั้น มาจากภาษาบาลีว่า กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว ซึ่งหมายความว่า คำพูดทุกคำก็คือคาถานั้นเอง

แต่คาถาที่เราคุ้นเคยกันนั้น คือถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อท่องบ่นภาวนาแล้วจะเกิดผลตามที่ครูบาอาจารย์กำหนดเป็นอุปเท่ห์ต่าง ๆ เอาไว้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรามีความสงสัยก็ควรจะพิสูจน์ด้วยการทดลองทุ่มเททำดู เพราะว่าคาถาต่าง ๆ เป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ คาถาก็ไม่เกิดผลอยู่แล้ว

ดังนั้น..การที่เราเล่นคาถาต่าง ๆ จึงเป็นการภาวนาโดยตรงนั่นเอง เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” ว่า “นะมะพะทะ” ว่า “พองหนอ ยุบหนอ” ว่า “สัมมาอะระหัง” ก็กลายเป็นใช้บทคาถาต่าง ๆ เป็นคำภาวนาแทนเท่านั้น

เถรี 26-08-2012 09:09

เมื่อกำลังใจของเรามุ่งมั่น รู้ว่าคาถานี้ภาวนาแล้วจะเกิดผลอย่างไร กำลังใจที่มุ่งไปด้านเดียวนั้นแหละ จะทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา เรียกว่า มโนมยา คือสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อถึงวาระนั้นสมาธิของเราเริ่มทรงตัวแล้ว เราก็แค่เอามาพิจารณาในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ

เช่น เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ เห็นความทุกข์ของร่างกายนี้ เห็นความตั้งอยู่ไม่ได้ ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนไม่ได้ของร่างกายนี้ แล้วเกิดเบื่อหน่าย ไม่ปรารถนาการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้อีก ก็เอาจิตเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระ แล้วภาวนาของเราต่อไป ก็จะเป็นการตัดลัดเข้าหาการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลในลำดับต่อไปนั่นเอง

ครูบาอาจารย์ท่านมีความฉลาด รู้ว่าถ้าสอนการภาวนาตรง ๆ สอนการรักษาศีลตรง ๆ ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถที่จะรับได้ ท่านจึงให้ตัวบทพระคาถาต่าง ๆ ไปภาวนา โดยแจ้งให้ทราบว่า คาถาบทนั้นมีอานุภาพอย่างนั้น คาถาบทนี้มีอานุภาพอย่างนี้ แต่ว่าการปฏิบัติภาวนาต้องมีกติกาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น

เป็นการสอนให้คนอยู่ในกรอบของความดี ให้เคยชินกับศีล สมาธิ ปัญญาในเบื้องต้น เมื่อทำเกิดผล เกิดความมั่นใจแล้ว จะเอากำลังใจนั้นไปปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา หรือว่าเอามาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็จะมีผลดีแก่ตนเองสืบไปนั่นเอง

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจออกของเรา จะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรก็ได้ตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๕

(ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษรโดยเถรีและรัตนาวุธ)

ชินเชาวน์ 21-12-2013 15:11

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-08-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:52


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว