วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๐
อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๐ เมื่อวานท่านก้องสึกไป ใครเก็บผ้าเก่าเขาไว้ ? (..ถวายให้หลวงพี่กอล์ฟครับ..) บอกท่านด้วยว่าให้ซักเก็บไว้ ไปไม่รอดหรอก เดี๋ยวก็มาใหม่ คนเคยอยู่ในผ้าเหลือง โดยเฉพาะใจเขาใฝ่ความสงบ แต่เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะทำกำลังใจให้สงบแท้จริงอย่างไร พอออกไปชนกับความวุ่นวายข้างนอก เดี๋ยวก็เลี้ยวกลับมา เมื่อวานพระสึกไปหนึ่งรูป แต่ก็เป็นที่น่ายินดี เพราะว่าท่านรองเข้ามาทดแทน แม้ว่าจะบวชน้อย แต่ถ้าตั้งใจทำดี หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า เหมือนกับเพชร เม็ดเล็กแต่ราคาสูง คราวนี้อย่างของท่านรอง ที่ผมบอกว่าเป็นที่น่ายินดีก็เพราะว่าท่านป่วย ในเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย บางท่านถึงขนาดเห็นผิดเป็นชอบ เป็นมิจฉาทิฐิไปเลย พวกท่านรู้สึกจะมีแต่ท่านน้อยกระมัง ? ที่เคยบิณฑบาตในตลาดทองผาภูมิจนถึงใต้ต้นพุทรา ลุงที่ใส่บาตรใต้ต้นพุทราคนนั้นแกเป็นโรคเส้นยึด ต้องเดินแถข้างมาใส่บาตรทุกวัน ใส่ไปใส่มาครึ่งค่อนปีหายเงียบไปเลย ส่งโยมไปถามว่า “ลุงทำไมไม่มาใส่บาตรอีก เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า..?” เขาบอกว่า “ใส่บาตรตั้งนานไม่เห็นจะหายป่วย เลยไม่รู้จะใส่ไปทำไม ?” นี่มิจฉาทิฐิ อย่าลืมว่าสิ่งที่เรา ทำความดีคือความดี ความชั่วคือความชั่ว ซึ่งทดแทนกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราทำกรรมดีให้มากเข้าไว้ ก็สามารถที่จะหลีกหนีความชั่วได้ อย่างของท่านรองที่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย การเจ็บป่วยทุกชนิด เป็นเศษกรรมจากปาณาติบาต หรือว่าการทรมานคน ทรมานสัตว์โดยตรง ขอยืนยันว่า “เศษ” เศษกรรมเท่านั้น เพราะว่าต้นทุนนี่เราส่วนใหญ่จะใช้มาแล้วในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคนนี่เศษกรรมยังตามมา ชาติก่อนของเราอาจจะเคยเป็นราชมัล คือ ผู้คุมนักโทษ จับเขาผูกมัดทรมานเฆี่ยนตี ถึงเวลาเขาได้รับความเจ็บปวด ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือว่าลำบากโดนขื่อคา โดนโซ่ตรวน สมัยก่อนนี้เข้าขื่อคาเข้าห้าส่วน เคยรู้จักไหม ? (..ไม่รู้จักครับ..) ที่คอจะติดคา เป็นกระบอกไม้สองอันยาว ๆ แล้วมีที่เสียบเข้ามาล็อกไว้ แล้วมือก็ติดขื่อ ล่ามโซ่ติดไว้อย่างนั้น เท้าก็ติดตรวน รวมห้าส่วน ลองคิดดูว่าจะขยับท่าไหนถึงจะสบายได้ ไม่มีหรอกครับ... เศษกรรมพวกนี้ตามเรามา เราเองอาจจะไม่ตั้งใจทำ เพราะเป็นหน้าที่ เป็นภาระ แต่อย่าลืมว่า ทุกอย่างที่เราทำไม่ว่าดีหรือชั่ว ถึงเวลาการกระทำนั้นก็จะส่งผลทั้งนั้น ถึงคุณจะทำโดยหน้าที่ แต่ถึงเวลาสิ่งที่คุณทำก็มีผล คือ สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นเขา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถึงวาระแล้วกรรมนั้นก็ส่งผลให้เราเดือดร้อนในปัจจุบัน |
หลายต่อหลายคนในชาติปัจจุบัน เป็นคนดีมาก ๆ ไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมอะไรหนักหนาเลย แล้วก็มักจะมาบ่นว่า “ชีวิตนี้ไม่เคยทำกรรมอะไรเลย แล้วทำไมถึงต้องมาเดือดร้อนถึงขนาดนี้..”
อย่าลืมว่าเราไม่ได้เกิดชาติเดียว เราไม่ได้ทำไว้ในชาตินี้ แต่ก่อน ๆ นี้อาจจะทำมาซะเต็มที่เลย อย่างคุณเชษฐ์ใช่ไหมแม่ชี..? (ค่ะ) ผมไม่เคยทำความชั่วอะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญทำกุศล ทำไมผมเดือดร้อนขนาดนี้..? ชาตินี้คุณไม่เคยทำ แต่ชาติก่อนคุณเกเรไม่น้อยกว่าผมเลย ชาตินี้กลับตัวกลับใจได้ ถือว่ากุศลยังส่งให้ ยังมีการมาต่อบุญ ถ้าหากว่าไม่ทำบุญไว้นี่ ถ้าฝ่ายบาปส่งผลอย่างเดียวจะสาหัสกว่านี้อีกเยอะ แต่คราวนี้เราไม่สามารถที่จะดูย้อนหลังไป เราก็อาจจะมาสงสัยว่า เอ..? ไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรม แล้วทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้..? ผมขอยืนยันว่าสร้าง..สร้างไว้เยอะด้วย..! สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรฺหมฺรํสี) วัดระฆัง สมัยก่อนคนเขาให้ความเคารพ เขาไม่เรียกสมเด็จฯหรอก เขาเรียก “ขรัวโต” คำว่าขรัวคือพระผู้เฒ่า ถ้าสมัยนี้ก็คือหลวงปู่ เขาเรียกท่านว่าขรัวโต พระลูกวัดของท่านคุยกันไปคุยกันมา ปรากฏว่าขัดคอกันท่าไหนก็ไม่รู้..? เกิดชกต่อยกันขึ้นมา รายนั้นเกิดสู้ไม่ได้ อาจจะตัวเล็กกว่า แข็งแรงน้อยกว่า คว้าไม้ได้ก็ฟาดผัวะ อีกฝ่ายหัวแตกไปเลย..! ท่านที่หัวแตกก็วิ่งไปฟ้องหลวงปู่โต “มันตีผม..” ท่านบอกว่า “คุณตีเขาก่อน..” “ไม่ใช่ครับ..มันตีผมก่อน มันตีฝ่ายเดียวด้วย..” ท่านก็ยืนยันว่า “คุณตีเขาก่อน..” เล่นเอาพระท่านโกรธไปตั้งหลายวัน... หลวงปู่มาเฉลยทีหลังว่า “คุณตีเขาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว มาชาตินี้เขาตีคุณแค่นี้ สมัยก่อนคุณล่อเขาหนักกว่านี้อีก..” ในเรื่องของพระพุทธศาสนานี่ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเชื่อกรรม(กมฺมสทฺธา) เชื่อผลของกรรม(วิปากสทฺธา)* คือ การทำดีทำชั่วมันส่งผลทั้งนั้น ไม่ใช่การบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่การบันดาลของผีห่าซาตานอะไรทั้งนั้นแหละ เราทำตัวของเราเอง หมายเหตุ : *องฺ. สตฺตก. ๒๓/๔/๓ : อภิ. วิ. ๓๕/๘๒๒/๔๓๓ |
ในเมื่อเราทำแล้ว ผลกรรมที่มันเกิดขึ้นนี่ บางส่วนที่อยู่ในส่วนของความเป็นทิพย์ เช่น พวกผี พวกเปรต อสุรกายอะไรเหล่านี้ เขารู้วาระกรรม เมื่อรู้...ถ้าหากว่าจังหวะที่พวกนี้เขาทวงได้ เพราะอดีตเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาก่อน เขาจะฉวยโอกาสทวงตอนนั้น
ในเมื่อเขารู้วาระ เขาก็รู้ว่าจะย่องมาตอนไหนที่เจ้าของบ้านเผลอ พอเขาทวงได้เราก็เดือดร้อน ดังนั้น จำเป็นที่เราจะต้องทำความดีให้ต่อเนื่องกันไว้ อย่าเผลอให้ขาดช่วงลง ถ้าขาดช่วงลงจะเหมือนกับท่านก้อง พอขาดช่วงลง อกุศลกรรมก็จะทำให้คิดผิด ก็สึกหาลาเพศไป ที่คิดนะถูก..แต่ถูกของเขา ถ้าหากว่าในความรู้สึกของผมนั้น ผมว่าเขาคิดผิด เพราะว่าออกไปก็เดือดร้อนอีก แล้วก็ต้องย้อนกลับเข้ามาใหม่ ให้ดูท่านโจ๊กเป็นตัวอย่าง ตอนนี้ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี เพราะออกไปเจอมาจนเข็ดแล้ว ถ้าหากว่าเราเปิดโอกาสให้อกุศลกรรมแทรกได้ ต่อไปเราก็จะคิดผิด พูดผิด ทำผิด เพราะฉะนั้น..ต้องสร้างความดีให้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะความดีของศีล สมาธิ ปัญญา เราเป็นนักบวช เป็นนักปฏิบัติกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าความดีของศีลนั้น เราสามารถรักษาได้สมบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ต้องถือว่าช่วยลดกรรมไปแล้ว ๒๕ % เพราะเราสามารถควบคุม กาย วาจา ของเราได้ ในเรื่องของสมาธิ ถ้าเราสามารถทำได้ สมาธิทรงตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ลดไปได้อีก ๕๐ % เพราะว่ากำลังของสมาธิสูงกว่าศีลเป็นเท่าตัว ถ้าหากว่า ศีล สมาธิ ของคุณทรงตัว กรรมเก่าจะตามได้ไม่เกิน ๒๕ % เพราะหมดไปด้วยอำนาจของ ศีลและสมาธิ แล้ว ๗๕ % ด้วยกัน เพราะฉะนั้น..พวกเราแต่ละคน ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่สร้างกรรมมาทั้งนั้น จะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอะไรก็ตาม กรรมทั้งหลายเหล่านี้จะคอยส่งผลอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น ตราบนั้นกรรมก็ยังส่งผลอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าถึงบอกให้กลัวการเกิด ไม่ใช่กลัวการตาย เพราะว่าเกิดเมื่อไรผลกรรมก็จะตามส่งอยู่เสมอ ท่านถึงได้เตือนเอาไว้ว่า อย่าประมาทว่าเป็นกรรมเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ขณะเดียวกันก็อย่าคิดว่าเป็นบุญเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ ท่านบอกว่า บุญกรรมไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถึงวาระก็ส่งผลให้ทันที พระพุทธเจ้าเมื่อปลงอายุสังขาร เสด็จจากปาวาลเจดีย์ไปเมืองกุสินารา** ปกติพระพุทธเจ้าเสด็จได้วันละ ๑๒๐ โยชน์ ไปได้กลางทางก็ไม่น่าจะเกิน ๖๐ โยชน์ หมายเหตุ : **พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ : พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ : ทีฆนิกาย : มหาวรรค : มหาปรินิพพานสูตร |
ปรากฏว่าพระองค์ท่านหมดกำลัง ต้องนั่งพัก เพราะตอนที่รับบิณฑบาตจากนายจุนทะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเกิดปักขันธิกาพาธ คือถ่ายเป็นโลหิต กำลังท่านหมดไปเหมือนกับน้ำที่เทลงในตะกร้า คือ รั่วหมดจนไม่มีอะไรเหลือ..!
พระองค์ท่านเสด็จต่อไปไม่ไหว และกระหายน้ำมาก ขอให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้เสวยหน่อย พระอานนท์ถือบาตรเดินไป ปรากฏว่าเกวียน ๕๐๐ เล่ม เพิ่งจะลุยข้ามแม่น้ำไปหยก ๆ น้ำขุ่นคลั่กเลย ท่านจึงย้อนกลับมา กราบทูลว่าไม่มีน้ำ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ไปเถอะ..น้ำนั้นมีอยู่..” พระอานนท์ถึงจะเห็นอยู่คาตา แต่ความที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสคำไหนไม่เคยผิด จึงย้อนกลับไปใหม่ ปรากฏว่าน้ำนั้นใสเหมือนเดิม ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเวลาชั่วเดินมาและเดินกลับแค่นั้นเอง พระพุทธเจ้าเมื่อได้เสวยน้ำแล้ว พระองค์ก็ตรัสบอกว่า ในอดีตชาติ มีอยู่ชาติหนึ่ง พระองค์ท่านเป็นลูกชาวนา ถึงเวลาพ่อไถนาเสร็จ ปลดควายออกจากคันไถได้ ก็ให้พระองค์ท่านพาควายไปกินน้ำ ควายที่กระหายมาทั้งวัน เจอน้ำก็รี่เข้าใส่ พระองค์ท่านเห็นว่า น้ำที่ควายจะกินนั้นขุ่น จึงดึงควายไปอีกทางหนึ่งที่เป็นน้ำใส แค่ทำให้ควายกินน้ำช้าไปนิดเดียวเท่านั้น ถึงเวลาก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน กรรมนี้ยังตามมาให้ผลได้ เราจะเห็นว่า แม้กรรมเพียงเล็กน้อยโดยเจตนาดี ก็ยังส่งผล แล้วไม่ใช่ส่งผลอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แต่ส่งผลขนาดพระพุทธเจ้าเองยังต้องรับ ผมถึงได้บอกว่า อย่าประมาทว่ากรรมนั้นเล็กน้อยแล้วเราไปทำ แล้วก็อย่าประมาทว่าบุญแม้เล็กน้อยแล้วเราไม่ทำ ทาน ศีล ภาวนา เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา*** ส่วนบุญอื่นอีก ๗ อย่างนั้น เป็นส่วนประกอบ แม้ว่ามีอานิสงส์มาก แต่ไม่มากเท่า ๓ อย่างนี้ ฉะนั้น ถ้าหากว่าเรามีกรรมหนัก นอกจากจะใช้วิธีทดแทน เช่น ปล่อยชีวิตสัตว์แล้ว ยังต้องใช้กำลังของ ทาน ศีล ภาวนา ช่วยให้บรรเทาเบาบางลงด้วย แม้ว่าจะไม่หายทีเดียว แต่ก็เบาลงไปบ้าง หมายเหตุ : *** ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๐ : องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๒๖/๒๔๕ : ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘/๒๗๐ |
โดยเฉพาะในเรื่องของการภาวนา ถ้าหากว่ามีการเจ็บไข้ได้ป่วยในร่างกาย ถ้าเป็นเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง ให้เรานึกถึงภาพพระไว้ตรงจุดนั้น ขยายท่านให้เต็มทั้งตัวของเราก็ได้
เมื่อขยายภาพพระขึ้น ให้กำหนดว่า สิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ แม้กระทั่งความเจ็บไข้ได้ป่วยในร่างกายของเรา เหมือนกับเป็นสีดำ พอภาพพระที่สว่างไสวขยายโตขึ้นเต็มตัวเรา ก็เท่ากับว่า ดันให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นออกจากตัวเราไป ถ้าเราทำอย่างนี้เป็นประจำ จะช่วยให้อาการเจ็บป่วยบรรเทาลงได้ ขณะเดียวกัน ถ้าบางท่านเจ็บไข้ได้ป่วยเฉพาะที่ อย่างเช่นว่าเป็นมะเร็ง ก็กำหนดอยู่ตรงเฉพาะจุดนั้นจุดเดียว แล้วภาวนาไปเรื่อย สิ่งที่เราทำนั้นเป็นบุญใหญ่ ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นแค่เศษของกรรมเท่านั้น ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ก็จะช่วยได้เยอะ แต่ว่าเมื่อไปถึงอีกระดับหนึ่ง นักปฏิบัติที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว หรือว่าเป็นผู้หวังความหลุดพ้นจริง ๆ ท่านจะยอมรับกฎของกรรม ท่านจะคิดว่า เราเคยทำเขามา เราถึงเป็นอย่างนี้ แล้วใช้กำลังใจประคับประคองร่างกายทำงานไปวัน ๆ เพื่อรอวันตายเท่านั้น..! ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราจะแก้ไข ก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวของเราเอง แต่ถ้าไม่แก้ไขก็ต้องทำจิตให้ยอมรับว่า ในเมื่อตัวเราทำเอง ผลนั้นเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำ ถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายจริง หรือเรียกว่าเป็นบุคคลที่มีกำลังใจเปิดกว้างจริง ๆ ถ้าเราสามารถบรรเทาเบาบางได้ด้วยกำลังของเรา ก็ถือว่าไม่เกินวิสัย ในเมื่อไม่เกินวิสัยที่จะสามารถบรรเทาได้ก็ทำไป นึกถึงภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไปเลย พระองค์เล็ก ๆ ไหลเข้าไปอยู่ในท้อง แล้วขยายท่านใหญ่ขึ้น หายใจเข้าไปก็ใหญ่ขึ้น หายใจออกมาก็ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเบียดแทรกตัวเรา ทะลุออกมาข้างนอก ครอบเราไว้ทั้งตัวเลย ให้ภาพพระสว่างไสวอยู่อย่างนั้น ถ้าทำดังนี้ นอกจากจะเป็นการยึดในพุทธานุสติแล้ว ยังมีอานิสงส์พิเศษ คือบรรเทากรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกรรมที่เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วยของเราได้อีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่อยากฝากไว้ในวันนี้ ว่าทุกอย่างที่เราทำนั้นมีผล ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด เพราะฉะนั้น..ขอให้ทุกคนเลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี ๆ เมื่อถึงเวลาแล้วผลดีจะได้เกิดแก่ตัวเราเอง ------------------------------ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:43 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.