เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ |
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ความจริงก็คิดว่าจะกลับมาไม่ทัน แต่ปรากฏว่าในงานศพ เขาใช้เกินจากที่นิมนต์ไว้ ก็เลยกลับก่อนที่จะเผาจริง พูดง่าย ๆ ก็คือในเมื่อใช้เกินกว่าที่นิมนต์ ก็ควรที่จะพอได้แล้ว ที่หายไป ๒ วัน นอกจากไปหาหมอแล้ว ก็เป็นงานปลุกเสกวัตถุมงคลทั้ง ๒ วัน
โดยเฉพาะวันนี้ที่วัดท่ามะขาม ต้องบอกว่าสำคัญมาก เพราะว่าเป็นวัดที่ต้องบูรณปฏิสังขรณ์กันชนิดที่แทบจะต้องรื้อของเก่าทิ้งทั้งหมด ยังต้องใช้ทุนอีกมากมายมหาศาล แล้วระยะนี้แต่ละวัดก็โดนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ทำเอาไม่มีญาติโยมเข้าไปทำบุญ ก็เลยจำเป็นที่ต้องหาทางออกด้วยการสร้างวัตถุมงคล แล้วออกให้ญาติโยมบูชาทางเว็บไซต์บ้าง ทางเฟซบุ๊กบ้าง ซึ่งตรงนี้ทางวัดท่าขนุนของเราไม่มีผลกระทบ เพราะว่าเราเปิดเว็บไซต์มาเกิน ๒๐ ปีแล้ว และเกือบจะเป็นวัดแรกของทองผาภูมิ ที่เข้าโครงการของทางด้านคณะสงฆ์และกรมสรรพากร ก็คือทำบุญออนไลน์โดยคิวอาร์โค้ด ในเมื่อขยับตัวไว ญาติโยมก็ต้องพยายามขยับตาม เมื่อเคยชินแล้ว เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย ดังนั้น..ต่อให้วัดเราไม่มีญาติโยมเข้าวัด ก็ยังมีรายได้เข้าวัดเป็นปกติ ถึงจะวันละ ๓๐๐ - ๔๐๐ บาท ก็ยังดีกว่าวัดที่เขาไม่มีรายได้เลย ตอนแรกในเรื่องของวัดท่ามะขาม กระผม/อาตมภาพเอง ตั้งใจที่จะพัฒนามาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด และอดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านเป็นคนตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด ทั้ง ๆ ที่ผมเริ่มงานไปมากมายแล้ว ท่านบอกให้หยุดเอาไว้ก่อน เพื่อรอทางด้านพลตรีศรชัย มนตริวัต ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พาลูกน้องมาดำเนินการออกแบบให้ใหม่ ซึ่งเสธ.นิด หรือว่าพลตรีศรชัย ท่านก็ปั่นจักรยานมาดูอยู่หลายอาทิตย์ติดต่อกัน ท้ายสุดก็ถอนหายใจเฮือก ถามกระผม/อาตมภาพว่า "หลวงพี่มีความเห็นว่าอย่างไรครับ ?" ก็บอกว่า "เสธ.นิดอยากฟังเรื่องจริงเลยใช่ไหม ? ถ้าเป็นอาตมาก็รื้อทิ้งหมดแล้วทำใหม่เลย..!" ท่านบอกว่า "ทำไมคิดเหมือนผมเลยครับ ?" |
ในเรื่องของการสาธาณูปการ คือการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ต่อให้เราไม่มีความรู้เรื่องการก่อสร้าง ก็ต้องมีสายตาว่าสร้างอะไรขึ้นมาแล้วรกหรือเปล่า ? ไม่ใช่ญาติโยมศรัทธา อยากจะสร้างอะไรตรงไหน ก็อนุญาตไปเรื่อย แล้วก็กลายเป็นสลัมไปทั้งวัด..!
ท่านอาจารย์พระมหาสันติ โชติกโร ป.ธ.๙ อดีตรองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา ก่อนจะมรณภาพ เมื่อรู้ตัวว่าไม่รอด ท่านก็ฝากวัดท่ามะขามไว้กับผม เพราะท่านรู้เห็นฝีมือกันมาก่อนว่า ถ้าให้คนอื่นนี่วัดไปไม่รอดแน่นอน แต่ผมไม่สามารถที่จะไปได้ ก็ไปขอให้ท่านอาจารย์พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือท่านอาจารย์มหาเอมาเป็นเจ้าอาวาสให้หน่อย ท่านอาจารย์มหาเอเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกที่ผมภูมิใจว่า ท่านสามารถรับภาระหน้าที่สำคัญได้ แต่ปรากฏว่าท่านเองก็เจ็บไข้ได้ป่วย ห่วงหน้าพะวงหลัง ท้ายสุดก็เลยขอให้พระครูกาญจนปริยัติคุณหรืออาจารย์พระครูบ่าวไปเป็นเจ้าอาวาสทางโน้น โดยที่ท่านจะช่วยหาทุนให้ ถ้าหากว่ามีคำรับรองอย่างนี้ก็ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าลำพังให้ไปเอง อาจารย์พระครูบ่าวท่านก็คงไม่รับปาก เพราะรู้ดีว่าท่านเองรับภาระหนักขนาดนั้นไม่ไหว เพราะว่าต้องรื้อทั้งวัด..! คราวนี้ตรงส่วนนี้ กระผม/อาตมภาพ ก็ได้บุคคลสำคัญท่านหนึ่ง ก็คือท่านเจ้ากรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม คือพลโทเจษฎา เปรมนิรันดร มาช่วยรับภาระไปส่วนหนึ่ง ก็คือมาช่วยในการควบคุมการการก่อสร้างแล้วก็ร่วมหาทุนด้วย เมื่อมีท่านอาจารย์มหาเอกับท่านเจ้ากรมฯ เจษฎามาช่วยค้ำให้ ผมเองซึ่งมีภาระหน้าที่ล้นพ้นตัวอยู่ ก็ค่อนข้างจะลอยลำ แค่มีหน้าที่ไปดูงานและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ตามที่นิมนต์เท่านั้น |
โดยเฉพาะตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนลูกศิษย์ไว้ ก็คือ เงินเกิดขึ้นที่ไหนให้ทิ้งไว้ที่นั่น ผมเคยมีหนักใจอยู่ครั้งเดียว ก็คือตอนที่สวดพระคาถาเงินล้าน ถวายสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวาระเจริญพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษา ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
ปรากฏว่าญาติโยมทำบุญไว้มาก แต่เจ้าภาพในงานเป็นฆราวาส ผมไม่สามารถที่จะมอบเงินสงฆ์ให้ฆราวาสไปใช้ได้ เพราะว่าไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากว่าคณะสงฆ์ต้องเห็นสมควรตกลงด้วยกันทั้งวัด ก็เลยเป็นครั้งเดียวที่ต้องหอบเงินกลับวัดมา แต่ปรากฏว่าวันนี้พอมาถึงวัด พอเปิดย่ามก็ตกใจ เพราะว่าท่านอาจารย์มหาเอที่ช่วยถือย่าม แอบยัดเงินที่โยมทำบุญทั้งหมดมา จึงให้ทางฝ่ายบัญชีนับดู ได้มา ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท ทั้ง ๆ ที่บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เงินก้อนนี้ให้เอาไว้บูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขาม เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพก็ทำตามที่ครูบาอาจารย์สอน แต่ท่านอาจารย์มหาเอก็พยายามที่จะกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ความต้องการก็เลยสวนทางกัน ในเมื่อผีถึงป่าช้าแล้ว ผมก็ต้องมานั่งลงบัญชีไป ส่วนญาติโยม ถ้าหากว่าสนใจวัตถุมงคลรุ่นนี้ก็ไปบูชาเอา คาดว่ามีเว็บเพจของลูกศิษย์ท่านอาจารย์มหาเอเปิดให้บูชา ส่วนที่ผมรับมาแล้วเห็นว่าน่ารักมากเลย ก็คือรูปท่านแม่ทั้งสามที่เป็นเรซิ่น พอนึกถึงท่าน ท่านก็ปรากฏขึ้นมาในจังหวะที่น้องเล็กถ่ายรูปติดพอดี ถ้าใครสังเกตในรูปจะเห็นของแปลก ถ้าไม่สังเกตก็แล้วไป |
ความจริงท่านแม่ทั้งสามนั้น เราเคยเกิดร่วมกับท่านมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะท่านแม่ใหญ่ แต่ถึงจะเกิดเป็นลูกแม่กลาง ลูกแม่เล็ก ท่านแม่ใหญ่ก็เลี้ยงอยู่ดี ความเป็นพ่อเป็นแม่เป็นกันไม่ได้เป็นชาติเดียว เพราะว่าบุญกรรมสัมพันธ์ผูกเกี่ยวเนื่องกันมา ถึงแม้ว่าจะเสียชีวิตขึ้นไปอยู่ข้างบน ก็ยังจำลูกจำหลานตนเองได้ ถึงเวลามีอะไรที่ไม่เกินวิสัย ท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ กระผม/อาตมาภาพเอง ก็อาศัยบารมีพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดในอดีตเป็นจำนวนเยอะมาก
แต่คราวนี้บุคคลที่สร้างรูปของท่านให้สวยงามก็หาได้ยาก โดยเฉพาะแม้กระทั่งลูกศิษย์สายวัดท่าซุงเอง ยังรู้จักชื่อของท่านแม่ทั้งสามไม่ครบเลย..! ถ้าผมไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดเอาไว้ ก็คาดว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าท่านแม่กลางมีชื่อว่าอะไร สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว เป็นเรื่องที่พวกเราสามารถฝึกหัดให้เข้าถึงกันได้ เพียงแต่ว่าถ้าเรายังเข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ต้องระวังตัวสุดขีด เพราะว่าญาณ คือเครื่องรู้ที่เกิดขึ้น จะพาให้เราเตลิดเปิดเปิงไปไกล เพราะว่าคิดอะไรก็สมเหตุสมผลเป็นเรื่องเป็นราวไปหมด อย่างที่ผมบอกว่า ถ้าเอามาใช้งานทางโลกนี่ดีมาก ดูอย่าง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา สามารถสร้างชิ้นส่วนยานอวกาศอพอลโลเพื่อไปลงดวงจันทร์ได้ นั่นก็คือลักษณะของผู้ที่ปฏิบัติสมาธิภาวนาจนญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น |
แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ สิ่งนี้มักจะกลายเป็นเครื่องขวาง เผลอเมื่อไรก็หลงทาง เพราะว่ารู้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องพ้นทุกข์ เนื่องจากว่าของทุกอย่าง มารสามารถอาศัยเป็นเครื่องมือในการขวางเราได้ จึงต้องระมัดระวังตัวอย่างสุดขีด
เวลาไปในงานแต่ละครั้ง บรรดาท่านที่ถือย่ามให้ผม บางทีก็บ่นว่าทำไมย่ามหนักมาก ใส่อะไรไว้บ้าง ? อย่างวันนี้ที่มีโยมถาม หลัก ๆ เลย ก่อนหน้านี้ก็มีแค่มีดหมอเทพศาสตรา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์เล่มหนึ่ง แก้วอินทนิล แล้วก็สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง รุ่น ๒ ระยะหลังเวลาไปงานพุทธาภิเษกที่ไหน เจ้าภาพเขามักจะถวายวัตถุมงคลบางส่วนไว้ก็ใส่ย่ามไปเรื่อย เอาเข้าพิธีไปเรื่อย คราวนี้พอมากเข้าก็ชักจะแบกไม่ไหว อย่างวันนี้โดยเฉพาะมีดหมอ ก็คือมีดลูกพราหมณ์จันทร์เพ็ญกับมีดลูกพราหมณ์พรหมพิทักษ์ก็ ๓ เล่มเข้าไปแล้ว ดังนั้น..ในส่วนนี้คงจะต้องลดน้ำหนักด้วยการให้ไอ้ตัวเล็กเอาไปออกให้ญาติโยมได้ทำบุญในเว็บบ้าง ของบางชิ้นก็หอบเข้าพิธี เสกซ้ำเสกซากมาเกิน ๑๐ ปี คาดว่าน่าจะเป็นที่ต้องการของญาติโยมที่เชื่อถือศรัทธาในตรงนี้อยู่บ้าง เดี๋ยวจะค่อย ๆ ให้เขาเอาไปออกในกระทู้ ให้ท่านทั้งหลายได้ทำบุญกันทีหลัง สำหรับงานวันนี้ที่บอกกล่าวพวกเราก็น่าจะพอสมควรแก่เวลา ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ เดี๋ยวจะกินเวลาทำวัตรของเราไปมาก พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:12 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.