กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2250)

เถรี 09-11-2010 07:43

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓
 
ถาม : ทำอย่างไรจะได้ฌานสี่เร็ว ๆ ?
ตอบ : อย่าอยาก หยุดอยากเมื่อไรมีโอกาสได้ทันที ตราบใดที่ยังอยากอยู่ ไม่ได้หรอก เพราะว่าฌานสี่ต้องมีอุเบกขา ถ้ายังอยากอยู่ก็ยังไม่เป็นอุเบกขาสิ

เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌานก็ช่าง แค่นั้นแหละ..จบ

เถรี 09-11-2010 07:55

ถาม : ตอนนี้หนูใจเย็นลงกว่าเดิม แล้วใจเย็นแบบนี้ เพราะเกิดพรหมวิหารสี่ขึ้นมาหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากพรหมวิหารสี่ทรงตัว ต้องใจเย็นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่บางทีเรื่องการใจเย็น อาจจะเกิดจากสมาธิดีขึ้นด้วยก็ได้

เพราะฉะนั้น..ยังไว้วางใจไม่ได้ เผลอเมื่อไรเดี๋ยวหลุด ถ้าหลุดไปอีก คราวนี้เราจะไปลงกับคนรอบ ๆ ข้าง แต่ถ้าพรหมวิหารทรงตัวจริง ๆ จะเย็นเองโดยอัตโนมัติ

ถาม : ถ้าเกิดสมาธิตก พรหมวิหารที่ทรงตัวก็ตกด้วย ?
ตอบ : ตกไปด้วย ยกเว้นว่าเราสามารถทำได้เลย ถ้าเราทำได้เลย ต่อให้สมาธิตก แต่กำลังใจก็ไม่ได้ตกไปด้วย ถ้าถึงระดับนั้นแสดงว่าพื้นฐานแน่นมากแล้ว ตอนนี้ไม่น่าจะใช่ของเราหรอก

ถาม : ส่วนใหญ่คนสายหลวงพ่อฤๅษี ถ้าถึงฌานสี่ เขาจะหลุดออกไปเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ฌานสี่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มีเยอะแยะไป

ถาม : แล้วทำไมหนูถึงเป็นฌานสี่ที่ไม่รู้เรื่อง อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ พอถึงฌานสี่เมื่อไร ก็โดนดีดออกไปทุกทีค่ะ
ตอบ : อย่าไปใส่ใจ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง

ถาม : ทีนี้พอหนูไม่รู้ว่าเป็นฌานอะไร จึงไปเทียบตามตำราแล้วไม่เห็นตรงตามตำราค่ะ เพราะยังภาวนาไปได้ตลอด และรู้ลมหายใจตลอด
ตอบ : มีอยู่สองอย่าง อย่างแรก คือ เราเข้าใจผิดว่าใช่ ส่วนอย่างที่สองคือเป็นฌานใช้งาน

ถ้าฌานใช้งานอย่างละเอียด จะสามารถกำหนดรู้ทุกอย่างได้เหมือนกัน แต่ให้สังเกตอยู่อย่างเดียวว่า ลมหายใจจะละเอียดมากเป็นพิเศษ ละเอียดถึงขนาดรู้สึกว่าลมหายใจเป็นเส้นเล็ก ๆ แค่นั้นเอง

เถรี 09-11-2010 11:12

ถาม : แหวนจักรพรรดิ มีวิธีใช้เฉพาะไหมครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ทุกเรื่อง ถึงเวลาก็อาราธนาไว้บ่อย ๆ ก็แล้วกัน

เถรี 09-11-2010 11:18

ถาม : ถ้าอย่างนี้ ฌานใช้งาน เราก็ไม่รู้จะเอาอะไรเทียบสิคะ ว่าตกลงเป็นฌานอะไรกันแน่ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าหากซักซ้อมจนชำนาญก็จะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่

ให้สังเกตง่าย ๆ ว่า ถ้าเป็นปฐมฌานจะอ่อนไหวและสลายตัวได้เร็ว แต่ถ้าเป็นฌานสี่จะหนักแน่นทรงตัว บางทีอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี ไม่ใช่ว่าไม่สลาย พังเหมือนกัน แต่พังช้ากว่า

เถรี 09-11-2010 11:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าเลี้ยงลูกให้เก่ง อย่าเลี้ยงลูกให้ฉลาด แต่เลี้ยงลูกให้มีความสุขประสาเด็กก็พอแล้ว รีบเอาอะไรยัดเยียดเข้าไปเต็มสมองลูก เดี๋ยวเขาจะไม่ใช่เด็ก"

เถรี 09-11-2010 14:35

ถาม : การที่เราระลึกถึงภาพพระ แล้วถ้าเราจับภาพพระดูด้านข้าง ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์ เราอยากดูด้านไหนก็จะเป็นด้านนั้น

ถาม : ที่เราควรดู ควรดูเป็นเฉพาะด้านหรือเปล่า ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ชอบอย่างไรก็ดูอย่างนั้น ไม่ได้สำคัญว่าเป็นแบบไหน สำคัญที่ว่านึกถึงท่านได้หรือไม่

เถรี 09-11-2010 14:46

ถาม : ในหนังสือที่ท่านเขียน ถ้าสมมติเราทำแค่ไหน แล้วเราอ่านโดนใจเรา แสดงว่า..?
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจของเราตอนนั้น อยู่ใกล้ ๆ เคียง ๆ กับข้อความเหล่านั้นแหละ

เถรี 09-11-2010 18:00

ขอแจ้งให้ทราบว่า บ้านอนุสาวรีย์จะอยู่ถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เท่านั้น
พอถึงวันที่ ๑-๒-๓ เมษายน พระอาจารย์จะย้ายไปรับสังฆทานที่บ้านวิริยบารมีค่ะ


ส่วนวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ จะมีการทำบุญฉลองขึ้นบ้านใหม่ ที่บ้านวิริยบารมี

เถรี 09-11-2010 19:35

หลวงพ่อกล่าวถึงนิยายจีนกำลังภายใน เรื่อง เทพมารสะท้านภพ ว่า "อ่านไปแล้วจะเจอหลักวิชา มีความใคร่แต่ไร้รัก มีรักแต่ไร้ความใคร่ เป็นหลักการที่ต้องทำ

มีรักแต่ไร้ความใคร่ จะต้องเป็นตัวพรหมวิหารสี่ ส่วนมีความใคร่แต่ไร้รักนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นอุเบกขาอย่างหนึ่ง ทำอย่างไรที่จะไม่ให้ผูกพันอยู่ในเรื่องระหว่างเพศ แต่เป็นกำลังใจแบบมิจฉาสมาธิ

พระเอกในเรื่องใช้จิตใจที่มุ่งมั่นอยู่กับคนรัก ทุ่มเทให้กับการฝึกกระบี่ พูดง่าย ๆ ก็คือ เขารักผู้หญิงมากเท่าไร เขาก็ใช้กำลังใจระดับนั้นในการฝึกกระบี่ เขาก็เลยกลายเป็นยอดฝีมือระดับต้น ๆ ของยุทธจักรได้

แต่คราวนี้อยู่ที่เราจะเอามาดัดแปลงใช้ ถ้าเรามีความรักในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากเท่าไร เราก็ต้องทุ่มเทการปฏิบัติให้สมกับความรักเช่นกัน"

เถรี 09-11-2010 20:23

ต้นเดือนที่บ้านอนุสาวรีย์ที่ผ่านมา พระอาจารย์ท่านอ่านหนังสือเล่มหนึ่งให้ฟัง ชื่อ พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวงของเรา เป็นหนังสือที่เขียนโดย พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน

มีเนื้อหาดังนี้ "คราวหนึ่งในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงเปิดประตูแอ๊ดออกมา พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลม ผ่านหน้าห้องพอดี

ในหลวงพอเห็นแม่ก็รีบออกจากห้อง มาแย่งเข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่าไม่ต้องเข็น ให้พยาบาลเข็น ในหลวงบอกว่า "แม่ของเราทำไมต้องให้คนอื่นเข็นด้วย เราเข็นเองก็ได้" นี่ขนาดพระเจ้าแผ่นดินเป็นกษัตริย์ ยังมาเข็นรถให้แม่ มาป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่

ดูว่าในหลวงปฏิบัติต่อสมเด็จย่าอย่างไร ? สมเด็จย่าอยู่โรงพยาบาลศิริราช ในหลวงไปเยี่ยมตอนไหน ? ไปเยี่ยมตอนตีหนึ่งตีสอง ตีสี่เศษ ๆ ก็เสด็จกลับ เฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง

แม่พอเห็นลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทีมแพทย์ที่รักษาเห็นในหลวงมาเยี่ยมก็ต้องฟิตตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือว่าจะให้ยาอย่างไร ต้องปรับปรุงการรักษาอย่างไร ทำให้สมเด็จย่าได้รับการดูแลที่ดีขึ้น

กลางคืนในหลวงอยู่กับสมเด็จย่า คืนละหลายชั่วโมง ลองหันมาดูตัวเราซิ ว่าพ่อแม่ป่วยเราเคยโผล่หน้าไปดูสักหน่อยไหม ? ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง พ่อแม่ยังไม่ทันจะบอกเลย ก็รีบบอกว่า "ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องรีบไปแล้ว" โผล่แค่ไปเป็นมารยาทเท่านั้นแล้วก็กลับ ไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู"

เถรี 09-11-2010 20:30

"ในหลวงเสด็จจากวังสวนจิตรฯ ไปวังสระประทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ ? ไปกินข้าวกับแม่ ในหลวงเสด็จไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละกี่วัน ทราบไหมครับ ? สัปดาห์ละ ๕ วัน..!

มีใครบ้างครับที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน ? ในหลวงมีโครงการเป็นร้อยเป็นพัน ยังสละเวลาไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน

พวกเราแค่ซี ๗ ซี ๘ ซี ๙ ร้อยเอก พันตรี พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่เลย บอกว่างานยุ่ง ให้พาแม่ไปกินข้าวหน่อย ก็บอกว่าไม่มีเวลา..จะไปตีกอล์ฟ ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ เห็นหรือยังว่าตัวเองทำอย่างไร ?

พ่อแม่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฝนตก น้ำเซาะ อีกไม่นานก็โค่น ถึงวันนั้นเราก็ไม่มีแม่แล้ว ในหลวงจึงตัดสินพระทัยไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ ๕ วัน

อีกสองวันไปไหนครับ ? อีก ๒ วัน ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ บอกว่าในหลวงถือศีลแปดวันพระ อดข้าวเย็น ก็เลยไม่ได้ไปหาแม่ เพราะว่าถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือก็อาจจะกินข้าวกับพระราชินี หรือคนใกล้ชิด แต่ให้แม่ไป ๕ วัน เห็นชัดไหมครับ ?

ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ก็ไปกราบที่ตัก สมเด็จย่าจะดึงในหลวงมากอดและก็หอมแก้ม ในหลวงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน กราบคนธรรมดาที่เป็นแม่ บางคนเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่"

เถรี 09-11-2010 20:33

ถ้าใครอยากอ่านเรื่องพระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู สามารถอ่านได้ที่เว็บนี้ค่ะ http://www.chaoprayanews.com/2009/02...9%83%E0%B8%99/

เถรี 10-11-2010 00:00

ถาม : ผมจะเอาน้ำมันชาตรีไปใส่กับน้ำมันอื่นได้ไหมครับ นอกจากน้ำมันงา ?
ตอบ : อะไรสมควรก็ใส่ไปสิ สาเหตุที่เขาใส่น้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว เพราะเขาเผื่อว่าเราจะกินรักษาโรคได้
ถ้าใส่น้ำมันอื่น ถึงเวลาก็พิจารณาด้วย ถ้ากินไม่ได้ก็อย่าเผลอกินเข้าไปก็แล้วกัน

ถาม : ตอนที่ผมไปบวชธุดงค์ หลวงพี่สมปองท่านจะเสกพวกจีวร ผ้าไตร ถ้าเกิดผมถือว่าเป็นของส่วนตัวแล้วเอากลับบ้านได้ไหม ?
ตอบ : ชำระหนี้สงฆ์เท่าราคาปัจจุบัน แล้วจะเอาไปไหนก็เอาไป เดี๋ยวนี้ผ้าไตรดี ๆ ชุดหนึ่งราคาไม่กี่พันเอง..!

เถรี 10-11-2010 08:42

ถาม : การปฏิบัติ ถ้าพิจารณาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ค่อยเข้าวิปัสสนา ?
ตอบ : ถ้าพิจารณาก็ต้องเข้าวิปัสสนาสิจ๊ะ การพิจารณาวิปัสสนาญาณก็คือ พยายามให้เห็นว่าตัวเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ทั้งหลายก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขา ส่วนใหญ่ก็ประกอบมาจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีความเสื่อมสลายตายพังไปในที่สุด

พยายามมองให้เห็นชัดจนจิตยอมรับ ทำแล้วทำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อย ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม ให้เห็นไปเรื่อย คนนั้นเด็ก คนนี้กลางคน คนนี้แก่ เราเองก็แก่มาจนป่านนี้แล้ว ทุกอย่างไม่เที่ยงจริง ๆ

ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เดินทางไปทำงานรถก็ติด คนที่รอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก็รอว่าเมื่อไรรถจะมาเสียที เด็ก ๆ ก็แย่งกันไปโรงเรียน ไม่มีใครมีความสุขจริงแท้เลยสักคน มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

เราเองไปทำงานก็ต้องบริหารตนเอง ต้องบริหารหมู่คณะ ลูกน้องก็อัดขึ้นมา เจ้านายก็กระแทกลงไป เราอยู่ตรงกลางก็แบนพอดี จะเห็นแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

เถรี 10-11-2010 08:54

ถามว่าทำไมจึงต้องดูความทุกข์ด้วย ? ดูในด้านที่เป็นสุขไม่ได้หรือ ? จะดูในด้านที่เป็นสุขก็ได้อยู่ แต่ความสุขนั้นไม่จีรังยั่งยืน เป็นความสุขเพราะเรารู้สึกว่าความทุกข์ลดน้อยลง จริง ๆ แล้วทั้งหมดล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น

ถ้าเราไปดูเป็นความสุขก็จะไม่เบื่อไม่หน่าย ใจจะไม่คลายออก จะไม่ละ ไม่วาง แต่ถ้าเราเห็นเป็นความทุกข์ ถึงจะเกิดความเบื่อหน่าย จิตใจจะปลด จะคลาย จะวาง แล้วเราก็จะไม่ไปดิ้นรน อยากได้ใคร่ดีอะไรอีก

ท้ายสุดก็คิดว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการ เหลือที่เดียวคือพระนิพพาน ก็เอาใจเกาะพระนิพพานไว้ หรือเกาะพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้ ตั้งใจนึกว่านั่นเป็นภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเอาใจเกาะภาพพระก็เหมือนเกาะอยู่บนพระนิพพาน

พิจารณาบ่อย ๆ จะต้องทำเป็นปกติเลย ไม่ใช่ทำเฉพาะตอนไปนั่งปฏิบัติ ถ้าทำเฉพาะเวลานั่งปฏิบัติยังไม่พอรับประทาน..!

เถรี 10-11-2010 16:43

ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะรู้ว่าไม่ติดในความว่าง ?
ตอบ : อันดับแรก รู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจเบาลง และคำภาวนาหายไป กำหนดรู้ไว้แค่นั้น แล้วตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติเป็นระยะเวลานานแค่ไหน อย่างเช่นว่า สักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ถ้าถึงเวลา จิตจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ เราก็จะไม่ไปติดอยู่ตรงจุดที่เราคิดว่าเป็นความว่าง

แต่ความจริงเราสามารถที่จะให้คลายออกมาเองได้ ถ้าเรามีความคล่องตัว เราก็กำหนดให้คลายจิตออกมาแล้วก็มาพิจารณาแทน ก็จะไม่ติดกับความว่าง

ถาม : จำเป็นต้องนั่งนานไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความคล่องตัวของเรา ถ้าคนที่มีความคล่องตัวไม่ต้องนั่ง จิตก็ทรงตัวได้ ถามว่าจำเป็นจะต้องนั่งนานไหม ? ถ้าสมาธิทรงตัวสูงสุดแล้ว ครู่เดียวก็พอ เราก็คลายออกมาพิจารณาแทน

สาเหตุที่ต้องให้สมาธิทรงตัวก่อน ก็เพื่อที่จะให้มีกำลังในการพิจารณา ถ้าไปพิจารณาเลย บางทีสมาธิยังไม่ทรงตัว จิตก็จะฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น

ถาม : ถ้าเราพิจารณาแล้วทรงตัวได้ เราก็ใช้วิธีนั้นได้ ?
ตอบ : เราก็ถอยออกมา แล้วก็มาพิจารณาต่อ พอเข้าสมาธิไป กำลังทรงตัวเต็มที่ นิ่งอยู่สักพัก แล้วกำหนดให้กำลังจิตคลายออกมาเพื่อใช้ในการพิจารณา

เถรี 10-11-2010 16:47

ถาม : ตอนนี้ยังรู้สึกว่านิ่ง ๆ แน่น ๆ
ตอบ : ไม่เป็นไร พยายามขยับขึ้น ขยับลงไปเรื่อย จะแน่นจะเบาอย่างไรก็ช่าง ให้พิจารณาดูว่า ตอนนี้นิวรณ์กินใจเราได้หรือไม่ได้ ถ้ารัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ก็แปลว่าใช้ได้

พอซ้อมบ่อย ๆ เข้าออก ๆ จนคล่องตัว อาการแน่นจะค่อย ๆ เบาลง เบาลงไม่ได้หมายความว่าสมาธิน้อยลง แต่ที่เบาลงเพราะความคล่องตัวมีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่อารมณ์เบา แต่กิเลสก็กินเราไม่ได้

ถาม : ถ้านิวรณ์ไม่เข้า ก็รู้ไปอย่างเดียว ?
ตอบ : จิตตอนนั้นก็มีสภาพที่เรียกว่ามีคุณภาพ พอนิ่งอยู่ในระดับหนึ่งจนพอแล้ว เราก็ถอยออกมาพิจารณาวิปัสสนาต่อไป

ถาม : ควรจะถอยออกมาพิจารณา ?
ตอบ : จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นจะไม่ก้าวหน้า เพราะถ้าไปโดยสมาธิส่วนเดียว พอเต็มที่แล้วก็เหมือนกับเดินชนข้างฝา ไปต่อไม่ได้ เราต้องถอยมาพิจารณาแทน

พอพิจารณาจนจิตเหนื่อยแล้ว ก็จะกลับเข้าไปหาสมาธิอีก ต้องทำแบบนี้ถึงจะค่อย ๆ ก้าวหน้าไป แต่ถ้าเราไปสมาธิด้านเดียว ถ้าตันแล้ว ออกมาจะฟุ้งซ่านไปเลย

เถรี 10-11-2010 16:49

ถาม : เวลาที่เราเดิน เข้าถึงฌานได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้

ถาม : บางทีก็รู้สึกว่าก็ไปได้เหมือนกัน
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรามีความคล่องแค่ไหน ถ้ามีความคล่องตัวน้อย ทันทีที่เริ่มทรงเป็นฌาน เราจะเดินไม่ออก เอาแค่ลมหายใจ จมูก อก ท้อง สามจุด ถ้าเราจับได้พร้อมกัน เราจะก้าวขาไม่ออก เพราะจิตกับประสาทจะเริ่มเป็นคนละส่วนกัน

แต่ถ้าเรามีความคล่องตัว ต่อให้ใช้สมาธิขั้นไหนก็สามารถที่จะก้าวเดินได้ ขึ้นอยู่กับการซักซ้อมของเรา

เถรี 11-11-2010 01:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงเมถุนสังโยค คือ สิ่งที่ยังเนื่องด้วยกามอยู่

มีข้อหนึ่งว่า ยินดีในการนวดเฟ้น ประเภทนี้นี่แหละที่อย่างไรก็ต้องไปลงอ่างให้ได้

นอกจากนี้ ยินดีเมื่อได้ฟังเสียงเพศตรงข้าม แม้กระทั่งฟังเสียงที่คุยกันอีกด้านหนึ่งของข้างฝา ยินดีในการนวด ยินดีในการสบตากับเพศตรงข้าม

ท้ายสุด..แม้แต่การคิดจะไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า ถือว่ายังเป็นเมถุนสังโยค คือการเนื่องด้วยกามอยู่"

เถรี 11-11-2010 02:04

ถาม : อารมณ์ที่ไม่เอาแล้ว กับอารมณ์ช่างหัวมัน ทำไมอารมณ์ช่างหัวมันถึงได้เบากว่า ?
ตอบ : ไม่เอาแล้วแค่อยู่ในระดับเบื่อหรือเข็ด ช่างหัวมันเป็นอุเบกขาไปแล้ว เมื่อปล่อยวางได้มากกว่าก็ต้องเบากว่า เพราะฉะนั้น..ช่างหัวมันให้ได้เยอะ ๆ

แต่ว่า..จะเข็ดจริง เบื่อจริงหรือเปล่า ?

ถาม : อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งครับ
ตอบ : กลัวแต่จะเบื่อ ๆ อยาก ๆ เท่านั้น..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:33


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว