กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1900)

เถรี 08-06-2010 16:06

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓
 
ถาม : ถ้าเราถือศีลแปด ตอนเย็นเราสามารถกินน้ำมันได้ไหมคะ อย่างพวกวิตามิน น้ำมันรำข้าว น้ำมันตับปลา?
ตอบ : นั่นมันเป็นวิตามิน..แต่ถ้ายังเป็นน้ำมันอยู่..กินได้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาต สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ ก็คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย

เถรี 08-06-2010 16:08

"งานทุกอย่างถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก แม้กระทั่งในการต่อสู้ ใครก็ตามที่สามารถรักษาสติสัมปชัญญะและสมาธิเอาไว้ได้ โอกาสชนะจะมีมากกว่า"

เถรี 08-06-2010 16:41

พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปที่บึงลับแลในช่วงที่ผ่านมา แล้วสอนว่า "พอคนเราเหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยแทบปางตาย ส่วนใหญ่จะลืมความดีหมด ไปนึกอยู่แต่อาการเฉพาะหน้าของตัวเอง ลักษณะอย่างนั้นถ้าตายไปโอกาสจะไปดีนั้นมีน้อย ต้องเกาะความดีได้ทุกเวลา ไม่ใช่พอถึงเวลาหอบแฮ่ก ๆ แล้วก็นึกถึงแต่ความเหนื่อย

ไม่ว่าสถานการณ์ไหน จะต้องจับภาพพระหรือคำภาวนาตลอด จะเห็นได้ว่าอาตมาหิ้วข้าวของเข้าไปให้พวกเราได้ ไม่เห็นมีอะไร..แค่น้ำแข็งกระติกเดียว ภาวนาคาถาเงินล้านครบหนึ่งจบก็เปลี่ยนมือที่ถือกระติกเป็นอีกข้างหนึ่ง ใช้วัดตัวเองได้ด้วย นอกจากไม่เมื่อยแล้วยังได้สมาธิภาวนาอีกต่างหาก

อาตมาไปในลักษณะที่คนอื่นเห็นว่าช้าแต่ไปเร็ว ลักษณะอย่างนั้นนี่ต้องซ้อมให้ชิน พอชินกับการภาวนา ชินกับการเดินแล้ว ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายของเราจะก้าวยาวเท่ากัน กำลังใจตั้งแต่ต้นทางและปลายทางจะทรงตัวเท่ากัน

ตอนที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ไปเดินบิณฑบาต ทางป่าไม้เขาให้คนงานไปช่วยหิ้วปิ่นโตหิ้วกับข้าว หิ้วไปหิ้วมาเขาก็หายกันไปหมด หัวหน้าคนงานก็ไปด่าลูกน้อง ลูกน้องก็บอกว่า "ไม่เอา ไปกับอาจารย์เดินไม่ทัน เหนื่อยฉิบ..เลย" เขาก็สงสัย ทำไมพวกนั้นบอกว่าเดินไม่ทัน เพราะพวกนั้นเดินเขาต้องวิ่งตาม..!

เราก็เดินภาวนาไปเรื่อย ๆ พอเพลินกับการภาวนาก็ลืมเหนื่อย แต่คนทั่ว ๆ ไป พอเหนื่อยขึ้นมาก็จะคิดแค่ตรงที่ตัวเองเหนื่อย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ กลายเป็นซ้ำเติมตัวเอง"

เถรี 08-06-2010 16:46

ถาม : การที่ทรงความปีติเอาไว้ในใจตลอด ยังดีไม่พอหรือคะ?
ตอบ : ยัง..ดีเหมือนกัน แต่ยังไม่ดีพอ ลองสังเกตดู พอเราเผลอเมื่อไร ก็โดนกิเลสตอดเล็กตอดน้อยอยู่เรื่อย

ปีติมันยังไม่ใช่ฌาน กำลังต่ำเกินไป อย่างน้อย ๆ ควรให้เป็นอุปจารฌานหรือปฐมฌาน ในเมื่อกำลังยังไม่หนักแน่นพอ เมื่อเราเผลอกิเลสก็ตอดเล็กตอดน้อยไปเรื่อย

เถรี 08-06-2010 18:21

ในขณะที่เถรีนั่งอ่านหนังสือนิยายเรื่อง นวจันทรา หลวงพ่อจึงได้กล่าวถึงตอนหนึ่งในหนังสือให้ฟังว่า "จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาบอกว่า เผ่าพันธุ์ของมนุษย์หมาป่าจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ของผีดูดเลือด

ถ้าผีดูดเลือดมีมาก มนุษย์หมาป่าก็จะเกิดมาก ถ้าผีดูดเลือดมีน้อย มนุษย์หมาป่าก็จะเหลือน้อย มาถึงตรงนี้นึกอะไรได้บ้าง ?

นึกถึงเรื่องที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเรื่องพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ ท่านบอกว่า น้ำถึงไหนปลาถึงนั่น พุทธศาสตร์เจริญรุ่งเรือง ไสยศาสตร์ก็รุ่งตาม ถ้าหากพุทธศาสตร์ตกต่ำ ไสยศาสตร์ก็ตกต่ำด้วย

เหตุเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีขึ้นได้ เกิดจากความนิยมชมชอบของคน ในเมื่อชอบก็จะปฏิบัติ พอปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พุทธศาสตร์ก็รุ่งเรือง ทางด้านคนที่ชอบไสยศาสตร์พอปฏิบัติเต็มที่ก็เจริญเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..มนุษย์หมาป่าในหนังสือช่วงนี้เกิดเยอะ เพราะผีดูดเลือดมารวมตัวกันมาก"

เถรี 08-06-2010 20:31

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องสัตว์ดูดเลือด อย่างเช่นปลิงหรือทาก แล้วสรุปให้ฟังว่า "เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่กลัว ความสยองก็จะน้อยลงไปเยอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปกลัว ในเมื่อเรากลัว พอไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ บางทีก็สติขาด พอขาดสติก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก"

เถรี 08-06-2010 20:42

ถาม : เวลาดิฉันขับรถ จะสวดเมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯลฯ
ตอบ : หลวงปู่ดู่ท่านบอกไว้ว่า ใครท่องคาถานี้ ผีหรือเทวดาจะเกิดความรักเมตตา ถ้าหากขอให้ท่านคุ้มครองรักษา ท่านก็ยินดีและเต็มใจ

ก่อนเดินทางก็อุทิศส่วนกุศลไปเลย จะเป็นอากาสเทวดา รุกขเทวดา สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์อะไรก็ตาม ที่รักษาตลอดเส้นทาง อุทิศให้เขาทั้งหมด แล้วอธิษฐานขอให้ช่วยรักษาเราด้วย

เถรี 09-06-2010 07:13

พระอาจารย์ท่านบอกว่า "พระชำระหนี้สงฆ์ตกลงว่าจะสร้าง ๓๒ องค์ ความจริงพื้นที่มีพอสำหรับก่อสร้างได้ประมาณ ๔๐ องค์ แต่เว้นตรงกลางเอาไว้ เพราะจะสร้างมณฑปสักหลังหนึ่ง ยังไม่รู้ราคาเท่าไร ให้เขาออกแบบเหมือนกับพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ที่บางปะอิน

พอสร้างขึ้นมาแล้ว จะตั้งพระประธานบนมณฑปที่สร้าง หน้าตักสัก ๑๐ ศอกกำลังสวย น่าจะเป็นโครงการหลังจากเรื่องอื่น ๆ เพราะตัวอาคารทรงไทยเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก โดยเฉพาะลายไทย"

เถรี 09-06-2010 08:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรม บางทีเราก็อาจจะมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดไปโดยไม่รู้ตัว และก็ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า อย่างเช่นเราอาจจะเห็นว่านิวรณ์ ๕ เป็นเรื่องเด็ก ๆ ใครปฏิบัติก็จะต้องเจออยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่คิดที่จะหักให้ลงสักที เมื่อไร ๆ ก็เป็นนิวรณ์ขวางเราอยู่อย่างนั้นแหละ

ลองจัดการให้ร่วงลงไปสักที แล้วอะไร ๆ จะได้มากกว่านี้อีกเยอะ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุธัจจะ วิจิกิจฉา เห็นเป็นบทเรียนแรก ๆ ของการปฏิบัติเลย ใคร ๆ ก็ต้องเจอ เจอบ่อยเสียจนเรามองข้ามไปหรือเปล่า? ทั้ง ๆ ที่พวกนี้เป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดเลย

ถ้าเราหักเขาลงได้ ก้าวต่อไปนี่ไม่ยากหรอก เจ้าตัวนี้นี่แหละที่ขวางเราอยู่ทุกวัน..!"

เถรี 09-06-2010 09:25

ถาม : สติปัฏฐานสี่เขาให้ใช้แค่ขณิกสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : เขาบังคับให้ใช้แค่นั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง แต่ในเมื่อเขาให้ทำแค่นั้นก็ทำตามเขาไปเถอะ

ถาม : จะทำอย่างไรให้เห็นรูปนาม ให้เห็นเกิดดับ ?
ตอบ : ที่เขาอธิบายมาเป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น นามรูปปริเฉทญาณ ต่ำสุดจะต้องเป็นปฐมฌาน แต่คราวนี้เขาให้ใช้ขณิกสมาธิ โอกาสที่จะเข้าถึงจริง ๆ จึงยาก

การแยกรูปกับนามออกจากกันได้ ถ้าหากไม่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ เราจะเห็นไม่ชัด แต่ทันทีที่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ เราจะเห็นชัดเจนเลยว่า อันนี้เป็นรูป อันนี้เป็นนาม เพราะว่าทันทีที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส เราไม่ให้ความสนใจ จะสนใจอยู่แต่ภายใน เราจะแยกออกเลยว่า นามธรรมอยู่ข้างใน กายสักแต่ว่าเป็นเปลือกเท่านั้น

แต่คราวนี้เขาให้ใช้ว่าขณิกสมาธิ โอกาสที่เราจะเห็นก็ยากมาก แต่พอเราไปส่งอารมณ์กับอาจารย์กรรมฐาน อธิบายไปได้นิด ๆ สะเก็ดผิวนิดหนึ่ง เขาก็ให้เราผ่านแล้ว


ถาม : เขาบอกว่าถ้าอธิบายการเข้าญาณ ๑๖ ไม่ถูก ไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลหรอก ที่เขาว่า..เขาว่าไปตามตำรา แต่คนที่ทำได้จริงไม่ต้องไปถึงญาณ ๑๖ หรอก ถ้าเขาทำได้จริง ทั้งหมดที่ว่ามามีอยู่ครบแล้ว

เถรี 09-06-2010 13:03

ถาม : เวลาสวดมนต์ ไม่รู้จมูกเป็นอะไร แต่เวลานั่งสมาธิจะไม่เป็น
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ สวดมนต์ต่อไป เขาเรียกว่าขันธมาร

ถาม : แต่เวลาสวดมนต์จะไม่มีสมาธิเลยค่ะ
ตอบ : เวลาสวดมนต์จะเกาจมูก หรือจะอะไรให้ทำไป แต่อย่าเลิกสวด เขาแค่ต้องการจะกวนให้เรารำคาญ แล้วเลิกทำความดีเท่านั้นแหละ

เถรี 09-06-2010 13:09

ถาม : สติ สมาธิ สัมปชัญญะ นี่มันคืออะไรคะ?
ตอบ : สติกับสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน ส่วนสมาธิเป็นกำลังของใจ ที่เกิดจากการที่ความรู้สึกทั้งหมดรวมแน่วแน่อยู่จุดใดจุดหนึ่ง สตินึกได้ว่าจะทำอะไร สัมปชัญญะรู้อยู่ว่าตอนนี้ทำอะไร

ถาม : ก็คือ มีสมาธิจะต้องมีสติด้วย?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิดี สติและสัมปชัญญะก็จะดีไปด้วย

ถาม : แล้วคนที่เป็นพระโสดาบันเขาจะมีสติทั้งหลับทั้งตื่น
ตอบ : เขาเป็นอัตโนมัติ

ถาม : ก็แสดงว่าในฝันก็ไม่ผิดศีล
ตอบ : ต้องไปถามพระโสดาบัน

เถรี 09-06-2010 16:50

ถาม : คำว่า กังวล ในภาษาบาลีแปลว่าอะไร?
ตอบ : แปลว่า ห่วง ห่วงหน้าพะวงหลัง ตัดไม่ขาด

เถรี 09-06-2010 19:01

พระอาจารย์กล่าวถึงการไปบึงลับแลครั้งล่าสุดที่ผ่านมาว่า "ความจริงอยากจะไปนอนค้างกับพวกเราด้วย แต่เกรงว่าการที่ไปอยู่ด้วย จะทำให้พวกเราปล่อยปละละวางตัวเองมากเกินไป ก็เลยต้องทิ้งเอาไว้ข้างในนั้น ให้เอาตัวรอดกันเอง"

ถาม : หลวงพี่ท่านหนึ่งบอกว่า เราไปนอนทับบนที่หลุมศพคนตาย
ตอบ : ให้จำเอาไว้ว่า พื้นดินในโลกนี้ ไม่มีจุดไหนที่ไม่มีคนตาย มีคนตายซับตายซ้อนมานับไม่ถ้วน ก่อนนอนก็แผ่เมตตาให้เขา ขอยืมพื้นที่เขาใช้ชั่วคราว เราทำความดีอะไรก็ขอให้เขาโมทนาด้วย

เถรี 09-06-2010 19:33

พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "สำคัญตรงกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติอย่าไปทิ้ง พองานมาก ๆ แล้วเราจะอยู่ในลักษณะผ่อนผันไปเรื่อย

ผ่อนให้ตัวเองก็คือ เหนื่อยมาแล้ว แค่สวดมนต์ไหว้พระนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็นอน พอถึงเวลามานึกอีกที เออ...เราน่าจะทำให้ดีกว่านี้ มีแต่ใจประหวัดถึง คิดถึง ห่วงถึง แต่การปฏิบัติจริงก็ยังไม่มี

กำลังของเราก็จะตกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ตัว พอปล่อยไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วเราจะเอาไม่อยู่ ต้องดูอย่างหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ไม่ว่าภารกิจมากขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าร่างกายไหว ท่านก็ลงมาสวดมนต์ทำวัตร หรือลงโบสถ์ ในส่วนที่เป็นกิจวัตรท่านไม่ทิ้ง

ถ้าทิ้งแล้วกำลังเราจะตก เอาคืนยาก แล้วเราจะฟุ้งซ่านมาก หวาดระแวงไปสารพัด หวาดระแวงไปสารพัดก็คือ ความชั่วมีมากกว่าความดีหรือเปล่า ? อาบัติหนักเราโดนไปแล้วหรือไม่ ? จะคิดไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ อย่าไปเปิดโอกาสให้กิเลส เขาได้โอกาสเขาไม่เคยปรานีเราหรอก"

เถรี 09-06-2010 19:40

"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ตอนท่านเรียนบาลี ท่านใช้การท่องบาลีนั่นแหละเป็นการภาวนา ก็แปลว่าคำภาวนาของท่าน ยาวเป็นเล่ม ๆ

วันหนึ่งท่านภาวนาไป เห็นใครก็ไม่รู้นอนท่องหนังสืออยู่ ก็ตกใจ ความจริงก็คือ เห็นตัวเองนอนท่องหนังสืออยู่ ท่องไปท่องมากายในของท่านหลุดไปอยู่บนเพดาน

ต้องไปฟังท่านเล่าเอง สนุกมาก หน้าของท่านนิ่งมากเลยนะเวลาเล่า แต่เรื่องที่เล่าตลกมากเลย

เคยไปกราบขอให้ท่านเล่าเรื่องผีให้ฟัง ท่านก็บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผมเจอเป็นผีหรือเปล่า ? แล้วท่านก็เล่าให้ฟังเป็นฉาก ๆ เลย ผีล้วน ๆ..! แต่ท่านก็ยืนยันว่าท่านไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเปล่า"

เถรี 09-06-2010 21:55

"สมัยก่อนวิ่งรับใช้ท่านทั้งหลายอยู่ที่วัดธรรมมงคล เพราะว่าแม่ไปร่วมเป็นกรรมการสร้างเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อยุคนั้นก็มากันเยอะ ตอนนั้นยังวัยรุ่นอยู่ วิ่งเก่งทำงานคล่อง ก็เลยมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด เราก็ไม่ใช่เด็กกลัวพระ ก็ถามท่านไปเรื่อย ถามไปถามมา ก็ขอหวยหลวงตาบัวซะเลย..!

ท่านรู้ว่าเราอยากรู้ ตอนนั้นคิดว่าพระที่ปฏิบัติสายวิสุทธิมรรค อย่างสายหลวงปู่มั่น ท่านมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกับสายอื่นเขาหรือเปล่า ? ถามด้วยความอยากรู้ ท่านก็ให้จริง ๆ และก็ออกตรง ๆ ท่านก็คงจะรู้ด้วยว่าเราไม่ได้เล่น แค่อยากรู้เฉย ๆ ก็เลยบอกตรง ๆ

เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ว่าจะปฏิบัติกับครูบาอาจารย์สายไหนก็ตาม ถ้าหากว่าวิสัยเดิมของตนเองเป็นอย่างไร ถ้าเข้าถึงธรรมแล้วของเดิมจะมาเอง

แบบเดียวกับพระจุลปันถกเถระ เป็นพระวิชชาสาม แต่ลูกศิษย์เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณเป็นพันเลย เพราะวิสัยเดิมของลูกศิษย์เป็นอย่างนี้ เวลาท่านปฏิบัติไปถึงของเก่าก็กลับคืนมา"

เถรี 09-06-2010 22:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องน่าขำก็คือ ไม่เคยเห็น หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล เป็นหลวงปู่หลวงพ่อเลย เห็นท่านเป็นแม่ตลอด เป็นเรื่องที่แปลกมาก แสดงว่าความผูกพันเดิม ๆ คงอยู่ตอนสมัยที่ท่านเป็นแม่ และต้องเป็นแม่มาหลายชาติด้วย"

เถรี 09-06-2010 22:50

ถาม : ถ้าเราไปตัดก้านออกจะบาปไหม? (ก้านของพระสมเด็จองค์ปฐมยอดธง)
ตอบ : ตัดออกทำไม?

ถาม : เวลาเลี่ยมจะได้เลี่ยมได้เล็กหน่อย
ตอบ : ก็ไม่ได้ทำลายองค์ท่านนี่ เพียงแต่ว่าพอเขาถาม พระของเราก็ไม่ใช่แบบองค์ดั้งเดิม

เถรี 09-06-2010 23:07

ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิแล้วมันวูบหายไป เป็นเพราะเราทรงฌานลึกหรือเพราะเราหลับครับ ?
ตอบ : จิตหยาบ สติตามไม่ทัน ถ้าเป็นปฐมฌานก็เป็นปฐมฌานอย่างหยาบ ในเมื่อจิตหยาบ สติตามไม่ทัน ถึงเวลาก็วูบหายไปไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ประสาทเริ่มรับรู้อาการภายนอก

ถาม : แสดงว่ายังไม่ค่อยดี ?
ตอบ : ต้องทำให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ถือว่าอยู่ในระดับทั่ว ๆ ไป หมูหมากาไก่ก็ทำได้ เพราะว่าสัตว์ทุกชนิดก็หลับได้เหมือนกัน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือพวกหมูหมากาไก่อะไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งเจตนาที่จะให้เป็นกองบุญกองกุศล ก็เลยไม่มีอานิสงส์ ต้องบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม เพราะถ้าไม่มีการพักผ่อนในส่วนนี้เขาก็อยู่ไม่ได้

ถาม : คือเราตั้งใจทำดี ก็ยังได้อานิสงส์อยู่ ?
ตอบ : ของเราที่ว่ามานี่อานิสงส์เท่ากับอานิสงส์ของพรหมชั้นที่ ๑ แต่ของเขาไม่มีอานิสงส์ตรงนั้น เพราะไม่ได้เจตนาที่จะทำ เป็นไปโดยธรรมชาติ ถึงเวลาจะพักผ่อน จิตก็ตัดจากสิ่งวุ่นวายภายนอก เข้าไปสู่จุดพัก


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:29


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว