กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5774)

เถรี 30-08-2017 21:06

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๐
 
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ สิ่งที่อยากจะบอกกล่าวพวกเราในวันนี้ ก็คือ การปฏิบัติธรรมนั้น เราทำแล้วต้องหวังผล เพราะถ้าเราทำแล้วไม่หวังผล ก็จะอยู่ในลักษณะ "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง"

เราต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า เราอาจจะต้องตายลงไปภายในวันนี้ ถ้าหากว่าเราตายลงไปในวันนี้ คติคือที่ไปของเรา แน่นอนแล้วหรือไม่ ? ถ้าหากว่าคติคือที่ไปของเรา ยังไม่แน่นอน แล้วทำอย่างไรที่จะเร่งรัดให้ที่ไปของเรามีความแน่นอน ก็อยู่ที่ว่าเราต้องตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงละเมิดในศีลนั้น ๆ

ในระยะแรกสติสัมปชัญญะของเรายังไม่สมบูรณ์ ความระมัดระวังตัวย่อมบกพร่อง โอกาสที่ศีลจะขาดก็มีมาก วิธีสังเกตว่าศีลของเราขาดหรือไม่ขาดอย่างแท้จริง ให้ดูว่าเรารู้ว่าสิ่งนั้นผิดศีลหรือไม่ ? เมื่อรู้แล้วเราตั้งใจละเมิดหรือไม่ ? ละเมิดแล้วสำเร็จสมดังเจตนาหรือไม่ ? ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดศีล เราตั้งใจล่วงละเมิด เรากระทำสำเร็จ ส่วนใหญ่แล้วนี่จะเป็นหลัก ๆ ในการพิจารณาว่าศีลของเราขาดหรือศีลของเราพร่อง ถ้าหากว่าศีลของเรายังพร่องอยู่ ไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ โอกาสที่เราจะพ้นจากอบายภูมิก็มีน้อย

เถรี 31-08-2017 08:26

เมื่อทบทวนศีลของเราทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาของเราไป อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกาย ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ช่างมัน" ตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงจะตายลงไปตอนนี้เราก็ยอม

ถ้าเป็นเช่นนี้ลักษณะอาการต่าง ๆ ที่มารบกวน อย่างเช่นว่าขันธมาร เป็นต้น ต่อให้บังเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าเราไม่หวั่นไหวเขาก็จะเลิกไปเอง ในขณะเดียวกันก็ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเป็นหลัก จะกำหนดภาพพระไปด้วยก็ได้ กำหนดคำภาวนาไปด้วยก็ได้ หรือจะรู้เฉพาะลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออกก็ได้ จนกระทั่งสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่น ก้าวเข้าสู่ฌานสมาบัติระดับอัปปนาสมาธิ ได้แก่ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไปจนถึงฌาน ๔ หรือถ้าใครมีความสามารถจะกำหนดทำต่อในส่วนของสมาบัติ ๘ ก็ย่อมได้

เมื่อสมาธิของเราทรงตัวตั้งแต่ระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป เราก็มาใช้ปัญญาพินิจพิจารณาตัดละร่างกายนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ทั้งปวง มองให้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในทึ่สุด ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีตัวตนอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้

ร่างกายของเราก็เป็นเช่นนี้ ของคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ของสัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ พยายามมองให้เห็นอย่างชัดเจน จนสภาพจิตของเรายอมรับ เมื่อร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเป็นปกติ

เถรี 31-08-2017 08:27

ถ้าสภาพจิตของเรายอมรับ ก็ให้ตั้งกำลังใจสุดท้ายว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว

จากนั้นก็ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของตัวเอง หรือกำหนดใจแน่วนิ่งอยู่กับภาพพระ หรือถ้าท่านใดสามารถยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานได้ เอาจิตไปจดจ่ออยู่ต่อหน้าองค์พระบนพระนิพพาน พยายามทบทวนรักษากำลังใจของเราไว้อย่างนี้ทุกวัน ๆ นึกขึ้นมาเมื่อใดก็สามารถกำหนดกำลังใจให้อยู่ในระดับนี้ได้ทันที ถ้าเป็นเช่นนี้โอกาสที่เราจะรอดจากอบายภูมิถึงจะมีขึ้นมาได้

ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:38


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว