กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4538)

เถรี 10-08-2015 20:53

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘
 
ถาม : หากเราเกิดนึกเห็นภาพว่าร่างกายตัวเองต้องกลายเป็นของคนอื่น ท้ายสุดต้องกลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลืออะไรเลย ลักษณะนี้ถือว่ายังอยู่ในขอบเขตของอสุภกรรมฐานหรือไม่คะ ?
ตอบ :ที่ว่าเห็นร่างตัวเองเป็นของคนอื่น เห็นเป็นของหนุ่มคนไหนล่ะ ? ...(หัวเราะ)... ในส่วนนี้ควรจะเป็นปัญญาในกายคตาสติและอสุภกรรมฐานรวมกัน

เถรี 10-08-2015 20:54

ถาม : ถ้าเราหยอดเงินในกระปุกแล้วอธิษฐานว่า จะเอาเงินไปสร้างสมเด็จองค์ปฐมพร้อมเครื่องอัฐบริขารแบบนี้ แล้วถ้าเราเอาเงินไปทำบุญซ่อมองค์ปฐมแทนจะได้ไหมครับ จะผิดจุดประสงค์ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจไว้ ถ้าเปลี่ยนใจก็ผิดวัตถุประสงค์แน่ ๆ อยู่แล้ว

ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าเอาไปทำจะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้..แต่หาของใหม่ไปใช้แทนของเดิมด้วย

เถรี 10-08-2015 20:56

ถาม : หนูเป็นคนชอบสวดมนต์ แต่หลายครั้งมักสวดในที่ทำงาน ช่วงพักหรือช่วงที่ต้องการสมาธิก่อนการคิดวางแผนงาน แต่ไม่ได้พนมมือเพราะเกรงว่าเพื่อนร่วมงานจะหาว่า "บ้า..นั่งไหว้จอคอมพิวเตอร์" หลายครั้งก็ไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมงานทราบว่าเรากำลังสวดมนต์ เพราะเกรงว่าเขาจะเห็นว่าเคร่งศาสนาค่ะ ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า การสวดมนต์แบบไม่พนมมือบาปไหมคะ ?
ตอบ : พนมในใจสิ..ทำความดีจะเอาอะไรมาบาป ? ความจริงเป็นคนฉลาดและมีปัญญาด้วยซ้ำไปที่รู้จักหลีกเลี่ยง เพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นโทษกับคนอื่นเขา

เถรี 10-08-2015 20:57

ถาม : การขอความเมตตาจากพระสงฆ์ ขอท่านช่วยอธิษฐานจิตสิ่งต่าง ๆ เช่น ทองคำ มวลสารเพื่อนำไปหล่อพระ หรือให้ท่านจารอักขระให้ อย่างนี้ถือเป็นการใช้งานพระหรือไม่ ? และหากมีความจำเป็นต้องกระทำการดังกล่าว ควรทำอย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสม ?
ตอบ : ถือเป็นการใช้ทุกกรณี วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คืออย่าใช้..!

เถรี 10-08-2015 20:59

ถาม : ในการทำบุญที่เป็นทานนั้น จิตของผู้ให้ทานอาจมีลักษณะที่ต่างกันคือ
๑) ขณะให้ทานจิตนั้นมีตัณหาเป็นที่ตั้ง เช่น ทำบุญเพราะปรารถนาที่จะร่ำรวย ปรารถนาที่จะพ้นจากทุกขเวทนา ทำบุญเพราะอยากได้วัตถุมงคล เป็นต้น
๒) ขณะให้ทานจิตนั้นมีศรัทธาเป็นที่ตั้ง เช่น มีศรัทธาในพระศาสดาเจ้า จึงทำบุญเพื่อเทิดทูนพระองค์ ทำบุญเพื่อรักษาพระศาสนา เป็นต้น
๓) ขณะให้ทานจิตนั้นมีพรหมวิหาร ๔ เป็นที่ตั้ง เช่น มีคนมาบอกบุญ ก็ทำบุญด้วยความรู้สึกว่า การให้เป็นสิ่งที่ดี คนอื่นลำบากกว่าเรา ถ้าเราให้ เขาก็จะมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็มิได้ปรารถนาสิ่งใดเป็นการตอบแทน ให้แล้วก็จบกันไป เป็นต้น
๔) ขณะให้ทานจิตนั้นมีความกตัญญูกตเวทิตาเป็นที่ตั้ง เช่น ถวายปัจจัยแด่พระภิกษุผู้เคยอบรมกรรมฐานให้ แม้จะทำให้ตนลำบากอยู่บ้าง ก็มิได้หวั่นเกรง เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ต่างก็เป็นการสละทรัพย์ภายนอกออก จึงอยากกราบเรียนถามถึงผลของการให้ทานทั้ง ๔ ลักษณะว่า แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไรครับ ?

ตอบ : ไม่นึกว่าจะฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้..! การให้ทานนั้น ๑.วัตถุทานบริสุทธิ์ ๒.เจตนาในการให้บริสุทธิ์ ๓.ผู้ให้คือตัวเองมีศีลบริสุทธิ์ ๔.ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ถือว่าได้บุญเต็ม ๑๐๐ ส่วน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งพร่องก็ตัดไป ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..ดูเอาก็แล้วกันว่า ที่ถามมาทั้ง ๔ ลักษณะนั้นเข้ากับข้อใดบ้าง

เถรี 10-08-2015 21:02

ถาม : ผมไม่ค่อยจะขยันภาวนา เพราะว่าพอถึงจุดหนึ่งจะรู้สึกกลัวทุกทีและหยุดภาวนาไปเลย กลัวว่าออกไปแล้วจิตไม่เข้าร่าง กลัวมีคนมาเสียบแทน และถ้าผมจะตัดร่างกาย ไม่เข้าใจว่าต้องตัดร่างกายอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปเขียงหมูขอเขาช่วยหั่นให้..! การภาวนาถ้ายังกลัวอยู่ แปลว่ายังตัดร่างกายไม่ได้ ชีวิตนี้ไม่ต้องเอาดีอะไรกับใคร

ส่วนการภาวนาหลุดออกไป
แล้วกลัวจะกลับไม่ได้ ข้อนี้ถือว่าเหลวไหลมาก อาตมาลองมาแล้วทุกรูปแบบ ทันทีที่เราออกไปจิตก็จะกลับท่าเดียว ไม่ใช่กลับไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียวจิตจะกลับมาสู่ร่างกายทันที สภาพจิตนี้ผูกพันกับร่างกายนี้เป็นพิเศษ ฉะนั้น..ไม่ต้องห่วงว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ แต่จงกลัวว่าจะไปไม่ได้ดีกว่า

ถาม : ถ้าจะตัดร่างกายให้ได้จริง ๆ นี่มีวิธีอย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณาแยกแยะให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับเสื้อผ้าชุดหนึ่งหรือเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ถึงเวลาแล้วเสื้อผ้าย่อมไม่ใช่ตัวเรา หรือรถยนต์ก็ย่อมไม่ใช่คนขับ พยายามเห็นให้ได้อย่างชัดเจน แล้วจิตใจก็จะค่อย ๆ คลายการยึดในร่างกายลงไปเอง

ต้องพิจารณาทบทวน ย้ำบ่อย ๆ ซ้ำบ่อย ๆ จะเบื่อไม่ได้ จนกว่าเมื่อบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วจิตใจยอมรับอย่างแท้จริง

เถรี 10-08-2015 21:07

ถาม : ถ้าพระสงฆ์ไปเที่ยวในต่างประเทศแล้วเข้าไปเที่ยวในป่า เห็นดินอุดมสมบูรณ์ดี ได้ใช้โยมที่ไปด้วยกันเก็บดินนั้นมาหวังเพื่อจะมาปลูกต้นไม้ในวัด การกระทำแบบนี้พระสงฆ์รูปนั้นจะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ครับ ? ถ้าพระสงฆ์ไปเอาทรายจากน้ำตกในป่าเขา เพื่อนำมาก่อสร้างพระพุทธรูปหรือสร้างวิหารทานต่าง ๆ จะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าอาจจะต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแบบเหลวไหลที่สุด ไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเก็บดินกลับมาปลูกต้นไม้บ้านเรา ใครจะมีอารมณ์ขนาดนั้น ?

ถาม : ท่านอาจจะเป็นชาวไร่เก่าก็ได้ครับ เห็นว่าดินอุดมสมบูรณ์ปลูกต้นไม้น่าจะดีเลยเอามา
ตอบ : อาตมารับประกันว่าร้อยละร้อย..ไม่มีหรอก เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นจะซื้อแต่ของฝาก ถึงเวลาถ้ากระเป๋าไม่พอใส่ของฝากก็ทิ้งดินไปเอง

ถ้าของนั้นมีเจ้าของและเจ้าของไม่ได้อนุญาต ของนั้นมีราคา ๑ บาทขึ้นไปจะขาดจากความเป็นพระทันที เพราะฉะนั้น..อย่าเสี่ยงเป็นอันขาด

ส่วนการที่เอาทรายจากธรรมชาติมาเพื่อการก่อสร้าง ปกติแล้วทำได้ แต่ต้องดูด้วยว่าสถานที่นั้นเป็นอุทยานหรือเปล่า ? ถ้าเป็นอุทยานเขามีกฎหมายห้ามอยู่แล้ว ขืนไปทำเข้า ไม่ได้แต่ผิดศีลอย่างเดียว กฎหมายก็ผิดด้วย ส่วนถ้าเป็นในแม่น้ำลำคลอง แล้วเราไปงมทรายในจำนวนที่มากจนเกินไป ข้อนี้อาตมาไม่แน่ใจว่าต้องเสียภาษีหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าต้องเสียภาษีแล้วไปเอามาเฉย ๆ ก็โดนอาบัติปาราชิกเหมือนกัน

เถรี 10-08-2015 21:10

ถาม : ช่วงนี้เวลาเจอคนที่คุ้นหน้าหรือรู้จัก ผมจะไม่ค่อยอยากสบตา เพราะสบตาแล้วต้องมีการพูดคุยกัน ผมรู้สึกว่าไม่อยากคุยด้วย แต่ถ้าจะคุยก็คุยได้ และจะหาทางปลีกตัวเร็วที่สุด โดยเลือกที่จะไม่คุยดีกว่า ชอบที่จะอยู่คนเดียวในพื้นที่ซึ่งผมรู้สึกสบาย โดยไม่ค่อยอยากให้ใครที่มาคุยด้วยรบกวน แต่ก็ไปอยู่ในที่คนเยอะได้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้จักกัน ไม่ต้องมีการสื่อสารกัน

บ่อยครั้งมีเหตุการณ์ที่บางคนเข้าใจผมผิดไปจากความจริง โดยที่คิดไปเอง และก็เอาความเข้าใจผิดไปเล่ากับคนอื่น ๆ ผมก็ดันรู้และเห็นตลอด แต่ทำไมไม่อยากไปแก้ข่าวหรือไปปรับข้อมูลที่แท้จริงกับคนอื่น ๆ และก็สบายใจได้เองกับสิ่งที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงวุ่นวาย โกรธ และร้อนที่จะไปโต้ตอบและบอกความจริงให้สะใจ

ช่วงนี้เห็นใคร ๆ บางทีเห็นเขาก็มีความสุข หรือดีใจมากกับการกระทำและการดำเนินชีวิตของเขา เช่น ได้แฟน ได้ทรัพย์สินที่ขวนขวายหามา และอื่น ๆ ทำไมผมรู้สึกทวนไปเองจากสิ่งที่เขาขวนขวายมาตั้งแต่ต้น แล้วรู้สึกสลด หดหู่ ทุกข์เวลาเห็นเขาดิ้นรนเพื่อให้ได้มา ไม่ได้รู้สึกยินดีไปในเรื่องราวของเขาเหล่านั้นเลย ทั้งหมดนี้ผมไปติดอะไรไหมครับ ? ดูเหมือนจะดี แต่ไม่กลมกลืน ไม่กลมกล่อมในการมีชีวิตอย่างไรก็ไม่รู้ครับ ?

ตอบ : ใกล้บ้าแล้ว..! ลองถามเพื่อนรอบข้างทุกคนดู..เขาว่าบ้าไหม ? การปฏิบัติของเราถ้าห่างโลกไปเรื่อย ๆ ก็เป็นการดี แต่อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่อยู่ร่วมกับคนอื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทำอย่างไรที่เราจะปรับตัวเองให้โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ในลักษณะของน้ำกลิ้งบนใบบอน ก็คือไม่ติดอยู่กับใบบอนหรือไม่ติดอยู่กับโลกนี้ แต่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้

แสดงว่าโยมที่ถามมาเริ่มจะอยู่ในลักษณะของการเข้าถึงความสันโดษ ต้องการความวิเวก ปรารถนาการอยู่คนเดียว แต่ยังไม่สามารถที่จะปรับตัวให้กลมกลืนได้ เขาก็สามารถวิเคราะห์ตัวเองได้อยู่แล้ว พยายามปรับตัวหน่อยก็แล้วกัน

เถรี 10-08-2015 21:12

ถาม : เวลาที่ดูลมหายใจแล้วภาวนาสัมปฏิจฉามิ จะมีอาการปวดบริเวณกรามทั้งสองข้างและมักจะมีน้ำลาย ทำให้ต้องกลืนน้ำลายบ่อย ๆ กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าต้องแก้อย่างไรบ้างครับ ? ขอพระอาจารย์ชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : ตัดกรามออกแล้วจะไม่มีกรามให้ปวด..! เป็นเพียงอาการที่ร่างกายมารบกวน เขาเรียกว่าขันธมาร ไปสนใจก็ไม่ต้องภาวนากันพอดี ทำไม่รู้ไม่ชี้ภาวนาของเราไป เพื่อแลกกับการเข้าถึงธรรมแม้แต่ตายเราก็ยอม กับแค่ปวดนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป

เถรี 10-08-2015 21:13

ถาม : การทำถึงซึ่งพระนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมมาหลายภพชาติ มิได้ง่ายเหมือนอย่างที่บอกกล่าวกัน เลยคิดว่าอยากทำให้ศีลบริสุทธิ์ คงพอเหมาะกับตัวเรา เพราะไม่คุ้นเคยกับการนั่งสมาธิ การทำวิปัสสนา เหมือนที่คนที่มีบารมีสะสมมาตั้งแต่ชาติที่ผ่านมา กราบเรียนถามว่า การทำให้ศีลบริสุทธิ์นั้นต้องทำอย่างไรครับ ? ผมขอแค่นี้พอแล้วครับสำหรับชาตินี้
ตอบ : รับประกันว่าอีกหลายกัป..!

ถาม : หลายกัปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เขายินดีแค่นั้น ศีล สมาธิ แล้วยังต้องมีปัญญาอีก แต่ละอย่างต้องผ่านการสั่งสมมาหลายกัป ถึงจะเพียงพอในการตัดกิเลส ในเมื่อตั้งใจแค่ก้าวแรก ก็ยังเหลืออีกหลายกัปกว่าจะไปได้ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ก็คือ การรักษาศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นละเมิดศีล ก็แค่นั้นเอง

เถรี 10-08-2015 21:17

ถาม : ตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานกล่าวถึงพระที่มีลาภมาก ได้แก่ สมเด็จพระพุทธกัสสโป (ปางพุทธลีลา) และสมเด็จพระพุทธทีปังกร (พระพุทธโสธร) มีลาภมหาศาลมาก และหลวงพ่อเล็กเคยกล่าวถึงพระพุทธรูปหยกวัดท่าขนุนว่า เป็นรูปลักษณะของสมเด็จพระพุทธกัสสโป เป็นปางพุทธลีลา สมเด็จพระพุทธกัสสโปและสมเด็จพระพุทธทีปังกร ทั้งสองพระองค์บารมีหนักในด้านลาภมาก

รบกวนถามว่า ๑. สมเด็จพระกกุสันโธ มีรูปลักษณะเป็นพระปางอะไร ? และมีบารมีหนักในด้านใดครับ ? ๒. สมเด็จพระโกนาคมโน มีรูปลักษณะเป็นพระปางอะไร ? และมีบารมีหนักในด้านใดครับ ?

ตอบ : ขอแก้ข้อเข้าใจผิดก่อน เรื่องนี้ยืนยันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่เคยพูดไว้ ท่านพูดไว้แค่ครึ่งเดียว ก็คือ พระพุทธกัสสปะกับพระพุทธทีปังกรเป็นพระพุทธเจ้าที่มากด้วยลาภ เพราะว่าสร้างบารมีเริ่มต้นด้วยการให้ทาน ส่วนอาตมาเองพูดว่า ได้รับพรจากสมเด็จพระพุทธกัสสปะว่า ถ้าพระองค์ท่านมา จะมาในลักษณะของพระพุทธลีลาประทานพร ส่วนพระพุทธทีปังกรให้พรว่า ถ้าพระองค์ท่านมา จะมาในลักษณะพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน มีสภาพค่อนข้างอ้วนท้วนสมบูรณ์ นี่เป็นเรื่องที่พระองค์ให้เฉพาะตัว ดันเสือกเอาไปยำรวมกัน...! แล้วเสือกยำผิดด้วย ส่วนที่เหลือถ้าอยากรู้ให้ไปถามพระองค์ท่านเอง

เถรี 10-08-2015 21:20

ถาม : เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมตื่นลืมตาก็ลุกขึ้นมานั่งสวด อิติปิ โส ฯ ๓ ห้อง ๓ จบ เสร็จแล้วก็หันไปจัดหมอนและที่นอน วางหมอนเข้าที่ หัวปักหมอนดิ่งหลับ แล้วก็เหมือนฝันว่าจะเข้าไปกราบพระในห้อง ๆ หนึ่ง พอเปิดประตูเข้าไป เหมือนเดินหลับตา จะลืมตาก็ไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกถึงตัวที่หลับอยู่บนที่นอนด้วย จะฝืนลืมตาให้ได้เพราะอึดอัดมาก ฝืนจนในฝันลืมตาได้ ก็เห็นคนชุดขาวนั่งอยู่ในห้องไม่มาก แล้วก็มีพระรูปร่างสูงโปร่ง จะหนุ่มก็ไม่หนุ่ม แต่ไม่ถึงกับอายุมาก นั่งอยู่พื้นยกระดับ ผมก็เข้าไปนั่งข้าง ๆ ท่าน ท่านก็หันมาบอกผมว่า "ให้ภาวนาพุทโธถี่ ๆ"

ในฝันผมก็ถามกลับไปทันทีว่า "บริกรรมคาถาเงินล้านได้ไหมครับ ?" ท่านก็นิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วก็บอกว่า "ได้" ผมมาหาข้อมูลในภายหลัง ปรากฏว่าท่านคือ หลวงพ่อเกษม เขมโก จะขอโอกาสถามหลวงพ่อว่า ผมไม่ทำตามที่ท่านสั่งแบบนั้น จะเป็นอะไรไหมครับ ? ถ้าจะท่องพุทโธถี่ ๆ ก็เสียดายคาถาเงินล้าน จะท่องคาถาเงินล้าน ก็รู้สึกว่าถ้าไม่สำคัญท่านก็ไม่สั่ง ขอความเมตตาหลวงพ่อด้วยครับ

ตอบ : แบ่งกัน..ภาวนาอย่างละครึ่งวัน

เถรี 10-08-2015 21:21

ถาม : ระหว่างพระองค์ที่ ๑๑ กับสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ พระเครื่องสองรุ่นนี้ ถ้าใช้กำลังใจทรงตัวในระดับเดียวกันอาราธนา รุ่นไหนจะมีอานุภาพในทางมหาลาภมากกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเท่ากันอานุภาพก็เท่ากัน

เถรี 10-08-2015 21:24

ถาม : ถ้าบนหลวงพ่อขอสิ่งหนึ่งไว้ และยังไม่ได้ตามที่ขอ แต่กลัวว่าจะทำไม่ได้ตามที่บนไว้ เลยจะขอเปลี่ยนคำบนใหม่ เพื่อให้ได้สิ่งเดิมที่ต้องการได้ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคงจะหวังยาก ขนาดความตั้งใจยังไม่แน่นอน แล้วจะไปเอาอะไรแน่นอน ตอนอยากได้นี่อะไรก็ได้ใช่ไหม ? จะให้แก้บนวันนี้ก็ยอม พอถึงเวลาแล้วก็เปลี่ยนใจ

เถรี 10-08-2015 21:26

ถาม : สมควรไหม ที่จะพาสุนัขที่เราเลี้ยงไว้ไปบริจาคเลือด ? ไม่แน่ใจว่าสุนัขจะเต็มใจหรือไม่ ถ้าไม่สมควรเราจะปฏิเสธคนที่มาขอความช่วยเหลืออย่างไรดี ?
ตอบ : ให้ไปถามหมาตัวนั้น ถ้าเขาไม่เต็มใจก็มีปัญหาแน่ ๆ

เถรี 10-08-2015 21:27

ถาม : การที่ตัวเราเจตนาทำอาหารเพื่อกินเอง และได้ชิมในอาหารนั้นด้วย แต่สามีได้นำไปถวายพระโดยไม่ได้สอบถามเสียก่อน กรณีเช่นนี้ใครบาป ถ้าบาปจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ยินดีตามสามีไปจะได้บุญทั้งคู่ ทำอาหารถ้าไม่ชิมแล้วจะรู้หรือว่ารสเป็นอย่างไร ?

ถาม : อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นของเดนไปถวายพระใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น..ของเดนก็คือเรากินในสำรับนั้นเลย นี่ตักออกมาชิมเท่านั้น มีใครเป็นสุดยอดแม่ครัวที่ทำอาหารโดยไม่ชิมบ้าง ? ช่วยยกมือขึ้นหน่อย ...(มีโยมยกมือ)... แล้วคนกินบ่นไหม ? ...(หัวเราะ)...

เถรี 10-08-2015 21:29

ถาม : พระอรหันต์กับผู้ทรงศีลที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าได้มีการทำพุทธาภิเษกวัตถุมงคล วัตถุมงคลที่ออกมานั้นจะแตกต่างกันหรือไม่ ?
ตอบ : แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ต้องถึงพระอรหันต์หรอก แค่พระโสดาบันกับผู้ทรงศีลธรรมดาก็เปรียบกันไม่ได้อยู่แล้ว

เถรี 10-08-2015 21:30

ถาม : วัตถุที่นำไปแช่ในน้ำมนต์ จะเป็นวัตถุมงคลและศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพุทธาภิเษกเลยหรือไม่ ?
ตอบ : ยาก..ส่วนมากเอาไปแช่เท่ ๆ อย่างนั้นแหละ ถ้าน้ำมนต์ไม่ซึมเข้าไปในวัตถุ ก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย

ถาม : ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้นิดหนึ่ง

เถรี 11-08-2015 11:38

ถาม : เมื่อได้ยินว่าโลกมีแต่ความทุกข์ แต่คิดว่ามีความสุข แต่เป็นความสุขที่มีแล้วก็หมด ไม่ยั่งยืน ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้..แค่พยายามเห็นความสุขให้เป็นความทุกข์ให้ได้ก็แล้วกัน

เถรี 11-08-2015 11:38

พระอาจารย์กล่าวว่า “การถามปัญหาในการปฏิบัติธรรม บางท่านไม่ได้ตั้งใจเอาคำตอบ แค่เจตนาจะอวดว่าตัวเองทำอะไรได้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ปัจจุบันนี้คนประเภทนี้มีเยอะ แล้วชอบเข้าไปแสดงความคิดในเว็บต่าง ๆ ต้องบอกว่ามีโทษมากกว่าประโยชน์”

เถรี 11-08-2015 11:42

พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมที่ฟังอยู่ทางบ้านโปรดทราบ การตั้งคำถามในเว็บให้ตั้งเป็นกระทู้ใหม่ทุกครั้ง อยู่ ๆ ไปแปะคำถามตามตูดชาวบ้านแล้วข้อความจะหายไปถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าจะโดนผู้ดูแลลบทิ้งทันที กติกาเขาบอกไว้ละเอียดแล้วแต่ไม่ค่อยจะอ่านกัน

ประการที่ ๒ ก็คือ เมื่อแจ้งเตือนแล้วกรุณาเข้าไปแก้ไขให้ถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นอยู่ ๆ โดนเชิญเข้าศาลาพักใจแล้วจะสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร

ส่วนเมื่อเช้านี้อาตมาท้องเสียตั้งแต่ตีหนึ่ง ไม่สามารถจะนอนได้เพราะไม่รู้ว่าจะถ่ายอีกเมื่อไร ก็เลยนั่งตรวจสอบกระทู้ ปรากฏว่าบรรดากระทู้บูชาวัตถุมงคล มีญาติโยมอยู่หลายสิบคนที่ทำผิดกติกาแล้วไม่ไปแก้ไข อาตมาก็เลยทำการแบนไป วิธีการแบนนี้อาตมาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าจะออกมาลักษณะไหน อาจจะใช้งานเว็บไม่ได้เลยตลอดชีวิตก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าอยู่ ๆ ใครเข้าเว็บไม่ได้ก็ให้สมัครใหม่เลย เพราะของเก่าโดนแบนไปแล้ว

มีหลายคนด้วยกัน อย่างเช่น เดือนตุลา นายกาญจน์กัญ ชัยวัฒน์ ชคัตตรัย เป็นต้น สารพัดราว ๓๐ กว่ารายชื่อ ส่วนใหญ่แล้วก็คือใช้เลขอารบิก เขาเตือนแล้วก็ไม่กลับไปแก้ไข เพราะเห็นว่าบัญชีขึ้นการจองให้แล้ว อาตมาเองก็เตือนด้วยอักษรขนาดใหญ่ ๆ ไว้แล้วว่าถ้าไม่มาแก้ไขคุณจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เข้ามาแก้กัน ตั้งแต่เปิดกระทู้จนเขาปิดกระทู้แล้วยังไม่ยอมมาแก้อีก ถ้าโดนก็ถือว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ ตามพระพุทธวจนะที่กล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้แล”

เถรี 11-08-2015 12:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "รายการเด็ดข่าวเด่น ของช่อง ๗ สี ไปถ่ายทำรายการที่วัดอยู่ ๒ วัน ตัดไปลงให้ตั้ง ๔ นาที"

ถาม : ลงชื่อพระอาจารย์ผิดด้วย
ตอบ : อะไรก็ช่างเถอะ จะไปหวังอะไรมากมาย อย่าให้ชื่อวัดผิดก็พอ ญาติโยมส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องราชทินนาม อย่างของอาตมา ถ้าให้เขียนคนส่วนใหญ่ก็เขียนพระครูวิลาศ กาญจนธรรม เขาจะเว้นวรรคเป็นนามสกุลให้ ตอนที่ไปเนปาล เจ้าหน้าที่เขาปล้ำแทบตายเพราะข้อมูลไม่ขึ้นให้ผ่าน ไปเรียกหัวหน้าเขามา หัวหน้าเคาะวรรคทีเดียวผ่านเลย เขาบอกว่าไม่มีนามสกุล มีแค่ชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม หัวหน้าเขาต้องมาเคาะวรรค ให้เหมือนกับมีนามสกุล เครื่องถึงจะยอมผ่านให้ ไม่อย่างนั้นเครื่องฉลาดเกินไป เลยไม่ยอมให้ผ่าน

เถรี 11-08-2015 12:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ว่าจะตัดหางท่านอาจารย์ชาติ (พระอาจารย์วันชาติ วํสธมฺโม) แล้ว ถวายท่านอีกรอบหนึ่ง แล้วปีถัดไปก็อาจจะเป็นท่านอาจารย์นิลแทน รายโน้นเพิ่งจะสร้างวัด ส่วนท่านอาจารย์ชาตินั้นประเภทวัดวาอารามสวยงามแข็งแรงดีแล้ว"

เถรี 11-08-2015 12:17

พระอาจารย์พูดกับโยมที่มาขอดอกบัวครรภ์รักษา "คุณเห็นว่าเขียนเวลานิดเดียว แต่เวลาเสก ๒ ชั่วโมงครึ่ง คุณคิดว่าง่าย ๆ ใช่ไหม ? ลองไปเปิดตำราดูสิ อาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร มหาสมัยสูตร แค่ ๔ บทก็ปาไป ๒ ชั่วโมงเศษแล้ว แล้วยังมีอย่างอื่นอีกตั้งเยอะ

ส่วนใหญ่เห็นเขาขอก็ขอไปเรื่อย ไม่ได้รู้หรอกว่าคนทำเหนื่อยแค่ไหน อาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร มหาสมัยสูตร เฉลี่ยแล้วบทหนึ่ง ๓๐ นาที แล้วยังอีกตั้งเยอะ นี่แค่หลัก ๆ ก็ล่อไป ๒ ชั่วโมง"

เถรี 11-08-2015 17:58

ถาม : ท่านท้าวจาตุมหาราชชุดปัจจุบัน กว่าท่านจะหมดวาระนี่อีกนานแค่ไหนคะ ?
ตอบ : เราตายไปก่อนแล้ว ไม่ต้องกังวล เราอยู่ไม่ถึงท่านหมดวาระหรอก

เถรี 11-08-2015 18:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญวันแม่ทุกปี อาตมาใช้เงินส่วนตัวมาจัดงาน เพราะฉะนั้น..ใครร่วมบุญมาด้วย อาตมาจะเอาลงบัญชีส่วนตัว ถ้าใครคัดค้านก็มาเอาคืนไป ต้องบอกว่าแม่ของอาตมาแท้ ๆ ดันมายุ่งด้วย ถ้าอยากกะเกณฑ์มากนักก็มาเอาคืนไป"

เถรี 11-08-2015 19:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "การสร้างวัตถุมงคลในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เขานิยมนิมนต์พระเกจิอาจารย์หลาย ๆ รูปมาช่วยกันปลุกเสก ไปนึกถึงพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านบอกว่า "คนเดียวยกไม่ไหว ก็หลาย ๆ คนสิวะ" ฉะนั้น..ถ้าใครเสกเดี่ยวก็แปลว่าจะต้องดีจริง ต้องแน่จริง"

เถรี 13-08-2015 07:10

ถาม : สงสัยเรื่องการสื่อสารค่ะ ที่ว่าทุกอย่างในโลกมีแต่ธาตุสี่ แล้วการสื่อสารจัดเป็นธาตุอะไร หรือเป็นส่วนผสมของธาตุอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก่อนที่จะสื่อสารได้ ก็มีการสมมติมาก่อนหน้านั้นอีก ว่าแต่ละสิ่งแต่ละอย่างเรียกว่าอะไร ไม่อย่างนั้นก็สื่อไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น..ก่อนจะถึงการสื่อสาร การสมมติว่าเสียยาวมาแล้ว การสื่อสารถ้าเป็นภาพ เป็นเสียง จัดเป็นการผสมผสานของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าเป็นคลื่น อย่างคลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ ก็เป็นอากาศธาตุด้วย

ถาม : เวลาที่เราสื่อสารกัน ก็แค่เป็นไปตามสัญญา ที่มีแต่สมมติที่สั่งสมมา ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นสมมติซ้อนสมมติ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ

ถาม : อย่างสื่อสารด้วยคำพูด เข้าใจว่าคำพูดเป็นอากาศ แล้วเราก็เอาสมมติไปจับเอาความหมาย ถูกไหมคะ ?
ตอบ : จะมีอากาศธาตุกับวิญญาณด้วย มีดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นเพียงแค่ ๔ แต่ถ้าจะเอาสมบูรณ์ต้องเพิ่มอากาศกับวิญญาณ ตัวความรู้สึกเข้าไปอีก

ถาม : แสดงว่าความรู้สึกเป็นสมมติที่มีมาก่อน ?
ตอบ : ทุกอย่างเป็นสมมติอยู่แล้ว เพียงแต่เราไปเรียกว่าเป็นอะไร ก็เป็นการเพิ่มสมมติเข้าไปอีกชั้น

ถาม : แสดงว่าการสื่อสารก็ไม่มีอะไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วมีแค่นั้น และไม่ทรงตัว แต่ส่วนใหญ่พอเรารับเข้ามาแล้วเราไปปรุงต่อ พอไปปรุงต่อก็เป็นรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมาอีก ซับซ้อนไปมากขึ้นเรื่อย

เถรี 13-08-2015 07:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าเรื่องเสาตกน้ำมัน ที่คุณเฉลิม คงทอง ไปซื้อบ้านมา ท่านบอกว่าตกน้ำมันขนาดนองพื้นเลย ในชีวิตอาตมาก็เจออยู่ครั้งเดียว แต่ไม่ใช่เสา เป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ ซื้อมาจากทางพม่า เป็นพระพุทธรูปนาคปรก บูชาเอาไว้ ตกน้ำมันนองพื้นเลยเหมือนกัน

การตกน้ำมันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่า รุกขเทวดาที่รักษาต้นไม้ยังตามรักษาอยู่ วันดีคืนดีท่านน่าจะไปปรากฏอยู่ในกระทู้คนมีเงินฯ กลัวอยู่อย่างเดียวว่าตกน้ำมันเสียจนหมด พอถึงเวลาน้ำมันเลยแพง..!"

เถรี 13-08-2015 11:02

พระอาจารย์เล่าว่า "มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง เขาทำสาแหรกไว้ใส่อิฐบนหลัง หมาก็ช่วยขนอิฐขึ้นเขาไป เจ้านี่ต้องไปเกิดเป็นเทวดาแน่ ขนอิฐไปสร้างพระธาตุ ทั้งพระ เณร หมา ขนอิฐกันวันละ ๓-๔ เที่ยว"

เถรี 13-08-2015 11:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเข้าร่วมโครงการปั่นเพื่อแม่บ้าง ? อาตมาอยากจะเรียกว่า "โครงการปั่นแค่วันแม่" บางคนลงทุนซื้อจักรยานไป ๒๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท ปั่นวันเดียวนั่นแหละ แล้วที่เหลือก็เก็บไว้ตากผ้า ทำอะไรต้องทำให้ต่อเนื่องตามกัน จึงจะเกิดผลดีจริง ๆ ไม่ใช่ปีทั้งปีมาปั่นกันแค่วันเดียว

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงอุตส่าห์คิดโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนขึ้นมา แต่คาดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนน้อย เพราะพวกเรามักจะทำอะไรกันไม่จริงไม่จัง ก็เลยกลายเป็นประโยชน์กับร้านขายจักรยาน ซื้อแล้วเอาไปขายคืนเขาก็คงจะไม่รับ น่าจะรวม ๆ กันสัก ๘-๑๐ คนที่มีจักรยานแล้วเอาไปเปิดร้านให้เขาเช่า ตามสวนสาธารณะอะไรก็ได้ ชั่วโมงละเท่าไรก็ว่าไป จะได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากับที่ซื้อมา

ของต่างประเทศเขาก็มี ถึงเวลาก็เอาพาสปอร์ตไปให้เขา ลงเวลาเอาไว้ รับบัตรไป เบิกจักรยานไปขี่ พอถึงเวลาก็กลับมาคืน จ่ายสตางค์แล้วก็รับบัตรหรือพาสปอร์ตของตัวเองคืนไป ทางบ้านเขาส่วนใหญ่จะขี่จักรยานไปจอดตามสถานีรถไฟเป็นหมื่น ๆ คัน แล้วก็ขึ้นรถไฟเข้าเมืองไปทำงานกัน บ้านเขาทำอะไรทำจริงจัง ทำทั้งชีวิต ลักษณะอย่างนั้นถ้าปฏิบัติธรรมจะได้ผลดีมาก เพราะเป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่องตามกันโดยตลอด แต่บ้านเรานี่เห่อกันเป็นพัก ๆ รักกันเป็นเทอม ๆ"

เถรี 13-08-2015 11:50

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ระบบกันเสียงสะท้อนของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายมีปัญหา มีปัญหาตรงที่ช่างเขาไม่เชื่ออาตมา เอาแผ่นอะคูสติกสำหรับซับเสียงไปติด อาตมาถามแล้วถามอีกว่าขึ้นราหรือเปล่า ? เขาก็ยืนยันว่าไม่ขึ้น ตอนนี้ขึ้นราทุกแผ่น กำลังจะแก้ไขด้วยการถอดไปที่บริษัท แล้วก็ใช้น้ำยากำจัดเชื้อรา แต่คาดว่าคงต้องรอให้หลังงานวันแม่ไปก่อน เชื้อราคงจะงอกงามได้อีกเยอะ

ที่ทองผาภูมิความชื้นสูงมาก อาตมาไปทองผาภูมิปีแรก ฝนตกตั้งแต่วันที่ ๑๒ มิถุนายน ไปหยุดเอาวันที่ ๒๐ ตุลาคม ตกตลอดไม่มีหยุดเลย ตกทั้งวันทั้งคืน ๆ พื้นไม่แห้งยังไม่พอ ผ้าก็ไม่แห้งด้วย ซักไปตากก็ไม่แห้ง"

เถรี 13-08-2015 12:29

ถาม : คนข้างบ้านเขาหาเรื่อง ไม่ยอมเลิกรา พอจะมีวิธีทำให้เขาเลิกยุ่งไหมครับ ?
ตอบ : เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ท่องเข้าไปสิวะ เกิดอะไรขึ้นก็เรื่องของเขาแล้ว เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว

เถรี 13-08-2015 12:34

ถาม : ถ้าเราปรามาสพระรัตนตรัย ขอขมาต่อพระพุทธรูปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..เพราะว่าถ้าเราล่วงเกินพระสงฆ์แล้วเราไปขอขมาโดยตรงกับท่าน ก็ยังต้องไปขอขมากับพระพุทธอีก

เถรี 13-08-2015 12:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้คณะสงฆ์นัดไปสักการะพระผู้ใหญ่ในจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาก็ไม่ได้ไป การทำวัตรพระเถระ บางคนก็เรียกว่า ทำสามีจิกรรม บางคนก็ว่า ถวายสักการะพระเถระ แต่เดิมเป็นการที่ลูกศิษย์เมื่อเข้าพรรษาไปกราบรายงานตัวต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ว่าปีนี้จำพรรษาอยู่ที่ไหน ? อยู่กับใคร ? เพื่อที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะได้รับรู้เอาไว้ ถึงเวลามีอะไรลำบาก มาขอความช่วยเหลือ จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน อีกอย่างหนึ่ง จะได้ทราบว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ไปมาหาสู่ ศึกษาเล่าเรียนก็จะได้สะดวกขึ้น

ตอนหลังนิยมเพิ่มเติมพระมหาเถระที่เป็นเจ้าคณะปกครองเข้าไปด้วย แล้วก็เลยกลายเป็นอย่างปัจจุบันนี้ พอถึงเวลาลูกคณะก็ต้องไปสักการะเจ้าคณะของตนเอง ก็เลยมีการนัดแนะวันเวลาเพื่อให้พร้อมเพรียงกัน ถ้าต่างจังหวัดไกล ๆ เหนือสุดใต้สุด บางทีถึงขนาดต้องขอสัตตาหะฯ เพื่อที่จะมาทำวัตรครูบาอาจารย์หรือพระเถระฝ่ายปกครอง ถามว่ากรณีอย่างนี้ขอสัตตาหกรณียะตามพุทธานุญาตได้หรือไม่ ?

สัตตาหกรณียะ ก็คือ ถ้ามีเหตุจำเป็นในช่วงเข้าพรรษาสามารถที่จะไปที่อื่นได้ แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ว่า ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย ไปเพื่อช่วยรักษาพยาบาลได้อย่างพระครูไพศาลสุตาคม วัดดอนแก้ว ไปดูแลแม่ที่เป็นอัมพาต เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อช่วยห้ามปรามได้ วัดพังไปหาทัพพสัมภาระมาเพื่อซ่อมวัดได้ สมัยนี้ยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียว ร้านวัสดุก็มาส่งแล้ว ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธาได้ การมาบ้านวิริยบารมีนี้ถือว่ามาเพื่อเจริญศรัทธาให้ญาติโยม

คราวนี้ไม่มีกรณีว่าไปสักการะพระผู้ใหญ่ ถามว่าทำไมไปกันได้ ? ท่านบอกว่าต้องพิจารณาจากมหาปเทส ๔ ก็คือข้ออ้างในการตีความพระธรรมวินัย ตีความพระธรรมวินัยในมหาปเทสท่านมีหลักอยู่ ๔ ประการ มีอยู่ประการหนึ่งคือ เรื่องที่ไม่สมควรแต่พิจารณาแล้วว่าสมควร เรื่องนั้นย่อมสมควร คำว่า ไม่สมควร ในที่นี้เราถือว่าไม่ได้บัญญัติไว้ ในเมื่อพระองค์ท่านไม่ได้บัญญัติไว้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่พิจารณาดูแล้วว่า การไปสักการะพระอุปัชฌาย์อาจารย์ตลอดจนพระเถระเจ้าคณะปกครอง เป็นการทำสามีจิกรรมตามแบบของกิจวัตร วิธีวัตร อุปัชฌาย์อาจาริยวัตร ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สัตตาหะฯ กันไปได้

การตีความต้องดูว่าเป็นไปตามหลักมหาปเทสจริง ๆ ไม่ใช่ตีความเข้าข้างตัวเอง ในปัจจุบันนี้ที่อาตมาเห็นว่าไม่ได้บัญญัติไว้ แต่ถึงเวลาแล้วสมควรไปได้ อย่างเช่นว่า พระท่านไปศึกษาเล่าเรียน เดินทางไปไกลจะให้ไปกลับก็ไม่ไหว บางทีต้องไปค้าง แล้วก็เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านไม่สามารถบอกได้ว่าต้องรอออกพรรษาแล้วค่อยป่วย ในเมื่อป่วยก็ต้องไปโรงพยาบาล อาการหนักหมอต้องให้นอนโรงพยาบาลเลย เรื่องเหล่านี้ถือว่าไม่สมควรเพราะไม่ได้บัญญัติไว้ แต่พิจารณาแล้วถือว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร

อย่างบางท่านที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามเรื่องเฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ก็น่าจะสูบได้ อันนั้นเห็นชัด ๆ ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร เรื่องนั้นย่อมไม่สมควร"

เถรี 13-08-2015 20:07

"เรื่องของบุหรี่แต่ดั้งแต่เดิมมา ต้องบอกว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ปู่ย่าตายายเราถวายพระเป็นปกติ ในเมื่อถวายเป็นปกติก็แสดงว่าไม่ใช่โลกวัชชะ คือโลกไม่ได้ติเตียน แต่พอมาระยะหลัง วิทยาการสมัยใหม่ทำให้เขารู้ว่าบุหรี่เป็นต้นเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยมาก ก็เลยมีการรณรงค์กันว่าห้ามสูบบุหรี่ โดยเฉพาะตอนนี้พื้นที่หลายส่วน เช่น สวนสาธารณะก็ดี โรงภาพยนตร์ก็ดี รวมทั้งวัดวาอารามด้วย เป็นสถานที่ห้ามสูบบุรี่โดยอัตโนมัติ พระเณรเราจึงควรที่จะพยายามเลิกให้ได้ ที่ลงทุนไปมากแล้วเลิกไม่ได้ก็หลบ ๆ ไปสูบคนเดียวในห้องตัวเอง จะได้นั่งดมเองให้สะใจ"

ถาม : บุหรี่ไม่ถือว่าเป็นสารเสพติดหรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาไม่ถือเป็นสารเสพติด ในเมื่อชาวบ้านเขาถวาย พระก็ฉลองศรัทธาไปเรื่อย ไม่ว่าจะบุหรี่ ไม่ว่าจะหมาก ไม่ว่าจะยานัตถุ์

ถาม : กาแฟละครับ ?
ตอบ : รอดูว่าเขาจะหาเจอหรือเปล่าว่ากาแฟทำให้เกิดโรคร้าย ถ้าเจอเดี๋ยวก็รณรงค์กันต่อไป

ถาม : กาแฟทำให้ติด ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยเสพ เลยไม่รู้ว่าติดหรือเปล่า ? บางทีขึ้นอยู่กับคน เพราะว่าสมัยก่อนอาตมาทำงานเป็นช่างสี พ่นสีรถแต่ละคันกว่าจะเสร็จ ๒ ชั่วโมงครึ่งถึง ๓ ชั่วโมง เมาน้ำลายยืดทุกครั้ง ทำอยู่ตั้งหลายปีไม่เห็นจะติด แต่พวกดมทินเนอร์ดันติด เดี๋ยวก็มา “พี่ ๆ ขอซื้อ ๒ บาท” เอาสำลีมาให้อาตมาเทให้ จนรำคาญยกให้ไปขวดหนึ่ง “มึงเอาไปเลย” “ไม่เอาพี่ เดี๋ยวอดใจไม่ได้..ตาย” กลัวตายแล้วเสือกจะดม..! ก็เลยสงสัยว่าตกลงว่าติดเพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็น่าติด ทำงานเป็นอาชีพเลย แต่ปรากฏว่าไม่เห็นจะติดอะไร

อีกคน ก็คือ พระครูแสง พระน้องชาย ไอ้นั่นเหล้าก็กิน เบียร์ก็กิน บุหรี่ก็สูบ กัญชาก็เล่น เอาทุกอย่าง พอถึงเวลาจะเลิกก็เลิกโครมเดียวเลย ไม่เห็นจะไปติดไปอะไร ก็ไม่เห็นจะลงแดงกับใคร บางทีคิดว่าอยู่ที่กำลังใจคน ในเมื่อสำคัญที่กำลังใจ ตกลงว่าสารเสพติดนี่เขาวัดกันตรงไหน ? ถ้าวัดตรงคนติด แล้วทำไมบางคนไม่ติด ?

เถรี 13-08-2015 20:17

ถาม : น้ำปานะ ๘ อย่าง ที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ?
ตอบ : ตอนหลังท่านมีอนุญาตเพิ่มเติมว่า ผลไม้อื่นนอกจากมหาผล คราวนี้มหาผลนั้น อรรถกถาจารย์ท่านว่าห้ามโตเกินกว่าลูกมะตูม ก็แปลว่าทุกอย่างนั่นแหละ เพียงแต่เรื่องปานะนั้นมีข้อห้ามอยู่หลายอย่าง อย่างแรก ก็คือ ค้างคืนไม่ได้ อย่างที่ ๒ ก็คือ ห้ามทำให้สุก เหตุที่ห้ามทำให้สุกคิดว่า คงเพราะความร้อนเข้าไปทำลายวิตามินหมด พระพุทธเจ้าท่านทราบท่านก็เลยห้าม แปลว่าต้องคั้นกันสด ๆ

ถาม : น้ำเฮลซ์บลูบอย ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..จัดอยู่ในประเภทน้ำตาล ท่านอนุญาตน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใส เนยข้น จัดอยู่ในพวกน้ำอ้อยน้ำตาล

เถรี 13-08-2015 20:24

ถาม : น้ำผลไม้พาสเจอร์ไรส์จัดเป็นน้ำปานะหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ดูดี ๆ พระโดนอาบัติมาเยอะแล้ว เพราะน้ำผลไม้ปัจจุบัน มักง่าย ใช้น้ำผลไม้ที่หาง่ายแล้วราคาถูกอย่างสับปะรดซึ่งเป็นมหาผล ถึงเวลาพระจะฉันแต่ละทีต้องพลิกดูข้างกล่อง บางทีใส่ไป ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะสับปะรดหาง่าย ราคาถูก คั้นน้ำได้เยอะ

ถาม : ทำไมมหาผล พระพุทธเจ้าจึงห้าม ?
ตอบ : วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาไปพิสูจน์ทราบแล้วว่า มหาผลมีฮอร์โมนเยอะ กินแล้วคึก..! พระพุทธเจ้าท่านห้ามมา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว เริ่มจากน้ำมะพร้าวก่อนเลย

ถาม : แล้วพวกน้ำผัก ?
ตอบ : ผักเป็นอาหาร อะไรที่เป็นอาหาร ท่านบอกว่าถึงทำเป็นปานะแล้วก็ไม่ควร

ถาม : น้ำข้าวบรรจุกล่องก็ไม่ได้ ?
ตอบ : อาหารอย่างประเภทพวกข้าว พวกถั่ว พวกงานี่เต็ม ๆ เลย ธัญพืชคือพืชที่เป็นอาหาร

ถาม : ยาคูถือว่าเป็นอาหาร ?
ตอบ : ชื่อว่ายา แต่มาจากภาษาบาลี ยาคูแปลว่าข้าวต้ม แล้วเราก็ดันไปได้ยินคำว่ายา เราก็เอาเป็นยา ขืนฉันเข้าก็ซวย..!

ถาม : ควรจะถวายก่อนเพลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยจะได้มีเวลาใช้ไปในระหว่างวัน ไม่ต้องไปเดือดร้อนตอนกลางคืน ไม่ใช่ถึงเวลาจะนั่งกรรมฐานหรือจะนอนภาวนา ดันคึกตลอดเวลาจนทำอะไรไม่ถูก

เถรี 13-08-2015 20:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "การบอกบุญเรี่ยไรของพระต้องมีหนังสืออนุญาต ถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ นอกจากมีหนังสืออนุญาตของเจ้าคณะปกครองแล้ว ยังต้องมีหนังสืออนุญาตของตำรวจท้องที่ด้วย ถ้าไม่มีหนังสืออนุญาตของตำรวจท้องที่ อนุโลมว่าอย่างน้อยต้องมีหนังสืออนุญาตของเจ้าคณะปกครอง

ถ้าเจ้าคณะตำบลอนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะตำบลนั้น เจ้าคณะอำเภออนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะอำเภอนั้น เจ้าคณะจังหวัดอนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะจังหวัดนั้น เจ้าคณะภาคอนุญาต..เรี่ยไรได้เฉพาะเขตภาคนั้น ไม่สามารถที่จะไปเกินอำนาจของผู้อนุญาตได้ ถ้าของที่อื่นข้ามมากรุงเทพฯ ไม่น่าจะใช่ เพราะฉะนั้น..พระแจ้งวินยาธิการให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย

แบบเดียวกับที่เขาไปชนตอที่วัดท่าขนุน มีหนังสือขอความร่วมมือจากเจ้าคณะตำบล... มีนามบัตรเสร็จสรรพเรียบร้อย มาขอเทียนพรรษา เดี๋ยวนี้เทียนพรรษาราคาแพงมาก ขี้ผึ้งกิโลหนึ่งหลายสตางค์ ขนาดเศษขี้ผึ้งยังกิโลกรัมละ ๓๐ กว่าบาท อาตมาสงสัยจึงโทรศัพท์ถามเพื่อน ก็เรียนมาด้วยกันนี่ เขาก็บอก “เฮ้ย...เปล่านะ อะไรจะไปไกลขนาดนั้น ผมเป็นเจ้าคณะตำบล มีสิทธิ์ขอได้เฉพาะในตำบลตัวเองเท่านั้น” นี่ไปถึงทองผาภูมิ ทั้งนามบัตร ทั้งหนังสือทุกอย่าง จัดการทำมาเองเสร็จสรรพหมดเลย

ส่วนใหญ่เขาเอาเทียนไปขายกัน จะว่าไปแล้วกรุงเทพฯ นี่แหละเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ถึงเวลาได้ผ้าไตรจีวร ได้เครื่องสังฆทานมา เรียกเข้ามาขนไปเป็นคันรถ สมัยที่ผมอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันนั่นแหละ เห็นเขาขายกันบ่อย ผมเห็นหลวงปู่ท่านทำท่าแปลก ๆ เหมือนกัน คือท่านเองไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าจะห้ามเขาอย่างไร"

เถรี 14-08-2015 10:43

ถาม : ในระหว่างวัน มีจังหวะหนึ่งที่เรารู้สึกว่าแยกตัวออกมาจากคนข้าง ๆ หรือสภาพแวดล้อมที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ จังหวะนั้นจะมีความรู้สึกสงบเย็นแบบหนึ่ง เป็นพักเดียวก็กลับมามีอาการกังวลข้างในลึก ๆ ค่ะ ตกลงว่าดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ดี สงบได้แค่ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นก็พอแล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:57


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว