กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3340)

เถรี 15-05-2012 17:05

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕
 
พระอาจารย์กล่าวถึงการบวชของแม่ชีเคิ่ลว่า "แสดงว่าเขากำลังใจบ้าพอ จึงตัดสินใจบวช แบบเดียวกับสมัยที่อาตมาจะบวช พออายุครบ ๒๐ ปี แม่ก็รบเร้าเช้าเย็น "บวชทีเถอะลูก บวชให้แม่หน่อย" อาตมาก็กลัวลงนรก ไม่ยอมบวช ผลัดไปเรื่อย ๆ

พอถึงเวลาจะบวชขึ้นมา แม่ถามขึ้นมาว่า "ถ้าเอ็งบวช แล้วข้าจะอยู่กับใคร ?" เห็นลีลาของมารเขาไหม ? บอกแล้วว่ามารเขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ขวางทางเราอยู่ตลอด คนที่เรารักมากที่สุด จะทำให้เราสะเทือนใจได้มากที่สุด ช่วงนั้นอาตมาดูแลแม่ต่อเนื่องอยู่หลายปี พี่ ๆ คนอื่นมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว เขาก็ยกแม่ให้อาตมารับเป็นภาระ

อาตมาบอกแม่ไปว่า "ลูกแม่มีอยู่เป็นโหล ถ้าอยู่กับใครไม่ได้ ก็ยอมตายเสียเถอะ..!" ถ้าไม่บ้าพอแบบนั้นก็ตัดใจไม่ได้

เถรี 15-05-2012 17:27

พระอาจารย์พูดถึงพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชว่า "อาตมายังไม่เคยเจอวัตถุมงคลอะไรที่ทำยากเย็นขนาดนี้มาก่อน มีแต่สารพันปัญหา ยังโชคดีที่หลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ท่านเมตตาดาหน้าเข้ารับไว้แทนหมดทุกอย่าง อาตมามีหน้าที่จ่ายเงินเท่านั้น เจอหน้ากันแต่ละครั้งท่านจะระบายน้ำไหลไฟดับ "ช่างเคยทำมาก่อนแท้ ๆ สั่งให้ทำใหม่ ก็ยังทำผิดอีก ต้องไปคอยคุมคอยจี้ทีละเล่ม"

สำหรับฝักพระขรรค์ต้องเปลี่ยนเป็นไม้สักทอง ไม้สักทองนี่ใช้ไม้กระดานเก่าได้ เพราะไม้กระดานเก่าจะไม่ยืดไม่หดแล้ว ขนาดไม้สักทองที่เกาะพระฤๅษีเป็นไม้บ้านเก่านะ ยังมีการยืดหดอยู่เลย เพราะว่าไม้มีขนาดใหญ่ ส่วนที่ยืดขยายหรือหดตัวจึงมีสูง"

เถรี 15-05-2012 17:37

"บ้านที่อาตมาอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็ก ๆ มีคนเขามาขอซื้อไปทั้งหลัง เพราะว่าต้นเสากับคานบนเป็นไม้มะเกลือเลือด ไม้มะเกลือเลือดมีความแข็งขนาดผึ่งถากไม่เข้า เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักหรอกว่า "ผึ่ง" หน้าตาเป็นอย่างไร ลองนึกถึงขวาน แต่เป็นขวานแบบด้ามจอบ ใช้ถากไม้



โบราณเขาบอกว่า "มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย" ปกติข้าวเหนียวต้องนึ่งนะ คนที่จะหุงข้าวเหนียวได้ต้องเป็นสุดยอดฝีมือเลย ส่วนถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือ ถากไม้เสียเรียบกริบเลย ดังนั้น..มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็ปลื้มใจ คุยไปได้ตลอดชาติ

รู้จักกล่อมเสาไหม ? กล่อมเสา ก็คือ ค่อย ๆ ถากเสาไม้จนกลม ภาษาพวกนี้เลยรุ่นพวกเราไปแล้วจะมีใครรู้หรือเปล่า ?"

เถรี 16-05-2012 09:26

พระอาจารย์กล่าวว่า"เมื่อวานอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “เครื่องรางนอกตำรา” เขากล่าวถึงเครื่องรางอาถรรพ์หลายประเภท อย่างแมลงทับปรอท ถ้าหากว่าตอนเด็ก ๆ ใครเคยเล่นแมลงทับ จะรู้ว่าพอแมลงทับไข่ได้ไม่นานก็จะตาย เด็กสมัยก่อนจะเล่นพวกแมลงทับ แมลงกว่างกันเป็นปกติ พอเขย่าต้นไม้แมลงพวกนี้ก็ร่วงกราว ถ้าจับช้าก็จะบินหนี ตัวไหนตกใจก็จะทิ้งตัวลงมาแกล้งนอนตายอยู่กับพื้น ให้คนไม่สนใจ

สมัยเด็ก ๆ อาตมาเอาแมลงทับใส่กระเป๋ากางเกงไว้ แล้วก็เด็ดยอดมะขามเทศอ่อนใส่ไป ๓ - ๔ ยอดให้กิน ไม่นานแมลงทับก็ไข่ในกระเป๋า พอไข่ได้ไม่นานก็ตาย เขาบอกว่าจะทำแมลงทับปรอท ต้องหาแมลงทับที่ตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘..หายากนะ..เพราะบางทีไม่ใช่ฤดูของแมลงทับ

เครื่องรางที่เขากล่าวถึงก็มีแมลงทับปรอท พญาสิงขร เขี้ยวเสือไฟ เขาทำได้เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนมีความอดทนสูง บางทีทั้งชีวิตทำเครื่องรางชิ้นเดียว สมัยนั้นเขาถือว่าเป็นของคู่ตัว นอกจากนี้มีลูกกลอนสมิง เกิดจากชานหมากว่านยาหลายอย่างผสมรวมกัน เสกด้วยคาถาอาคม มีไว้เพื่อป้องกันเสืออย่างเดียว

อย่างพญาสิงขร ต้องเอางาช้างที่ล้มเองมาแกะสลักเป็นรูปเสือ รูปสิงห์ก็ได้ แล้วก็ทำพิธีปลุกเสกตามแบบเขา ป้องกันอันตรายในป่าได้ทุกชนิด

อย่างสมัยพระร่วงมีเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอมเป็นของคู่บารมี ส่วนพวกลูกทะเลเขาใช้กระเบนท้องน้ำ หรือไม่ก็ฟันปลาฉลามเป็นเครื่องราง ยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งดี

อยากจะเชื่อว่าของที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์เหล่านี้ยังมีกลิ่นจำเพาะตัวอยู่ พอพวกสัตว์ได้กลิ่นก็รู้ว่าไอ้ตัวมหึมานี่ดุกว่าแน่ จึงไม่ไปยุ่งด้วย"

เถรี 16-05-2012 10:17

ถาม : อย่างงาช้างน้ำ ที่ใส่ในยาจินดามณี ยังพอหาได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปหา เป็นเรื่องของบุญใครบุญมัน อาตมาว่าจะลองทำยาจินดามณีดูสักครั้ง เพราะตำรายาจินดามณีไม่ใช่ของหวงห้าม มีเป็นสาธารณะเลย เพียงแต่ว่าส่วนประกอบบางคนเขาไม่รู้จัก

สมัยอาตมาอยู่เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นมีผักคราดเป็นตันเลย ต้องคอยถลกทิ้ง เครื่องยาผงจินดามณีประกอบด้วย ดอกคราด ดอกจันทร์ เกสรบัวหลวง (ถ้าได้บัวหลวงแฝดยิ่งดี) น้ำผึ้งรวง น้ำมะเขือขื่น ฯลฯ

พวกเราคงไม่รู้จักแล้วว่ามะเขือขื่นกับมะเขือเปราะแตกต่างกันอย่างไร ? เอาแค่ว่าเจอมะอึกก็ไม่กล้ากินแล้ว มะอึกลูกเป็นขน ๆ พอเราเห็นก็ไม่กล้ากิน หารู้ไม่ว่านั่นสุดยอดแล้ว ตำน้ำพริกอร่อยสุดยอดเลย

ถาม : ยาจินดามณี ไว้ใช้กันตาย ไม่ใช่รักษาโรค ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : สามารถถอนคุณไสยได้ ถ้าบูชาติดตัว อธิษฐานป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ ที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้าคนยังไม่ถึงอายุขัย ป่วยหนักขนาดไหนก็รักษาได้ เพียงแต่ว่ากลิ่นของยาแรง อาตมาเคยพกแล้วเผลอทิ้งไว้ในห้อง กลิ่นยาตลบอวลทั้งห้องเลย ถ้าคนที่ไม่คุ้นจะว่ากลิ่นอะไรแปลก ๆ

อาตมาอยากได้สูตรยาจินดามณีที่ผสมแล้วแช่น้ำได้ จะได้ให้เขาทำน้ำมนต์ได้ แต่สูตรผสมแบบนี้ไม่แน่ใจว่าเวลาแช่น้ำแล้วตัวน้ำยาประสานจะเป็นพิษหรือเปล่า ?

เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักผักคราดเพราะไม่เคยกิน เด็กรุ่นเก่านี่ปวดฟันเมื่อไรก็วิ่งหาผักคราด เอามาเคี้ยว ๆ แล้วอุดรูฟันไว้ พักเดียวก็หายปวดแล้ว กินเป็นยาชาได้ กินมาก ๆ นี่ลิ้นชาหมด ที่หายากหน่อยก็ดอกจันทร์ ต้องสั่งร้านขายสมุนไพรโดยเฉพาะ เกสรบัวหลวงกับดอกจันทร์นี่สั่งร้านสมุนไพรได้เลย แต่ถ้าเป็นบัวแฝดต้องไปเก็บเอง เพราะเกิดยาก คนรู้คงเอาไปหมด เขาถือเป็นมหาเสน่ห์เลย

แก้วปัทมราชยิ่งหายากที่สุด แก้วปัทมราชถือว่าเป็นคดชนิดหนึ่ง คือเม็ดบัวที่กลายเป็นหิน

เถรี 16-05-2012 10:43

แก้วกัทลีก็เหมือนกัน เป็นแก้วหรือหินที่เกิดในหัวปลี ในชีวิตอาตมาเจอเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เจอเองหรอก คนอื่นได้มาแล้วเอามาอวด

สมัยก่อนพวกหนุ่ม ๆ ชอบศึกษาวิชาอาคม เขามีวิชาเลี้ยงกล้วยตานี เลี้ยงกล้วยตานีแล้วจะได้เมียผี เขาใช้วิธีไปขอหน่อกล้วยจากต้นแม่ เอาพวกเครื่องแต่งตัว ของหอม ผ้าสไบ เครื่องไหว้ไป ต้องเลือกคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเที่ยงคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แล้วจุดธูป ๙ ดอก "แม่จ๋า..ฉันเอาสินสอดมาขอลูกสาวแม่ จะเลี้ยงดูให้ดี ไม่ทิ้งไม่ขว้าง ขอแม่ยกให้ฉันด้วยนะจ๊ะ" แล้วขุดหน่อกล้วยไป ต้องเรียกเขาไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะ ให้ไปด้วยกัน เกลี้ยกล่อมเหมือนคุยกับสาวเลย

เอาหน่อไปปลูกไว้ รดน้ำพรวนดินให้ดี คิดดูก็สยองแล้ว ขึ้น ๑๕ ค่ำตอนกลางคืน ดงกล้วยก็มืด ๆ ใบกล้วยไหวแสกสาก คนกำลังใจไม่มั่นคงจริง ๆ ไม่มีใครเขากล้าทำหรอก แต่ผีตานีขี้หึงทุกตัว อย่าเผลอไปมองสาวอื่นเชียวนะ สถานเบาผีก็เล่นงานแค่สาวคนนั้น ถ้าสถานหนักก็จัดการผัวด้วย..!

สำหรับรายนั้นเขาทดลองเลี้ยงผีตานีไว้เฉย ๆ ไม่ได้เอาเป็นเมียเหมือนคนอื่น จนกระทั่งถึงระยะหนึ่งผีบอกว่าต้องไปจุติแล้ว ก่อนไปเขาจะทิ้งของดีไว้ให้ ลองไปหาดู พอรุ่งขึ้นเขาไปดู ปรากฏว่าเห็นกล้วยออกปลี ที่อื่นก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เขาก็เลยตัดปลีออกมาผ่าดู เห็นแก้วอยู่ข้างใน ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ไร่คนอื่นโดนเพลี้ยลง โดนลิงลง ช้างลง ลุยไร่เละเทะหมด แต่ไร่ของแกไม่เคยโดนอะไรเลย

ของอย่างนี้บางทีก็อยู่ในลักษณะบุญใครบุญมัน บางคนได้ของพวกนี้มาก็ไม่รู้คุณค่า อย่างไข่แก้วงูจงอาง ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ราชบุรีหรือเพชรบุรี เขาเป็นพ่อค้ารับซื้อของป่า ชาวบ้านเอาหวาย เอาบอระเพ็ด เอาน้ำผึ้งมาขายให้แกเป็นประจำ วันนั้นพอชาวบ้านปลดกระสอบลงจากบ่า ไข่งูก็หล่นลงมา เขาก็หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นหิน แต่ยังมีเงาของลูกงูเห็นราง ๆ อยู่ข้างใน

เขาถามชาวบ้านคนนั้นว่าได้มาจากไหน ? ชาวบ้านเล่าว่าเขาเดินออกจากป่ามา เห็นงูจงอางใหญ่ตายเน่าแล้ว แต่แปลกใจที่เห็นแสงอะไรวูบวาบ พอเข้าไปดูปรากฏว่างูอมไข่อยู่ ก็เลยเอาไข่งูมา เขาถามชาวบ้านว่าจะขายไหม ? ชาวบ้านตกลงขาย "ถ้าเถ้าแก่จะเอา ผมขอห้าร้อย" ทั้ง ๆ ที่เถ้าแก่รู้ว่าของมีค่า แต่ก็ยังไปต่อราคาเหลือ ๓๐๐ บาท สมควรตายจริง ๆ..!

จากนั้นเขาก็เอามาลงประกาศในหนังสือพิมพ์ขาย ๗ ล้านบาท..! ถ้าเป็นอาตมาขายได้ ๗ ล้านบาท ก็แบ่งให้ชาวบ้านไป ๑ ล้านบาทเลย นี่ยังอุตส่าห์ไปต่อเขาเหลือแค่ ๓๐๐ บาท

เถรี 16-05-2012 11:18

บางคนได้มาแล้วไม่มีบุญที่จะเก็บไว้ แบบเดียวกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไท ชาวบ้านสั่งผัดไทใส่ไข่ พอแม่ค้าเคาะไข่เทลงไปมีเสียงดังโป๊ก..! ไข่แดงกลายเป็นหิน..! เขาก็เลยเอาตะหลิวตักขึ้นมาดู แล้วก็วางไว้ แต่คนสั่งผัดไทเขารู้จักของ “เจ๊ ๆ แปลกดี ขอผมเถอะ” แม่ค้าก็ให้ไป ตัวเองมีของดีอยู่แท้ ๆ แต่ไม่รู้จัก ไปให้เขาได้

ไข่ไก่ใบนั้นมีหินอยู่ข้างใน มีไข่แดงเป็นหิน แต่ไข่ที่อาตมาได้มาเป็นหินทั้งลูก ลูกเล็ก ๆ ประมาณนิ้วก้อย ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็คือ แคลเซียมของเปลือกไข่รวมตัวเป็นเปลือกไข่อย่างเดียว ไม่มีไข่แดง

อาตมาได้ไข่นี้มาจากเกาะพระฤๅษี ตอนนั้นลูกไก่ป่า ๒ ครอก เกิดวันเสาร์ ๕ พอดี ญาติโยมไปร่วมงานบวงสรวงหลายคน เขาไปเล่นกับลูกไก่ พอเลิกงานแล้วคนกลับหมด ตกเย็นอาตมาก็ไปดู เห็นว่าโยมไม่ได้เก็บพวกเปลือกไข่ออก อาตมาจึงไปเก็บเปลือกไข่ออกแล้วก็เจอไข่หินนี้ หลังจากได้ไข่ใบนั้นมา บรรดาของแปลก ๆ ก็ไหลมาเทมา เหมือนกับว่าเขาหาพวก เรียกพวกมา ของเหล่านี้พวกไสยศาสตร์ชอบ จะมีอำนาจขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพองูจงอางคาบไข่แก้วชูขึ้นมา ขนาดฝนยังไม่กล้าตกเลย

เถรี 16-05-2012 11:25

ตอนที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีแรก ๆ มีงูจงอางใหญ่ลงมาแช่น้ำในลำห้วยเป็นประจำ ตัวโตดำเมื่อมเลย น่าจะใหญ่กว่าท่อนแขน ยาวสัก ๓ - ๔ เมตรได้ ปีนั้นพอถึงหน้าฝน แต่ฝนกลับไม่ลง ถึงเดือน ๖ แล้วฝนยังไม่ลง เมฆมืดมา ฟ้าร้องครืน ๆ แต่ฝนกลับไม่ลง ก็ได้แต่แปลกใจว่า ทำไมอากาศร้อนทรมานอบอ้าวขนาดนี้เป็นเดือน ๆ ฝนกลับไม่ลง

ตอนกลางคืนเดินไปที่หน่วยป่าไม้ คุยกับผู้ช่วยป่าไม้ ผู้ช่วยเขาบอกว่า “อาจารย์..นั่นเสียงอะไร ได้ยินมาหลายวันแล้ว เสียงอย่างกับแม่ไก่ครางเวลาฟักไข่” อาตมาลองฟังดู พอได้ยินก็บอกว่า " รู้ไหมว่าจงอางฟักไข่ ? จงอางฟักไข่มักจะร้องครางเหมือนแม่ไก่เลย" ผู้ช่วยบอกว่า "มิน่า..ฝนไม่ลงสักที ต้องรอให้ไข่ออกเป็นตัวก่อน"

พวกนี้เป็น กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถ้าฝนลงก่อนเดี๋ยวไข่เน่าหมด ไม่ทันออกเป็นตัว งูก็ต้องหาวิธีป้องกันไข่ วิธีที่จะป้องกันไข่ของตนก็คือขู่ฟ้า ดังนั้น..ไข่แก้วของงูจงอางน่าจะมีอานุภาพครอบจักรวาล โดยเฉพาะอยู่ในป่าคงไม่ต้องกลัวอันตรายอะไร เหมือนกับมีองครักษ์ชั้นดีไปด้วย สัตว์อื่นได้กลิ่นก็หนีเตลิดเปิดเปิงแล้ว

เถรี 17-05-2012 11:13

พระอาจารย์กล่าวถึงบันทึกผจญกรรมว่า "เรื่องของกรรมนี่น่ากลัวจริง ๆ สมัยอาตมาเกิดเป็นสัตว์ ระยะเวลาห่างไกลจากปัจจุบันจนประมาณไม่ถูก แต่กรรมก็ยังอุตส่าห์ตามมาทันได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่กรรมหนัก เพราะสัญชาตญาณของสัตว์ โดยความมืดบอดของเขา เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์กินเนื้อย่อมต้องกินสัตว์อื่นเป็นปกติ ไม่ได้ฆ่าโดยความโกรธแค้นเป็นส่วนตัว แต่ฆ่าเพราะต้องการอาหาร ในเมื่อไม่มีความโกรธ โทษของกรรมก็น้อย กว่ากรรมนั้นจะตามมาทัน จึงนานจนนับเวลาไม่ได้เลย ในผจญกรรมยังมีตอนต่อไปอีก ยังมีชาติที่เกิดเป็นหมูป่าด้วย"

ถาม : ทำไมจึงเขียนให้สัตว์ในเรื่องมีวิธีการคิดเหมือนคน ?
ตอบ : เพราะสัตว์มีความรู้สึกเหมือนคน มีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนหมด ตอนที่เกิดเป็นหมูป่าถึงขนาดวางแผนฆ่าเสือเป็นฉาก ๆ เลย เป็นสัตว์แต่ร่าง แต่ความคิดเหมือนคนหมด รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนคนหมด แต่มีดีอยู่แค่ว่าไม่สะสม มีเท่าไรกินเท่านั้น วันรุ่งขึ้นค่อยไปหากินใหม่ ถ้ายังมีของเก่าอยู่ก็กินของเก่าต่อไป

เถรี 17-05-2012 11:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในอัคคัญญสูตรพระพุทธเจ้าตรัสถึงการกำเนิดโลก การกำเนิดสิ่งของมีชีวิต ทรงตรัสกับวาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณร จริง ๆ แล้วสองท่านนี้ไม่ใช่เด็ก เป็นอาจารย์ใหญ่สอนไตรเพท พอได้ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าแล้วเลื่อมใสขอบวช เนื่องจากว่าเป็นคนนอกศาสนา ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๙ เดือน ทั้งสองจึงบวชเป็นสามเณรก่อน ด้วยความที่เป็นอาจารย์ใหญ่มาก่อน ปัญหาแต่ละอย่างของท่านจึงลึกซึ้ง

พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสถึงกำเนิดโลกว่า มนุษย์เกิดมาจากอาภัสราพรหมที่ลงมากินง้วนดิน เนื่องจากไฟบรรลัยกัลป์ไหม้แล้วฝนใหญ่ตกทับ ทำให้ง้วนดินนั้นมีกลิ่นหอมมาก ขนาดอาภัสราพรหมได้กลิ่นยังทนไม่ได้ต้องลงมาชิม พออาภัสราพรหมกินของหยาบเข้าไปกายทิพย์ก็เลยหยาบขึ้น เมื่อกายทิพย์หยาบขึ้นรัศมีก็หายไป จึงได้เกิดพระอาทิตย์พระจันทร์ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ไม่รู้จะไปอย่างไรเพราะมีแต่ความมืด

พอกินไป ๆ ง้วนดินหมด เกิดเป็นเถาดิน เถาดินหมดก็เกิดเครือดิน กินไปเรื่อย ๆ ร่างกายหยาบขึ้น เพศปรากฏขึ้น เมื่อเพศปรากฏขึ้น ต่างฝ่ายต่างมองนิมิตของอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความสนใจ ไปจับ ๆ คลำ ๆ เข้าก็เกิดความกำหนัด จึงเสพเมถุนมีลูกมีหลานสืบตระกูลกันมา

ช่วงแรก ๆ การทำมาหากินไม่ลำบาก เพราะมีข้าวสาลีรวงโต ๆ ไม่ต้องไถ เป็นเมล็ดข้าวสารออกจากรวง ไม่มีเปลือก ขาวสะอาด ไปรูดมาหุงกินได้เลย ต่อมาด้วยความขี้เกียจของคนผู้หนึ่ง ขี้เกียจไปเก็บข้าวบ่อย ๆ จึงนำมาตุนไว้ แล้วชักชวนคนผู้อื่นให้ทำแบบนี้บ้าง ด้วยกรรมที่กระทำนี้ทำให้เปลือกข้าวเกิดมาห่อหุ้มเมล็ดข้าว ก็เลยลำบากคนรุ่นหลังต้องมาตำข้าวสีข้าวกันอีก"

เถรี 17-05-2012 11:52

"พอผู้อื่นผ่านมาเห็นบุคคลเสพเมถุนธรรมกันเข้า ก็เอาฝุ่นโรยใส่บ้าง ถ่มน้ำลายใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับว่าคนชาติชั่ว จงฉิบหาย เขาก็เลยต้องไปสร้างบ้านเรือนขึ้นมา เพื่อที่จะได้ไม่ให้คนอื่นเห็นการกระทำของตนเอง

เมื่อมีบ้านขึ้นมา ก็มีการกำหนดว่าเขตนั้นเป็นของฉัน เขตนี้เป็นของเธอ เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือกัน ท้ายสุดก็มีคนมาห้ามปราม มาชี้แนะ ว่าใครควรจะได้เท่าไร ก็เลยยกให้ผู้ฉลาดนั้นเป็นผู้นำ จึงเกิดมีผู้นำมีกษัตริย์ขึ้นมา

เพราะความหลงถึงได้กินง้วนดินในตอนนั้น พอกินแล้วรัศมีกายหมด เหาะกลับไม่ได้ ตัวก็หนัก จึงได้เกิดพระอาทิตย์เกิดพระจันทร์ขึ้นมา พัฒนาการของการเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ละเอียด เนื้อหายาวมาก สรุปแล้วรัก โลภ โกรธ หลง กินทันทีที่เราเกิดเลย

รุ่นแรก ๆ น่าจะยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะว่ามาจากข้างบนทั้งนั้น แต่พอสร้างกรรมเข้า เศษกรรมจึงทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา"

ถาม : เขาจำกันได้บ้างไหมว่าทำกรรมอะไรไว้บ้าง ?
ตอบ : หาคนจำได้ยาก ยกเว้นอย่างพระนางพิมพา พระมหากัสสปะ นางภัททกาปิลานี พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ทั้งห้าท่านนี้ได้อภิญญาใหญ่ ระลึกชาติได้ไม่จำกัดเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นอกนั้นระลึกชาติได้จำกัด บางท่านระลึกได้แสนชาติบ้าง ได้ ๑ กัปบ้าง ได้ ๒ กัปบ้าง ๓ กัปบ้าง ๔ กัปบ้าง ๕ กัปบ้าง ๑๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง

เถรี 17-05-2012 12:20

ถาม : คนที่หวงของหวงทรัพย์สิน กับพ่อแม่ที่หวงลูก เหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน การหวงมากหรือหวงน้อยขึ้นอยู่กับว่ายึดมั่นมากหรือน้อย พ่อแม่ที่หวงลูกนอกจากจะเป็นความรู้สึกของการหลงแล้ว ยังเป็นสัญชาตญาณด้วย เพราะว่าถ้าไม่หวงไม่ดูแลลูก พวกลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนหรือลูกสัตว์อาจจะไม่รอด ถ้าลูกตายหมดก็ไม่เหลือพืชพันธุ์ของตนไว้ เพราะฉะนั้นกลายเป็นหวง ๒ ชั้น ถ้าหวงของนั่นหวงแค่ชั้นเดียว

ถาม : แล้วคนที่ขาดเมตตา ใจดำ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคนคิด จริง ๆ แล้วคนใจดำเป็นพวกเห็นแก่ตัว ไม่เอาใคร บางทีเราเอาแต่คิดว่าจะไปขอความช่วยเหลืออย่างเดียว เขาเองไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยได้ เขาปฏิเสธมา เราก็ไปว่าเขาใจดำ เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความคิดของเรา ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือไม่ก็ถามเขาหน่อยว่าเป็นอย่างไร เราก็จะรู้ความคิดของเขา

ถาม : จริง ๆ แล้วก็ไม่แน่ว่าจะใจจืดใจดำ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องมีความจำเป็น ยกเว้นเป็นประเภทตระหนี่ถี่เหนียวแบบโกสิยเศรษฐี โกสิยเศรษฐีขี้เหนียวสุด ๆ ประหยัดทุกวิถีทางเพราะกลัวจน ทั้ง ๆ ที่เป็นมหาเศรษฐี

ถาม : หวงโดยเฉพาะของของเขา ?
ตอบ : ก็เขาบอกแล้วว่าของของเขา ในเมื่อเป็นของของเขา เขาก็ต้องรักษา จะไม่แบ่งปันให้ใคร ในเพลงแหล่เขาว่า "...ทนอดทนอยาก มีปากเสียเปล่า เมียบ่นหิวข้าว ผัวเฒ่าตีดิ้น กลัวยากกลัวจน ยอมทนอมลิ้น เมียกลัวเหงื่อริน ก็เลยเป็นลม"

เถรี 17-05-2012 13:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นหลัง ๆ มักจะโตไว ก็แปลว่าอายุสั้น ลองสังเกตดูว่า..สัตว์อะไรที่โตเร็ววงจรชีวิตมักจะสั้น แต่เนื่องจากเทคนิคการแพทย์ดีขึ้น ก็เลยยืดอายุไปได้อีกหน่อย แบบเดียวกับเทคนิคสเต็มเซลล์ ถ้าหากใช้ได้ผลจริง พวกมหาเศรษฐีของโลกคงไม่ตายกันหรอก อะไหล่ดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าตัวถังไม่ไหวแล้ว ไปเปลี่ยนอะไหล่อย่างไรก็พัง

ถ้าสนใจเรื่องเปลี่ยนอวัยวะให้ไปอ่านนิยายของวิมล ไทรนิ่มนวล เรื่องอมตะ เรื่องนี้ได้รับรางวัลซีไรท์ ถ้านิยายของจีนก็เรื่องขี่พายุทะลุฟ้า ตอนหาญท้าเทวะ ด้วยความที่เทวะเป็นสุดยอดอัจฉริยะ หลายร้อยปีจะเกิดครั้งหนึ่ง เขาก็เลยคิดวิชายืดอายุตัวเอง แต่ยืดได้เฉพาะอายุ ส่วนสังขารหมดสภาพ อยู่มา ๒๐๐ กว่าปี เทวะเจอพระเอกเห็นว่าเหมาะสม ก็เลยจะผ่าตัดเปลี่ยนสมองใส่ตัวพระเอก ให้ตนเองกลายเป็นหนุ่มขึ้นมา ลองไปอ่านดูถ้าสนใจเรื่องพวกนี้

อายุขัยของมนุษย์เป็นเรื่องตามกรรมที่ทำมา โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ยาก บางคนคิดจะโคลนนิ่งมนุษย์ แต่ก็กลัวว่าถ้าโคลนนิ่งมนุษย์ได้จริง ๆ แล้วจะเหมือนกันหมด ทำให้แยกแยะกันไม่ถูก จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ต่อให้รูปร่างหน้าตาเหมือนกันแต่สภาพจิตเป็นคนละดวง ความประพฤติก็ไม่เหมือนกันหรอก อย่างแฝดสาม เอส เอ็ม แอล นั่นเป็นแฝดสามก็จริง แต่ความประพฤติคนละเรื่องคนละราวกันเลย"

เถรี 17-05-2012 13:56

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการบวชว่า "การตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาดนั้นยาก อย่างที่แม่ชีเคิ่ลเขาตัดสินใจบวช พวกเราตัดใจอย่างนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเด็ดแต่ไม่ขาด ตัดบัวยังเหลือใย แต่นั่นเขาเด็ดขาดแล้ว

เรื่องของการบรรลุธรรมต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด จุดไหนที่เราคิดว่าทำได้ต้องตัดใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าเราจะทำตามนั้น ถ้าจุดไหนให้ละเว้นเราจะเว้นอย่างนั้น ถ้าตัดสินใจแบบนี้เรื่องของมรรคผลก็ไม่ยาก แต่ส่วนใหญ่คนสมัยหลัง ๆ ไม่มีการตัดสินใจตรงนี้ ฟังธรรมรู้สึกว่าดี แต่รู้สึกในลักษณะชื่นชมเหมือนกับเห็นสมบัติมหาเศรษฐี ไม่ได้คิดว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้สมบัตินั้นบ้าง ในเมื่อไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด โอกาสที่เข้าถึงมรรคผลก็ยาก"

เถรี 17-05-2012 14:15

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปกราบหลวงปู่ดู่ครั้งแรก ก็มีพระวัดท่าซุงตามไปหลายรูป เมื่อสนทนาปราศรัยกันเรียบร้อยก็กราบเรียนท่านว่า “ขอให้หลวงปู่ท่านเมตตาให้โอวาทด้วยครับ พวกผมจะได้ยึดเป็นเครื่องปฏิบัติสืบไปในเบื้องหน้า”

หลวงปู่ท่านบอกว่า “ครูบาอาจารย์ผมไม่ได้สอนอะไรมากมายหรอก ท่านบอกว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็พอแล้ว” อาตมาก็กราบก้นโด่งคลานออกมา ท่านตี๋ (พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) คลานตามมาสะกิด "เฮ้ย..ยังไม่ได้อะไรเลย จะกลับแล้ว ?" "หา..ยังไม่ได้อะไรเลยหรือ ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนี่ยันพระนิพพานแล้วนะ"

ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจใช่ไหม ? ถ้าเราเคารพ เราก็ตั้งใจปฏิบัติในศีลตามที่ท่านสอน ก็เหลืออย่างเดียวคือตั้งใจว่าตายแล้วจะไปไหน ครูบาอาจารย์ท่านให้เพชรยอดมงกุฎมาดันไม่รู้จัก แค่เอาไปต่อยอดมงกุฎก็จบแล้ว

หลวงปู่ดู่ท่านมีประโยคประทับใจเยอะ บางทีคำสอนท่านเหมือนกับคำสอนของเซ็น ท่านสอนสั้น ๆ แต่กินใจ กระทบใจมาก อย่างคนไปต่อว่าท่านเรื่องสร้างวัตถุมงคล ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” จบแค่นั้นเลย บางคนไปเที่ยวว่าคนนั้น ไปเที่ยวนินทาคนนี้ให้ได้ยิน ท่านบอกว่า “คนดีเขาไม่ตีใคร” คนพูดเฉาไปเลย จบกันแค่นั้น

บางคนมาลาท่าน ขอไปปฏิบัติที่สำนักอื่น ท่านก็บอกว่า “ข้าโมทนากับแกด้วย ข้าไม่มีโอกาสไป” ไม่เห็นท่านจะว่าลูกศิษย์สักคำ ลูกศิษย์อยู่กับโคตรเพชรแล้วไม่รู้จัก อุตส่าห์ตะกายไปที่อื่น ท่านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยเขาไปตามใจของเขา"

เถรี 18-05-2012 10:11

พระอาจารย์เล่าว่า "ในบันทึกประวัติศาสตร์จีน ขุนนางที่ซื่อสัตย์หลายคนต้องทำงานสองโลกไปพร้อมกัน อย่างเช่นเปาบุ้นจิ้น พอฟุบหลับไปหน่อยเดียว กายทิพย์ก็ออกไปตัดสินความในเมืองนรกเรียบร้อยแล้ว

ส่วนในสมัยราชวงศ์ถัง ก็มีเว่ยจิง เป็นเสนาบดีคู่พระทัยของพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ เว่ยจิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา กล้าทัดทานฮ่องเต้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าฮ่องเต้ทำไม่ถูกไม่ควร เว่ยจิงก็กล้าพูดกล้าบอก มีเรื่องเล่าว่าพญามังกรไปเจอเต้าหยิน (นักพรต) ที่มีทิพจักขุญาณ สามารถทำนายลมฟ้าอากาศได้แม่นยำมาก พญามังกรจึงหมั่นไส้เต้าหยินท่านนั้น อยากจะลองดีสักหน่อย

พญามังกรจึงแปลงเป็นคนไปถามเต้าหยินว่า พรุ่งนี้ฝนจะตกเท่าไร ? พอเต้าหยินเสี่ยงทายเสร็จเรียบร้อยบอกว่า พรุ่งนี้ เวลาเท่านี้ ฟ้าจะต้องร้องกี่ครั้ง ฝนจะต้องตกกี่ห่า น้ำจะต้องเปียกดินลึกลงไปกี่ศอก พญามังกรก็หัวเราะบอกว่า “ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นล่ะ ?” เต้าหยินบอกว่าถ้าไม่เป็นไปตามนั้นจะยอมทุบป้ายของแกทิ้ง ก็คือเลิกอาชีพนี้ ความจริงก็คือพญามังกรนี้มีหน้าที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นผู้บันดาลให้ฝนตก

เมื่อพญามังกรกลับไปยังไม่ทันถึงตำหนักเลย เสนาบดีวิ่งถือจดหมายคำสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้มาว่า พรุ่งนี้เวลานี้ต้องผลิตน้ำฝนเท่าไร ซึ่งผลตรงกับที่เต้าหยินทำนายไว้จริง ๆ พญามังกรก็เริ่มคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี ท้ายสุดก็ใช้วิธีเบี้ยว ทำให้น้ำฝนขาดไปเสียหน่อย คำทำนายจะได้คลาดเคลื่อน เขาจะได้ทุบป้ายทิ้ง

รุ่งขึ้นพญามังกรถือกระบองไป จะไปอาละวาดทุบป้าย เต้าหยินก็หัวเราะ “หัวจะขาดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” พญามังกรสงสัยถามว่าทำไม ? เต้าหยินบอกว่า “กลับไปเถอะ คำสั่งประหารท่านคงมาถึงพอดี” พญามังกรก็ตกใจรีบกลับวังไป ปรากฏว่าคำสั่งมาจริง ๆ โทษฐานที่เป็นพญามังกร มีหน้าที่ควบคุมดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่ทำตามคำสั่ง มีโทษประหาร..!

พญามังกรจึงไปขอให้นักพรตช่วย นักพรตบอกว่า "ช่วยไม่ได้หรอก แต่ผู้ที่จะทำหน้าที่ประหารท่านก็คือเสนาบดีเว่ยจิง ซึ่งจะประหารเวลาบ่ายโมงตรง ถ้าผิดเวลาประหารก็ผิดกฎสวรรค์ ไม่สามารถประหารท่านได้อีก เราบอกได้แค่นี้" พญามังกรฟังก็เข้าใจ รีบเข้าไปเฝ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ไปขอร้องว่าตนเองสร้างคุณความดีมาตลอด ตอนนี้ผิดพลาดนิดหน่อยด้วยทิฐิมานะ ขอให้ฮ่องเต้ช่วยด้วย ถังไท่จงฮ่องเต้ถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ? พญามังกรบอกว่าให้ช่วยดึงเว่ยจิงเอาไว้ ใช้งานอะไรก็ได้ให้หัวทิ่มหัวตำไปเลย ก่อนบ่ายโมงอย่าให้ไปไหน พอพ้นจากบ่ายโมงไปแล้วตนก็จะรอด"

เถรี 18-05-2012 10:20

"ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารพญามังกรก็รับปากว่าจะช่วย หลังจากพระกระยาหารกลางวันแล้ว ถังไท่จงฮ่องเต้ก็ชวนเว่ยจิงเล่นหมากรุกกัน ซึ่งหมากรุกจีนแต่ละกระดานบางทีใช้เวลาครึ่งค่อนวัน เล่นไปเล่นมาจนใกล้เวลาบ่ายโมง เว่ยจิงก็ฟุบหลับ ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารเสนาบดีที่ทำงานมาหนัก แถมยังโดนบังคับมาเล่นหมากรุกอีก จึงเอาพัดมาช่วยพัดให้

คืนนั้นพญามังกรเดินถือหัวตนเองเลือดโชกมาเลย ต่อว่าถังไท่จงฮ่องเต้ว่าไม่ทำตามที่ตกลงไว้ แถมยังช่วยเขาประหารตัวเองอีก ถังไท่จงฮ่องเต้ก็ตกใจว่าตนเองไปช่วยประหารอย่างไร ? พญามังกรบอกว่า พอถึงเวลาบ่ายโมงตรง เว่ยจิงถือกระบี่มาจะประหารชีวิต เขาก็ต้องหนี เว่ยจิงไล่เขาไม่ทัน แต่ถังไท่จงฮ่องเต้ไปช่วย เอาพัดโบกลมทำให้เว่ยจิงเหาะไล่ตามมาทัน

ตรงจุดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า ในเรื่องกรรมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไม่ว่าจะหนีไปหลบอยู่ที่ไหนก็หนีไม่รอด ท้ายสุดก็ต้องโดนจนได้ พญามังกรอยู่ในโลกทิพย์ ฤทธิ์อำนาจมีมาก จึงคิดว่าหนีพ้น แต่กรรมก็บันดาลให้ถังไท่จงฮ่องเต้สงสารเอาพัดมาพัดให้เว่ยจิง ปรากฏว่าพัดในโลกทิพย์นั้นกลายเป็นกระแสพายุหอบเว่ยจิงไล่ทันพญามังกร เพราะฉะนั้น..เรื่องของกรรมต้องระมัดระวังให้จงหนัก ไปประมาทว่าเล็กน้อยแล้วทำนี่เสร็จทุกราย..!"

เถรี 18-05-2012 11:10

ถาม : ที่บ้านหนูเสียงเยอะมากค่ะ ส่วนใหญ่เป็นพวกเสียงเพลง ตอนช่วงภาวนาเสียงพวกนี้เหมือนจะบันทึกตามคำภาวนาไปด้วย พอตอนนั่งสมาธิแม้จะไม่มีเสียง แต่พอเราภาวนาเสียงเพลงก็จะดังตามคำภาวนา หนูงัดไม่ออก ก็เลยช่างมัน ภาวนาไปทั้งแบบนั้น แล้วพอถึงจุดก็ได้สมาธิเหมือนปกติ ทั้ง ๆ ที่เสียงเพลงยังอยู่ในหัวค่ะ อย่างนี้จะมีผลเสียไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปคล้อยตามก็จะเสีย ถ้าไม่ใส่ใจก็ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเครื่องทดสอบเท่านั้น เราจะได้รู้ไว้ว่าสภาพจิตของเราจำทุกอย่างจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องให้จิตจำแต่เรื่องดี ๆ เอาไว้

เถรี 18-05-2012 11:55

ถาม : คุณพ่อไม่ค่อยสบาย ถ้าผมสวดมนต์ทุกวันก่อนนอน ให้เจ้ากรรมนายเวรแทนคุณพ่อ ?
ตอบ : ตอนแรกพาท่านไปหาหมอก่อน ไม่ใช่ว่าป่วยแล้วจะมาสวดมนต์ให้เจ้ากรรมนายเวร หลังจากนั้นแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง โดยเฉพาะว่าควรจะให้ท่านสวดมนต์เอง เพราะว่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ป่วยเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของเรา

เถรี 18-05-2012 12:09

หลังจากแม่ชีเคิ่ลกล่าวคำขอบวชแล้ว พระอาจารย์ให้โอวาทว่า "ตอนนี้เราเป็นอุบาสิกาคือแม่ชี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ไม่ได้แต่รักษาศีล ๘ อย่างเดียว ยังต้องรักษากาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบ เป็นผู้ไม่กล่าวร้ายในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ เป็นผู้ไม่ด่าว่าพระภิกษุสามเณร เป็นผู้ที่ไม่ขวนขวายเพื่อการเสื่อมลาภของพระภิกษุสามเณร เหล่านี้เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ค่อย ๆ ศึกษากันไป รู้แต่ว่าชีวิตของเราตั้งแต่บัดนี้ มีแต่มุ่งหน้าอย่างเดียว ถอยหลังไม่ได้แล้ว

คุณแม่ตัดใจได้ไหม ? ลูกเขาไม่ได้ไปตายสักหน่อย สิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นญาติก็อนุโมทนา ความดีนี้เราไม่ได้ทำด้วยตนเอง แต่ว่ามีคนอื่นทำแล้ว เราก็พลอยยินดีด้วย คอยให้การสนับสนุน ส่วนคนทำเอง เมื่อตั้งใจแล้วว่าจะมาบนทางสายนี้ ก็ต้องไปให้เต็มกำลังของตัวเอง"

เถรี 18-05-2012 12:24

"เขาเพิ่งจะบวชเสร็จ ใครจะบวชต่ออีกหรือเปล่า ? อย่าทำให้อาตมากลุ้มใจต้องถือไม้ตะพดเฝ้าวัดนะ ที่วัดมีแต่แม่ชีสาว ๆ เดี๋ยวหนุ่ม ๆ มากันให้พล่านไปหมด เป็นแม่ชีที่วัดท่าขนุนงานจะหนักมาก วันหนึ่งกว่าจะมีเวลาเป็นของตัวเองก็ประมาณบ่าย ๒ โมงแล้ว พอบ่าย ๔ โมงก็ทำความสะอาดวัดอีก เพราะฉะนั้นไปอยู่ที่นั่นจะอ้วนยาก

อำลาอาลัยพ่อแม่ญาติพี่น้องกันให้ดี แค่นี้ก็วัดอารมณ์ได้ชัดแล้วว่าตัดยากที่สุด ใจจะขาดรอน ๆ ตรงจุดนี้ก็อยากให้ทุกคนย้อนกลับไปนึกถึงวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระองค์ท่านถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติทุกประการ มีพระชายาที่สวยที่สุด มีปราสาท ๓ ฤดู อีก ๗ วันสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิจะปรากฏแก่พระองค์ท่าน จะเป็นผู้ปกครองโลกทั้ง ๔ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าในสุริยจักรวาลนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่เกินท่านอีกแล้ว พระโอรสที่รักยิ่งก็เพิ่งจะประสูติ พระองค์อภิเษกสมรสตอนพระชนมายุ ๑๖ ปี จน ๒๙ ปีจึงได้พระโอรส ๑ คน

แต่ว่าพระองค์ท่านสามารถตัดสินพระทัย เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทนลำบากอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ลำบากชนิดเลือดตากระเด็น อดข้าวชนิดไม่ฉันอะไรเลยต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ ไม่มีแม้แต่กำลังจะเดิน ล้มอยู่กับพื้น คนเขาก็คิดว่าเป็นซากศพเพราะมีแต่หนังหุ้มกระดูก แต่พระองค์ท่านก็ไม่ได้ท้อถอย ตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยดวงจิตที่มุ่งประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ว่าถ้าพระองค์บรรลุธรรมแล้ว เขาเหล่านั้นจะได้ประโยชน์ไปด้วย เป็นพวกเราจะไหวหรือไม่ ?"

เถรี 18-05-2012 12:38

"เราคิดว่าเราทำได้ เป็นความคิดในตอนนี้นะว่าเราทำได้ แต่พอของจริงมาถึงแล้วจะรู้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้านมารอบข้าง มีแต่โซ่ใหญ่ ๆ มาฉุดรั้ง “องค์ใดพระสรรเพชญ์ พระเผด็จกิเลสราญ หักห่วงและบ่วงมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว” ห่วงนะ...แถมยังเป็นห่วงเหล็กมหึมาด้วย ดูซิว่าพวกเราจะหักห่วงได้ไหม ?

เรื่องของการบวชไม่ต้องถามคนอื่น พร้อมเมื่อไรไปทันที อย่ากระโตกกระตาก เดี๋ยวมารตื่น ไปตอนที่เขาเผลอ กว่าเขาจะรู้ตัวเราก็เผ่นไปแล้ว ค่อยให้เขามาตามล่าเราทีหลัง ถึงตอนนั้นเรามีหน้าที่หนีสุดชีวิต ส่วนเขาก็ตามล่าสุดชีวิต

ลองนึกถึงแค่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ทรงมีพระราชดำรัสว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม นั่นถือว่าเป็นการประกาศสัจจะวาจาในท่ามกลางองคมนตรีและในสายตาของประชาชน แล้วพระองค์ท่านก็บำเพ็ญพระองค์ให้เป็นไปตามพระราชดำรัสนั้นมาตลอด ๖๕ ปี ขึ้นปีที่ ๖๖ แล้ว พระองค์ท่านไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดไปจากคำพูดเลย

ฝรั่งบอกว่า "The king can do no wrong" พระราชาทำอะไรไม่ผิด..ไม่ใช่ พระองค์ท่านแปลว่า พระราชาห้ามทำอะไรผิด เพราะว่าถ้าหากว่าทำผิด ผลกระทบจะเกิดแก่คนทั้งประเทศ ตอนไปประเทศเขมร เวลาเดินชมประสาทหิน ตรงไหนต่ำ ๆ เขาจะติดป้ายไว้ว่า "Mind your head" ถ้าเป็นบ้านเราก็ติดว่า "ระวังศีรษะ" ใช่ไหม ? เขาว่าให้คิดถึงหัวตัวเองบ้าง ไม่อย่างนั้นจะชน ปรากฏว่าป้ามอยแปลได้เด็ดขาดที่สุด แปลว่า "หัดใช้หัวซะบ้าง" ในเมื่อรู้ตัวว่าเตี้ยก็ต้องรู้จักหลบด้วย (หัวเราะ)

เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของคำพูด การกระทำ ขึ้นอยู่กับการตีความ และการตีความอยู่ที่กำลังใจของแต่ละคน กำลังใจของคนไม่เท่ากันก็ตีความได้ไม่เท่ากัน การบรรลุธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้เป็นไปตามกำลังใจของคน คือ ใครตีความธรรมะได้สูง ตัดสินใจได้เด็ดขาดก็บรรลุธรรมขั้นสูงกว่า ใครตีความธรรมะได้ต่ำ ตัดสินใจไม่เด็ดขาดเท่า ก็บรรลุธรรมขั้นต่ำกว่า คนไหนไม่เข้าใจเลย ตีความไม่ได้ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็เข้าไม่ถึงธรรม แต่อย่างไรเสียก็ขอให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นพลวปัจจัย เป็นอุปนิสัยนำส่ง ให้ชาติต่อไปของเราเข้าถึงธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะว่ามีการสั่งสมมาแล้ว

โมทนากับเขาก็พอนะ อย่าตัดสินใจบวชกันหมด วัดไม่มีที่ให้พัก ตอนนี้กุฏิแม่ชีหลังสุดท้ายเต็มแล้ว กำลังวางแผนว่าต่อไปจะเริ่มทำพื้นที่ในป่าช้า ใครจะเป็นผู้โชคดีรายแรกที่จะได้ไปอยู่ตรงนั้น ป่าช้าน่าอยู่ที่สุด เย็นสบาย ไม่มีใครกวน เงียบทั้งวัน"

เถรี 18-05-2012 16:15

ถาม : ขอพรข้อหนึ่ง สำหรับกำลังใจค่ะ
ตอบ : ถ้าหากว่ามีศีลมีธรรมเป็นเครื่องคุ้ม ทำอะไรก็ขอให้สำเร็จจ้ะ

เถรี 18-05-2012 16:24

ถาม : บวงสรวงขอลูกกับท่านปู่พระอินทร์ ทำอย่างไรคะ?
ตอบ : ใช้เครื่องบวงสรวงตามปกติ ขอบารมีท่านปู่พระอินทร์ว่า ถ้าเทวดาหรือนางฟ้าท่านใดจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ก็ขอให้ท่านอนุมัติให้มาเกิดกับเรา จะช่วยสนับสนุนการทำความดีของท่านทุกอย่าง แต่ขอให้เลี้ยงง่าย เฉลียวฉลาด มีความซื่อสัตย์กตัญญูด้วย

เถรี 18-05-2012 17:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะโกนหัว จำไว้แม่น ๆ นะ ฟอกหัวให้ทั่วถึงสัก ๔ - ๕ ครั้ง ผมจะนิ่มแล้วโกนง่าย แม่ชีที่บวชใหม่ ๆ ไม่มีหรอกที่หัวจะไม่เลือดโชก อาตมาบอกให้ไปฟอกหัวมาหลาย ๆ ครั้ง เขาไม่ค่อยทำกันหรอก เขารู้ดีกว่า..!

พอโกนหัวครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ชักจะรู้ตัวแล้ว เพราะถ้าขืนทำเหมือนเดิมก็เลือดโชกอีก มีแม่ชีโสภิตที่ขออนุญาตไม่โกนมาจนทุกวันนี้ ปล่อยให้ผมยาวไปเลย โกนครั้งแรกครั้งเดียวก็เข็ด อาตมาบอกว่าเอ็งไปฟอกหัวมา ๓ - ๔ เที่ยว จะได้ไม่มีบาดแผล ไม่เจ็บไม่คัน เขาดันไปฟอกพรวด ๆ ๓ ทีราดน้ำโครม โคนผมยังไม่ทันจะเปียกเลย เท่ากับโกนแห้ง ๆ ถลกหนังหัวตัวเอง..!

เวลาผมโดนน้ำจะนิ่ม โกนง่ายขึ้น หนังหัวเราพอชุ่มแล้ว เวลาโกนก็ไม่เป็นขุย ถ้าเป็นขุยเท่ากับถลอก พอถลอกก็เป็นแผล ราดน้ำโครมก็แสบสะดุ้งเฮือก สรุปว่าต้องผ่านบทเรียนกันก่อนถึงจะจำ..!"

เถรี 18-05-2012 17:31




พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือว่า "หนังสือเรื่องหลินเจี้ยนหลง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเลง ที่โดนจับเข้าสถานดัดสันดานและคุก ด้วยข้อหานักเลง เปิดบ่อน และพยายามฆ่า ระหว่างถูกควบคุมตัว เขาดิ้นรนจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ท้ายสุดจบปริญญาเอกที่อเมริกา กลายเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไต้หวัน






ส่วนถ้าใครอ่านมังกรคู่สู้สิบทิศ จะเห็นได้ว่า กว่าที่คนเราจะก้าวไปถึงจุดที่ตัวเองต้องการได้ ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ในการต่อสู้ดิ้นรนระยะแรกเริ่ม ทำให้เห็นชัดเลยว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาแบบบังเอิญ คุณต้องต่อสู้ช่วงชิง ต้องใช้ความพยายาม ส่วนใหญ่เราไปเห็นตอนเขาประสบความสำเร็จแล้ว ตั้งตนเป็นเจ้าแล้ว แต่ที่ไหนได้..ตอนเป็นอันธพาลขนาดข้าวยังไม่มีจะกิน ถ้าไม่มีอาซ้อเจินสนับสนุน แอบยัดซาละเปาให้ พระเอกก็อดตายไปแล้ว"

เถรี 18-05-2012 17:55



"หนังสือเรื่องหมาป่าของเจียงหรง ถ้าอ่านต้นฉบับภาษาจีนด้วยยิ่งดี ฉบับภาษาจีนชื่อหลางถู่โถว หลางคือหมาป่า ถู่โถวมาจากภาษาอังกฤษ ก็คือคำว่าโทเท็ม หลางถูโถ่ว คือสัญลักษณ์หมาป่า

เล่มนี้หนาปึ้กเลย เราจะได้รู้ว่าชนเผ่าเร่ร่อนสมัยก่อนทำไมถึงได้นับถือหมาป่าขนาดนั้น อยากจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้สามารถเป็นผลงานวิจัยปริญญาเอกได้ เพราะว่าสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม พวกนักศึกษา หรือพวกหัวก้าวหน้า หรือพวกวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง จะถูกส่งตัวไปทำงานแถว ๆ มองโกเลียใน ที่เขาใช้ว่ามองโกเลียในเพราะเป็นพื้นที่ของจีน ส่วนมองโกเลียนอกเป็นพื้นที่ของรัสเซีย แต่มีอาณาเขตติดกัน

ในเรื่องเฉินเจิ้นนักศึกษาจากปักกิ่งอาสาไปใช้แรงงานอยู่แถวนั้น ผจญกับความยากลำบากของดินฟ้าอากาศ ต้องไปตั้งคอมมูนในการผลิตอาหาร ผลิตพวกแพะ แกะ ส่งมาเป็นอาหาร ตัดขนทำเป็นเสื้อผ้า ถ้าการผลิตไม่ดีก็โดนวิจารณ์อีก ตัวที่แสบที่สุดคือหมาป่า เพราะป้องกันอย่างไรหมาป่าก็เอาแกะไปกินได้ เนื่องจากหมาป่ารู้จักแกะมากกว่าคน หมาป่ารอหิมะตกหนา ๆ ก่อน แล้วก็ต้อนแกะให้วิ่งไปถึงที่หิมะหนา ๆ พอแกะขายันพื้นไม่ได้ก็ติดอยู่ตรงนั้น รอให้หมาป่ามาลากไปกินทีละตัว"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็คล้าย ๆ กัน เพราะว่าถ้าขาดสติ ขาดสมาธิ ก็สู้เขาไม่ได้ การฝึกวิทยายุทธก็คือฝึกสติฝึกสมาธินั่นแหละ ในเรื่องตอนเขานั่งขัดสมาธิ เสร็จแล้วอาจารย์ก็โยนเหรียญลงพื้นดังติ๊ง..! ถามว่าเหรียญอยู่ทิศไหน ถ้าตอบผิดก็เจออาจารย์จัดการลงโทษ

เราลองนึกดู หน้าเหนือ หลังใต้ ซ้ายตะวันตก ขวาตะวันออก จากนั้นก็ทะแยงระหว่างซ้ายขวาหน้าหลัง ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ได้ทิศพอดี ก็คือซ้าย ขวา หน้า หลัง ศอกซ้าย ศอกขวา เข่าซ้าย เข่าขวา ๘ ทิศพอดี คราวนี้รู้แล้วหรือยังว่าเขาแยกแยะได้อย่างไรว่ามาทิศไหน ? ฟังดูแล้วไม่น่ายาก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการฝึก ต้องฝึกจนชินจริง ๆ ฟังเสียงลมรู้การเคลื่อนไหว

ในเรื่องมังกรหยกภาค ๑ นั้น ตัวละครที่ตาบอดเขาใช้การฟังเสียงเอา เวลาต่อสู้กัน เจออีกฝ่ายหนึ่งหลอก เขาใช้ท่าที่ทำให้คนตาบอดฟังไม่ออก เพราะไม่ใช่ท่าที่ใช้ฝ่ามือ ไม่ใช่หมัด ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่กรงเล็บ คนตาบอดฟังเสียงไม่ออกก็ไม่กล้ารับ ไม่รู้ว่าเขาออกท่าอะไรก็หนีไว้ก่อน ความจริงก๊วยเจ๋งสู้ศพเหล็กที่ตาบอดไม่ได้หรอก แต่ศพเหล็กตาบอดเขาระแวง ก็เลยหนี

เถรี 19-05-2012 08:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลานิมิตต่าง ๆ มาถึง บางทีมาแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่สิ่งที่เรารู้อธิบายออกมาได้หลายหน้ากระดาษ เอาไว้ให้พวกเราเกิดนิมิตเองแล้วจะรู้ ภายในพริบตาเดียวความเป็นทิพย์จะรายงานหมดว่าอะไรเป็นอะไร รอก่อนนะ...รอให้ถึงตอนที่อาตมาเกิดในประเทศไทยก่อน แล้วค่อยเขียน ช่วงนั้นรบได้ทุกชาติ ไม่รบเขาก็ฆ่าเขา แล้วอาตมาจะไปเหลืออะไร จึงได้ป่วยอย่างนี้ทั้งชาติ

อาตมาเคยคิดจะแต่งหนังสือกำลังภายในเอง เพราะเห็นบางคนแล้วขัดใจ แต่งหนังสือกำลังภายในได้ห่วยมากเลย อาตมาไม่ต้องแต่งเองหรอก เขียนเรื่องจริงก็พอแล้ว เรื่องที่แต่งมีความสนุกเพราะว่าเป็นจินตนาการ แต่ถ้าเราเขียนเรื่องจริงจะสนุกกว่า เพียงแต่คนที่เขียนเรื่องจริงมุมมองเขาอาจจะไม่พอ

อย่างบันทึกไปพม่า เป็นเรื่องจริงล้วน ๆ บังคับเนื้อหาไม่ได้ด้วย ว่าแต่ละวันเราจะเจออะไร คนอ่านมักจะอ่านรวดเดียววางไม่ลง เราต้องเขียนให้คนอ่านเห็นเหมือนอย่างที่เราเห็น ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะ เพราะต้องนึกอยู่เสมอว่าเขาไม่เห็น ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ บอกว่า "พระครู..เขียนได้เป็นธรรมชาติมาก ผมอยากเขียนอย่างนี้มานานแล้ว" คำว่าเป็นธรรมชาติของท่าน ก็คือเห็นอย่างไรก็บอกอย่างนั้น"

เถรี 19-05-2012 08:24

"อาตมาเคยตั้งใจจะเขียนเรื่อง จอมทัพมหาราช ๓ ภาค มีพระเจ้าพรหมมหาราช พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช บอกแนวทางให้คุณลลิตาไป เขาบอกว่าเขียนไม่ได้ จินตนาการเขาไม่ถึง

สมัยก่อนที่อาตมาจะไปเป็นทหาร ได้เขียนหนังสือขายอยู่ระยะหนึ่ง กำลังมีคนอ่านติดตรึม พอกลับจากการเป็นทหารมาดูเรื่องที่เขียน มีเนื้อหาเก่าที่เขียนไว้เรื่องหนึ่ง ๒ บท มาเขียนต่อบทที่ ๓ กับบทที่ ๔ เขียนเสร็จแล้วอ่านทวน ปรากฏว่าบทที่ ๑ กับบทที่ ๒ เหมือนคนหนึ่งเขียน บทที่ ๓ กับบทที่ ๔ เป็นอีกคนหนึ่งเขียน ต่างกันอย่างเห็นชัดเลย

สรุปว่าประสบการณ์ตอนไปฝึกทหารอยู่ช่วงหนึ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา ทำให้มุมมองชีวิตต่างออกไป คนเดียวกันเขียนแต่ต่างเวลากันเท่านั้น กลายเป็นคนละคนเลย อาตมาจึงต้องวางมือ เขียนต่อไม่ได้แล้ว ยกแนวเรื่องให้คนอื่นเขาไปเขียนแทน

บางคนเขียนแล้วไม่สมจริง อย่างเรื่องรหัสลับหลังคาโลกที่กำลังดังระเบิด ในเรื่องเขาใช้อาวุธอันตรายขนาดนั้นคนต้องตายเป็นกองร้อยแล้ว ไม่เหลือหรอก หรือไม่ก็กับดักที่เขาใช้ยึดโยงต้นไม้ให้ดีด มีคนทำไว้ตั้งแต่อดีตเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว พอไปกระทบเข้าก็ยังทำงานอยู่ ทหารหน่วยจู่โจมพิเศษที่ฝึกมาขนาดหนักยังตาย อาตมาก็นั่งหัวเราะว่าคนเขียนไม่รู้เรื่องต้นไม้ เขารู้แต่ว่าดัดต้นไม้แล้วต้นไม้จะดีดได้ แต่เขาลืมไปว่า ถ้าดัดต้นไม้ไว้สักอาทิตย์หนึ่งกิ่งไม้ก็ล้าแล้ว จะคงตัวเป็นรูปนั้นเลย แล้วในเรื่องเขาให้กับดักต้นไม้อยู่มาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วยังทำงาน แสดงว่าเขาไม่เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร"

เถรี 19-05-2012 09:12

พระอาจารย์ให้โอวาทว่า "การอยู่วัด..สำคัญที่สุดคืออย่าไปตั้งความหวังกับคน สถานที่ดีแค่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์ดีแค่ไหนก็ตาม คนรอบข้างก็ยังเป็นคนอยู่ ถ้าไปคิดว่าวัดดีแล้วคนต้องดี คิดว่าครูบาอาจารย์ดีแล้วเขาต้องดี เดี๋ยวก็อกหักดังกร๊อบ..!

ในเมื่อเป็นคนจะอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นคน สำคัญที่ว่าเราจะปล่อยวางได้มากเท่าไร สรุปง่าย ๆ ว่า อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดก็จบแล้ว จะได้ดูว่าเราเองปล่อยวางสักกายทิฐิได้มากเท่าไร ? ตัวกูของกู มานะยังมีเยอะไหม ? ถ้าไม่มีก็อยู่สบาย ถ้ามีก็กระแทกกันอยู่เรื่อย

โดยเฉพาะคนเรามีจุดอ่อนอยู่ที่ว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วไม่สอบถาม แต่ตัดสินด้วยความคิดตัวเอง คราวนี้การตัดสินของเขาได้ตัดสินคนอื่นไปแล้ว โดยที่ลืมว่าตัวเราไม่ใช่บรรทัดฐานที่จะไปตัดสินคนอื่น ดังนั้น..ถ้ามีอะไรสงสัยก็ให้ถามกันตรง ๆ

ค่อย ๆ ปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็เป็นลูกเต๋าสี่เหลี่ยม หล่นโครมลงไปก็อยู่ตรงนั้น พอค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลา ลบเหลี่ยมลบมุมตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็จะกระทบคนอื่นน้อยลงไปเรื่อย จนในที่สุดก็กลมเป็นลูกบิลเลียด คราวนี้จะกลิ้งไปไหนก็ได้ หรือถ้ายังไม่พอก็เป็นลูกบิลเลียดแช่น้ำมัน ลื่นพอ ๆ กับปลาไหลแช่น้ำมันนั่นแหละ

ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นเครื่องทดสอบ สอบได้หรือสอบตกก็ไม่มีใครช่วยเราได้ บางทีเราแนะนำไป วิธีการเขารู้ แต่กำลังของเขาไม่พอ บอกเขาว่ากำแพงอยู่ตรงนี้ จอบก็มี ขวานก็มี เลื่อยก็มี พังลงไปให้ได้แล้วกัน แต่แรงเขายังไม่พอ จึงพังลงไปไม่ได้สักที"

เถรี 19-05-2012 09:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นคนหวงเวลา คนที่มานอกทุ่งนอกท่าอาตมาไล่เตลิดหมด ที่วัดตั้งพระเป็นเวรรับสังฆทาน ๕ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป โยมขนสังฆทานมาจะมาถวายเจ้าอาวาส อาตมาก็ด่ากระจาย ถ้าอาตมารับสังฆทานเองแล้วจะตั้งเวรรับสังฆทานไปทำไม ?

ปรากฏว่าโยมเปลี่ยนวิธี ไม่มากวนที่กุฏิ แต่แบกไปรอถวายตอนฉันเพล พวกนี้เป็นประเภทไม่มีอุเบกขาในทานบารมี ความจริงจะถวายสังฆทานกับพระสงฆ์รูปไหนก็ได้ ต่อให้ศีล ๒๒๗ ข้อ ขาดวิ่นเหลือข้อเดียวก็ถวายไปเถอะ เพราะท่านเป็นตัวแทนของสงฆ์ ถวายไปก็ได้อานิสงส์เท่ากัน"

เถรี 19-05-2012 09:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับตัวอาตมาเองแล้ว เรื่องทางโลกไม่มีอะไรให้ท้าทาย เพราะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จง่ายจนน่าเบื่อ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเหลืออย่างเดียวก็คือ การขัดเกลากิเลสตัวเอง

หลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวนอนไว้ว่า วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ ย่อมพบพานจุดจบสบสุขเอย ท่านลงชื่อคนเขียนว่าแม่เฒ่าปักษ์ใต้ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ? หลวงปู่คงไปอ่านเจอแล้วชอบใจ เลยลอกมาแปะติดหัวนอนไว้

ปัจจุบันนี้ที่อาตมาเรียนอยู่ เห็นประโยชน์ก็คือตอนไปสอนคนอื่น พอมีวุฒิรับรองการศึกษาสูง ๆ คนเขาจะให้ความสนใจมากกว่า คนเขาให้ความเชื่อถือมากกว่า ก็เลยเรียน ๆ ให้เขาหน่อย โลกเขาเคารพสมมติอย่างนั้น เราก็ต้องหาให้เขาหน่อย"

เถรี 19-05-2012 09:34

ถาม : ทำอย่างไรถึงจะปราบปะป๊าได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไรหรอกจ้ะ ปล่อยให้ปะป๊าแก่ตายไปเองดีกว่า แต่ถ้าจะปราบจริง ๆ ก็ต้องทำตัวให้น่ารักมาก ๆ ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เดี๋ยวปะป๊าเกรงใจก็เสร็จเราเอง ถ้าหากว่าเรายังทำดีไม่พอ ปะป๊ายังไม่เกรงใจเพราะว่าเราเป็นเด็ก เด็กต้องมีความดีเยอะกว่า ผู้ใหญ่เขาถึงจะเกรงใจ

กลับบ้านไปสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกวัน รักษาศีลให้ครบถ้วน ตั้งใจเรียน เอาที่ ๑ มาบ่อย ๆ เดี๋ยวปะป๊าก็เกรงใจเอง เข้าใจนะจ๊ะ...ปราบให้อยู่หมัดเลยลูก..!

เถรี 19-05-2012 09:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นเก๊าท์อย่ากินยอดผัก อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ หรือเนื้อสัตว์ปีก เพราะจะเป็นการซ้ำให้อาการหนักขึ้น ต้องงดกินของพวกนี้แล้วไปดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ ให้ปัสสาวะออกมามาก ๆ สักสามวันก็จะหาย เพราะว่าเก๊าท์เกิดจากผลึกกรดของโปรตีนไปตกอยู่ในข้อ แล้วผลึกก็แหลมเปี๊ยบอย่างกับเข็ม เมื่อเข็มทิ่มเนื้อก็ต้องปวดเป็นปกติ"

เถรี 19-05-2012 16:03

พระอาจารย์กล่าวสอนคนเป็นพ่อแม่ว่า "เราจะไปรำคาญลูกไม่ได้ ในเมื่อมีเขาแล้ว จะรำคาญเขาไม่ได้ มีเขาแล้วต้องอาศัยธรรมข้อที่ว่าพ่อแม่เป็นพรหมของบุตร ต้องอดทนอดกลั้น วางอุเบกขากับเขาให้ได้"

เถรี 19-05-2012 16:07

ถาม : เมื่อภาวนาไปแล้ว เกิดอาการเหมือนเหวที่ไม่มีก้น นี่เป็นอาการของฌานหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่..เป็นอาการที่จิตตกศูนย์กลางพอดี จะลงกึ่งกลางไปเรื่อย ๆ ถ้าใครฝึกธรรมกายมาจะรู้ ลงกึ่งกลางของกึ่งกลางไปเรื่อย ๆ จึงเหมือนกับลงเหวที่ไม่มีก้น จนกว่าธรรมกายจะปรากฏจึงจะหยุด

เถรี 19-05-2012 16:42

พระอาจารย์บอกคนที่อ่านหนังสือว่า "อ่านมูซาชิแล้วอย่าลืมอ่านซันชิโร่ด้วยนะ ตอนที่มูซาชิโดนบังคับให้ทำสมาธิ ทำให้เขารู้ว่า ก่อนที่คนจะเก่งนั้น ใจต้องนิ่งก่อน ส่วนซันชิโร่เขาอาศัยความบ้า ความบ้านะไม่ใช่ความกล้า เวลาเขาประลองกันท่ามกลางสายฝน ซามูไรคนไหนที่เงื้อดาบขึ้นก่อนมักจะโดนฟ้าผ่าตาย แต่ซันชิโร่ไม่กลัว เพราะถึงไม่โดนฟ้าผ่าตาย ตัวเองก็อาจจะตายเพราะอีกฝ่ายอยู่แล้ว คู่ต่อสู้เลยต้องทิ้งซามูไรหนี เพราะลูกบ้าของซันชิโร่มากกว่า

ถ้าคนเราสามารถตัดใจไม่กลัวตายได้สักเรื่องหนึ่ง จะทำอะไรได้เยอะมากเลย วิถีแห่งซามูไรภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกว่าบูชิโดเป็นอักษรคันจิ ภาษาจีนคือบู๊เฮียบ หมายถึง จริยธรรมนักรบ ฉะนั้น..ทุกวันนี้วิถีบูชิโดหรือจริยธรรมนักรบ ก็ยังฝังอยู่ในจิตใจของชาวญี่ปุ่นอยู่เป็นปกติ เสียสละ กล้าหาญ อดทน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีทั้งหมดอยู่ ๑๒ ข้อด้วยกัน

อย่างตอนที่เกิดสึนามิแล้วโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์รั่ว คนญี่ปุ่นเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรับของแจก ลำบากแค่ไหนก็อดทน ไม่ปริปากบ่น นั่นก็คือจริยานักรบที่ฝังรากลึกอยู่ เพราะเขาได้รับการอบรมมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ถ้าเป็นบ้านเราไปแจกของก็คงจะเหยียบกันตาย เหยียบกันตายไม่พอ เขาจะเหยียบเราตายไปด้วย..!"

เถรี 19-05-2012 16:47

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บ้านเราก็มีเหมือนกัน แต่พอมีแล้วกลายเป็นคนโง่ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนดี แต่เป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น จงยอมเป็นคนโง่ต่อไป เพราะคนโง่ โง่แล้วสบายกว่า คนฉลาดมักจะโดนคนอื่นเขาสกัด เพราะกลัวว่าจะล้ำหน้าตนเอง เป็นคนโง่ของเราไปได้เรื่อย ๆ ไม่ไปเกะกะขวางทางใคร

“ฉันไม่สู้เธอละฉันยอมแพ้ วาจาจากใจแท้แน่นักหนา ไม่ขอสู้กับใครในโลกา เป็นผู้แพ้ดีกว่าสบายใจ”

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าหากว่ามีตัวกูอยู่ก็ยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าไม่มีตัวกูของกูก็ยอมแพ้ได้สบาย

เถรี 20-05-2012 09:45

มีโยมมาถวายพระไตรปิฎก พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ปกติพระไตรปิฎกควรจะต้องมีตู้ใส่ แต่ตู้ราคาแพงมาก ถ้าเป็นตู้ไม้สักราคา ๒ - ๓ หมื่นบาท พระไตรปิฎกชุดอรรถกถาราคาประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท สรุปว่าตู้ราคาแพงกว่าพระไตรปิฎกเสียอีก เห็นพระไตรปิฎกแล้วนึกถึงความมานะพยายามของคนโบราณ เขาค่อย ๆ จารพระไตรปิฎกกันทีละแผ่นทีละผูก

เรื่องการอ่านพระไตรปิฎกเป็นอาชีพของพระ อาตมาเองอ่านพระไตรปิฎกหมดไปหลายจบแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้โยมควรจะอ่านกันเอง จะได้รู้ว่าพระพุทธวจนะที่แท้จริงเป็นอย่างไร พระองค์ท่านตรัสถึงแต่ละอย่างว่าอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะชุดที่ถวายมามีอรรถกถาแปลขยายความให้ด้วย ยิ่งเข้าใจได้ง่ายขึ้น พระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยโบราณ เราจึงอ่านเข้าใจยาก อย่างเช่น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงเข้าถึงทุคติ วินิบาต อ่านแล้วมึน บอกว่าตายแล้วลงนรกก็หมดเรื่อง..!

พระไตรปิฎกที่อยากจะให้อ่านมากที่สุด เป็นพระไตรปิฎกฉบับแก่นธรรม ที่ร้านหนังสือมหาจุฬาบรรณาคารน่าจะมี ส่วนพระไตรปิฎกฉบับประชาชนนั้นรวบรัดเกินไป รวบรัดเสียจนกลายเป็นดรรชนีค้นหาไปเลย ตอนแรก ๆ ยังดีอยู่เพราะมีเนื้อหาย่อให้ พอท้าย ๆ คนทำคงเหนื่อย ย่อไม่ไหว กลายเป็นดรรชนีบอกว่าเรื่องนั้นมีเนื้อหาอยู่ที่เล่มไหนไปเลย

แม้พระไตรปิฎกฉบับแก่นธรรมเนื้อหาจะไม่มากเท่ากับชุดใหญ่ แต่ก็ไม่น้อยไปจนกระทั่งไม่เข้าใจใจความ เพราะตัดเอาเนื้อหาสำคัญ ๆ มา แต่อาตมาอยากจะให้อ่านเล่มใหญ่เต็มฉบับ อย่างชาดกในพระไตรปิฎกบางฉบับมีแต่เนื้อหาเฉย ๆ ไม่ได้บอกว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสถึงชาดกเรื่องนั้น และไม่ได้สรุปว่า เมื่อจบแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่าอย่างไร เกิดผลอะไรขึ้นแก่ผู้ฟัง ทำให้พวกเราไม่รู้ว่าความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาว่าคืออะไร อยู่ ๆ ก็มีเนื้อเรื่องโผล่มาแล้วก็เงียบไปเฉย ๆ "

เถรี 20-05-2012 10:39



พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือว่า "บางทีหนังสือดี ๆ กลับไม่ได้รับความนิยมจากตลาดเพราะขายไม่ได้ พิมพ์ครั้งหนึ่งก็เข็ด ไม่มีการออกใหม่อีก อาตมาอ่านลูกม้าสีแดงของจอห์น สไตน์เบ็ค ตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๒ มาหาอ่านได้อีกทีตอนอายุเกือบ ๔๐ ปี ของดีมักจะขายไม่ค่อยออก ต้องเป็นประเภทพวกเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ปัจจุบันนี้เด็กรุ่นใหม่นิยมอ่าน เขาก็เลยอยู่กับความฝันมากกว่าความจริง

ความฝันถือว่าช่วยเสริมสร้างจินตนาการ แต่เราต้องยอมรับด้วยว่าสภาพความจริงของโลกไม่ใช่สิ่งที่ฝัน มนุษย์ทุกรูปทุกนาม ทุกชาติทุกภาษามีความฝัน เพราะฉะนั้น..เขาจึงมียุคพระศรีอาริย์ มีแชงกรีล่า มีแดนดอกท้อ มียูโทเปีย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ว่ามา อยู่ในลักษณะของจินตนาการ แต่บุคคลที่เข้าถึงความดีก็สามารถที่จะไปได้ อย่างแดนดอกท้อของจีนก็คือเมืองลับแล"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:23


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว