เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์กล่าวว่า "อายุกาลผ่านไป วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ? ครูบาอาจารย์เฒ่าชะแรแก่ชราลงไปทุกวันแล้ว ยังจะรื่นเริงบันเทิงใจเหมือนคนมีเวลามากอีกหรือ ?"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาไปบวงสรวงเปิดบ้านเติมบุญ เปิดบ้านรอไว้แล้ว เปิดข้ามปีเลย ด้วยความที่กลัวรถติดตอนไปบวงสรวงช่วงเช้า เขาบอกว่าเส้นนี้รถติดมหาวินาศน์ตอนช่วงสาย ๆ ก็เลยติดหนังสือไปด้วยสองเล่ม กะว่าถ้ารถติดก็จะอ่านหนังสือรออยู่บนถนนนั่นแหละ
ปรากฏว่า ๒๐ นาทีก็กลับมาถึงบ้านวิริยบารมีแล้ว แสดงว่าการที่อาตมาขอความคล่องตัวให้กับทุกคนนั้น บังเกิดผลกับตัวเองด้วย จากรถที่ติดสาหัสสากรรจ์ทุกวัน กลายเป็นโล่งไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? เรื่องของครูบาอาจารย์ เวลาท่านสงเคราะห์ ท่านก็ให้มากกว่าที่เราคิด แต่ขณะเดียวกันเราต้องมีพื้นฐานในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา ไว้เป็นเครื่องรองรับด้วย ไม่ใช่เอะอะก็จะขอกันอย่างเดียว คนที่จะขอได้ต้องมีต้นทุนเพียงพอ สังเกตไหมว่าบางคนบนที่ไหนก็ได้ ขณะเดียวกันเราบนเสียร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทั้งในและต่างประเทศแต่ไม่เคยได้สักที เพราะว่าต้นทุนของเรายังไม่พอที่ท่านจะสงเคราะห์ให้ได้" |
พระอาจารย์กล่าวในงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "วันนี้ได้รับการอนุเคราะห์จากตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่, หลวงตาวัชรชัย วัดถ้ำเขาวง, ครูบาหน่อแก้วฟ้า ลานธรรมอรหันตา อ.คง จ.นครราชสีมา, พระอาจารย์นิล ชาครธมฺโม สำนักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ปีหน้าอาตมาจะไปทอดกฐินปลดหนี้ให้พระอาจารย์นิล ความจริงท่านยังไม่ทันได้เป็นหนี้หรอก แต่อาตมาจะปลดหนี้ให้ก่อน และครูบาวิฑูรย์ จาก ปรียนันท์ธรรมสถาน ตลอดจนกระทั่งเพื่อนพ้องน้องพี่ พระภิกษุสามเณรในสายธรรมเดียวกัน ถึงเวลามีงานมีการก็ได้รับนิมนต์มาช่วยเหลือกัน
ในปัจจุบันนี้รัฐบาลของเราเกิดขึ้นมาเพราะคำว่า "ปรองดองสมานฉันท์" ซึ่งตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ สองปีผ่านไปแล้ว ยังไม่สามารถจะสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้อย่างที่ตั้งใจ อาตมาเองขอโอกาสที่พวกเราอยู่กันมาก ๆ เตือนว่า ปีหน้าถ้ามีการปลุกระดมทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใดก็ตาม ขอให้อยู่เฉย ๆ กับบ้าน แล้วจะปลอดภัย บอกมากกว่านี้ไม่ได้ เอาแค่นี้แหละ ปีนี้บอกเรื่องน้ำท่วมปักษ์ใต้ให้พวกเราระวังล่วงหน้า อาตมาก็โดนเหยียบเกือบตายไปแล้ว เรื่องบางอย่างสงสารและเป็นห่วงญาติโยม อะไรที่พอจะบอกกล่าวกันได้ก็บอก แต่บางอย่างวาระกรรมนั้นหนัก เราจะเลี่ยงพ้นทีเดียวก็ไม่ได้ ดังนั้น...จากเวลาที่บอกเอาไว้ก็เลื่อนไปเป็นเดือน แทนที่จะท่วมในจังหวะในวาระที่บอกกล่าว ก็เลื่อนมาเดือนหนึ่งพอดี พวกเราระวังแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สบายใจ ....(หัวเราะ).... เขามาตอนเรากำลังสบายใจนั่นแหละ..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อุปสรรคเกิดได้เสมอ ถ้าว่ากันตามรากศัพท์ อุป แปลว่า เข้าไปใกล้, สัคคะ แปลว่า สวรรค์ ดังนั้น...ถ้าก้าวข้ามไปได้ก็จะมีความสุขเหมือนกับได้ไปสวรรค์ อุปสรรคจึงเป็นเรื่องดี ทำให้มีกำลังใจมุ่งมั่นก้าวข้ามสิ่งต่าง ๆ ทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมาได้"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าเราไปเจอกันที่บ้านเติมบุญ ข้างสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ ไปสนับสนุนกิจการรถไฟฟ้าสายสีม่วงหน่อย เขาขาดทุนเยอะ อาตมาก็เลยต้องย้ายไปอยู่ตรงนั้น แต่ใกล้กว่าบ้านนี้ เพราะว่าลงจากสถานีรถไฟฟ้าก็ถึงบ้านเลย เนื่องจากบ้านอยู่ติดกับถนนใหญ่ ไม่ได้เข้าซอยแบบนี้
แต่จะหาที่นั่งแบบนี้ยาก เพราะที่นั่นสามชั้นรวมกันยังใหญ่ไม่เท่ากับห้องโถงนี้ ถ้าไปกันเยอะ ๆ รู้สึกจะอบอุ่นดีมาก นึกถึงตอนที่อยู่บ้านอนุสาวรีย์ ที่รับสังฆทานประมาณมุมหนึ่งข้างหลังห้องโถงนี้ ประมาณ ๑ ใน ๓ แค่นั้นเอง แต่ก็อยู่กันได้ เพราะท่านที่มาเห็นว่าไม่มีที่นั่งก็กลับ แต่ว่าพอมาอยู่บ้านหลังนี้มีที่กว้างขึ้นก็มานั่งแช่กัน เพราะฉะนั้น...บ้านจะใหญ่จะเล็กไม่ได้สำคัญ พวกเราสามารถปรับให้พอดีได้เสมอ ถ้าใครติดใจบ้านหลังนี้ก็ยังคงมาได้ตามปกติ รอเจ้าของบ้านท่านประกาศว่าจะมีพระมาสอนกรรมฐานกันเมื่อไร ก็จะเป็นพระสายวัดป่ามาแทน" |
หลังจากสวดพระคาถาเงินล้านจบ พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำเวลาได้ดีมาก ๑ ชั่วโมง ๒๕ นาทีโดยประมาณ แต่ยังขาดสติอยู่ ถึงเวลานับ ๆ ไปแล้วก็ลืมว่า ตัวเองนับจบนี้ไปแล้วหรือยัง จึงมั่วไปเลย"
|
หลังจากกล่าวถวายบ้านเติมบุญ พระอาจารย์กล่าวว่า "ในที่รับสังฆทานใหม่ที่จะเริ่มต้นในเดือนมกราคม ปี ๒๕๖๐ นั้น ก็ได้คุณณัฐพล สุขวัฒนศิริ พร้อมกับครอบครัว ในนามของบริษัทมุลเลอร์ แมคคานิค ได้ทำการปรับปรุงจนกระทั่งเหมาะสมที่จะใช้ในการเจริญกรรมฐาน ตลอดจนรับศรัทธาญาติโยม โดยมีคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์เว็บพลังจิต เป็นผู้ประสานงานและวิ่งเต้นจนกระทั่งน้ำหนักขึ้นมาหลายกิโลกรัม
ต้องขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งที่ท่านทั้งหลายมีจิตอันเป็นกุศล ได้สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม ตามที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ของเรา ได้ทรงมีพระราชปณิธานและทรงกระทำมาโดยตลอด ก็ถือว่าเป็นการน้อมนำเอาพระราชดำรัสมาใช้งานจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนควรจะได้น้อมนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และทำให้ได้ผลจริงในลักษณะเดียวกัน" |
โอวาทจากหลวงตาวัชรชัย ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "ระยะช่วงเวลานี้ของโลก ของบ้านเมืองเรา ของพระพุทธศาสนา และของสำนักทุกสำนักในสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ก็กำลังให้ผลค่อนข้างแรง ทั้งในด้านกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้น...หลวงตาจะไม่พูดอะไรถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นวิบากกรรมซึ่งละเอียดอ่อน มีเหตุอันยาวนานมามากมาย
ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจน้อมรับโอวาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และครูบาอาจารย์ที่เราเคารพ ขอให้ทุกคนตั้งใจ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ก็อย่าไปโทษคนอื่น ให้หันมามองตัวเองก่อน ว่าเหตุการณ์นี้เรามีส่วนเลว ส่วนผิดอันใดบ้าง ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป ให้ตั้งใจทำความดีต่อไป ถ้าผิดก็รีบแก้ไขเสีย ก็จะเอามลทินออกจากใจเราได้ เท่ากับเอาอุปสรรคขวากหนามออกจากสังคม ออกจากสำนักเราได้ ในเวลาเดียวกันก็ตรวจดูในใจเราว่า ความดีที่เราทำมาหลายอสงไขย หลายชาตินับไม่ถ้วน ดีพร้อมหรือยัง ? หาให้เจอว่ากระแสความดีที่เราทำมาคืออะไร ขาดตรงไหน ? แล้วทำเฉพาะที่ขาดให้ถึงพร้อม ไม่ต้องไปฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความดีอะไรที่นอกวาสนาของเรา หรือความดีของคนอื่นก็ไม่ต้องไปแตกตื่นเอาเข้ามาในใจเรา เพราะเป็นคนละคน คนละประเภทกัน เมื่อความเลวในใจเราหมดสิ้นไปมากที่สุด ความดีที่เรายังขาดถึงพร้อมขึ้นมา ความผ่องใสย่อมเป็นผลโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ขอให้ทุกคนได้ผลตามหัวใจของพระพุทธศาสนา หลวงตาก็ขอให้พรแค่นี้นะ" |
โอวาทจากตุ๊พ่อมหาสิงห์ ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "ได้ยิน ได้อ่าน ในหนังสือที่เขาเขียนไว้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราสร้างบารมี ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป และมีบริวารเยอะ ท่านได้ไปพระนิพพานแล้ว ท่านก็บอกให้พวกเราทั้งหลายที่ได้มาพบองค์หลวงพ่อแล้ว ช่วยองค์หลวงพ่อ ชวนลูกชวนหลานหลวงพ่อทุก ๆ รูป ทุก ๆ นาม กลับไปบ้านใหญ่ที่องค์หลวงพ่อสร้างไว้ที่พระนิพพาน
ก็ขอให้ภารกิจอันนี้จงเป็นของพวกเราทุกคน ชักชวนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย อมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย วิญญาณทั้งหลาย ที่เป็นลูกหลาน เป็นบริวารขององค์หลวงพ่อ ไม่ว่าจะต่ำต้อยน้อยค่าขนาดไหน ก็ขอให้พวกเราทำภารธุระ บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา แผ่เมตตา ชักจูงกันไปทั้งหมดทั้งสิ้นเน้อ" |
โอวาทจากพระอาจารย์ ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "บางเรื่องสมควรจะพูด แต่ถ้าไม่พูดพวกเราก็จะไม่มีการเตรียมพร้อมกัน
บ้านเราเมืองเราอยู่ในช่วงของการสูญเสียและได้รับ การสูญเสียของเราก็คือ การสูญเสียพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา ความดีของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่ทั่วโลกได้ประจักษ์ ในส่วนที่เราได้รับก็คือ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ต่อมา เพียงแต่ว่าภาวะกรรมของคนไทย ตลอดจนกระทั่งชาวโลก ถึงวาระที่เราจะต้องมีการชดใช้ คราวนี้การชดใช้นั้นจะมาในรูปแบบของสงครามก็ดี หรือ ในส่วนของภัยธรรมชาติก็ตาม ถ้าเรามีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย อันตรายเหล่านี้ก็จะมาถึงเราได้น้อย เพราะบารมีของพระท่านก็ดี พรหมเทวดา หรือครูบาอาจารย์ก็ตาม ท่านจะปกปักรักษาผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในคุณความดีทั้งหลายเหล่านี้ เหมือนดังในพระอภิธรรมได้กล่าวไว้ถึงฐิตกัปปีบุคคล คือ บุคคลผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ขนาดไหนว่า กัปของเรานี้อยู่ใน สังวัฏฐายีอสงไขยกัป ก็คือจะต้องดับสลายเสื่อมทรามลงไป แต่ถ้ามีบุคคลที่ทรงคุณความดี ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลแม้แต่คนเดียว โลกนี้ก็ยังจะไม่สลายไปด้วยอำนาจของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่แปรปรวน เขาเรียก ฐิตกัปปีบุคคล เป็นบุคคลที่ยังกัปให้ตั้งอยู่ได้" |
"คราวนี้ในส่วนของพวกเรา ถ้าเราพร้อมจิตพร้อมใจกันทำในส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามแนวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงได้ให้เอาไว้ ขอให้เชื่อมั่นว่าอันตรายทั้งหลายที่จะบังเกิดแก่เรานั้นจะมีน้อยมาก ต่อให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินบางอย่างไป แต่เราจะไม่ถึงขนาดเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด แต่ถ้าเราไม่มีการเตรียมตัวกันเลย พอเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น เราก็จะอยู่ในลักษณะของการรับมือไม่ทัน
อาตมาเองมาในสายพระโพธิสัตว์เก่า ดำเนินตามรอยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา บางอย่างพอจะฝืนกฎของกรรมได้ ก็พยายามบอกกล่าว แต่ถ้าเราทำกรรมไว้มากจริง ๆ ก็อย่างที่บอกเอาไว้ว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อจะเกิดขึ้น ก็มีการเลื่อนระยะเวลาออกไป ทำให้เราเกิดความประมาท ในที่สุดวาระกรรมก็หาช่องทางเล่นงานเราจนได้" |
"ในช่วงของปีหน้าและปีถัดไป เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคล ตลอดจนกระทั่งการเมือง ถ้าหากทุกฝ่ายยังมุ่งเอาชนะคะคานกัน ไม่น้อมนำเอาพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาเป็นเครื่องนำชีวิต อาจจะต้องมีการปะทะหักล้างกัน สร้างความเดือดร้อนขนานใหญ่แก่ส่วนรวม ถ้าเกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นวาระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนมีสติ รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักว่าอะไรควร อะไรไม่ควร โดยเฉพาะในเรื่องของคำพูดและการกระทำ
ในส่วนของการกระทำ สมัยนี้ข่าวคราวต่าง ๆ เกิดขึ้นง่ายมาก รับได้ง่ายมากและส่งได้ไวมาก โดยเฉพาะการกดแชร์แค่ทีเดียวเท่านั้นเอง ก็ออกไปในหมู่พวกเราไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความจริง ? ปัจจุบันข่าวถึงเราได้เร็วมาก สามารถค้นหาเนื้อหาเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่ายมาก แต่เราค้นหาความจริงได้ยากมาก ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่สิ่งที่เราอยากรู้ แต่เป็นสิ่งที่เขาต้องการให้เรารู้ ก็แปลว่าเราจะเห็นเพียงมุมเดียวของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ส่วนใหญ่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเราขาดสติ จะกลายเป็นว่าพวกเรานั่นแหละที่ช่วยกันสร้างกระแสร้อนให้เกิดขึ้นในสังคมของเรา จนกระทั่งในที่สุดกระแสเหล่านั้นเกิดปะทะกันเอง แล้วก็จะเดือดร้อนกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง" |
"อาตมาถือว่าพูดตรงที่สุดแล้ว ก็ได้แค่ไม่เกินไปกว่านี้ ขอให้พวกเรารอดูว่าปีนี้และปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนที่ได้ตักเตือนไว้ตั้งแต่ ๒-๓ เดือนที่แล้ว ก็คือ ใครอยู่ในกรุงเทพฯ ขอให้เตรียมภาชนะสำรองน้ำเอาไว้บ้าง ปีหน้าจะแล้งกว่าปีนี้อีก ปีนี้โชคดีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังอยู่ ได้อาศัยบารมีของพระองค์ท่านนำฝนมาตกได้ทันเวลา
พวกเราไม่รู้ว่าในหลวงของเราเป็นที่รักของพรหมเทวดามากขนาดไหน ท้าวมหาราชท่านนำเอาความชื้นในทะเลขึ้นมากลายเป็นฝน ทำให้มีน้ำในเขื่อน แม้ว่าจะไม่เพียงพอถึงปีหน้า แต่ก็ช่วยให้ความแล้งเหล่านั้นผ่านพ้นไปในปีที่ผ่านมา ถ้าพวกเราได้เห็นจะทึ่งมาก เพราะลักษณะที่เกิดขึ้นก็คือ สึนามิที่จะถล่มบ้านถล่มเมืองนั่นเอง แต่ไปเกิดขึ้นในมหาสมุทร กระแสคลื่นสูงกว่า ๑๐-๒๐ เมตร วิ่งเข้าหาฝั่ง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำลายอะไร เป็นเพียงการไล่เอาความชื้นในทะเลมาบนบก จนกระทั่งตกลงมากลายเป็นฝน กระแสคลื่นเหล่านั้นสลายตัวไปก่อนที่จะเข้าสู่ฝั่ง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น เพราะเจตนาก็คือแค่ต้องการสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ประเทศชาติของเราที่กำลังแห้งแล้ง ต่อไปเราคงไม่สามารถที่จะหาในหลวงที่ทรงคุณธรรมถึงระดับนี้ได้อีก ธรรมชาติต่าง ๆ ก็คงจะแปรปรวนไปตามสภาพ ทั้งของธรรมชาติเองและเกิดจากแรงกรรมที่พวกเราได้สร้างกันมา" |
"สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พูดไปเหมือนกับคนบ้า แต่อาตมาในฐานะที่ฝึกหัดในวิชากรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ขอยืนยันว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนตอนนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง ถ้าใครที่ตั้งใจทำ แค่สามารถที่จะเข้าถึงได้บางส่วน ก็จะรู้เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถรู้เห็นได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการ
สิ่งที่ท่านต้องการ ก็คือ ให้พวกเราสามารถก้าวพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้น...ในส่วนที่ท่านสอนพวกเรามา ไม่ว่าจะเป็นอภิญญาสมาบัติก็ดี มโนมยิทธิก็ตาม ส่วนที่ท่านต้องการที่สุดก็คือ ให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เราไม่มีเวลาที่จะแวะที่ไหนอีกแล้ว โลกเราเร่าร้อนอยู่ยากขึ้นทุกวัน ถ้าเรายังไม่เร่งขวนขวายที่จะหนีไปให้พ้น เราก็จะลำบาก โดยเฉพาะความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีแต่จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ สภาพจิตใจของคนห่างไกลจากความดีไปเรื่อย ๆ พวกเราที่ตั้งใจมาทำความดีกัน ก็เหมือนอย่างกับน้ำแก้วเดียวที่ใช้ดับไฟซึ่งเผาไหม้ทั้งประเทศ โอกาสที่จะเกิดความสำเร็จย่อมเป็นไปได้ยาก แต่เราก็ไม่ควรที่จะท้อถอย ต้องดูพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านต่อสู้เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกร เพื่อความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย แต่พระองค์ท่านก็ไม่ได้ท้อถอย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์ท่านอย่างเต็มความสามารถ ตลอด ๗๐ ปีเต็ม ๆ ๔,๕๙๖ โครงการ ทำเพื่อความสุขของส่วนรวมทั้งหมด ไม่มีทำเพื่อพระองค์เองเลย" |
"ฉะนั้น...ถ้าวันไหนพวกเราท้อถอยขึ้นมา ขอให้ดูพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างของเรา ขณะเดียวกันสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเรามา อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว
วันนี้อาตมาสวดมนต์จนเสียงหายหมด สภาพร่างกายเป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะพูดจะคุยกับพวกเราก็คงจะน้อยลง ถ้าหากพิธีกรต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ก็คงจะพูดต่อไม่ไหว คาดว่าสิ่งที่บอกพวกเราไปเป็นการฝืนกฎของกรรมมากแล้ว ต้องรู้จักวิเคราะห์แยกแยะ และขณะเดียวกันก็อย่าประมาท ให้ยึดถือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคน ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ก็เชื่อว่าภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากคน หรือเกิดจากธรรมชาติ จะมีผลกระทบต่อพวกเราและคนรอบข้างน้อยกว่าคนอื่น ขอเจริญพรไว้แต่เพียงเท่านี้" |
ถาม : สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต จะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในอนาคต หรือด้วย อิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ บุญฤทธิ์ หรือฤทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แม่นแล้ว...ความจริงฤทธิ์บางอย่างสามารถแก้ไขได้ แต่ท่านที่ทำได้ก็ไม่ฝืนกฎของกรรม เพราะฉะนั้น...ก็แปลว่าแก้ไขไม่ได้ |
ถาม : "มหาสังฆทาน" แบบเต็มรูปแบบนั้น มีวัตถุทานอย่างอื่นประกอบด้วย นอกเหนือจากพระพุทธรูปขนาด ๕ นิ้ว, ผ้าไตรจีวร และอาหาร ตามแบบที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ได้กล่าวไว้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อะไรก็ได้แม้แต่ชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นเดียว ถ้าตั้งใจถวายสงฆ์ ๔ รูปเป็นเจ้าของร่วมกันถือว่าเป็นสังฆทานทั้งหมด ที่คุณว่ามาเข้าใจผิดแล้ว ก็คือ หลวงพ่อฤๅษีท่านได้รับการขอจากบรรดาผีทั้งหลายบ่อย ๆ จึงได้จัดเป็นชุดสังฆทานขึ้นมา ผีบอกว่าพระพุทธรูปทำให้เขาได้ในส่วนของรัศมีกายที่สว่างมาก พรหมเทวดาเขาวัดกันที่รัศมีกาย ใครสว่างมากก็มีศักดานุภาพมากกว่า ในส่วนของผ้าหรือผ้าไตรจีวรทำให้มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ ส่วนของอาหารทำให้เขาอิ่มทิพย์ ซึ่งก็คือของหลักที่หลวงพ่อให้จัดในส่วนของสังฆทาน แต่ไม่ได้หมายความว่าสังฆทานต้องมีแบบนั้น มีขนมแค่ชิ้นเดียวถวายพระ ๔ รูปขึ้นไปก็เป็นสังฆทานเช่นกัน ถาม : ขอพระอาจารย์เมตตาแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ หากสิ่งเหล่านั้นยังประโยชน์แด่สงฆ์ครับ ? ตอบ : พระพุทธรูปหน้าตักสัก ๒๑ ศอก ถวายไปเถอะ...! |
ถาม : ในส่วนของผ้าไตรจีวร จำเป็นหรือไม่ว่าต้องกี่ขันธ์ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น เป็นผ้าเปล่า ๆ กว้างคืบยาวคืบขึ้นไปก็เป็นจีวรเช่นกัน ถาม : การถวายผ้าไตรจีวร ๙ ขันธ์ อานิสงส์ต่างจากถวายเพียงผ้าสบงธรรมดา หรือชุดผ้าไตรจีวรที่จำนวนขันธ์น้อยกว่าอย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : ถ้าถวายในชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ พระไม่ต้องไปตัดเย็บย้อมด้วยตนเอง อานิสงส์ก็ได้ในส่วนของความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ในส่วนของวัตถุทานถ้าสมบูรณ์พร้อม เวลาที่เราได้รับอะไรก็ได้รับอย่างสมบูรณ์พร้อม ไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน ถาม : ถวายสังฆทานเพียงผ้าสบงสำหรับนุ่งเพียงอย่างเดียว ถือว่าเป็นการถวายผ้าไตรจีวรไหมครับ ? หรือต้องถวายผ้าครบชุดทั้ง ๓ ส่วน เท่านั้น ? ตอบ : ตอบไปแล้ว ฟังหรือเปล่าครับ..!? |
ถาม : หากญาติเสียชีวิตและไม่เคยมาเข้าฝันเลย ในลักษณะเช่นนี้ ถือว่าดวงวิญญาณนั้นมีสิทธิ์ที่จะไปจุติยังภพเบื้องบน แต่ขี้เกียจมาหาลูกหลานแล้วหรือเปล่าครับ ? หรือลงนรกภูมิรับโทษไม่มีว่างมาเข้าฝันครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือขึ้นไปเพลิดเพลินกับทิพยสมบัติ ด้วยเวลาที่ต่างกันมาก ไม่ทันจะรู้ตัว ข้างล่างก็ผ่านไปหลายร้อยปี อีกอย่างก็คือลงข้างล่าง ซึ่งอายุนานยิ่งกว่าข้างบนอีก โอกาสจะหลุดขึ้นมาในช่วงอายุของแต่ละคนก็ยาก ฉะนั้น...ทำใจเถอะ..! |
ถาม : ที่ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่าเมื่อมีคนตายแล้วเราอยากรู้ว่าเขาตายแล้วไปไหน ท่านตอบว่าให้ฝึกทิพจักขุญาณแล้วตามไปดู ข้าพเจ้าอยากทราบว่าการฝึกทิพจักขุญาณต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?
ตอบ : ไปหาดูในอินเตอร์เน็ต วิธีการมีบอกไว้เพียบ...! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:04 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.