กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4502)

เถรี 06-07-2015 17:39

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
 
ถาม : เมื่อดิฉันนั่งภาวนาดูลมหายใจ ดิฉันจะมีวิธีการเฉพาะตัว คือ มองคลื่นม่วงพื้นหลังสีดำในตาควบคู่ไปด้วย เมื่อนั่งไปเรื่อย ๆ คลื่นม่วงจะหายไป พื้นหลังจะกลายเป็นสีเทาและสีขาวตามลำดับ เมื่อจิตรวมดีแล้ว จะเริ่มมีอาการหน่วงที่ศีรษะ ตัวเบา รู้สึกเหมือนโดนผลักจิตให้หลุดออกจากร่างกายเสมอ แต่ว่าออกไปไม่ได้ เหมือนกับติดประตู เมื่อถอนสมาธิออกมารู้สึกเหนื่อยมาก อาการที่ดิฉันพบเจอคืออะไร ? ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : เป็นลักษณะของสภาพจิตที่จะออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ให้ตั้งใจภาวนาแบบนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังพอจะออกไปได้เอง

อาการออกแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังมีลักษณะอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ สภาพจิตจะควบแน่นเข้า หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ อัตราน่าจะเกิน ๑๒๐ ครั้งต่อนาที มีแต่เกินไม่มีขาด หลังจากนั้นถ้ากำลังพอ ก็จะโดนเหวี่ยงหลุดออกไปเลย แต่ถ้ากำลังไม่พอ หลุดออกมาก็เหนื่อยแฮ่ก ๆ แบบที่ว่ามา พยายามซักซ้อมต่อไป โดยเฉพาะให้พิจารณาตัดร่างกายบ่อย ๆ เดี๋ยวกำลังพอก็จะไปได้เอง

เถรี 06-07-2015 17:40

ถาม : ช่วงหลัง ๆ มาเวลาทำสมาธิทีไร มักจะมีอาการตึง ๆ ระหว่างคิ้ว บางทีก็อยู่แถว ๆ สันจมูก บางทีก็ตึงทั้งใบหน้าและบริเวณปาก แรก ๆ จะเป็นเฉพาะเวลาทำสมาธิ หลัง ๆ มาไม่ว่าจะเดินไปไหน เวลานึกถึงลมหายใจก็จะมีอาการอย่างนี้เสมอ อยากทราบว่าอาการอย่างนี้คืออะไรครับ ? เป็นฌานหรือเปล่า ? และถ้าสวดคาถาเงินล้านระหว่างที่อาการอย่างนี้ปรากฏ จะมีผลมากน้อยเพียงไรครับ ?
ตอบ : เอาคำถามแรกก่อน เป็นอาการของสมาธิที่เริ่มทรงตัวตั้งมั่นแล้ว ส่วนจะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌาน ไปเปิดหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ดูบทที่ ๗ หน้า ๔๐ พอดี อ่านดู..ถ้าหากว่าตรงกับฌานระดับไหนก็ระดับนั้นแหละ ส่วนถ้าภาวนาคาถาเงินล้านในขณะที่ทรงอารมณ์แบบนี้ ก็ต้องบอกว่ามีผลมากกว่าปกติ เพราะสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว

เถรี 06-07-2015 17:43

ถาม : แม่พระธรณีเป็นตำแหน่งหรือไม่ครับ ? ท่านเป็นเทวดาหรืออริยบุคคลครับ ?
ตอบ : แม่ธรณีเป็นตำแหน่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วเทวดาก็ต้องจัดสรรบุคคลกับที่บารมีใกล้เคียงกับที่เขาสมมติไว้มารับหน้าที่นั้น ๆ ตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนางฟ้าชั้นจาตุมหาราช โหดสุด ๆ..! ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เป็นบุคคลทั่วไป ภาระหน้าที่ของท่านคือเป็นที่รองรับของมนุษย์และสัตว์ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งมวล ต้องบอกว่าอารมณ์ใจของท่านคล้ายคลึงกับพรหมเลย ดังนั้น..อาตมาไม่กล้าที่จะพยากรณ์ว่าท่านเป็นอะไร รู้ว่าท่านเป็นแค่นี้ก็แล้วกัน

ถาม : หากต้องการบูชาระลึกถึงท่านควรวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ก็นึกถึงท่านเป็นปกติในฐานะเทวดา ว่าทรงคุณความดีอะไรบ้าง หรือจะเรียก “แม่จ๋าช่วยด้วย” ก็ว่าไป

เถรี 06-07-2015 17:46

ถาม : เวลาผมขับรถไปตามเส้นทางต่าง ๆ ผมมักจะเห็นด้วยหางตาว่า มีบางอย่างยืนอยู่หน้าบ้านคนข้างทาง บางบ้านก็รู้สึกว่าท่านที่ผมเห็นยิ้มแย้ม มายืนทักทาย บางท่านยืนหน้าบ้านแบบไม่สนใจผม และรู้สึกว่ารันทด มีความทุกข์ เห็นด้วยหางตาเสี้ยวเวลานิดเดียว แต่เหมือนกับรู้หมดว่าลักษณะแบบไหน แต่งกายลักษณะอย่างไร และอีกแบบหนึ่งที่ผมมักจะเห็นข้างถนน แต่อยู่ใกล้ ๆ เสาบ้าง กองขยะบ้าง ไม่ค่อยเห็นอยู่ที่โล่ง ๆ ที่จะกราบเรียนสอบถามทั้งหมดคือว่า อุปาทานกินไหมครับ ? กลัวว่าไปเห็นเสาบ้าง กองขยะบ้าง แล้วจิตปรุงไปเอง แต่ถ้าจริง ทำไมเขาชอบไปอยู่แถวเสา หรือกองขยะ แม้กระทั่งตู้โทรศัพท์ ?

ตอบ : ต้องบอกว่าใกล้บ้าแล้ว..! เป็นลักษณะที่สภาพจิตอยู่ช่วงอุปจารสมาธิพอดี จะสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ แต่ถ้าเราตั้งใจมองเมื่อไร สมาธิจะเกินช่วงนั้น ภาพนั้นก็จะหายไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เขาไม่ได้ชอบอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่สามารถจะไปอยู่ที่อื่นได้ เหมือนอย่างกับว่าเขามีขอบมีเขตของเขาอยู่ บางคนก็เรียกว่าผีบ้านผีเรือน บางคนก็เรียกว่าสัมภเวสี

บางท่านก็ตายก่อนหมดอายุขัย บางท่านถึงหมดอายุขัย
แล้วตาย แต่ว่าความดีที่ตัวเองทำมามีน้อยมาก ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพอย่างนั้น ถ้าญาติตัวเองไม่รู้จักทำบุญไปให้ก็รันทดหน่อย ถ้าญาติตัวเองรู้จักทำบุญไปให้ก็หน้าบานเป็นจานเชิง ไปเที่ยวทักคนโน้นคนนี้

เถรี 06-07-2015 17:47

ถาม : กระผมอยากเรียนถามถึงข้อสงสัย ที่ได้อ่านเทศนาธรรมของหลวงพ่อสดมาครับ ท่านพูดถึงการติดสุขในขั้นต่าง ๆ ไล่ไปตั้งแต่สุขในกาม สุขในฌาณ สุขในอรูปฌาณ จนถึงสุขในนิพพาน ท่านบอกว่าต้องไม่ติดสุขแค่นี้ หาสุขที่ละเอียดขึ้นไป กระผมจึงอยากทราบว่า สุขที่ละเอียดขึ้นไปกว่าสุขในพระนิพพานที่ท่านกล่าวถึง หมายถึงอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากรู้จริง ๆ ก็ทำให้ได้เหมือนหลวงพ่อสดแล้วจะรู้เอง ถ้าหากว่าไม่ทำ เรื่องของนกบนฟ้าไปบอกปลาในน้ำ บอกให้ตายปลาก็ไม่เข้าใจ

เถรี 06-07-2015 17:50

ถาม : เนื่องจากมีเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งหนึ่งใช้ให้ลูกศิษย์ตำพระผงองค์เล็ก ๆ ที่ชำรุดแตกหัก เพื่อนำผงที่ได้ไปผสมหล่อเป็นพระผงองค์ใหม่ขึ้นมา ในกรณีนี้ เจ้าอาวาสผู้ใช้ให้ตำพระผง กับลูกศิษย์ที่ตำบดพระตามคำสั่ง ใครโทษหนักกว่ากันครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนถ้าใครฆ่าไก่ ผู้ใหญ่เขาบอกว่า "บาปคนทำ กรรมคนกิน" อันนี้ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่งแล้วกัน ยุติธรรมดี

ถาม : อานิสงส์ที่ได้สร้างพระผงขึ้นมาใหม่นี้ จะสามารถลบล้างโทษ จากการตำพระผงที่ชำรุดได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : การตำพระเป็นการทำลายพระพุทธรูป เป็นโทษที่เป็นอกุศลกรรม การสร้างพระเป็นการสร้างพระพุทธรูป เป็นบุญที่เป็นกุศลกรรม ไม่สามารถที่จะกลบหักล้างกันได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ดีส่วนดี ชั่วส่วนชั่ว ถ้าถึงเวลากำลังด้านไหนหนักกว่าก็เสร็จด้านนั้นแหละ..!

ถาม : เราสามารถสร้างพระองค์ใหญ่ ๆ ถวายวัด เพื่อหนีกรรมจากการบดตำพระที่ชำรุดได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ทดแทนกันไม่ได้

ถาม : มีวิธีแก้ผลกรรมจากการบดตำพระผงเพื่อนำมาหล่อสร้างพระขึ้นมาใหม่ได้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : เท่าที่ทราบมายังไม่ปรากฏวิธี ยกเว้นว่าตั้งใจกราบขอขมาพระรัตนตรัยไปเรื่อย ๆ อาจจะบรรเทาได้สักหน่อยหนึ่ง

ถาม : แต่ถ้าสมมติเขาตำมา แต่เราบูชาโดยไม่ทราบ ก็ไม่เป็นโทษใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ ไม่เห็น คนบูชาไม่เป็นไร แต่ว่าเท่าที่พบมา จำนวนมากด้วยกันที่ตั้งใจอยากได้มวลสารประเภทนั้น ถือว่าโมทนาร่วมกัน ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี 06-07-2015 17:52

ถาม : อยากทราบว่าถ้าเราให้พระผง, พระพุทธรูป, เหรียญพระ, รูปพระ, ตะกรุด แก่บุคคลอื่น เราจะได้อานิสงส์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกก็คือทานบารมี อันดับสองได้จาคานุสติ ถ้าสิ่งที่ให้ไปเป็นรูปพระพุทธก็ได้พุทธานุสติ ถ้าเป็นรูปพระสงฆ์ก็ได้สังฆานุสติ ถือเป็นบุญใหญ่มาก

เถรี 06-07-2015 18:07

ถาม : เลี้ยงสัตว์ไว้ในห้องแต่ไม่ได้ปล่อยออกมาวิ่งเล่นข้างนอก แต่พามาเล่นบางครั้ง ถือว่าบาปไหมครับ ? เป็นการกักขังสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าครับ ? ผมเก็บแมวจรจัดที่กระโดดมาอาศัยอยู่หลังห้องมาเลี้ยงครับ
ตอบ : ได้บุญที่เลี้ยงเขา แต่ขณะเดียวกันก็ได้บาปที่ไปจำกัดเขตเขา ถ้าไม่เคยสร้างผลบุญอื่นมาก่อนเลย จะไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต มีความสุขเหมือนเทวดาหรือนางฟ้าหมดทุกอย่าง แต่ออกจากวิมานไม่ได้..!

ถาม : แล้วประเภทเอากระต่ายมาเลี้ยง มีเจตนาว่าถ้าออกไปเดี๋ยวจะเกิดอันตราย สัตว์ร้ายจะกัด ด้วยเจตนาแบบนี้จะมีผลอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถจะแก้ไขกรรมในการกักขังสัตว์ได้

เถรี 06-07-2015 18:08

ถาม : โดยปกติพระสามารถบิณฑบาตได้เป็นเวลาไม่เกินกี่โมง ? ในกรณีที่เลยเวลาบิณฑบาต สามารถขอบิณฑบาตสิ่งใดได้บ้าง ?
ตอบ : ถ้าในกรุงเทพฯ มีคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานครตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อพระสุเมธาธิบดี วัดมหาธาตุฯ เป็นเจ้าคณะฯ ระบุไว้ชัดเลยว่า พระในกรุงเทพฯ ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘ นาฬิกา เพราะส่วนใหญ่พวกที่บิณฑบาตแล้วอยู่สาย ๆ มักจะเป็นการหากินเสียส่วนมาก แล้วยังมีข้อห้ามพระเดินห้าง ห้ามพระปักกลดในกรุงเทพฯ ห้ามพระพักในบ้าน จะมีข้อห้ามเอาไว้ชัดเจนมาก ส่วนกรณีที่เลยเวลาบิณฑบาตแล้วก็ไม่ควรที่จะไปขออะไรเขาอีก

ถาม : การขอบิณฑบาตจากผู้ที่ไม่ใช่พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ และไม่ใช่ผู้ที่ปวารณาตัวขอเป็นผู้อุปัฏฐาก โดยมีการโน้มน้าวหรือชักจูงให้ผู้นั้นถวายวัตถุสิ่งของที่ตนต้องการ และวัตถุสิ่งของสิ่งนั้นไม่ใช่ปัจจัย ๔ มีโทษประการใด ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านปรับว่าไม่ใช่พระไปเลย..!

ถาม : การกล่าวอ้างลอย ๆ ถึงวัตถุสิ่งของว่าควรจะเป็นของตน โดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน สามารถทำได้หรือไม่ ? หากมีโทษ จะเป็นโทษหนักหรือเบาประการใด ?
ตอบ : ถ้าเป็นของเขาจริงก็กล่าวอ้างได้ ถ้าไม่เป็นของเขาจริงก็อยู่ในลักษณะของการฉ้อโกง เจ้าของเดิมมาก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี 07-07-2015 18:16

ถาม : เราสามารถกล่าวฝากบุญกุศลที่อุทิศไปให้นั้น ฝากท่านพญายมราชว่า ถ้าได้พบเห็นชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดของผู้ตายนี้ ขอให้ผู้ตายอนุโมทนาบุญจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็คงต้องเป็นวันเดือนปีตาย วันเดือนปีเกิดท่านคงไม่รับรู้ด้วยหรอก ...(หัวเราะ)...

ถาม : ตกลงได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าผ่านการตัดสินของท่านก็ได้ ถ้าไม่ผ่าน ประเภทขึ้นตรงลงตรง ท่านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร

เถรี 07-07-2015 18:23

ถาม : เวลาก่อนนอนของทุกวัน ตัวลูกและสามีจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ ปัญหามีอยู่ว่าสามีนั่งสมาธิทุกครั้งก็หลับทุกครั้ง อดไม่ได้ที่ลูกเห็นแล้วต้องเตือน การที่ลูกเตือนนั้นเป็นบาปหรือไม่ ? หรือควรปล่อยให้หลับไปแบบนั้น ?
ตอบ : น่าจะบาป เพราะลูกกับสามีเขาทำความดี ตัวเองไม่ทำอะไรแถมไปว่าเขา ก็โยมใช้คำว่า “ตัวลูกกับสามี” ...(หัวเราะ)... แสดงว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร

ถาม : คือตัวเองก็ทำครับ แต่ตัวสามีนั่งสมาธิแล้วหลับ ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ระดับความสามารถของใครของมัน ถ้าเราตักเตือนเขาโดยเมตตาก็ดี แต่ถ้าตักเตือนในลักษณะที่คิดว่ากูดีกว่า หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะที่เห็นเขาแล้วหงุดหงิด เกิดโทสะ เราจะขาดทุนมากกว่า

ถาม : ถ้าเป็นบาป จะใช้วิธีขอขมาพระรัตนตรัยได้ไหมครับ ?
ตอบ : การทำความดีไม่ใช่บาป เพียงแต่สภาพจิตที่หยาบจะตัดหลับไปเสียก่อน

เถรี 07-07-2015 18:25

ถาม : จะมีโอกาสหรือไม่ที่ท่านจะทำวัตถุมงคลที่เป็นวัวธนูไว้เฝ้าบ้าน ?
ตอบ : จะเอาวัวไว้เฝ้าบ้านซึ่งผิดประเภท ต้องทำหมาไว้เฝ้าบ้าน แล้วหมาธนูอาตมายังไม่เคยเจอ..!

วิชานี้ไม่ได้ศึกษาเอาไว้ เพราะฉะนั้น..อาตมาทำแล้วไม่เป็นวัวหรอก เป็นเทวดาหมด สมัยก่อนหลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร ท่านศึกษาวิชานี้ในลักษณะที่เข้าถึงจริง ๆ แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นยังเล่าเรียนสารพัดวิชาการจากหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ อาตมาจึงไม่มีเวลาที่จะไปกราบขอเรียน ขอศึกษาจากท่าน จนท่านมรณภาพไปก่อน วิชานี้ก็เลยไม่ได้ศึกษามา ถึงเวลาใครเอารูปวัวมาให้เสก ก็กลายเป็นขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ถ้าเทวดารักษาก็ไม่ใช่วัวแล้ว กลายเป็นเทวดาไปหมด

เถรี 07-07-2015 18:27

ถาม : การบนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าประสบผลสำเร็จตามที่บนไว้ จะแก้ด้วยการบวชเนกขัมมะ ๓ วัน ขอสอบถามว่าระยะเวลาที่บวชเนกขัมมะนั้น ถ้าไม่ติดต่อกัน ๓ วันจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าตั้งใจบนไว้อย่างไร แต่ควรจะตรงไปตรงมา ถ้าไม่ได้บอกท่านไว้ว่าจะทำไม่ติดต่อกันก็อย่าไปทำแบบนั้น

เถรี 07-07-2015 18:30

ถาม : ถ้าหากเราปฏิบัติไป แล้วเกิดอารมณ์มีคำถามมากมายล้นทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก หลังจากนั้นสักระยะเราจึงรู้สึกตัวว่าโดนกิเลสเล่นงานแล้ว เราควรวางกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป และควรใช้หลักธรรมข้อใดเป็นหลักยึด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมอีกครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...พยายามหักห้ามกำลังใจตัวเอง นักปฏิบัติจะมีอยู่ ๒ ส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งพอปฏิบัติไปแล้วจะเจอคำถามมากมายมหาศาลอย่างที่ว่า จะอยู่ในลักษณะของวิจิกิจฉาสังโยชน์

อีกส่วนหนึ่งก็คืออยากจะสอนคนอื่นเขา บางคนแทบจะไม่สามารถหักห้ามตนเองได้เลย โดยที่ลืมไปว่าถ้าเรามัวแต่สอนคนอื่นโดยที่ตัวเราเองยังไม่รู้จริง ประโยชน์ที่แท้จริงก็จะไม่มีทั้งเขาและเรา ต้องระวังตรงนี้ให้หนัก เพราะจะกลายเป็นมานะสังโยชน์

ส่วนวิธีแก้ไข ท่องคาถาไว้ว่า “กูไม่เชื่อ” ให้สังเกตดู นักปฏิบัติแถว ๆ นี้ก็มี ถ้าวันไหนเจอหน้ากันแล้วไม่พูด เขาอาจจะขาดใจตาย เสร็จตรงนี้หมด


ถาม : ก็ต้องใช้คาถาว่า “กูไม่เชื่อ” อันนี้ลงในหลักธรรมข้อไหนครับ ?
ตอบ : มีสติ ไม่ประมาท

เถรี 07-07-2015 18:32

ถาม : หลวงพ่อบอกว่า “สามัคคีมีสุข” ก็อยากทำความดีแบบสามัคคี แต่เราเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ค่อยชอบพูดชอบคุย แบบนี้เราจะทำความสามัคคีได้หรือไม่คะ ? และควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ให้ปฏิบัติในสังคหวัตถุ ๔ ไม่ชอบพูดไม่ชอบคุยก็ให้เขาเยอะ ๆ (ทาน) ถ้าชอบพูดชอบคุยก็ใช้ปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ แต่ว่าอัตถจริยา คือการสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นนั้นเว้นไม่ได้ ส่วนสมานัตตา เห็นอกเขาอกเราเหมือนกัน เรารักดีเกลียดชั่วอย่างไร คนอื่นก็เป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้น..อะไรที่เป็นของดี เราชอบ เราก็ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น อะไรที่เป็นของไม่ดี เราไม่ชอบก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ก็แก้ตก ถ้าไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ก็จงมีความเป็นส่วนตัวต่อไป

เถรี 07-07-2015 18:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอตักเตือนญาติโยมทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่า การปฏิบัติของเรานั้นจะมีสิ่งขวางอยู่ตลอดเวลา คอยขวางไม่ให้เราเข้าถึงความดีอย่างแท้จริง การที่เราอยากพูด อยากคุย อยากบอก อยากสอนคนอื่น ก็เป็นลีลาหนึ่งที่มารใช้ขวางความดีของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วว่า อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ต้องเถียงกัน วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ

ฉะนั้น..ถ้าเห็นใครพูดคนเดียวก็หลีกไปห่าง ๆ คือเขาไม่ได้พูดมาก เขาพูดคนเดียว ปล่อยเขาพูดต่อไป เราก็ไปภาวนาของเรา ระดับของการปฏิบัติ ถ้ามาถึงช่วงนี้แล้วจะเป็นทุกคน คือถ้าไม่ใช่สงสัยไปทุกเรื่องก็จะเป็นอยากจะสอนเขาทุกเรื่อง

หรือว่ามีความเป็นส่วนตัวสูงจนหาเพื่อนไม่ได้ อาตมาสมัยก่อนก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังประมาณอายุ ๑๖ ปี เริ่มต้นทุ่มเทให้กับการปฏิบัติจนถึงอายุ ๒๕ ระยะเวลา ๙ ปีเต็ม ๆ ไม่พูดกับใครเลย แต่งานไม่เสียนะ เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เวลาที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ไม่มีเวลาพูดคุยกับใคร

มาปลายปี ๒๕๒๖-๒๕๒๗ ช่วงนั้นก็เป็นครูฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่บ้านสายลมได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นบรรดาท่านที่ไปฝึก พอสงสัยอะไรก็สอบถามบรรดาครูฝึก อาตมาเองได้ยินบางท่านตอบผิด แล้วไม่ใช่ผิดครั้งเดียว ผิดหลายครั้ง ก็เกิดความรู้สึกว่า “ดูท่าเราจะต้องยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวแล้ว” เพราะไม่อย่างนั้นแล้วบรรดาผู้ที่มาฝึกก็จะเสียประโยชน์ เพราะว่าครูฝึกบางท่านก็ไม่รู้จริง จึงหาโอกาสที่จะพูดคุยกับบรรดาพี่ป้าน้าอาในฐานะลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกันนั่นแหละ คุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว แต่อาตมาพูดน้อยจนนับคำได้

เวลาเห็นท่านนั่งคุยกันอยู่ก็เข้าไป “ขออนุญาตครับ ขอผมคุยด้วยได้ไหม ?” ท่านอื่นรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เห็นเขาอึ้งกันไปทั้งวง มีป้าชอ(อัญชัน ศุทธรัตน์) ถอนหายใจดังเฮือก..! บอกว่า “โล่งใจไปที ป้าคิดว่าชาตินี้แกจะไม่พูดกับใครแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาถ้าเห็นว่าใครคุยผิดก็จะอ้อม ๆ ไปใกล้ ๆ ใช้วิธีจูงให้กลับมาถูกทาง

บางทีในเรื่องของการปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโอ้อวดบอกคนอื่นเขาว่าเรารู้อะไร ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเก็บกดมาหลายปี มาระยะหลังนี้พออาตมาได้พูดก็เลยไม่ค่อยอยากจะหยุด..!"

เถรี 07-07-2015 18:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลวัดท่าขนุนนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า คนบูชาไปจะต้องมีใครสักคนโดนตัดสิทธิ์เป็นประจำ ไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพราะอะไร เงินก็จ่ายแล้วแต่ไม่มาเอา ถ้าตัวเองมารับไม่ได้ก็แจ้งทางด้านเจ้าหน้าที่ว่าจะให้ใครมารับแทน แล้วก็ให้คนนั้นเขาแสดงบัตรมารับไปก็ได้"

เถรี 07-07-2015 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่อยากได้วัวธนู อาตมาขอเปลี่ยนเป็นเสือได้ไหม ? ...(หัวเราะ)... แต่คราวนี้เคล็ดการสร้างเสือของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้สร้างปีขาล ถ้าได้ปีขาล เดือนสาม วันอังคาร ยิ่งดี ตอนนี้ก็เลยปีขาลมาเยอะแล้ว

คาดว่าวิชาการเหล่านี้ ถ้าไม่ทำเอาไว้ต่อไปก็สูญ เพราะช่วงก่อนนั้นอาตมาทุ่มเทศึกษาทุกอย่าง ไม่รังเกียจว่าจะเป็นวิชาทางโลกทางธรรม หลวงพ่อท่านก็เหมือนกับตั้งใจให้ ขณะเดียวกัน พี่ ๆ บางท่านอยู่กับหลวงพ่อมา ๑๐ ปี ๒๐ ท่านไม่เอาอะไรเลย โดยใช้คำว่าพูดว่า “เป็นแล้วเหนื่อย” อาตมาก็แปลกใจ

อย่างที่ไม่กี่วันก่อนที่ลงภาพให้ดูว่ามีผ้ายันต์แผ่นใหญ่เกือบเท่าผ้าห่ม ที่เป็นลายมือหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเขียนยันต์ เขียนคาถาและประสิทธิ์ประสาทให้ มั่นใจว่าคงไม่มีใครได้รับลักษณะอย่างนั้น จนกระทั่งหลวงน้ามีชัยซึ่งพักอยู่กุฏิเดียวกันแต่คนละห้อง ท่านออกปากว่า “ท่านเล็ก ผมว่าท่านต้องโดนเขาวางยาตายสักวัน” “ทำไมครับหลวงน้า ?” “ไม่เห็นหลวงพ่อท่านสอนวิธีทำตะกรุดแก้ยาพิษยาสั่งกับใคร มีแต่สอนท่าน ท่านต้องโดนแน่เลย” หลวงน้าคิดดีมากเลย แกไม่คิดว่าเราเอาไปช่วยคนอื่นได้"

เถรี 07-07-2015 18:51

"จะมีอาตมากับหลวงลุงสุนทรที่มักจะได้วิชาอะไรจากหลวงพ่อท่านอยู่บ่อย ๆ แล้วอีกท่านหนึ่งนี่ต้องบอกว่าพระค้างคาว คือหลวงพี่ไพบูลย์ เพราะว่าตื่นกลางคืนนอนกลางวัน กลางคืนท่านจะเหมาเวรกลางคืนทั้งคืน ส่วนกลางวันอาตมากับหลวงลุงสุนทรแบ่งกันคนละครึ่งวัน ก่อนหน้านั้นเวรที่เฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อมีหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงน้าอมร หลวงน้าสัมฤทธิ์ แล้วก็หลวงน้ามีชัย ปรากฏว่าพอโดนหลวงพ่ออัดหนัก ๆ เข้า ก็เตลิดเปิดเปิงกันหมด..อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะหลวงพี่ชัยวัฒน์กลัวที่สุด ถึงขนาดย้ายหนีไปอยู่สวนไผ่เลย

อาตมาเองหน้าด้าน อยู่ได้ทนที่สุด เมื่อพี่ ๆ เขาหนีกันหมด จึงต้องชักชวนรุ่นน้อง ๆ มาช่วยงาน ก็มีหลวงลุงสุนทร อาจารย์สมปอง เป็นต้น แต่ว่าหลัง ๆ อาจารย์สมปองท่านบอกว่าไม่มีเวลาภาวนา ขอให้หาคนอื่นมาแทน เลยกลายเป็นว่าต้องเหมาจนหลวงพ่อท่านมรณภาพ แต่ว่าในความที่หน้าด้านหน้าทน โดนด่าเท่าไรก็ไม่ยุบ หลวงพ่อท่านอาจจะชอบใจ ท่านก็เลยให้อะไรไว้มากมาย หลวงลุงสุนทรท่านก็ปรารภว่า “เอ..หลวงพี่ ?” ท่านอายุมากกว่าเยอะนะ ปีนี้ท่าน ๘๘ แล้ว แต่ท่านบวชทีหลัง ท่านเลยเรียกหลวงพี่

“เอ...หลวงพี่ ? ทำไมเรา ๒ คน จำเพาะเจาะจงว่าถึงเวลาแล้วหลวงพ่อต้องให้โน่นให้นี่อยู่เรื่อย” บอกว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตอนนี้อย่าไปกวนหลวงลุงท่านเลย ๘๘ ปีแล้ว เดินยังไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว ท่านบวชตอนอายุ ๕๙ เมื่อเดือนก่อนไปเจอกันที่จันทบุรี กลายเป็นคนแก่หลังค่อมแล้ว นอกจากกระดูกเสื่อมแล้วยังหมดกำลัง คาดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านเองก็บอกว่าไม่เอาอะไรแล้ว รอเวลาไปพระนิพพานอย่างเดียว แปลว่าอาตมาคงโดนทิ้งให้รับเละอยู่คนเดียว"

เถรี 07-07-2015 18:55

"มีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าไปในกุฏิหลวงลุงสุนทรก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ คือหลวงลุงสุนทรจับพระพุทธรูปแขวนคอ ..(หัวเราะ)... อาตมาก็บอกว่า “หลวงลุง...ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ ?” คือหลวงลุงสุนทรท่านตั้งใจเพ่งกสิณภาพพระพุทธรูป คราวนี้หลอดไฟของท่านที่ตั้งใจจะเอาไว้หลังพระพุทธรูปแก้วอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ถ้าตั้งพระพุทธรูปจะอยู่ต่ำกว่า แทนที่ท่านจะหาอะไรหนุนพระพุทธรูปให้ได้ระดับ ท่านกลับเอาเชือกแขวนคอพระพุทธรูปไว้เลย แขวนแล้วก็ผูกให้ได้ระดับ ต้องบอกว่าหลวงลุงท่านเอาง่ายเข้าว่า "แต่ผมว่าอยู่ในแนวปรามาสพระรัตนตรัย ให้เปลี่ยนใหม่เถอะครับ"

พอโดนทักท้วงท่านก็เปลี่ยน ไม่อย่างนั้นท่านก็เพ่งอยู่ทุกวันด้วยความสบายใจของท่าน คนไม่รู้นี่ก็ไม่รู้จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าโทษเป็นอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาจะฝึก ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอื่น ถึงเวลาเห็นว่าวิธีนี้สะดวกที่สุดก็จับพระแขวนคอเลย ถ้าใครเคยแขวนแบบนั้นก็กราบขอขมาพระรัตนตรัยด้วยนะ ยังโชคดีว่าท่านเอาแค่พระพุทธรูป ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว ถ้าเป็น ๙ นิ้วนี่คาดว่าเชือกคงจะรับไม่ไหว จะฟังวีรกรรมของรุ่นเก่า ๆ เขามีเยอะแยะไปหมด แต่ถ้าหากว่าเล่ามาก ๆ กลายเป็นเอาท่านมาขาย..!"

เถรี 08-07-2015 09:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนไป ๓๐ ดอก ใส่กันทีให้รวยไปเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากได้ตะกรุด แล้วก็อยากได้พระกริ่งด้วย จะพกพระกริ่งอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าใครได้พระกริ่งแล้วรู้สึกว่าอยากได้ตะกรุดมากกว่า ในตู้ก็มี..ราคาเท่ากัน ก็คือมาตรฐาน ๖,๐๐๐ บาทเท่ากัน เอาไปออกตัวในเว็บได้อีกเยอะ..!"

เถรี 08-07-2015 09:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "มหาเอกับคณะขอเป็นเจ้าภาพสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๙ นิ้ว กับรูปหล่อหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีฯ เท่าครึ่งขององค์จริง ปีหน้าจะเป็นปีที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านครบ ๑๐๐ ปีเกิด อาตมาปรารภสร้างถวายครูบาอาจารย์ มหาเอท่านทราบเข้าก็ขอเป็นเจ้าภาพ จ่ายค่าปั้นแบบไปแล้ว ๔๖๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน งวดนี้จะหล่อประมาณมาฆบูชาปีหน้า ท่านถวายค่าหล่อมาแล้ว หนึ่งล้านเจ็ดแสนบาท ให้ทุกท่านโมทนาด้วยกัน งานนี้ไม่รบกวนใคร เพราะได้พอแล้ว..!"

เถรี 08-07-2015 09:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ก็คือไม่เคยเห็นลูกตัวเองโตเลย ในเมื่อไม่เคยเห็นลูกตัวเองโตก็ยังคงห่วงใยอยู่ตลอดเวลา คราวนี้ความห่วงของบางคนก็กลายเป็นห่วงเกิน พอลูกเริ่มเป็นวัยรุ่น ลูกก็จะรู้สึกรำคาญ พ่อแม่โปรดระมัดระวังอย่าให้เป็นอย่างนั้น"

เถรี 08-07-2015 09:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเปิดกระทู้คนมีเงินฯ จุดที่ต้องการให้ทุกคนสังเกตก็คือ ของบางอย่างหายากมาก หลายต่อหลายอย่างมีชิ้นเดียวในโลก แต่พระอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของก็สละออกได้หน้าตาเฉย ขอให้ทุกคนหัดทำให้ได้แบบนั้นบ้าง หัดทำให้ได้แล้วต่อไปจะสบาย เพราะว่าถ้าตัดใจได้อย่างหนึ่งก็ตัดได้ทั้งหมด ถ้าหากว่าตัดไม่ได้สักอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็ตัดยากเท่ากันหมด

เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ครูบาอาจารย์บางทีก็ทำให้ดู อยู่ให้เห็น ต้องรู้จักเก็บให้เป็นประโยชน์ของตัวเอง บางอย่างลงประชดชีวิตไปแท้ ๆ ก็ยังอุตส่าห์มีคนบูชา แสดงว่าคนรวยมีเยอะจริง ๆ"

เถรี 08-07-2015 16:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "รอยเท้าหลวงปู่มหาอำพัน ท่านปั๊มให้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ รอยเท้าท่านอื่นอาตมาได้ตอนมรณภาพแล้วทั้งนั้น"

เถรี 08-07-2015 16:41

มีโยมกราบเรียนถามว่า พ่อตายแล้วไปไหน ? พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องตายแล้วไปไหน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งอาตมาไว้ว่า อย่าไปเที่ยวบอกชาวบ้านเขา เพราะมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไรเลย ถ้าเขาทำความดีมาตลอดชีวิต แต่ก่อนตายจิตเศร้าหมอง ตกอบายภูมิ เราไปบอกเขาว่าตกนรก แล้วใครจะไปมีอารมณ์ทำความดีต่อ ขณะเดียวกันบางคนทำความชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายจิตเกาะความดีได้ แล้วดันขึ้นสวรรค์ ก็จะมีคนว่าไม่ยุติธรรม เพราะฉะนั้น..เรื่องอย่างนี้ถ้าอยากรู้ต้องปฏิบัติเอง"

เถรี 09-07-2015 17:13

มีพระมากราบเรียนปรึกษาถึงปัญหาที่วัด "เรื่องของวัดที่มักจะมีปัญหาก็เพราะ ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือพระท่านทำไม่ดีจริง ๆ ส่วนสาเหตุที่ ๒ โยมมักอยากจะมีอำนาจในการควบคุมวัด พอพระไม่ให้อำนาจ โยมก็จะไม่พอใจ ซึ่งลักษณะนี้จะเจอกันเป็นส่วนมากเลย ที่น่าสงสารมากก็คือก่อนหน้านี้ วัด......ที่ไทรโยค มาขอหลวงตาเย็นไปเป็นเจ้าอาวาส เอารถมาแห่ไป ๓๐ กว่าคัน อาตมาก็ให้ไป ปรากฏว่าหลวงตาเย็นไปไม่ถึง ๒ เดือนก็กลับมา

อาตมาถามว่าทำไม ? "ไม่ไหวหรอกครับหลวงพ่อ เทศน์อยู่บนธรรมาสน์ยังไม่ทันจบเลย เขาแบ่งเงินกันเสร็จแล้ว มิน่าล่ะ..ว่าวัดไม่เจริญสักที เพราะว่าบรรดากรรมการวัดเล่นแบ่งเงินกันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เอง ไม่มีถึงมือพระเลย"

สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า “ต่อไปถ้าแกไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหน เวลาตั้งกรรมการวัด ให้ตั้งพระให้มากกว่าโยมเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะคานโยมเขาไม่ไหว” ท่านบอกว่า “โยมใกล้วัดส่วนหนึ่งมักจะเข้ามาอยู่ในวัด ต้องการมีอำนาจเหนือพระ ถ้ามีอำนาจดั่งใจ ต่อไปเขาก็ขี่คอแล้วก็ชี้นิ้วสั่งพระ..!” ท่านสั่งไว้ตั้งแต่อาตมายังเป็นพระใหม่ ๆ เลย"

เถรี 09-07-2015 17:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนอสุภกรรมฐานให้กับอาตมา ตั้งแต่อาตมายังไม่ได้บวช"

เถรี 09-07-2015 17:18



พระอาจารย์พูดถึงหนังสือสวดมนต์เล่มใหม่ "อาตมาทำถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ค่าพิมพ์เล่มนี้ร้อยกว่าบาท คราวนี้คุณเมตตา อุทกพันธุ์ เจ้าของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งลดให้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังราคาแพงอยู่ดี แต่ที่วางจำหน่ายแค่ ๒๐๐ บาท เพราะว่าคนอยากจะสวดมนต์ เขาจะทำความดีแล้วเรายังไปขายแพงอีกก็เกินไป

เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เป็นวันพระใหญ่ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ทางวัดท่าขนุนเริ่มขับเคลื่อนเข้าไปในสถานศึกษา ตอนนี้ทำโครงการร่วมกับโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ทางโรงเรียนทำโครงการ “แต่งชุดขาว รับศีล กินมังสวิรัติ” ทุกวันพระ ก็เลยเอาหนังสือสวดมนต์ไปแจกเด็ก เล่นเอาบรรดาครูบาอาจารย์ร้องกรี๊ดเลย บอกว่า “เมื่อวันก่อนทำบุญ ๕๐๐ ให้ ๑ เล่ม นี่เอามาแจกเด็กฟรี ๆ ครูขอรับบ้างได้ไหม ?” ท้ายสุดก็เลยหมดไป ๕๐๐ เล่ม ไม่พอแจกหรอก

ชอบใจตรงที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนก็คือ ผอ.สนิท ทรัพย์วารี ท่านทำโครงการดีมากเลย วันพระแต่งชุดขาวไปโรงเรียน มีใครกล้าทำบ้าง ? เด็ก ๆ ทำของเปื้อนง่ายจะตาย แล้วเด็กเขาจะมีแต่งชุดขาววันหนึ่ง แต่งชุดไทยวันหนึ่ง ก็จะนุ่งโจงกระเบนกันไป เพื่อรักษาวัฒนธรรมไทย ท่านทำโครงการเข้าท่ามาก"

เถรี 09-07-2015 17:22

"ตอนนี้เรื่องโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ในกาญจนบุรี ถ้าในระดับอำเภอ ทองผาภูมิก็อยู่ในระดับที่ ๒ ของ ๑๓ อำเภอ แต่ที่อยู่ในระดับที่ ๒ นั้นจะไปวัดจากจำนวนคนไม่ได้ เราต้องวัดจากเปอร์เซ็นต์ เพราะจำนวนประชากรทองผาภูมิที่เขาขึ้นตัวเลขมาให้แค่ ๒๐,๐๐๐ กว่าคน อย่างของอำเภอท่ามะกามี ๘๐,๐๐๐ กว่าคน ถ้าเราไปวัดจำนวนคน เราสู้เขาไม่ได้หรอก แต่ถ้าวัดเปอร์เซ็นต์เราอยู่ที่ ๒ ก็คือจำนวนยอดของคนที่สมัครเข้าโครงการหมู่บ้านศีล ๕ แล้วทั้งจังหวัดก็ประมาณ ๖๐๐ วัด วัดท่าขนุนอยู่ที่ ๒ เป็นรองเฉพาะวัดใต้วัดเดียว

ไปแอบดูไลน์เจ้าคณะอำเภอ เขาบอกว่า “คืนนี้ต้องแซงทองผาภูมิให้ได้ ทองผาภูมิมีวัดท่าขนุนทำอยู่วัดเดียว ไม่น่ากลัวหรอก” ทำยอดอยู่วัดเดียว วัดอื่นบางวัดมียอดแค่ ๑ คน แล้ว ๑ คนไม่ใช่เขาทำนะ เกิดจากของเราคีย์ข้อมูลไปแล้วไปขึ้นที่วัดเขา เนื่องจากจะมีระบุว่าอยู่หมู่ที่เท่าไร ? ตำบลอะไร ? ไปทำบุญประจำที่วัดไหน ? พอคีย์ข้อมูลแล้วก็ไปขึ้นให้วัดเขา ถึงเวลาคีย์ข้อมูลทั่วประเทศได้เลย จะไปขึ้นให้จังหวัดนั้นเอง ถึงมาทำบุญวัดเราก็จะไปขึ้นให้จังหวัดนั้น แต่ว่าเ
ราจะได้ยอดของวัด แต่ยอดหมู่บ้านจะไปขึ้นให้หมู่บ้านของตัวเอง ยอดตำบลไปขึ้นให้ตำบลตัวเอง ยอดอำเภอไปขึ้นให้อำเภอของตัวเอง ยอดจังหวัดไปขึ้นให้จังหวัดตัวเอง

สรุปแล้วทองผาภูมิ
ถึงจะคีย์เข้าไปเป็นอันดับ ๒ ของจังหวัดก็จริง แต่ยอดที่เป็นของอำเภอจริง ๆ มีแค่ประมาณ ๑,๓๐๐ คน ก็แปลว่าคนในพื้นที่ที่มาวัดท่าขนุนประจำ ๆ มีแค่นั้น ประมาณ ๑,๓๐๐ คน นอกนั้นคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดล้วน ๆ คือที่อยู่จะไปขึ้นให้จังหวัดของตน แล้วก็จะมีวัดที่ไปประจำ ก็จะไปขึ้นให้วัดนั้น ของวัดท่าขนุนคีย์แล้วเด้งกลับอยู่ ๒ ชื่อ พอไปดูไปปรากฏว่าเขาไปลงชื่อไว้ที่วัดเทวราชกุญชรแล้ว ใบสมัครอยู่กับเรา แต่ว่าเขาไปลงชื่อทางด้านนั้น แล้วทางนั้นคีย์เข้าไปแล้ว ต้องบอกว่าคนทำระบบฐานข้อมูลหมู่บ้านศีล ๕ นี่เขาเก่งมากเลย สามารถแยกแยะให้ทั่วประเทศ คุณคีย์อะไรเข้าไปก็ตาม ระบบสามารถจัดการให้ทั้งหมด"

เถรี 09-07-2015 17:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้ว ช่างปั้นทำต้นแบบไว้ ๕ องค์ โดยการลงสีแบบต่าง ๆ ไว้ มีทั้งสีเข้มกว่านี้ มีทั้งสีแบบสนิมหยกเขียว ท้ายสุดมาสรุปตรงสีที่เห็นในปัจจุบัน พอเขายกต้นแบบมาให้ ก็บอกว่า "เอาไปลงกระทู้คนมีเงินฯ ดีกว่า" พอเขาถามว่าราคาเท่าไร ? บอกว่า ๓๕,๐๐๐ บาทเท่ากับต้นฉบับ ก็หมดตรงนั้นเลย ไม่ต้องลงกระทู้ ท้ายสุดจึงต้องเอาองค์หมายเลข ๑ ของตัวเองไปลงแทนก็หมดอีก

ตอนนี้ในส่วนที่เสียดายอยู่ก็คือว่า วัดใหญ่ของเราขยับตัวช้า เหมือนกับรอว่าอาตมาจะทำอะไร พอเห็นว่าได้เรื่อง แล้วท่านค่อยขยับตาม ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มทำสมเด็จองค์ปฐม ๙ นิ้ว กำลังให้ช่างออกแบบอยู่ ดูแล้วออกมาเหมือนพระสุโขทัยหน้านาง ส่วนบางอย่างพอทำแล้วดูเหมือนจะสิ้นเปลืองมาก ท่านก็ลดวัสดุ อย่างที่ทำเหรียญมหาสะท้อน น้ำหนักไม่ถึงสลึง ในเมื่อทำไม่ถูกต้อง จะเอาให้เหมือนกันก็ยากนะ แบบเดียวกับที่ช่างคนเดียวกัน หล่อพระให้วัดท่าขนุนแล้วไม่มีปัญหาเลย เสร็จสรรพเรียบร้อย ปิดทองประดับเพชรขึ้นแท่นไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันอีกวัดหนึ่งแก้มา ๕ เที่ยวแล้วยังไม่เสร็จ มีอยู่ ๒ อย่างที่คาดไว้ อย่างแรกก็คือ น่าจะไม่รู้จักว่าสมเด็จองค์ปฐมท่านคือใคร ได้ยินเขาบอก เกิดศรัทธาก็หล่อไปเรื่อย อีกอย่างหนึ่งได้ยินว่าวัดท่านฉันมังสวิรัติ พอถึงเวลาทำบวงสรวงก็เลยเอาหัวหมูกับไก่ออกหมด ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ จนป่านนี้ก็เลยยังทำไม่เสร็จ

วันก่อนไปโรงงานจึงไปสงเคราะห์เขาหน่อย ขอให้ทำได้สำเร็จ แต่พระท่านบอกว่า ถึงหล่อออกมาก็ต้องแต่งมาก ที่เป็นห่วงไม่ได้เป็นห่วงทางวัดหรอก เป็นห่วงช่าง เพราะว่าช่างทำงานหลาย ๆ ที เดี๋ยวกำไรจะไม่เหลือ หล่อแล้วหล่ออีก แต่ละครั้งวัสดุไม่ใช่น้อย ๆ ไหนจะสิ้นเปลืองพวกแก๊ส พวกฟืนอะไรอีก"

เถรี 09-07-2015 17:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "นโยบายของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ต้องถือว่าสุดยอดมาก ท่านบอกว่าถ้าถือศีล ๕ ข้อไม่ครบ ก็เอาแค่ ๔ ถ้า ๔ ไม่ครบก็เอา ๓ ถ้า ๓ ไม่ครบก็เอา ๒ ถ้า ๒ ไม่ครบก็เอา ๑ ถ้า ๑ ไม่ได้ก็ให้พยายามรักษา นโยบายนี้ก็คือลักษณะของคนทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว ที่ศีลจะต้องไม่ครบ จึงบอกว่า ในเรื่องโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ นี่แปลว่าเราต้องพยายามลงมือกระทำ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้แล้วไม่ทำ ให้รักษาศีลไม่ได้แปลว่าต้องประสบความสำเร็จ แต่แปลว่าให้ตั้งใจรักษา คนที่ไม่เข้าใจนโยบายตรงนี้ก็จะคิดว่า ท่านจะให้คนเป็นพระโสดาบันทั้งประเทศ"

เถรี 09-07-2015 17:55

พระอาจารย์พูดถึงมีดพับศิลป์บ้านจ่าตุ่มว่า "หนอนน้อยชาเขียวเล่มนี้อาตมาพกมา ๑๐ กว่าปี พกเสียเก่าแล้ว เป็นมีดพับศิลป์เล่มแรกที่ทางด้านโน้นเขาทำเสร็จ อาตมาไปตื๊อเขามา ซื้อมาตอนนั้น ๕๐,๐๐๐ บาท เพราะเจ้าของเขาไม่ขาย ไปตื๊อเขาเอามาจนได้ จากที่สีเขียว ๆ พกจนกระทั่งหายเขียวแล้ว คือเขาตั้งราคาแบบไม่ขาย พวกเราคงจะเข้าใจนะ แต่เขาคงไม่คิดว่าจะมีคนบ้าอยากได้ ประเภทตั้งราคาแบบไม่ขายแล้วมีคนสู้นี่จุกมาเยอะแล้ว

ต้องบอกว่าที่นึกไม่ถึงก็คือ อย่างพระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินเนื้อทองคำ ราคาแพงมาก แต่คนก็ยังอุตส่าห์สละมา เพื่อให้คนอื่นเขาได้บูชาต่อ เอาเงินมาทำงานพระพุทธศาสนา ต้องบอกว่ากำลังใจของเขาเหลือล้นจริง ๆ"

เถรี 09-07-2015 17:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ปัจจัยที่โยมบูชาพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน เพียงพอแล้ว เพราะว่าเราจะให้เขาประมาณ ๔.๒ ล้านบาท ตอนนี้ได้มา ๕.๘ ล้านบาท เหลือเข้าสร้างพระพุทธรูปทองคำประมาณล้านเศษ ๆ หลังจากนี้ไม่ง้อแล้ว จะขึ้นราคาหูดับตับไหม้ไปเรื่อย ๆ ใครขยับตัวช้าก็ถือว่าเป็นลูกคนรวย..!"

เถรี 10-07-2015 16:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน เนื้อทองคำ สร้างปัญหาให้กับช่างมากเป็นพิเศษ สั่งเขาสร้าง ๑๐๐ องค์ ช่างเขาทำแบบเผื่อไว้ ๒๕๐ องค์ เหลือที่สวยใช้ได้แค่ ๗๗ องค์ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาทะลุตรงระหว่างพระหัตถ์ ก็คือบอกไปว่ามีตำหนินิดหน่อยก็ไม่เอา จึงกลายเป็นว่าสั่งมากได้น้อย ช่างก็หล่อจนหมดอารมณ์ ๒๕๐ องค์ได้แค่ ๗๗ องค์ ช่างก็หมดกำลังใจเหมือนกัน ก็เลยบอกว่า ในเมื่อหมดกำลังใจก็เอาแค่นั้นแหละ ถ้าขืนให้ทำอีก สงสัยต้องหล่ออีกเป็นร้อยถึงจะทำได้ครบตามที่สั่ง"

เถรี 10-07-2015 19:00

ถาม : การพิจารณาวิปัสสนาญาณ ดูเฉพาะแยกรูปแยกนามใช่ไหม ?
ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะวิปัสสนากรรมฐานนั้น เราจะพิจารณาไตรลักษณ์ก็ได้ จะพิจารณาอริยสัจ ๔ ก็ได้ ดูอาการ ๓๒ ก็ได้ อยู่ที่ความชำนาญ ความถนัดของเรา จะดูตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ อย่างก็ได้ หรือจะพิจารณาอายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อะไรพวกนั้นก็ได้ ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สรุปตรงไตรลักษณ์หมด

ถาม : ถ้าแยกรูปแยกนามต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : นามรูปมีอะไรเที่ยงไหมเล่า ? ท้ายสุดก็ลงตรงนั้นทั้งหมด เพียงแต่ว่าการเห็นรูปเห็นนาม ถ้าหากเราเห็นไม่ตลอด เราก็แค่สามารถแยกออกเท่านั้นว่าอะไรคือรูป อะไรคือนาม แต่ว่าจิตไปยึดอยู่ รู้ว่าอันนี้เป็นรูป แต่สวย..ก็เสร็จเขาใช่ไหม ? จึงต้องมีปัญญามากกว่านั้น รู้จักแต่เห็นรูปนามเฉย ๆ ยังไปไม่รอด ทำอย่างไรจะทิ้งความเป็นรูปเป็นนามได้ ซึ่งท้ายสุดก็คือต้องมาลงไตรลักษณ์ คือ อนัตตา ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้

ค่อย ๆ ทำไป นี่เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมขั้นสูง ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจกันง่าย ๆ เราทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วคิดว่าใช่ พอคลำ ๆ ไปจะมีละเอียดมากกว่านั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี 10-07-2015 19:04

ถาม : เรื่องการพิจารณากายคตาสติจะต้องไล่ทีละอย่างหรือเปล่า ?
ตอบ : จะพิจารณาทีเดียวทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องแยกแยะให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ เพื่อให้สภาพจิตของเราเห็นแล้วยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าหากว่าพิจารณาไม่ครบถ้วน สภาพจิตอาจจะคัดค้านได้

ถาม : ใจไม่ยอมรับ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตคัดค้านไม่ยอมรับขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะเข้าถึงได้อย่างแท้จริง

ถาม : หมายถึงว่าต้องพิจารณาให้ละเอียด ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับตีอวนเอาปลาทั้งทะเล เรียกว่าไม่มีตัวไหนรอดไปได้ถึงจะยอมรับ แต่หลังจากสภาพจิตยอมรับแล้ว เราแค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตก็จะเชื่อเลย แต่ก่อนหน้านี้บอกอย่างไร ก็หาช่องมาเถียงจนได้

เหมือนกับเมื่อครู่ที่มีโยมถามปัญหา ว่าการพิจารณาวิปัสสนาญาณนี่ ดูเฉพาะแยกรูปแยกนามใช่ไหม ก็บอกว่าถ้าคุณแยกรูปแยกนามได้ ก็ได้แค่นั้นแหละ เพราะถึงเวลาเรารู้ว่าอันนี้เป็นรูป แต่ใจเสือกบอกว่าสวยถูกใจ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ไปแยกรูปแยกนาม ต้องมองข้ามขั้นนั้นไปให้ได้ ว่าไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร

ลักษณะการพิจารณากายคตานุสติก็เหมือนกัน สภาพจิตของเราดื้อเป็นปกติ เพราะอวิชชาปกคลุมอยู่ จึงต้องเปิดเผยให้สว่างที่สุดเท่าที่จะสว่างได้ คือต้องดูให้ครบทุกรายละเอียด จนสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ในเมื่อยอมรับจริง ๆ แล้ว ต่อไปเราแค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตก็จะไม่เถียง จะยอมรับ

ดูตัวเอง เสร็จแล้วก็กระจายออกว่าคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ ต้องกลับไปกลับมา อนุโลม ปฏิโลม จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ ทั้งที่เป็นของเราและของเขา ไม่มีอะไรที่เป็นของสวยงามอย่างแท้จริง

ถาม : ต้องใช้สมาธิตัดหรือเปล่า ?
ตอบ : แรก ๆ พิจารณาไปเรื่อย สมาธิจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง แต่ถ้าหากว่าเราหยุดการพิจารณา บางทีตัวสมาธิก็สลายไป เพราะฉะนั้น..เราควรที่จะมีกำลังสมาธิมาสนับสนุน ด้วยการที่เราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วค่อยมาพิจารณา

เถรี 10-07-2015 19:12

ถาม : สภาวธรรมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : มีอยู่จริงในส่วนของสมมติ และมีอยู่จริงในส่วนของปรมัตถ์ ถ้าที่มีอยู่จริงในส่วนของสมมตินั้น เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วเขาถือว่าไม่มี

ถาม : หมายถึงมี แต่เรารู้ว่าไม่มี ?
ตอบ : ใช่..เราไปสมมติว่าเป็นก็เป็น แต่พอไปถึงความเป็นปรมัตถ์แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็แค่สมมติ เลยไม่มี จะคุยเรื่องพวกนี้ต้องสงสารคนอื่นบ้าง ถ้าโหนไม่ถึงเขาก็จะหาว่าเราบ้า หรือไม่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง

ถาม : มีโดยปรมัตถ์ ในขณะที่จิตจับก็คือไม่มี ?
ตอบ : ใช่..ถ้าหากว่าเขาถึงความดับจริง ๆ ก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ แต่คราวนี้การที่เข้าถึงอย่างแท้จริงนั้น เป็นการเข้าใจทุกอย่างโดยถ่องแท้ ดังนั้น..ก็จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสมมติหรือปรมัตถ์ มีความเป็นสัจจะของตนเองอยู่ บุคคลที่เข้าถึงปรมัตถ์แล้ว ก็ยังเคารพสมมติเป็นปกติ ยกเว้นว่าท่านที่เข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง เห็นด้านเดียวก็จะเป็นอย่างที่ว่า พระพุทธรูปไม่มีอะไรสำคัญ ก็เหมือนอย่างกับอิฐ หิน ดิน ทรายทั่ว ๆ ไป เอาไปหลอมชั่งกิโลขาย พวกนั้นต้องบอกว่ามองโลกด้านเดียว

เถรี 10-07-2015 19:19

ถาม : อย่างอสุภกรรมฐานที่เราเอารูปมาเพ่ง ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ใช่มีของเก่าอยู่จริง ๆ รูปถ่ายช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะของจริงนี่ทั้งสีทั้งกลิ่นมาพร้อมเลย เราเห็นในรูปถ่าย เราก็อาจจะรู้สึกว่าน่าเกลียด แต่เข้าไม่ถึงความเป็นอสุภะ คือความไม่สวยงามอย่างแท้จริง

ถาม : ในขณะที่เราพิจารณาอสุภกรรมฐาน แบบสมถะกับสติปัฏฐานจะแตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ในส่วนของอสุภกรรมฐานแบบสมถะภาพจะติดตาเรา แล้วก็คอยย้ำเตือนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา แต่ขณะเดียวกัน ถ้าปัญญาไม่ยอมรับ ก็จะได้เฉพาะช่วงที่สมาธิทรงตัว พอสมาธิคลายออกก็กำเริบใหม่ว่า ไปยึดถือมั่นหมายอีกว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ถ้าในส่วนของการเป็นวิปัสสนาเป็นมหาสติ ก็จะจดจ่ออยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ไม่สวยงามอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อย่างแท้จริง ถ้าหากว่าเป็นวิปัสสนากรรมฐานแล้วเข้าถึงได้ สภาพจิตยอมรับทีเดียวจบไปเลย แต่ในส่วนมหาสติยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป

ถาม : สติปัฏฐานต้องมีสติต่อเนื่อง ?
ตอบ :ต้องต่อเนื่องโดยไม่ขาดช่วง ถ้าขาดช่วงเมื่อไร โอกาสที่กิเลสกำเริบยังมี ต้องต่อเนื่อง ขาดช่วงเมื่อไรกิเลสตีกลับ

เถรี 10-07-2015 19:22

ถาม : ในสมถกรรมฐานต้องต่อเนื่อง ก็คือ วิตก ส่วนสติปัฏฐานต้องต่อเนื่อง ก็คือวิตกเหมือนกัน ?
ตอบ : ในส่วนของวิตกนั้นก็คือคิดอยู่ว่าเราจะทำอย่างไร ในส่วนของสติปัฏฐานนั้นเลยวิตกไปแล้ว

สำหรับโยมที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่าวิตก วิตกก็คือการที่เรายกเอาสิ่งที่เราจำได้ขึ้นมา เอามาคิดในลักษณะที่ให้เข้าใจ ตอนช่วงที่คิดให้เข้าใจ เขาเรียกว่าวิจาร จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับได้ถึงจะเป็นปัญญา ก็แปลว่าเรายกเอาสัญญาขึ้นมาพิจารณา จนกว่าสัญญานั้นจะเป็นปัญญา ก็คือ เอาความจำที่เราศึกษามา ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้อ่านมา เอามาพินิจพิจารณา จนกระทั่งจากสิ่งที่จำได้ กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าเป็นสิ่งที่ทำได้เมื่อไร จิตเราจะยอมรับ แล้วเราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปจำอีก เพราะฝังอยู่ในใจของเราเลย

เฮ้อ...อธิบายแล้วเหนื่อย แต่ถ้าไม่อธิบายตรงนี้ หลายท่านก็จะสงสัยว่าวิตกคืออะไร ?


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:47


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว