กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4442)

เถรี 15-05-2015 08:33

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘
 
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติ คือความรู้สึกของเราทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๘๘ เมื่อ ๕-๖ วันที่ผ่านมา เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่ประเทศเนปาล ศาสนสถานและบ้านเรือนต่าง ๆ พังทลายไปเป็นจำนวนมาก ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันหลายพันหลายหมื่นคน ต้องลำบากเดือดร้อนทั้งที่กิน ที่อยู่ ที่อาศัย

พวกเราจะได้เห็นว่า การเกิดมาในโลกมนุษย์นี้ จริง ๆ แล้วมีแต่โทษมีแต่ภัยที่เป็นของน่ากลัวทั้งสิ้น ถ้าหากว่าแผ่นดินไหวอย่างนั้นเกิดในประเทศของเรา ก็จะมีสภาพเช่นเดียวกัน ก็คือมีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย มีข้าวของทรัพย์สินเสียหาย เหมือนกับตอนช่วงที่เกิดสึนามิที่ปักษ์ใต้บ้านเรา มีคนตายไปเฉพาะบ้านเราหลายพันคน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง ตามแต่ว่าระบุญวาระกรรมของคนหมู่มาก

ดังนั้น..ถ้าเรามาเกิดในโลกมนุษย์เมื่อใด ก็แปลว่าเราหลีกหนีเรื่องอย่างนี้ไม่พ้น ต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายที่น่ากลัวจากธรรมชาติเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ พายุพัด ทำลายทรัพย์สินและชีวิต ตลอดจนกระทั่งแผ่นดินไหว เป็นต้น

การเกิดมาเป็นคนจึงมีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อน มีแต่ภัยอันตรายอยู่รอบข้าง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะไม่ปรากฏในชีวิตของเรา ถ้าไม่มีการเกิด การที่เราพ้นจากโลกมนุษย์ไป ถ้าหากว่าเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม อยู่สุขอยู่สบายด้วยแรงบุญ แต่เป็นความสุขสบายเพียงชั่วคราวเท่านั้น หมดบุญเมื่อไรก็ต้องลงมาเกิด มีความทุกข์เช่นนี้อีก ถ้าท่านทั้งหลายตั้งเป้าหมายไว้เพียงเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ก็ยังถือว่ามีความประมาทอยู่มาก จึงควรจะตั้งเป้าไว้ในที่ที่พ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย คือพระนิพพานเท่านั้น

การที่เราจะไปพระนิพพานได้ ต้องถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ซึ่งก็คือการที่เรารักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ตามสภาพของตน อย่างเช่น คนทั่วไปรักษาศีล ๕ อุบาสกอุบาสิการักษาศีล ๘ สามเณรรักษาศีล ๑๐ พระภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ เป็นต้น เราต้องไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เถรี 17-05-2015 14:05

ในส่วนของสมาธินั้น อย่างน้อย ๆ พวกเราต้องทรงฌานได้ในระดับปฐมฌานละเอียด เพื่อที่จะมีกำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลสในระดับหนึ่ง ก็คือในระดับของพระโสดาบัน ซึ่งจะจำกัดการเกิดของเราว่าเต็มที่ก็ไม่เกิน ๗ ชาติ แปลว่าลงมาทุกข์อีกไม่เกิน ๗ ครั้ง แต่ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้ กำลังสมาธิสามารถตัดกิเลสในระดับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ได้ ถ้าตัดกิเลสในระดับพระอนาคามี ท่านขึ้นไปปฏิบัติต่อ รอเข้าสู่พระนิพพานที่สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง แต่ว่าก็ยังต้องมีความทุกข์ ก็คือต้องขวนขวายที่จะทำตนให้บริสุทธิ์ พ้นจากกองทุกข์โดยสิ้นเชิง

แต่ถ้าหากว่าท่านสามารถตัดกิเลสในระดับพระอรหันต์ได้ ก็แปลว่า เรามีความทุกข์แค่ชาตินี้ชาติเดียว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์ก็จะไม่มีอีก การที่เราจะตัดกิเลสได้ ก็ต้องมีปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด ว่าการเกิดมาของเราแต่ละชาติ ล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับโทษกับภัยที่มีแต่ความน่ากลัวเช่นนี้ ถ้าตัวเราอยู่ที่เนปาล ก็ต้องอกสั่นขวัญหายกับแผ่นดินไหว ต้องทุกข์ยากเศร้าโศกกับการสูญเสียคนที่รัก หรือว่าต้องเจ็บป่วยกับอาการบาดเจ็บ เมื่อแผ่นดินไหวโดนข้าวของตกใส่

ในเมื่อสูญเสียบ้านเรือนก็ต้องเสียใจมากเป็นธรรมดา ทรัพย์สินต่าง ๆ สูญสิ้นไป ในขณะเดียวกันการจะกินการจะอยู่ ต้องลำบากเดือดร้อน เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ สูญหายไปกับแผ่นดินไหวเสียแล้ว ต้องทนอดอยากหิวโหยกระหาย จนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น ถ้าเราไม่ต้องมาเกิดอีก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราก็ไม่ต้องพบ ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องมาทนหนาวทนร้อน ไม่ต้องมาสูญเสียทรัพย์สิน ไม่ต้องมาบาดเจ็บล้มตาย ไม่ต้องมาหิวโหยกระหายรอการช่วยเหลือ

เมื่อเราเห็นว่าการเกิดมามีทุกข์เช่นนี้ ก็ตัดใจเสียว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก การดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไรเราขอไปที่เดียวคือพระนิพพาน เอาจิตของเราจดจ่ออยู่ที่ภาพองค์สมเด็จสัมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบ ว่านั่นคือพระพุทธนิมิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บนพระนิพพาน ตายเมื่อไรเราขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่เดียว

ถ้าท่านทั้งหลายเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีร่างกายเช่นนี้ ไม่มีความปรารถนาในการเกิด ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของตนและผู้อื่น เราก็สามารถชำระจิตของตนให้ผ่องใส หลุดพ้นจากห่วงร้อยรัดทั้งปวง เข้าสู่พระนิพพาน พ้นจากความทุกข์ได้อย่างที่ต้องการ

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว