กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1803)

เถรี 05-05-2010 21:50

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
 
พระอาจารย์แจ้งให้ทราบเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ว่า หลวงปู่เปลื้อง วัดลาดยาว จ. นครสวรรค์ ท่านมรณภาพแล้ว รวมสิริอายุ ๑๐๗ ปี

เถรี 05-05-2010 22:17

ถาม : หนูภาวนาคาถาเงินล้านแบบจับที่ศูนย์กลางกาย
ตอบ : ถ้าหากทำอย่างนั้นไม่ต้องภาวนามากก็ได้ ๙ จบก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว

ถาม : พอภาวนาได้ครู่หนึ่งแล้ว ลมหายใจก็ละเอียดขึ้นค่ะ
ตอบ : ถ้าหากจับจุดได้ถูกต้อง สมาธิจะทรงตัวเร็วมาก และส่วนใหญ่จะเป็นสมาธิใช้งาน

ถาม : เป็นสมาธิดีขึ้นเร็ว แต่ว่าไม่เห็นดิ่งลึกลงไปเลย
ตอบ : เอาให้ได้แค่นี้ก่อน ค่อย ๆ ทำ อย่าไปอยากให้เป็น ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้น จะดิ่งลงไปเอง

เถรี 06-05-2010 10:02

ถาม : ที่บ้านมีลูกพี่ลูกน้องมาอยู่ด้วยกันปีกว่าแล้ว รู้สึกอึดอัด ไม่อยากให้เขาอยู่ด้วย ควรจะทำอย่างไรให้สบายใจ เมื่อต้องอยู่กับเขา?
ตอบ : เปลี่ยนมุมมองกับเขาเสียใหม่ ทักทายพูดคุยกับเขา ชวนเขาไปกินข้าวบ้าง เผื่อเราจะได้เข้าใจว่าทำไมเขาจึงเป็นอย่างนี้ ลองดูซิว่าเขาจะสงสัยว่าเราผีเข้าหรือเปล่า ลองทำดูเผื่อจะดีขึ้น

อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าไม่สามารถให้เขาออกไปได้ ก็ต้องเป็นพวกเดียวกับเขาไปเลย

เถรี 06-05-2010 10:20

ถาม : หลังบ้านเป็นต้นขนุน เราจะตัดต้นขนุน ต้องบอกเขาอย่างไรคะ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจำเป็นจริง ๆ ก็ตัดได้ แต่ว่าให้ตั้งศาลหลังหนึ่ง ลักษณะแบบศาลพระภูมิ เมื่อบอกกล่าวเขาเสร็จแล้ว ตัดต้นเขาลงมา แล้วเอากิ่ง ๆ หนึ่ง ไม่ต้องใหญ่มาก ตัดสักคืบหนึ่งก็ได้ เอาตั้งไว้ในศาล โดยหันปลายกิ่งขึ้นข้างบน แล้วบอกให้เขาไปอยู่ในศาลนั้นแทน

ถาม : อย่างนั้นก็ต้องตั้งศาลก่อนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ

ถาม : แล้วในช่วงระหว่างทำบ้านละคะ ?
ตอบ : เก็บกิ่งเขาเอาไว้ พอทำบ้านเสร็จแล้ว ค่อยหาที่เหมาะสมตั้งศาลให้เขา

เถรี 06-05-2010 10:22

ถาม : เป่ายันต์มาหลายรอบแล้ว แต่คราวที่แล้วไปกินปีกไก่เหล้าแดง ยันต์หลุดไหมคะ ?
ตอบ : คราวหน้าไปรับยันต์ใหม่ได้เลยจ้ะ..!

เถรี 06-05-2010 10:41

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เวลาคนเรากลั้นใจ สติสมาธิทั้งหมดจะรวมอยู่จุดเดียวกัน ทำให้กำลังสมาธิสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ จะเห็นได้ว่าคนโบราณเวลามีการใช้คาถา ครูบาอาจารย์บางสายท่านบังคับไว้เลยว่าต้องกลั้นใจ

แต่คราวนี้พอเรามาทำทางด้านนี้ ศีล สมาธิ ปัญญาทรงตัวมากขึ้น เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำไปอย่างนั้นแล้ว เพราะเราอาศัยบุญในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาตรงนี้แทน ถึงเวลาติดขัดอะไรก็อ้างถึงบุญของเราได้ บนพระท่านก็ได้ บนเทวดาท่านก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยด้วยตัวเองแล้ว

จริง ๆ แล้วทำถูก เพราะคนเราถ้ากลั้นใจ สมาธิก็จะทรงตัวเอง คือ มันกลัวตาย จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวเลย แต่อย่าไปทำอย่างนั้นอีก เพราะจะเสียตรงที่ว่า ถ้าเราทำอย่างนั้น ต่อไปถ้านั่งสมาธิก็จะไม่ทรงตัว

เถรี 08-05-2010 10:21

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปวัดเขาวง พอญาติโยมถวายปัจจัยมา ท่านก็ถวายให้หลวงตาทั้งหมด ขนาดตอนจะขึ้นรถกลับ เขาก็ยังถวายมาให้อีก กะว่าอย่างไรท่านก็ต้องเอากลับวัดแน่ แต่ท่านก็ยังหาทางให้ทางวัดเขาวงจนได้

ท่านกล่าวให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำเป็นธรรมเนียมเลยว่า รับปัจจัยที่วัดไหนก็ให้วัดนั้นไปเลย ยกเว้นส่วนใดที่เขาระบุทำบุญเฉพาะเจาะจงวัดของเรา เราต้องรับกลับมา จะได้ไม่ต้องไปแปรเจตนาของเขา

ฉะนั้น..เวลาเขาทำบุญมา จะส่วนตัวหรืออะไรก็ตาม อาตมาจะลงที่นั่นหมด ไม่แบกกลับมาหรอก บางทีก็บอกว่ารวยพอแล้ว..!"

เถรี 08-05-2010 10:23

พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงตาในวันงานหล่อพระที่วัดเขาวงว่า "พอหล่อพระเสร็จ หลวงตาก็หงายผลึ่ง ต้องให้น้ำเกลือ เราจะบอกโยมไปตรง ๆ ก็เกรงว่าโยมจะเป็นห่วง ก็เลยบอกว่าหลวงตานอนพักอยู่ ที่เห็นว่ารีบตะกายมานั่งรับสังฆทานต่อเพราะพี่เขาไม่ไหวแล้ว

ที่จริงหลวงตาเกิดวันที่ ๒๙ เมษายน ที่ท่านเลื่อนมา ๑ พฤษภาคม เพราะวันที่ ๑ เป็นวันหยุด เหมือนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าท่านเลือกเกิดวันอาทิตย์ เพราะอย่างไรคนมาทำบุญแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านเกิดวันเสาร์"

เถรี 08-05-2010 10:25

พระอาจารย์ท่านกล่าวถึงเรื่องเพศที่สามว่า "ถ้าเราเห็นเป็นเรื่องปกติก็เป็นเรื่องปกติ คือ วาระบุญวาระกรรมเขาเป็นอย่างนั้น บุคคลที่สร้างบารมีมาถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะเปลี่ยนจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ตอนช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนผ่าน ก็จะมีนิสัยผู้ชายติดตัวมา เขาก็ว่าเป็นทอม พอเปลี่ยนเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงติดมา เขาก็ไปเรียกว่าตุ๊ด

ทุกคนจะต้องผ่านช่วงนี้กันมาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าระยะนี้คนประเภทนี้เขาเกิดมากเท่านั้นเอง"

เถรี 08-05-2010 10:26

ถาม : การที่ภาวนาไปแล้วดิ่งไปเรื่อย ๆ หมายถึง ดิ่งที่กลางกาย หรือว่าอารมณ์ดิ่ง ?
ตอบ : ทั้งสองอย่าง จะกลางกายก็ได้ จะอารมณ์ดิ่งก็ได้ ให้ได้สักอย่าง หรือได้ทั้งสองอย่างเลยก็ยิ่งดี

เถรี 09-05-2010 10:46

ในเรื่องของความกตัญญู พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิมิตฺตํ สาธุรูปานัง กตญฺญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ภูมิ เว สปฺปุริสานํ กตญฺญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสรับรองเอง

แม้กระทั่งหลวงพ่อท่านบอกว่า ให้สังเกตดูคนจีน ไม่ว่าจะมาเสื่อผืนหมอนใบขนาดไหน ไปอยู่ได้ไม่นานก็ตั้งหลักได้และเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะคนจีนมีความกตัญญูเป็นปกติ โดยเฉพาะกตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อผู้มีคุณ"

เถรี 09-05-2010 10:47

ถาม : ถ้าตัวเองบนหลาย ๆ ที่ กับบนเรื่องเดียวที่เดียว ต่างกันไหมครับ?
ตอบ : เรื่องเดียวแต่บนหลายที่โอกาสสำเร็จมีมาก เพราะขอความช่วยเหลือหลายแห่ง แต่จำให้แม่น ๆ ว่าบนอะไรไปบ้าง ถึงเวลาแก้ให้ครบด้วย

เถรี 09-05-2010 10:48

ถาม : ปกติมีดอกไม้ชนิดใดบ้างครับ ที่ห้ามมาบูชาพระพุทธรูป ?
ตอบ : ดอกอุตพิด..!

เถรี 09-05-2010 10:50

ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะภาวนาคาถาเงินล้านหนึ่งชั่วโมง แต่ชั่วโมงนั้นเราฟุ้งซ่านมาก เลยใช้คาถารวมจิตเพื่อระงับความฟุ้งซ่าน ตรงนั้นถือว่าเป็นการผิดความตั้งใจหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เพิ่มเวลาภาวนาเข้าไปสิ สมมติว่าเราใช้คาถารวมจิต ๑๕ นาที ก็ไปเพิ่มการภาวนาคาถาเงินล้านเป็นหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที เท่ากับว่าได้ภาวนาเท่าเดิม

เถรี 10-05-2010 17:40

ช่วงวันที่ ๓ - ๔ - ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทุกเย็นที่บ้านอนุสาวรีย์ จะมีเสียงดังจากกลุ่มคนหลากสีที่มาชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

พระอาจารย์จึงเปรยถึงเรื่องการเมืองว่า "มีเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปไม่ได้อยู่เรื่องหนึ่ง...ที่น่าจะให้เป็น ก็คือ ต้องกำหนดคุณสมบัตินักการเมือง จะเรียนจบอะไรมาก็ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน..!

เพราะว่านักการเมืองเป็นได้แค่พระโสดาบัน ตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปท่านไม่เอาแล้ว พระโสดาบันก็คงได้ไม่เกินโกลังโกละ ส่วนเอกพีชีท่านก็ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครแล้วเหมือนกัน

เอกพีชีนี่ ถ้าคนตายท่านไม่ร้องไห้แล้วนะ คนที่รักตายท่านก็ไม่ร้องไห้ อาจจะรู้สึกสลดมีธรรมเวชบ้าง แต่ไม่เหมือนกับสัตตักขัตตุงหรือโกลังโกละ เอกพีชีและสกิทาคามีนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เหลือหน่อยเดียวแล้ว

แต่ถ้าจะเอาพระอริยเจ้าจริง ๆ ก็คงจะไม่เหมาะ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีอารมณ์ใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านมุ่งมั่นเพื่อส่วนรวม"

เถรี 10-05-2010 17:42

"สถานการณ์ปัจจุบันนั้นอันตรายตรงที่ว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ตรงไปตรงมา พยายามใช่เล่ห์เหลี่ยมต่อกัน ในเมื่อขาดความจริงใจ เจรจาไปก็ไร้ผล

รัฐบาลก็พยายามยื้อให้นานที่สุด หวังให้ฝ่ายประท้วงหมดแรงไป ฝ่ายประท้วงก็พยายามที่จะทำให้เป็นเหตุใหญ่ขึ้นมา เพื่อที่รัฐบาลจะได้อยู่ไม่ได้ และมีมือที่สอง ที่สาม ที่สี่ ฯลฯ อีกไม่รู้เท่าไร

ถามว่ายืดเยื้อนานไหม ? ใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล กี่สีก็ไม่พ้น เพราะมีตัวอย่างเสียแล้ว ภาษิตโบราณเขาบอกว่า ขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็น ในเมื่อเด็กเห็น และเลียนแบบไปแล้ว ผู้ใหญ่ก็ว่าไม่ได้"

เถรี 10-05-2010 17:46

"ความเชื่อในลัทธิการเมืองไม่ใช่ความผิด แต่วิธีการปฏิบัติจะต้องเป็นไปตามกติกาที่เขากำหนด อย่างเช่นว่า มาสู้กันในรัฐสภา ถ้าหากสู้เขาไม่ได้ ก็ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องการรูปแบบนั้น เราก็ต้องยอมตามเขา ไม่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง แต่ว่ารอจนได้โอกาสอีกครั้ง ก็คือ เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่

ในลักษณะอย่างนี้ที่เขาพูดกันอยู่ กลายเป็นการปลุกระดมสร้างอารมณ์ร่วม ไปกระตุ้นอารมณ์เกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นวิธีการที่ผิดตั้งแต่แรก ในเมื่อเห็นเขาเป็นคนละฝ่าย ความคิดที่จะให้เกิดความสามัคคีก็เกิดไม่ได้ เราแค่รับฟังเราก็รับรู้ได้ถึงกระแสโทสะเต็ม ๆ เลย แล้วจะไปสามัคคีกันได้อย่างไร ?

ถ้ามองต้องมองอย่างในหลวง ไม่ว่าจะเสื้อสีใด ไม่ว่าจะศาสนาไหน จะคนดีหรือคนชั่ว ก็คือพสกนิกรที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแล เพียงแต่พระองค์ท่านให้แนวไว้ว่า ต้องสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในการปกครองจริง ๆ เพื่อที่จะได้ข่มคนชั่วเอาไว้

การเล่นการเมืองในบ้านเรานั้นล้าหลังและน้ำเน่า มักจะสาดโคลนใส่กัน อยู่ในลักษณะที่ถ้าข้าชั่วเอ็งก็เลว ไม่มีการนำเอาข้อดีต่าง ๆ ขึ้นมาว่ากัน กลายเป็นไปขุดเอาความไม่ดีของอีกฝ่ายมาโจมตีกัน

ถ้าจะหาเสียงโดยไม่ให้กระทบกระทั่งคนอื่นเขา ก็คือ ตัวเองจะทำอะไร คิดว่าจะทำสิ่งที่ดีงามให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างไร มีแนวนโยบายที่จัดการในเรื่องอย่างนี้อย่างไร คงต้องรอพัฒนาการอีกสักชั่วคนหรือสองชั่วคน..!"

เถรี 10-05-2010 17:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลที่ควรจะได้สองขั้น สามขั้นทุกปี ก็คือ มาร

พญามารกับเสนามาร เขาขยันจริง ๆ ดูสิเขาทำงานเต็มที่เลย ไม่เคยอู้กับใคร ถ้าพวกเรารักปฏิบัติได้สักครึ่งหนึ่งของการทำงานของมาร น่าจะบรรลุไปแล้ว..!"

เถรี 10-05-2010 17:52

พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า "อารมณ์ใจตั้งให้ถูก เบื่อก็คือเบื่อ แต่อย่าไปผสมโทสะ ถ้าหากมีโทสะแทรกเข้าไปแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวจะกลายเป็นเกลียด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่อารมณ์แห่งการหลุดพ้น แต่จะกลายเป็นอารมณ์ลงนรก..!

โทสะเป็นรากเหง้าของนรกโดยตรงเลย ถ้าหากโลภยังเป็นเปรตอสุรกายบ้าง"

เถรี 10-05-2010 17:57

พระอาจารย์กล่าวว่า"คำว่าคานกับนิพพานใกล้กันนั้น มาจากมหาสติปัฏฐานสูตร เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ทางนี้เป็นทางของบุคคลคนเดียว

คนที่อยู่บนคานมักอยู่คนเดียว ถึงได้บอกว่า คนอยู่บนคานมักได้เปรียบ เพราะว่าอยู่บนคานเท่ากับอยู่ใกล้นิพพาน ไปถูกทางแล้ว

เอกายะ คือ ทางสายเดียว แต่คนแปลมักแปลความหมายผิด ไปแปลว่า เฉพาะมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้นจึงจะไปนิพพานได้ เพราะเขาแปล เอกายะ ว่าเป็นทางสายเดียว ต้องบอกว่า นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นแปดหมื่นกว่าพระธรรมขันธ์ก็ใช้งานไม่ได้

เนื้อหาทุกอย่างไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ถ้าขาดการสรุป เท่ากับว่าขาดใจความสำคัญไปด้วย ดังนั้น..ในพระไตรปิฎกรุ่นใหม่ ๆ เขามักจะไปตัดเนื้อหาออก ก็คือ ตัดที่มาและตัดผลลัพธ์ มีแต่เนื้อ ถึงจะเหมาะสำหรับคนใจร้อนจริง ๆ แต่เขาก็จะไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร ทำแล้วเกิดผลดีอย่างไร"

เถรี 10-05-2010 18:29

พระอาจารย์กล่าวถึงคำว่า อวดอุตริมนุสสธรรม ว่า " อวดอุตริมนุสสธรรม คนมักจะพูดไปเรื่อย โดยที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง

อุตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้ พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติขาดความเป็นพระ ต่อเมื่อไม่มีแล้วบอกเขาว่ามี ไม่ใช่ว่ามีแล้วไปปรับ"

เถรี 10-05-2010 18:33

ถาม : มีผึ้งมาทำรังในบ้าน ควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : สมัยโบราณเขาถือว่าดี เขาให้รับขวัญด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน หรือผ้าสีก็ได้

ถาม : ที่เป็นห่วงก็คือ กลัวจะเป็นอันตราย
ตอบ : ไม่เป็นหรอก เพียงแต่ตอนช่วงเช้ามืดประมาณตีห้าครึ่งให้รีบปิดไฟทุกดวง เขาจะได้ออกไปหากินได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะหลงแสงไฟออกไปไม่ได้ และช่วงหัวค่ำ ก่อนเขาจะเข้ารังหมด อย่าเพิ่งเปิดไฟ ถ้าเขาเข้ารังไม่หมดแล้วเราไปเปิดไฟ บางทีเขาจะหลงติดอยู่ที่ไฟนั่นแหละ จะเหนื่อยทั้งคืนจนตกตายอยู่ตรงนั้น ถ้ารู้จักปฏิบัติก็อยู่กันสบาย

ถาม : เขามาเกาะที่หิ้งพระ ผมเลยทำความสะอาดหิ้งพระลำบาก
ตอบ : เขาอยู่ไม่นาน จะอยู่แค่ระยะเดียว ถ้าอาหารบริเวณนั้นหมดเขาก็จะย้ายไปเอง

เถรี 11-05-2010 12:21

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเมืองว่า "เรื่องของความเชื่อทางการเมือง จะว่าไปแล้วก็เหมือนความเชื่อในศาสนา

โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ เคยมีหลายครั้งที่มีการประชุมกันทางศาสนา เพื่อหาข้อสรุปว่า การปฏิบัติสายไหนที่ควรจะเป็นการปฏิบัติสำหรับประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ปรากฏว่าประชุมมาหลายครั้ง ไม่เคยได้ข้อสรุป เถียงกันจนเกือบจะวางมวยกันทุกที ต่างคนก็ต่างมั่นใจว่าสายของตนเองดีกว่า ในเมื่อไม่ยอมลดราวาศอกกัน ก็เลยหาจุดลงไม่ได้สักที ดูไปก็คล้าย ๆ กับความเชื่อทางลัทธิการเมือง"

เถรี 11-05-2010 12:28

"ถ้าว่ากันถึงเรื่องสายการปฏิบัติในศาสนาพุทธของไทยเรา จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดก็มาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบุคคลที่เป็นต้นสายท่านถนัดแบบไหน ท่านก็นำจุดนั้นมาสอน คนอื่นต่างหากเล่าที่ไปกำหนดว่าเป็นสายนั้นสายนี้

เมื่อกำหนดแล้วว่าเป็นสายนั้นสายนี้ บรรดาลูกศิษย์ก็ยึดมั่นถือมั่น ถ้าหากไปเจอคนละสาย ก็เริ่มมีการกระทบกระทั่งกัน ในลักษณะของกูดีกว่า ของมึงใช้ไม่ได้ กลายเป็นว่า บางทีท่านผู้เป็นต้นสายเกิดมาก็ไม่เคยเจอกันเลย แต่ลูกศิษย์ทะเลาะกันไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร อยากจะบอกว่าต้นสายท่านไม่เคยมีปัญหากัน มามีปัญหากันตรงบรรดาลูกศิษย์เอากิเลสไปชนกัน

เรื่องของการเมืองก็ลักษณะเดียวกัน เพราะความเชื่อต่างกัน ก็เลยมีประเภทแฟนพันธุ์แท้ของพรรคนั้นบ้างพรรคนี้บ้าง แล้วพวกนี้กระทบไม่ได้ ขนาดในห้องเรียนของอาตมา พระเรียนอยู่ล้วน ๆ ยังมีปัญหาเรื่องพรรคการเมือง

ต้องบอกว่า ตราบใดที่เรายังไม่สามารถเห็นคนอื่นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างแท้จริง ก็จะอดแบ่งแยกไม่ได้ ในหลวงของเรารักประชาชนทุกคน เพราะว่าทุกคนคือพสกนิกรของพระองค์ท่าน เปรียบเหมือนกับลูก ลูกจะดีหรือว่าจะเลว คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องให้การสงเคราะห์เป็นปกติอยู่แล้ว

พระพุทธเจ้าทรงมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าท่านรักสัตว์โลกทั้งหมด ท่านเห็นว่าสัตว์โลกทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ถ้าส่วนไหนสามารถช่วยเหลือได้ พระองค์ท่านเต็มใจให้การช่วยเหลือ นั่นจัดเป็นอัปปมัญญาพรหมวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งใหญ่จนเราประมาณไม่ถูก ว่าทำไมคน ๆ หนึ่งถึงมีความรักต่อสรรพสัตว์ได้ทั่วหน้าขนาดนี้

ไม่ว่าจะเป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ของในหลวงก็ดี ทำอย่างไรที่เราจะใช้กำลังใจเหล่านั้นกับตัวเราเองได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้ว บางทีขนาดของเหลือของเสียทิ้งแล้วยังฆ่ากันตายเลย"

เถรี 11-05-2010 12:44

ถาม : อย่างเช่นอะไรครับ ของเหลือของเสีย ?
ตอบ : มีเรื่องเล่าว่า ชายสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ชวนกันไปหาของป่า ต้องเดินลัดป่าท้ายหมู่บ้านเพื่อเข้าป่าลึก คนแรกก็บ่นว่า "ใครมาขี้เอาไว้วะ เหม็นฉิบหายเลย" ปรากฏว่าเพื่อนที่มาด้วยกันนั่นแหละที่มาขี้ไว้ตรงนี้ ก็เกิดโมโหขึ้นมา "ไอ้ห่_ มึงว่ากูขี้เหม็นหรือวะ..!" ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ทั้ง ๆ ที่คบกันมานานเนกาเล ก็ชักมีดซุยไล่แทงกัน

ดังนั้น เรื่องการยึดมั่นในอัตตา คือ ตัวกูของกูนั้น เป็นอันตรายทุกระดับ ทั่ว ๆ ไปก็เกิดการกระทบกระทั่งกันได้ง่าย

ได้ฟังเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกอย่างไร ? บางทีอาตมาเกิดความรู้สึกว่า กูอุตส่าห์สู้รบแทบตายเพื่อให้มันมีแผ่นดินอยู่ แล้วมันก็มาทำปู้ยี้ปู้ยำจนเละ มีอยู่เที่ยวหนึ่งอยู่ชายแดน กำลังเข้าเวรกลางคืน มองจากยอดเขาออกไป มองไปไกลลิบเห็นตัวเมือง แสงสีเสียงเพียบ เพื่อนก็ถามว่า "พวกนั้นเขาจะรู้หรือเปล่า ว่าเราลำบากกันแทบเป็นแทบตายขนาดไหน ?" เราได้ยินน้ำตาจะร่วงเดี๋ยวนั้นเลย

เป็นอย่างนั้นจริง ๆ อยู่แนวหน้ามาปีกว่า มีคนไปเยี่ยมสี่ครั้ง เฉลี่ยประมาณสามเดือนต่อครั้งหนึ่ง แต่เราไม่เคยได้เห็นคนเยี่ยมเลย เพราะอยู่ในพื้นที่อันตราย ถึงเวลาพอมีคนจะมาเยี่ยม เจ้านายจะสั่งบล็อกพื้นที่หมด รักษาความปลอดภัยแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ป้องกันคณะที่เขามาเยี่ยมเราไม่ให้เกิดอันตราย ก็เหลือแค่ผู้บังคับบัญชาไม่กี่คนที่จะรับหน้าและรับมอบสิ่งของ

พวกเราก็ได้ยินเสียงทางวิทยุว่า "เขาจะมา" ได้ยินว่า "เขากำลังมา" ได้ยินว่า "เขามาแล้ว" ท้ายสุดได้ยินว่า "เขากลับแล้ว" เสียงมาทางวิทยุเท่านั้น เลยเกิดความรู้สึกว่า "เขาจะรู้ไหมว่าเราลำบากกันแค่ไหน ?"

เพราะฉะนั้น..ในบางส่วนที่เห็นความวุ่นวายในแผ่นดิน จึงเกิดความรู้สึกที่ว่า เราอุตส่าห์ดูแลรักษามาหวังจะให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่กลับเป็นแบบนี้

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถามท่านฮิตเลอร์ว่า ถ้าท่านเกิดมามีอำนาจในยุคนี้จะจัดการอย่างไรกับประเทศชาติ เพื่อให้สงบเรียบร้อย ท่านตอบง่าย ๆ ว่า "ตายเกินครึ่ง..!" เราจะไปว่าอะไรพุทธภูมิได้ เพื่อความสุขของคนหมู่มาก ท่านยอมลงนรกคนเดียว..!

เถรี 13-05-2010 13:32

ถาม : มีอาการมึน ๆ คล้าย ๆ เป็นสมาธิ แต่อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง
ตอบ : อาจจะเป็นได้สองอย่าง อย่างแรกคือปฐมฌานหยาบ อย่างที่สองคือพักผ่อนไม่พอ

เถรี 13-05-2010 13:33

ถาม : เวลาใช้มโนมยิทธิ อาราธนาดูบารมีพระแต่ละองค์ เห็นรัศมีออกมาต่าง ๆ กัน ผมเห็นแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน มีลักษณะใดเป็นไปในทางด้านไหนบ้าง ?
ตอบ : สีเขียวหรือสีแดงส่วนใหญ่ออกไปทางอยู่ยงคงกระพัน สีเหลืองออกไปทางเรื่องเมตตา ถ้าสีขาวจะช่วยในการปฏิบัติธรรม

เถรี 13-05-2010 13:36

ถาม : ผมกำลังจะไปสอบ แต่ช่วงนี้จิตฟุ้งซ่าน สวดคาถาชินบัญชร ๑๐ จบทุกคืนเพื่อให้มีสมาธิ แต่พอไปสอบจริง ๆ ก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ครับ ควรจะแก้อย่างไรดี ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก คาถาไม่ใช่สักแต่ท่องให้จบ ขณะท่องให้รู้ลมไปด้วย เมื่อเป็นสมาธิแล้วรักษาสมาธิไว้ได้ ก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าฟุ้งซ่านแปลว่าไม่มีสมาธิแล้ว

ถาม : ถ้าท่องคาถาไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ได้ แต่ให้ใช้ลมหายใจเข้าออกควบไปด้วย

ถาม : ในขณะภาวนา ?
ตอบ : คาถาต่าง ๆ ถ้าไม่อยู่กับลมหายใจเข้าออก ได้ผลน้อย ยิ่งลมหายใจเข้าออกรู้ได้ชัดเจนเท่าไร ก็ได้ผลมากเท่านั้น

ถาม : แล้วถ้าตอนสวดคิดว่าขึ้นไปสวดให้พระฟังข้างบนละครับ จะอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีความคล่องตัวก็สามารถที่จะทำได้ ให้กำหนดความรู้สึกอยู่ข้างบนอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจลมหายใจเข้าออก

เถรี 13-05-2010 13:37

ถาม : กรรมฐานทุกกอง ต้องเริ่มที่อานาปานสติทุกกองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทุกกอง ถ้าไม่ใช้อานาปานสติ กรรมฐานจะไม่ทรงตัว ปฏิบัติไปได้พักเดียว เดี๋ยวก็เจ๊ง..!

เถรี 13-05-2010 13:42

ถาม : เราคิดว่าควบคุมกิเลสได้แล้ว พอเราเผลอกิเลสก็โผล่เข้ามา ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ จำไว้ว่าทุกคนมีราคะ โลภะ โมหะ โทสะ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะมันเป็นสมบัติของร่างกายนี้ แต่ถึงจะเป็นสมบัติของร่างกายนี้ก็จริง ถ้าเราไม่ให้ความร่วมมือนึกคิดปรุงแต่ง มันก็ทำอันตรายเราไม่ได้

จะอันตรายตอนเราไปปรุง ตอนที่เราไปใส่นั่นใส่นี่ให้ก๋วยเตี๋ยวอร่อย พออร่อยก็อยากกิน


ถาม : อย่างนี้เราควร ?
ตอบ : ต้องเร็ว เร็วนั้นมีสองวิธีด้วยกัน วิธีแรก ก็คือ วิ่งกลับไปสู่องค์ฌานเลย รัก โลภ โกรธ หลงจะถอย เพราะสู้องค์ฌานไม่ได้ วิธีที่สอง สติ สมาธิ และปัญญาจะต้องแหลมคมและว่องไวมาก ทันทีที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องตัดได้เดี๋ยวนั้นเลย อย่ารับเข้ามา

ถาม : ตัดแปลว่าฆ่าหรือว่า ?
ตอบ : ไม่ใช่ ตัดแปลว่าไม่ไปยุ่งด้วย ไม่ไปคิดต่อ หล่อแค่ไหนก็เรื่องของเอ็ง อย่าไปคิดต่อว่า หล่อดีนะ เป็นแฟนเราก็ดี ควงกันไปเที่ยวก็เท่ มาที่นี่ก็ดูดีจังเลย ถ้าอย่างนั้นก็จะไปเรื่อย

เถรี 13-05-2010 13:45

ถาม : วิธีที่สองตัดอย่างไร ไม่ต้องใช้กำลังสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : แสดงว่าเราฟังพลาด กำลังของสติ สมาธิ ปัญญาจะต้องแหลมคมและไวมาก ๆ ถ้าอย่างนั้นจะเท่าทันกิเลส พอเริ่มเกิดเราก็รู้สาเหตุ แล้วเราก็ตัด

ถาม : แปลว่าอย่างนั้นเราต้องรู้สาเหตุก่อน ?
ตอบ : เรารู้ว่าเราคิดต่อแล้วจะเดือดร้อนอย่างไร ปากกาด้ามเดียว ถ้าหยุดคิดก็เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้น อย่างแย่ ๆ ก็เป็นแค่ปากกา แต่ถ้าคิดแบบว่องไว สติ สมาธิ ปัญญาว่องไวมาก ๆ จะบอกตั้งแต่ต้นยันปลายเลยว่าคุณคิดแบบไหนจะเป็นแบบไหน พอเห็นโทษแล้วก็จะตัดเลย พยายามนะจ๊ะ เดี๋ยวก็ตามทันเอง

เถรี 13-05-2010 13:48

ในขณะที่ฝนตก พระอาจารย์ก็กล่าวให้ฟังว่า "โบราณเขาเก่งมาก เขาจึงค้นพบพื้นที่กรุงเทพฯ และตั้งเมืองหลวงขึ้นมา เพราะกรุงเทพฯ ฝนฟ้าบริบูรณ์ทั้งปี

แต่พวกเรารุ่นหลังทำผิด ที่ไปเปลี่ยนกรุงเทพฯ แทนที่จะเอาไว้เพาะปลูกเหมือนเดิม ก็สร้างอาคารพาณิชย์ขึ้นมาสารพัด ถึงเวลาฝนตกน้ำท่วมก็เป็นเรื่องปกติของกรุงเทพฯ แล้วบรรพบุรุษเราก็ขุดคลองระบายน้ำเยอะแยะไปหมด แต่ช่วงหลังการปฏิวัติเป็นต้นมา หลังจาก ๑๔ ตุลา เขาถมคลองทำถนนเสียเยอะแยะ คลองในกรุงเทพฯ หลายต่อหลายสาย โดนถมทำถนน ทำให้การระบายน้ำไม่ดีเหมือนเดิม พอฝนตกก็น้ำท่วม การสร้างถนนและอาคารแต่ละหลังไปขวางทางน้ำเข้าจึงเป็นเช่นนั้น"

เถรี 13-05-2010 13:55

ถาม : วันนี้ไปนั่งภาวนาที่วัดเขาวง ระหว่างภาวนาความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานามันก้อง แต่เหมือนไม่ใช่เสียงของเรา มีเสียงประหลาดทั้งหญิงทั้งชายมาตลอดเวลา ตรงนั้นผมก็พยายามดูความคิดตรงนั้น ในที่สุดก็หายไป
ตอบ : มีสองวิธี จะดูก็ได้หรือไม่ใส่ใจก็ได้ ถ้าไม่สามารถกวนเราให้ขุ่นได้ มันก็จะเลิกไปเอง

ถาม : รู้สึกว่าที่ผ่านมามันลงเหวครับ
ตอบ : บางทีเรารู้สึกว่าเราทำดี ทำถูกมาตลอด แต่กว่าจะรู้ตัวก็ไปอยู่ก้นเหวแล้ว มันหลอกได้เนียนมาก ถ้ารู้ตัวก็ย้อนกลับ

อาตมาโดนมาแล้ว..! ระมัดระวังตลอดอยู่สามปี เหมือนกับเขาทำอะไรเราไม่ได้เลย แต่ความจริงทางเดินลดลงต่ำทีละมิลเดียว สามปีผ่านไปอยู่ก้นเหวตอนไหนไม่รู้ โดนอีกแล้วตู เขาโคตรเก่งเลย


ถาม : ที่เคยคิดว่าดี ก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด
ตอบ : เริ่มต้นใหม่จ้ะ อย่าไปเสียเวลาคร่ำครวญอยู่

เถรี 14-05-2010 10:47

ถาม : ก่อนหน้านี้หนูมาทำบุญบ่อย ๆ แล้วแฟนเขาไม่เข้าใจ ก็เลยทะเลาะกัน หนูก็เลยเก็บของออกมา ตอนนี้เขาขอให้กลับมาอยู่เหมือนเดิม แล้วถ้าไปไหนมาไหนเขาจะไม่ว่า เขาก็หันมาปฏิบัติเริ่มสวดมนต์ หนูควรจะให้โอกาสเขาดีไหมคะ ? หนูอยากจะอยู่คนเดียวมากกว่า แต่ก็สงสารเขาเหมือนกันค่ะ
ตอบ : ต้องตัดสินใจเอง

ถาม : กลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดไม่ได้ แล้วเราจะกลับไปเสียเวลาอีกครั้งหนึ่งค่ะ
ตอบ : เรื่องชีวิตคู่ พระพุทธเจ้าบอกว่าจะอยู่กันยืนยาว จะต้องมีสมชีวิธรรม คือ มีความเสมอกันในชีวิต ต้องมีสมสีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีการให้เสมอกัน สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน สมสัทธา ศรัทธาเสมอกัน ถ้าไม่เสมอกันก็มีปัญหา

ถาม : ถ้าเขาบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว เขาหันมาเริ่มฝึกปฏิบัติมากขึ้น
ตอบ : ก็คงประเภทหัวถนนกับท้ายถนน กว่าเขาจะไล่ตามเราทันก็อีกหลายยก คงต้องมีกระทบกระทั่งกันเป็นปกติ เพราะชีวิตคู่ก็เหมือนลิ้นกับฟัน

ถาม : แต่ถ้าหนูตัดสินใจทิ้งเขาไปเลย จะผิดไหมคะ ?
ตอบ : จะไปผิดตรงไหน..!

ถาม : เหมือนกับว่าเขายังไม่อยากเลิกกับเรา แต่เราไม่อยากอยู่กับเขา
ตอบ : จะไปว่ากล่าวการกระทำถูกผิดชัดเจนนั้นไม่ได้ ต้องรอดูผลต่อไปในภายหน้า อย่างลูกสาวคนโตของอาตมา เขาบอกตั้งแต่เรียนมัธยมว่าชีวิตนี้ไม่แต่งงาน ใคร ๆ ก็หาว่าบ้า พูดอย่างนี้ได้อย่างไร แก่ตัวไปใครจะดูแล จนกระทั่งตอนนี้พี่น้องเพื่อนฝูงแต่งกันไป ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง บ้านแตกสาแหรกขาดบ้าง ส่วนเขาก็อยู่สบายคนเดียว และทุกคนก็บอกว่า เป็นอย่างเขาก็สบายดี

เห็นหรือยังว่า ตอนแรกคนอื่นเห็นว่าผิด แต่ตอนนี้ทุกคนเห็นว่าถูก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำ เราจะไปว่าผิดถูกไม่ได้ จนกว่าผลนั้นจะเกิดชัดเจนเสียก่อน


ถาม : ท่านจะไม่ให้คำแนะนำอะไรหรือคะ ?
ตอบ : แนะนำว่า ให้ตัดสินใจเอาเอง

ถาม : มันลำบากใจ
ตอบ : ที่จริงก็มีแค่ได้กับไม่ได้ สองอย่างเท่านั้นเอง

เถรี 14-05-2010 10:48

ถาม : พรุ่งนี้หนูจะไปอยู่วัดเขาวง จะช่วยได้ไหม ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัวจะช่วยได้มาก แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวก็ตัดสินใจไม่ได้เหมือนเดิม

ถาม : หนูว่ายังไม่หมดเวรหมดกรรมกับเขา
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราตัดใจว่าหมดก็คือหมด

ถาม : หนูก็เคยยื้อเหมือนกันนะคะ จะเลิกหรือไม่เลิก สุดท้ายเขาก็ยอมลาไปเอง แต่ตอนนี้หนูจะตัดแต่เขาไม่ยอมตัด
ตอบ : ถ้าเราอยู่ห่าง ๆ ไว้ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้

เถรี 14-05-2010 10:56

ถาม : อารมณ์รักหรืออารมณ์โกรธ เป็นพลังงานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : คือ รู้สึกกระทบแล้วเกิดอารมณ์ได้ง่าย
ตอบ : อย่าไปก่อให้เกิดพลัง..ก็จบ ถ้าเราไปช่วยเพิ่มพลัง มันก็ไปเรื่อย ถ้าไม่สตาร์ทเครื่องก็จอด ไปสตาร์ทเครื่อง เข้าเกียร์ ก็ไปเรื่อย

ถาม : ไม่ว่าอะไรที่กระทบ ไม่ว่ารัก โลภ โกรธ หรือหลงก็ตาม ก็เป็นความรู้สึกในใจที่เป็นความแตกต่างกัน
ตอบ : เรารับเข้ามาแล้วไปปรุง ตอนรับเข้ามา ถ้ายังไม่ปรุงก็ยังไม่ก่อเกิด และตอนที่ปรุงนั้นเป็นขั้นตอนที่ช่วยให้เจริญเติบโตได้เร็วมาก มีพลังงานที่จะทำร้ายเราได้มาก ทำอย่างไรที่จะหยุดไว้โดยไม่รับเข้ามา

ถาม : อย่างเรื่องการฟังธรรม ช่วงหลัง ๆ ฟังแล้วจะรู้สึกผ่านหูไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้เกิดความรู้สึกฟังแล้วอยากปฏิบัติตาม ฟังแล้วมีความพยายาม
ตอบ : ถ้าไม่ใช่ที่ตรงกับอารมณ์การปฏิบัติของเราในปัจจุบัน บางทีก็ผ่านหูไปเฉย ๆ แต่ถ้าตรงเราก็จะฉวยมาเพื่อปฏิบัติ อย่างเราฟังก็ได้แค่อนุสติเฉย ๆ

ถาม : ช่วงหลัง ๆ ฟังแล้วไม่คว้าไว้
ตอบ : ถือว่าปกติ จนกว่าจะไปได้ที่ตรงกับใจของเราเมื่อไร ก็โดดคว้าไว้

ถาม : แล้วมีอะไรตรงไหน ที่ผมควรจะโดดคว้าไว้
ตอบ : ไม่มี..ต้องบรรเลงเอง สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง อัญโญ นาญยัง วิโสธเย

ถาม : ขอคำแปลครับ
ตอบ : ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ นี่เป็นพุทธพจน์โดยตรง ฉะนั้น..ใครที่สามารถทำให้คนนั้นบรรลุธรรมได้ คนนี้บรรลุธรรมได้ แปลว่ากำลังค้านพุทธพจน์

เถรี 15-05-2010 15:28

ถาม : การปฏิบัติมีไหมคะ ที่มีความรู้สึกว่าอิ่มตัวแล้ว ไม่รับอะไรแล้ว ?
ตอบ : ไม่ใช่อิ่ม แต่เป็นเพราะตัน ไปต่อไม่ได้ คราวนี้ต้องย่ำเท้าอยู่กับที่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เบื่อไม่ได้ จนกว่าจะก้าวผ่านไป ช่วงนี้จะเบื่อเพราะปฏิบัติไม่เจริญ

ถาม : ไม่เบื่อค่ะ แต่เหลือแค่ทำให้สำเร็จ
ตอบ : ถูก..ก็ต้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก

ถาม : ถ้าบางทีหนูอยากเข้าสมาธิแบบดิ่งลึก ทีนี้คนอื่นเขาไม่รู้ เข้ามากวนบ้าง มาแกล้งบ้าง ทำให้เราพลาดจากอารมณ์ที่ควรจะได้ ตรงนี้หนูควรทำในที่ที่มีคนไม่เยอะใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ ถ้าคนเยอะก็เปลี่ยนเป็นสมาธิแบบใช้งาน

เถรี 15-05-2010 15:34

ช่วงที่ฝนตก พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการทำนายสภาพดินฟ้าอากาศว่า "โบราณเขาใช้การสังเกตและสั่งสมประสบการณ์ ทำให้บางคนสามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้แม่นมาก ดูลักษณะฟ้า ฝน ลม สัตว์ พืช ก็สามารถบอกได้

อย่างปีไหน ถ้าไม้ไผ่ออกหน่อสูงกว่าต้นเดิม แสดงว่าปีนั้นน้ำมาก
หรือไม่ก็ไปดูที่ชายตลิ่ง ถ้าปูขุดรูสูงกว่ารูเก่า แสดงว่าปีนั้นน้ำจะมาก เพราะรูปูจะอยู่พ้นน้ำเสมอ
บางทีก็ดูนกกระจาบ ถ้าหากทำรังสูงกว่าปีเก่า แสดงว่าน้ำจะมาก ถ้าต่ำกว่าน้ำจะน้อย
ถ้านกนางแอ่นบินหากินต่ำ บางทีเลียดพื้นเลย แสดงว่าฝนจะตก ความกดอากาศต่ำ แมลงก็บินต่ำ

สมัยก่อนมีโยมอยู่คนหนึ่งสามารถพยากรณ์ว่าฝนจะตกหรือไม่ตกได้แม่นยำมาก ๆ มีคนไปท้าพนันกับเขาอยู่ตลอด บางทีเมฆดำมาเลยนะ แต่เขาบอกว่าฝนไม่ตก คนอื่นก็อดไม่ได้ ไปท้าพนันกับเขา สุดท้ายก็เสียเงินให้ฟรี ๆ แต่พอแดดเปรี้ยง เขาบอกว่าฝนจะตกแล้วฝนก็ตกจริง

ตอนแรกนึกว่าเขาดูลมดูอากาศ ปรากฏว่าไม่ใช่ จริง ๆ แล้วเขาเป็นขี้กลาก ถ้าขี้กลากคันขึ้นมาเมื่อไรแสดงว่าฝนจะตก เพราะว่าเวลาฝนจะตก ความกดอากาศจะกดต่ำ ความชื้นในอากาศสูง พอโดนความชื้นแล้วขี้กลากจะคัน

สมัยก่อนอยู่ต่างจังหวัด อาตมาพอจะสังเกตได้บ้าง แต่ไม่แน่นอน แต่พอมาอยู่กับหลวงพ่อแล้วท่านสอน ท่านไม่ได้เจตนาที่จะสอนอย่างเป็นทางการหรอก ท่านปรารภแล้วเราก็ฟัง ๆ มา สำคัญที่ว่าเรารู้จักจดจำเอาไปใช้งานหรือเปล่า ?"

เถรี 15-05-2010 15:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในระยะนี้ของที่ระลึกที่เกี่ยวกับในหลวงที่มีออกมา ถ้าไม่เกินวิสัยก็เก็บ ๆ ไว้บ้าง

ช่วง ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมา วัตถุมงคลที่เนื่องด้วยในหลวงราคาขึ้นอย่างน่าใจหาย สมเด็จจิตรลดาเดี๋ยวนี้ราคาที่ต่ำกว่าล้านหาไม่ได้แล้ว

พระกริ่ง ๗ รอบ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในหลวงทรงเททองขณะที่ทรงเป็นภูมิพโลภิกขุ (พิเศษตรงนี้แหละ) ราคาขึ้นหูดับตับไหม้เลย

รุ่นใหม่มาแรงก็พระกริ่งปวเรศรุ่นสอง บางคนก็เรียก พระกริ่งปวเรศน้อย ที่ในหลวงทรงเททองตอนพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๐ มีพระอยู่รูปหนึ่งที่ได้รับพระบรมราชานุญาตไปพุทธาภิเษก ชื่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ตอนนั้นท่านยังเป็นพระสุธรรมยานเถระ จัดเป็นพระกริ่งรุ่นเดียวที่หลวงพ่อพุทธาภิเษก และไม่ใช่ของวัดด้วย

พระกริ่งรุ่นนี้เริ่มทำปี ๒๕๒๘ แต่ไปออกปี ๒๕๓๐ ช่วงนั้นพอดีอาตมาบวช เลยไม่ได้ตามหลวงพ่อไปเข้าพิธี แล้วราคาจัดว่าแพงมากสำหรับยุคนั้น ชุดหนึ่งจะมีพระชัยวัฒน์ ๑ องค์ พระกริ่ง ๑ องค์ เขาคิดราคา ๕,๕๐๐ บาท ในสมัยนั้น ก็เลยมีปัญญาเก็บไว้ชุดเดียว ตอนนี้โดนแย่งพระชัยวัฒน์ไปแล้ว เหลือแต่พระกริ่งองค์เดียว"

เถรี 15-05-2010 15:47

"ช่วงนั้นเกิดรายการปลอมกันอุตลุต ของจริงเขาทำด้วยความประณีต แต่ของเล่นปลอมเจาะรูอุดกริ่งเฉยเลย ของจริงเขาคว้านฐาน บรรจุผงจิตรลดาและพระเกศาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วตีแผ่นทองแดงปิด ฉะนั้น..ไม่ใช่เจาะรู..!

ของทุกอย่างที่เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลายเป็นของแพง โดยเฉพาะสมเด็จจิตรลดาหรือเป็นพระกำลังแผ่นดิน เป็นพระที่ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก แต่ในหลวงทรงอธิษฐานจิตด้วยพระองค์เอง เราจะเห็นได้ว่าท่านที่รู้จักพระ รู้จักเทวดาจริง ๆ ปลุกเสกของได้ทุกคน เพราะไม่ได้ทำเอง ถึงเวลาก็อัญเชิญท่านมาปลุกเสกให้

ระยะที่ของที่เนื่องด้วยในหลวงขึ้นราคา น่าจะเป็นปีกาญจนาภิเษก เขาออกเหรียญในหลวงทรงเครื่องมหาราชภูสิตาภรณ์ ประทับนั่งบนราชอาสน์เต็มพระองค์ แต่ราคาสองแสนห้า..! เราก็ได้แต่นั่งมอง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว