กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6130)

เถรี 21-04-2018 20:03

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๑
 
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า มีบุคคลซึ่งอยู่ในลักษณะของมิจฉาชีพ แต่ว่ามีความอยู่ยงคงกระพันทั้งหลับทั้งตื่น ไม่มีใครสามารถยิงออกได้ หากว่าพวกเราสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น อาตมาเคยคุยกับเสือปล้นเก่าท่านหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์เรื่องของการอยู่ยงคงกระพันเช่นนี้ คือ เสือวงศ์

ถามว่า "ลุง...ลุงทำอย่างไรถึงเหนียว ?"
เสือวงศ์บอกว่า "ไอ้หนู ว่างเมื่อไรต้องภาวนาทันที"
ถามต่อไปว่า "ทำไมลุงถึงต้องภาวนาขนาดนั้นด้วย ?"
เสือวงศ์บอกว่า "พลตระเวนจะตามมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าเราเผลอโดนเขาแอบยิงก็ตายฟรี เพราะฉะนั้น...ว่างเมื่อไรก็ต้องภาวนา สร้างกำลังใจของเราให้ดีไว้ เมื่อถึงเวลาจะได้ป้องกันตัวเองได้ รักษาตัวเองได้"

นั่นคือการปฏิบัติของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเสือปล้น เป็นมิจฉาชีพ เป็นผู้กระทำผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม แล้วถามว่าทำไมถึงอยู่ยงคงกระพันได้ ? ก็เนื่องเพราะว่าช่วงที่เขาภาวนาศีลทุกสิกขาบทของเขาบริสุทธิ์บริบูรณ์ เรื่องของโลกียอภิญญา ถ้าเรารวบรวมกำลังใจได้ ก็สามารถที่จะเข้าถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ง่าย

เมื่อได้ฟังดังนี้แล้วพวกเราทั้งหลายที่เป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรมจะเห็นได้ว่า จากคำตอบของเสือวงศ์ที่ว่า "ว่างเมื่อไรต้องภาวนา" เราทำอย่างเขาได้หรือไม่ ? ถ้าหากว่าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมการปฏิบัติของเราถึงไม่ก้าวหน้า ?

เถรี 21-04-2018 20:06

แต่ขณะเดียวกัน ถ้าทำได้แล้วการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ขึ้นอยู่กับ ๒ ประการคือ ๑. เราทำเกิน ๒. เราทำขาด

การทำเกินในพระพุทธศาสนานั้น ตัวอย่างมีอยู่ท่านเดียว คือ พระโสณโกฬิวิสเถระ เดินจงกรมจนเท้าแตก เมื่อเท้าแตกเดินต่อไม่ได้ก็ใช้วิธีคลานไป เมื่อคลานจนเข่าแตก ฝ่ามือแตก ไปต่อไม่ได้ก็นอนลงกับพื้น แล้วเอาคางเกาะพื้นค่อย ๆ ดึงตัวเองไป นั่นคือบุคคลเดียวที่ทำความเพียรเกิน

แปลว่าพวกเราทั้งหลายทำความเพียรไม่พอ คือทำขาด ถ้าถามว่าทำเท่าไรถึงจะเพียงพอ ? ก็ต้องเอาคำพูดของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บอกว่า ต้องทรงอารมณ์ให้ได้ทุกวินาที อย่าให้ความดีคลาดไปจากใจ แต่ถ้าท่านทั้งหลายรู้สึกว่าตึงเกินไป เครียดเกินไป ก็เอาอย่างที่อาตมาเคยทำก็คือ เช้ามืดภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวตั้งมั่น ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ออกไปทำการทำงาน

เมื่อปะทะกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็น รัก โลภ โกรธ หลง กำลังใจเริ่มตกต่ำ ช่วงกลางวันเมื่อพักเที่ยงก็รีบกินอาหาร ซึ่งไม่เกิน ๑๕ นาที เอาเวลาที่เหลือ ๔๕ นาทีมาภาวนา พอปะทะกับ รัก โลภ โกรธ หลง ไปใกล้จะหมดวันรู้สึกว่ากำลังจะไม่พอ ก็พอดีเรามาภาวนาช่วงค่ำของเราต่อ

เปรียบเสมือนกับเราจุดเทียนขึ้นมาตอนช่วงเช้า ๑ ดวง ความสว่างส่องมาก็ไม่เกินกลางวัน เราก็ต้องจุดเทียนตอนกลางวัน ๑ ดวงเพื่อให้แสงสว่างไปประสานกับช่วงเช้าแล้วแผ่ออกไปถึงช่วงเย็น แต่ว่าเลยช่วงเย็นไปเราก็มีกำลังไม่พอ มีความสว่างไม่พอ ก็ต้องจุดเทียนตอนเย็นอีก ๑ ดวง เพื่อแผ่มาประสานกับดวงตอนกลางวันและส่งกำลังต่อไปเพื่อให้ถึงค่ำคืนให้ได้ ก็แปลว่าอย่างน้อย ๆ ในแต่ละวัน เราก็ต้องมีเวลาในการภาวนาสัก ๓ ครั้งใหญ่ ๆ ด้วยกัน เราถึงจะรักษาอารมณ์ใจของเราเอาไว้ได้

เถรี 22-04-2018 22:04

ถ้าเรารักษาอารมณ์ใจไว้ไม่ได้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะไม่มี เพราะว่าเริ่มต้นเมื่อไรก็นับหนึ่งทุกที เหมือนกับคนขึ้นบันไดไปแล้วก็ลื่นตกลงมา เดินใหม่เมื่อไรก็เริ่ม ๑ ๒ ๓ แล้วตกลงมาใหม่ เราจึงต้องพยายาม ๑ ๒ ๓ พอได้แล้วก็ ๔ ๕ ๖ ต่อ ได้แล้วก็ ๗ ๘ ๙ ต่อไป ก็คือการที่เราปฏิบัติภาวนาตามระยะเวลาในแต่ละวันอย่างที่ได้บอกกล่าวมา

โดยเฉพาะต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ถ้ามีเวลาเหลือไปต่อไม่ได้ ก็ให้คลายอารมณ์ออกมาพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ซึ่งก็ไม่ต้องดูอะไรมาก แค่ดูว่าสรรพสิ่งทั้งหลายซึ่งมีตัวเราเป็นต้น มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้ยึดถือมั่นหมายได้

ถ้ารู้เห็นอย่างชัดเจนจริง ๆ กำลังใจเราก็จะถอนออกจากการยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเรา ในเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายคนอื่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เราก็จะมีโอกาสหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน



ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจพิจารณาภาวนาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว