กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6293)

เถรี 12-08-2018 18:17

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา ส่วนคำภาวนานั้น จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ หลายท่านปฏิบัติธรรมมานาน แต่ละคนนับเป็น ๑๐ ปี แต่หาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้

การหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้นั้น เกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก คือ ทำเกิน แบบเดียวกับที่อาตมาปฏิบัติอยู่ ๓ ปีไม่ได้อะไรเลย เพราะอยากได้มากจนเกินไป สาเหตุที่ ๒ คือ ทำขาด เวลาทั้งวันเราปล่อยให้สภาพจิตของเราโดนกิเลสกิน มากกว่าที่จะชำระจิตของตนให้ผ่องใส อย่างเช่นว่าเราเจริญกรรมฐานตรงนี้จนถึง ๑ ทุ่ม เราก็ได้แค่ไม่กี่นาที แต่หลังจากนี้เราปล่อยกำลังใจของเราทิ้งไปเลย โดยที่ไม่ได้รักษาอารมณ์กรรมฐานนั้นเอาไว้ ก็แปลว่าระยะเวลาที่สภาพจิตสะสมความดีมีน้อย สภาพจิตที่ไหลไปตามกระแสกิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง มีมากกว่ามาก

การที่เราปฏิบัติแล้วจะทำให้สภาพจิตของเราทรงความดีไว้ได้ ก็แปลว่าเราจะต้องรู้วิธีที่จะประคับประคองรักษาสภาพจิตของเราให้มีความผ่องใส ให้มีความหนักแน่นอยู่กับอารมณ์ปฏิบัติเช่นเดียวกับตอนที่เรานั่งภาวนา เพราะว่าการภาวนาหวังความหลุดพ้นของพวกเรานั้นเปรียบเสมือนการว่ายทวนน้ำ เมื่อเราว่ายทวนน้ำมาครึ่งชั่วโมง ถึงเวลาเลิกปฏิบัติแล้วเราก็ปล่อยลอยตามน้ำไปเป็นวันเป็นคืน

ลองนึกถึงสภาพความจริงว่า เราตะเกียกตะกายว่ายทวนน้ำครึ่งชั่วโมง แล้วระยะเวลาที่เหลือเราปล่อยให้ลอยตามน้ำไป ถ้าวันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง ก็แปลว่าเราลอยตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมงครึ่ง แล้วเราจะเอาความก้าวหน้ามาจากไหน ? ดีไม่ดีก็หลุดปากอ่าวออกทะเลไปเลย

เถรี 13-08-2018 18:31

การที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติแล้วหวังความก้าวหน้า เมื่อเราทรงอารมณ์ได้ในขณะที่นั่งภาวนาแล้วออกจากที่นั้น ต้องใช้สติสมาธิประคับประคองรักษาอารมณ์ของเรา ให้มั่นคงอยู่กับการภาวนาไว้ ซึ่งถ้าเป็นการทรงอารมณ์ในช่วงนั้น แต่ละคนจะทำอะไรช้าลงโดยอัตโนมัติ เพราะกลัวว่าสมาธิจิตจะหลุดจากการภาวนา จะเป็นบุคคลที่พูดน้อยลงโดยอัตโนมัติ เพราะกลัวว่าคำพูด ความฟุ้งซ่านของเรา จะทำให้สมาธิจิตหลุดไปจากการภาวนา

แรก ๆ เราก็จะรักษาอารมณ์ได้แค่พักเดียวเท่านั้น ดีไม่ดีก็ไม่ถึง ๑ นาที ๒ นาทีเสียด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากเราเพิ่มความเพียรเข้าไป ก็จะรักษาได้นานขึ้น เป็น ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที แล้วแต่ระยะเวลาที่ฝึกซ้อมการปฏิบัติ จนกระทั่งได้เป็น ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง ก็เท่ากับเรายืดระยะเวลาของการปล่อยอารมณ์ของเราให้ฟุ้งซ่านได้นานขึ้น สภาพจิตทรงความดีมากขึ้น รักษาความผ่องใสเอาไว้ให้ได้ยาวนานขึ้น

จนกระทั่งได้ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ครึ่งวัน ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๖ วัน ๑ อาทิตย์ ๒ อาทิตย์ ๓ อาทิตย์ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือนเป็นต้น

ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์จิตของเราให้ผ่องใสจากกิเลสได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ปัญญาที่เด่นชัดขึ้นมาเพราะกิเลสถดถอยไป ก็จะทำให้เรามองเห็นช่องทางว่า จะประคับประคองรักษาอย่างไร สภาพจิตของเราจึงจะผ่องใสเช่นนี้ได้ ถ้าจับจุดนี้ถูกเมื่อไร ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมาถึงท่านทั้งหลายเมื่อนั้น

เพียงแต่ว่าการปฏิบัตินั้น จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ต้องขยัน ทำแล้วรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง มีหลายท่านเมื่อสมาธิจิตของเราถึงที่สุดแล้ว สภาพจิตจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ถึงเวลานั้นให้รีบหาวิปัสสนาญาณให้สภาพจิตไปคิดไปพิจารณา มิฉะนั้น..จิตจะเอากำลังสมาธิที่ได้ ไปฟุ้งซ่านใน รัก โลภ โกรธ หลง แทน ซึ่งจะเป็นการฟุ้งซ่านที่รุนแรงมาก เพราะว่าได้กำลังจากสมาธิไปใช้ในการฟุ้ง กลายเป็นเราเลี้ยงเสือไว้กัดไว้ทำร้ายตัวเราเอง

เถรี 13-08-2018 18:33

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่กล่าวถึง เพื่อให้ท่านสังวรไว้ว่า ในการปฏิบัติของเราถ้าหวังความก้าวหน้าจริง ๆ อย่าปล่อยให้สภาพจิตของเราฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่น พยายามรักษาให้อยู่กับการภาวนาให้นานที่สุดในแต่ละวัน

ถ้าประคับประคองรักษาได้ข้ามวันข้ามคืนยิ่งดี สภาพจิตจะเข้าสู่ภาวะของพุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะตื่นหรือจะหลับ มีสติรู้เท่าทันกิเลส กิเลสไม่สามารถกินใจได้ทั้งหลับและตื่น สภาพจิตจะผ่องใสยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าอกุศลกรรมใหม่เกิดไม่ได้

เมื่อเราขยันทำความดีไปเรื่อย ก็เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำทะเล ท้ายที่สุดความเค็มก็หายไปเหลือแต่ความจืด คือความชั่วหายไปเหลือแต่ความดีเท่านั้น หลังจากนั้นเราค่อยมาละดีกันอีกทีหนึ่ง

ลำดับต่อ ไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:37


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว