กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6083)

เถรี 25-03-2018 08:42

มีเด็กนอนงีบอยู่ข้างหลังห้อง "นอนหลับสบายแล้วใช่ไหม ? หลายคนเขาไม่รู้ว่า ทำไมเวลาไปวัดหรือไปที่ปฏิบัติธรรมแล้วอยากนอน ? ก็เพราะว่าเย็น เย็นสบายแล้วอยากนอน

ตัวผมเองก็ไม่รู้ แต่ว่าจริง ๆ นั่นคือการที่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสเย็นที่มีอยู่แถวนั้น อยู่ที่อื่นแล้วร้อน พอเข้าไปอยู่ในเขตกระแสเย็นก็หลับดีกว่า สมัยเด็ก ๆ ผมก็ไม่รู้หรอก ไปวัดก็นอนประจำ โดยเฉพาะกระดานไม้ที่เพิ่งถูใหม่ ๆ ลงไปกลิ้งเลย เย็นสบายอย่าบอกใคร"

เถรี 25-03-2018 08:56

ถาม : ตอนนี้พระอาจารย์ส่งเรียนกี่รูปครับ ?
ตอบ : ปริญญาเอก ๓ ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรี ๑๑ ระดับประกาศนียบัตร ๖ บาลีอีก ๘

ถ้าท่านกลับไปวัดพร้อม ๆ กัน จะหากุฏิพักได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ...(หัวเราะ)...

เถรี 25-03-2018 09:00

ถาม : ท่านสิริมา น้องสาวของท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ท่านเป็นพระโสดาบัน แล้วท่านก็อยู่ในอาชีพนั้นต่อไป ผมมองเห็นอยู่สองมุม มุมหนึ่งท่านเป็นพระอริยเจ้า แล้วเราเป็นใคร จะไปยอมรับกฎของกรรมได้อย่างนั้น อีกมุมหนึ่งคือ พระอริยเจ้ายังโดนขนาดนั้น แล้วเราเป็นใคร จะไปหลีกเลี่่ยงได้ ?
ตอบ : แล้วอย่างไร ? ก็ไม่มีอะไรแปลก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเชื่อกรรมอยู่แล้ว ในเมื่อสอนให้เราเชื่อกรรม ถึงเวลาเป็นอย่างนั้นก็แค่เป็นไปตามกรรมก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นว่ามีอะไรแปลก

เถรี 25-03-2018 09:04

ถาม : ผมปฏิบัติมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ไม่ก้าวหน้าเลย กาย วาจา ใจ ก็เหมือนเดิมอยู่ ข้อสอบมีแต่จะหนักขึ้น ๆ ?
ตอบ : ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตัวเองให้เป็นลูกบิลเลียด ไม่ใช่ลงไปก็ตึ้ง..! กองอยู่ตรงนั้น ประเภทสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ไปทางไหนก็กระแทกเขาหรือโดนเขากระแทก เกลาให้กลมให้ได้สิ เคยเห็นคนเมาดิบไหม ? อยู่กับคนเมาได้สบาย ไม่เห็นจะต้องเมาไปด้วยเลย

ถาม : ชาตินี้ผมคงเอาดีไม่ได้ ต้องสร้างสมบุญอย่างไรชาติหน้าเราจะมีปัญญา ?
ตอบ : ตั้งตาตั้งตาปฏิบัติเท่านั้น ทำสมาธิให้มากไว้ เกิดใหม่จะฉลาดเอง

เถรี 25-03-2018 09:10

ถาม : ทำบุญโลงศพได้อานิสงส์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ทำบุญโลงศพได้อานิสงส์มรณานุสติ ถ้าทำเป็นไปยันพระนิพพานเลย

เถรี 25-03-2018 09:20

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปตรวจวัด ตรวจประเมินว่าเขาบริหารได้ผ่านเกณฑ์หรือเปล่า ? ไปถึงสำนักสงฆ์พรหมรังสี ไอ้พิทบูลก็วิ่งรี่เข้ามาเลย มาถึงก็เลีย ๆ ๆ เจ้าของก็ตกใจบอกว่า "ตัวนี้มันดุมากเลยนะครับ" แล้วเขาเห่าก็แสดงความดุด้วยการหันไปกรรโชกใส่เจ้าของ ...(หัวเราะ)..."

เถรี 25-03-2018 09:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "แบบหลวงพ่อทองคำเมื่อปั้นเสร็จแล้ว จะหล่อเนื้อเงินก่อน ๑ องค์ เพราะคุยกับทางเทศบาลไว้ว่า เมื่อสร้างเสร็จจะมีการสมโภชด้วยการแห่ทุกปี ถ้าเอาหลวงพ่อทองคำไปแห่เลย เดี๋ยวเครื่องทรงพังบรรลัยหมด ก็เลยว่าจะหล่อเป็นเนื้อเงินหนึ่งองค์ แล้วปิดทองให้เขาไปแห่แทน

ที่แน่ ๆ ก็คือ หล่อเนื้อเงินแล้วน้ำหนักเท่าไรคูณสองไปจะเป็นน้ำหนักทองคำ จะเป็นอะไรที่แน่นอนมาก เพราะว่าเป็นการคำนวณที่ง่ายที่สุด

ฉะนั้น...ถ้าใครจะถวายเม็ดเงินร่วมหล่อก็ร่วมบุญมาได้เลย เพราะว่ามีเวลาไม่กี่เดือน ดีไม่ดีก็จะหล่อองค์เงินในช่วง ๔-๕ เดือนข้างหน้านี้แหละ"

เถรี 26-03-2018 09:28

พระอาจารย์กล่าวว่า “ใครที่จองบาตรน้ำมนต์ไม่ทัน ก็เอาบาตรเงินล้านไปแทนก็แล้วกันนะ ราคาต่างกันเยอะดี”

เถรี 26-03-2018 09:29

พระอาจารย์กล่าวว่า “โบราณท่านว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แปลว่า เงียบไว้ราคาเท่ากับทองทั้งตำลึง พูดมากแล้วมีราคาแค่นิดเดียว”

เถรี 26-03-2018 23:54

ถาม : เพื่อนผมจะสร้างโบสถ์ปีนี้ เคยได้ยินพระอาจารย์บอกว่าให้เอาวันศุกร์ ๙ ค่ำ หรือวันเสาร์ ๘ ค่ำ อยากจะทราบว่าจะใช้วันเสาร์ ๕ เดือนพฤษภาคมนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมไม่รอฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ?

ถาม : เร็วนิดช้าไปหน่อยครับผม ?
ตอบ : จริง ๆ จะใช้ฤกษ์อันไหนก็ได้ แต่ถ้าใช้ฤกษ์ตรงก็ต้อง ศุกร์ ๙ ค่ำ เสาร์ ๘ ค่ำ

ถาม : เวลาละครับ ?
ตอบ : เวลาไม่จำกัด

ถาม : วันนั้นต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : บวงสรวงบอกกล่าวขออนุญาตสร้าง ขออย่าให้มีอุปสรรค ขอให้งานสำเร็จโดยสะดวกก็ว่าไปเถอะ

เถรี 27-03-2018 00:08

ถาม : หนูเพิ่งมาฝึกมโนมยิทธิ ปกติเจริญสติเคลื่อนไหวแบบสายหลวงพ่อเทียน พอปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ มีคนบอกให้นึกถึงหน้าพระ หลวงพ่อฤๅษี แล้วก็ นะมะพะธะ พุทโธ พอหนูทำไป หนูทำสมาธิไม่ได้เลย เดี๋ยวก็จิตแวบออกไป ?
ตอบ : (เคลื่อนมือ ๑๔ ท่า) ให้พระอยู่ตรงนี้ ให้อยู่ตรงนี้ ตรงนี้ ฯลฯ แค่ย้ายที่พระเท่านั้นเอง แค่เปลี่ยนพระไปเป็นพระเคลื่อนไหว

ถาม : ไม่จำเป็นต้องหลับตา ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถึงเวลาเราก็นึกว่าหลวงพ่อท่านอยู่ตรงนี้ ขึ้นมานี่ ๆ ตรงนี้ ไล่ไปเรื่อย ๑๔ จังหวะก็ ๑๔ องค์แล้ว

ถาม : ปกติเขาให้แค่รู้ อันนี้ก็เป็นการเพ่ง ?
ตอบ : เราก็แค่นึกว่ามีพระอยู่ การเคลื่อนไหวก็รู้ด้วย ขณะเดียวกันก็กำหนดภาพพระไปด้วย ไม่จำเป็นต้องหลับตา อย่าไปหลับตาและอย่าไปเอาความชัด แค่ให้รู้สึกว่ามีพระอยู่กับการเคลื่อนไหวก็พอ

การปฏิบัติทุกสายในประเทศไทยสามารถยำใหญ่รวมกันได้ อยู่ที่ว่าเราเก่งจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

เถรี 27-03-2018 23:04

พระอาจารย์ให้โอวาทกับพระลูกศิษย์ "บางอย่างต้องใช้เวลา ท่านตั๊กม้อต้องไปเข้าสมาธิอยู่ ๙ ปี เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม"

เถรี 27-03-2018 23:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างชีวิตจะง่ายขึ้น รู้เห็นแล้วไปขัดคอเขาทุกเรื่อง ชีวิตจะอยู่ยาก"

เถรี 27-03-2018 23:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการปฏิบัติต่าง ๆ แม้แต่กฎหมาย ส่วนหนึ่งมาจากมโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเอง ในเมื่อตั้งเป็นกฎเกณฑ์ขึ้นมา ก็แปลว่าในความเห็นของคนส่วนใหญ่เห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็เป็นกฎระเบียบ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกฎหมายมหาชน (มีกฎหมายเอกชนด้วย)

อันนี้กฎหมายมหาชน ก็คือรัฐปฏิบัติต่อประชาชนในประเทศ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในชีวิต จะเป็นพระเป็นฆราวาส ถ้าเรายึดถือความถูกต้องยึดถือกฎหมายเป็นหลัก ก็ไม่ต้องกลัวใคร

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แม้พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี ในหมู่เทวดาก็ดี ในหมู่พระเจ้าจักรพรรดิ ในหมู่พราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องหวั่นเกรง นั่นคือความมั่นใจในความดีของพระองค์ท่านเอง คราวนี้หลักที่เรายึดอยู่คือศีลธรรม ถ้าเป็นของพระก็คือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นคือกฎหมายบ้านเมือง แล้วก็จารีตประเพณี

จารีตประเพณีบางอย่างดูถูกไม่ได้ เพราะว่าเท่ากับเป็นกฎหมายท้องถิ่น ที่นั้นเขายึดถืออย่างนั้น เราเข้าไปทำผิดก็กลายเป็นผิดจารีต ผิดประเพณี ซึ่งก็เหมือนกับผิดกฎหมายท้องถิ่นนั้น ๆ

ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเรายึดตรงหลักของศีลธรรม หลักของกฎหมายบ้านเมือง หลักของจารีตประเพณีเอาไว้ ก็ไม่ต้องไปกลัวใคร เพราะว่าเรายืนอยู่ในฝ่ายถูก ต่อให้เหลือตัวคนเดียวในบริเวณนั้น แล้วคนอื่นเห็นผิดเป็นชอบทั้งหมด เราก็ยังมีคำตอบแก่ตัวเราเองว่าเรา
ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"

เถรี 27-03-2018 23:21

"เราจะเห็นว่าน้องแบม (นางสาวปณิดา ยศปัญญา) เป็นนักศึกษา แต่การรู้ผิดชอบชั่วดีดูเหมือนจะมีมากกว่าครูบาอาจารย์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ครูบาอาจารย์รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่า แต่ก็รู้จักรักษาตัวรอดมากกว่าด้วย ส่วนน้องแบมนั่นประเภทวิ่งชนตอเลย ซึ่งก็มีผลอยู่ ๒ อย่างคือ ถ้าหัวไม่แตก ตอก็หัก ครูบาอาจารย์ท่านรู้ว่า โอกาสที่วิ่งชนตอแล้วตอจะหักมีน้อย ครูจึงต้องเอาตัวรอดก่อน แต่ปรากฏว่าสังคมที่เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ได้ด่าครูจมดินไปแล้ว

ฝรั่งหลายคนมาบ้านเรา แล้วไม่เข้าใจจารีตประเพณีของเรา ถึงเวลาไปนั่งตักพระพุทธรูปบ้าง ไปขี่คอแล้วถ่ายรูป
บ้าง คนไทยรับไม่ได้จะโดน "ตื้บ" เอา"

เถรี 27-03-2018 23:28

พระอาจารย์กล่าวถึงสื่อในปัจจุบันว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีต้องเสียเงิน สันดานคนเราไม่ค่อยชอบเรื่องดี ๆ เรื่องที่ดีไม่ค่อยจะฟังกัน"

เถรี 28-03-2018 00:07

ถาม : ที่จะหล่อหลวงพ่อเงิน ถ้าจะถวายเป็นสร้อยเงินได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่ต้องดูดี ๆ ด้วยนะ เพราะว่าสมัยนี้มีสเตนเลสชุบเงิน เอามาหลอมแล้วไม่ละลาย

เถรี 28-03-2018 00:13

พระอาจารย์ให้โอวาท "ในเรื่องของความเจ็บป่วย จะหนักหนาเพียงใดก็ตาม สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของกำลังใจ ถ้ากำลังใจทรงตัวก็ไม่มีอะไรให้หวั่นไหว"

เถรี 28-03-2018 21:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดสร้างกุศลปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องคอยระมัดระวังก็คือ ต้องสังเกตว่าการปฏิบัติที่ผ่านมา กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้นหรือไม่ ? ถ้าไม่รู้จักสังเกตตรงนี้จะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย

คราวนี้การสังเกตก็ต้องเป็นไปโดยไม่มีอคติ ก็คือไม่เข้าข้างตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง เราต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองไว้เสมอ โดยเฉพาะสิ่งต่าง ๆ สถานการณ์ต่าง ๆ รอบข้างที่เกิดขึ้น ถ้าเปรียบไปแล้วก็คือหินลับมีด กระทบกระทั่งกันมากครั้งเท่าไร ก็มีแต่มีดจะแหลมคมขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่กระทบเมื่อไรมีดก็บิ่นก็งอ เพราะเท่ากับว่าไม่สามารถที่จะใช้การอะไรได้เลย

ฉะนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ถ้าคนอื่นยังมีข้อตำหนิเราอยู่ แปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นยังไม่ดีจริง ถ้าดีจริงก็ย่อมหาข้อตำหนิไม่ได้ แต่ถ้าเขายังหาข้อตำหนิได้แล้วเราดีจริง ก็ต้องดูว่าตัวเราหวั่นไหวหรือไม่ ? เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือโลกธรรม เป็นสิ่งธรรมดาในโลก มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์

ถ้าดีจริงแต่ยังหวั่นไหวอยู่ ก็คือเราดีแค่กาย ดีแค่วาจาท่านั้น ใจยังไม่ดีพอ แต่ถ้าไม่ดีจริง ก็แปลว่าต้องขัดเกลาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา พูดง่าย ๆ ว่าแต่ละชั่วโมงแต่ละนาทีที่ผ่านไป เราต้องก้าวเข้าไปสู่ความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ดังนั้น...การพิจารณาของพระภิกษุสามเณรถึงมีกล่าวไว้ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำกาย วาจา ใจ ทั้งหลายเหล่านั้นให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการพิจารณาของพระของเณร แต่ถ้าเราเอามาใช้งานด้วย ก็ไม่น่าจะผิดแผกแตกต่างไปสักเท่าไร

เรื่องพวกนี้ไม่มีใครเตือนเราได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะว่าตัวเรามักจะมีตัวกูของกูเป็นใหญ่ คนอื่นมาเตือนถ้าผิดจังหวะ ก็อาจจะโดนเราตอกหน้าหงายกลับไป การเห็นโทษของตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมาก โบราณท่านถึงบอกว่า โทษคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน"

เถรี 28-03-2018 22:28

ถาม : การจะไปพระนิพพานต้องได้วิปัสสนาญาณ ๙ ครบ ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ขอให้ได้นิพพิทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนที่จะถึงตรงจุดนั้น ส่วนใหญ่ก็ต้องผ่านอย่างอื่นมาแล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:02


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว