กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4768)

เถรี 13-12-2015 19:18

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
 
ถาม : ตอนภาวนาคาถาเงินล้านเมื่อถึงฌาน ๔ เป็นอย่างไร ? เพราะว่าช่วงฌาน ๒ คำภาวนาหายไปแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าภาวนาครบ ๙ จบ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ก็แปลว่าสติขาด การภาวนาถ้าถึงฌาน ๔ แล้วไม่รู้ตัวแปลว่าเป็นเด็กหัดใหม่ เราต้องทำจนคล่องตัวจนถึงระดับที่เรียกว่า ฌานใช้งาน ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าอยู่ในฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็จะรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น...ไปฝึกต่อ...!

เถรี 13-12-2015 19:20

ถาม : กระผมอยากทราบว่า ถ้าก่อนที่ผมจะบวช ผมมีวัตถุมงคลจำนวนหนึ่ง โดยมีเจตนาที่จะให้บิดานำมาถวายตัวผมเองเมื่อบวชเป็นพระแล้ว และตอนจะถวายนั้นตัวผมตอนยังเป็นฆราวาสตั้งเจตนาไว้ว่า เมื่อตัวผมที่เป็นพระภิกษุได้รับวัตถุมงคลนี้แล้ว สามารถที่จะนำวัตถุมงคลนี้ไปใช้ได้ แม้จะสึกออกมาแล้ว ในกรณีแบบนี้เมื่อผมสึกออกมาแล้วพร้อมกับนำวัตถุมงคลจำนวนนั้นมาด้วย กระผมจะผิดศีลผิดธรรม หรือติดโทษหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาสติดหนี้สงฆ์เพราะทำเกิน เคยได้ยินภาษิตจีนที่ว่า "ถอดกางเกงผายลม" ไหม ? คนจะตดมีความจำเป็นต้องถอดกางเกงไหม ? พูดง่าย ๆ ว่า ของนั้นเป็นของเรา พอบวชก็เอาไปใช้ สึกแล้วก็เอากลับไปเป็นของเราตามเดิม แต่นี่ของเป็นของเราดันให้คนอื่นเอามาถวาย เขาเรียกว่าหาเรื่องเดือดร้อน

เพราะฉะนั้น...ไม่จำเป็นต้องถวาย บวชก็เอามาใช้ สึกไปก็ติดตัวเรากลับไป เขาเรียกว่าคนเก่ง ชอบทำของง่ายให้ยาก...!


ถาม : แล้วถ้าอยากได้บุญ โดยให้พ่อถวายวัตถุมงคลกับพระใหม่ละคะ ?
ตอบ : ถวายไปก็เป็นของสงฆ์ ถ้าสึกแล้วอยากได้ก็ชำระหนี้สงฆ์ตามราคาปัจจุบัน ถ้าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังก็อ่วมอรทัย..!

เถรี 13-12-2015 19:21

ถาม : พิงคเทพบุตร ที่ดูแลจังหวัดเชียงใหม่คืออดีตเจ้าเมืององค์ใดครับ ? คือ พ่อขุนมังราย หรือพระเจ้าพังคราช หรือว่าเป็นคนอื่นครับ
ตอบ : ไปถามท่านเอง แค่นี้อาตมาก็ทำให้ท่านเดือดร้อนมากแล้ว

เถรี 13-12-2015 19:24

ถาม : ทำไมในแต่ละวรรคต้นของบทสวดสัมพุทเธ มีจำนวนพระพุทธเจ้าไม่เท่ากันครับ ? และคำว่าสัมพุทเธ แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : สัมพุทเธ แปลว่า พระพุทธเจ้าทั้งหมด บทที่หนึ่งหมายเอาพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะที่ตรัสรู้ไปแล้วทั้งหมด บทที่สองหมายเอาพระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะที่ตรัสรู้ไปแล้วทั้งหมด บทที่สามหมายเอาพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะที่ตรัสรู้ไปแล้วทั้งหมด แล้วจะให้เท่ากันได้อย่างไร ?

เถรี 13-12-2015 19:29

ถาม : การที่เราเปิดคลิปเสียงสวดมนต์ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเสียงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำสวดคาถาเงินล้าน เสียงหมู่พระสงฆ์สวดบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรือแม้แต่เสียงเพลงบทสวดเจ้าแม่กวนอิมแบบทิเบต ที่มีเสียงดนตรีประกอบกับบทสวด จะทำให้เหล่าเทวดา ท่านพระภูมิเจ้าที่ และดวงวิญญาณทั้งหลายที่อยู่แถวบ้าน มาร่วมสวดและร่วมโมทนาบุญกับเรา เหมือนกับตอนที่เราสวดมนต์ก่อนนอนด้วยตนเองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าร่วมโมทนาท่านคงโมทนาแน่ แต่ถ้าร่วมสวดคงต้องดูว่าท่านว่างไหม ? ถ้าไปเปิดเวลาที่ท่านทำงาน แล้วท่านจะมาได้อย่างไร ?

เถรี 13-12-2015 19:33

ถาม : มีกรณีศึกษาที่เพิ่งเกิดขึ้น ผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญคณะหนึ่งได้ประกาศบอกบุญกฐิน โดยได้ชี้แจงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น เงินจะนำไปจัดพุ่มกฐิน ซื้อผ้าไตร พระพุทธรูป และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับของคณะนำไปถวาย และมีผู้ประสงค์ดีส่งข้อความมาเตือนว่า นำเงินกฐินไปเป็นค่ารถระวังบาป ทางคณะผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญชี้แจงว่าผู้ร่วมบุญอ่านไม่ละเอียดเอง ได้มีชี้แจงไว้แล้ว ทางผู้เตือนก็มุ่งประเด็นว่าหัวข้อประกาศคือบุญกฐิน ดังกรณีข้างต้นหากผู้ร่วมบุญคนอื่น ๆ ที่ได้ร่วมบุญมาแล้ว ทั้งที่รู้ว่าต้องนำไปเป็นค่ารถด้วยก็ดี และผู้ที่เข้าใจว่าเป็นบุญกฐินล้วน ๆ ก็ดี ถือว่าผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญไม่ผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนแต่แรกแล้ว คนร่วมบุญตาถั่วเองก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ฟังดูคล้าย ๆ กับในเว็บวัดท่าขนุนเลย กติกาเขาบอกชัด ๆ อยู่แล้ว แต่ไม่ยอมอ่านสักข้อหนึ่ง..!

เถรี 13-12-2015 19:37

ถาม : พระสงฆ์ที่ท่านรับบาตรจนล้นสองมือแล้ว (ต้องหิ้วถุงพลาสติกที่ญาติโยมใส่มาเต็มมือด้วย) เราควรขอให้ท่านผ่านไปก่อนโดยไม่ใส่บาตรท่านจะสมควรหรือไม่ครับ ? เนื่องด้วยเกรงว่าท่านจะแบกของหนักไปตลอดทาง เคยมีบางรูปท่านบอกเราล่วงหน้าเลยว่าท่านขอไม่รับแล้ว แต่บางรูปที่ท่านไม่ได้บอกเช่นนั้น ถ้าเรานิมนต์ท่านก็ยังยอมรับ ทั้งที่ดูท่านหนักมาก ถ้าเราตัดสินใจบอกท่านเองว่า ขอให้ท่านผ่านไปโดยไม่ขอใส่บาตรท่าน จะเป็นการสมควรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสงสารที่ท่านแบกของหนักก็เอารถไปส่งท่านที่วัดเลยก็หมดเรื่องไป

ถาม : แล้วควรใส่บาตรกับท่านไหมคะ ?
ตอบ : มีโอกาสก็ใส่ไป ถ้าหากท่านยังเดินรับอยู่ก็แปลว่าท่านเต็มใจที่จะหนัก เพราะถ้าท่านไม่เต็มใจ ท่านก็ไม่รับเองแหละ

เถรี 13-12-2015 19:44

ถาม : เพื่อนได้นำซองกฐินที่กระผมได้แจกร่วมทำบุญมาให้ หลังจากที่ทางวัดที่ระบุไว้มีการทอดกฐินไปแล้ว ๑ วัน ถ้าเป็นแบบนี้กระผมสามารถนำซองกฐินไปให้ทางวัดได้ไหมครับ ? และผู้ร่วมทำบุญยังคงได้อานิสงส์ของการทำบุญกฐินเต็มร้อยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปีหนึ่งพระสามารถรับกฐินได้ครั้งเดียว รับซ้อนไม่ได้ ก็แปลว่าถ้าปิดยอดไปแล้วไปรับเพิ่ม กฐินก็เดาะ (ขาดอานิสงส์) เพราะฉะนั้น...ถือว่าเป็นความผิดของคนทำบุญเองที่ไม่รู้จักนำไปให้ก่อนเวลาหรือให้ทันเวลา

ที่วัดท่าขนุนประกาศบอกไว้ชัดเจนว่าทอดกฐินบ่ายโมงตรง ประมาณบ่ายโมงครึ่งก็ปิดยอดเงินทุกอย่างเรียบร้อย บ่ายสามโมงเขาก็โผล่มาจะทำบุญกฐิน พอไม่รับมีการอาละวาดอีกว่าทำบุญแล้วทำไมไม่รับ ? โดยไม่พยายามเข้าใจกฎกติกาอะไรเลย คนประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก..!


ถาม : แล้วคนที่เป็นตัวกลาง เพื่อนเอาเงินยัดใส่มือมาแล้ว ควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ควรที่จะยัดคืนไป

เถรี 14-12-2015 07:24

ถาม : เมื่อผมอธิษฐานขอสัมผัสกระแสในวัตถุมงคลต่าง ๆ จะมีอาการขนลุกมากบ้างน้อยบ้าง ขอเรียนถามว่าอาการขนลุกนี้ เป็นอาการปีติของอุปจารสมาธิใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ปีติของอุปจารสมาธิจะสั่งแบบนี้ไม่ได้ ถ้าสัมผัสวัตถุมงคลแล้วขึ้น แสดงว่าสามารถที่จะกระทบหรือรับพลังได้จริง ๆ

เถรี 14-12-2015 07:31

ถาม : ทรัพย์สินของนอกกาย เมื่อเราตายไปคงนำติดตัวไปไม่ได้แน่นอน แต่วิชาความรู้ที่เราเรียนทั้งทางโลก และทางธรรม มาตลอดชีวิตนี้ เมื่อตายไปเราจะสามารถนำติดตัวไปกับดวงจิตได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเข้าถึงธรรมระดับพระอริยเจ้าขึ้นไปสามารถติดตัวไปได้ กำลังใจและความรู้ที่ต่ำกว่านั้น ถ้าไปค้างคาอยู่ภพภูมิอื่นนานเกินไปก็จะลืมหมด เพราะฉะนั้น...บุคคลที่สามารถฟื้นความรู้เก่าได้ ต้องตายจากมนุษย์แล้วเกิดเป็นมนุษย์ทันที ห้ามไปค้างอยู่ที่อื่น ยกเว้นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เกิดกี่ครั้งก็ตาม สภาพจิตที่บริสุทธิ์ขนาดนั้นแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มีแต่จะเจริญขึ้น ดังนั้น...เมื่อรู้ความก็ปฏิบัติตามกฎกติกาของตนทันที โดยที่บางทีท่านไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่านั่นเป็นกติกาของพระอริยเจ้า

เถรี 14-12-2015 07:36

ถาม : การภาวนาเกิดบุญได้อย่างไร ?
ตอบ : การภาวนาตีเสียว่าเป็นการปฏิบัติธรรม อย่างน้อยเราก็ระงับกายกรรม วจีกรรม ได้ ๒ อย่าง ถึงมโนกรรมจะฟุ้งซ่านบ้างก็แปลว่าเราได้กำไรไปสองส่วนแล้ว ในเมื่อไม่ทำชั่วด้วยกาย ไม่ทำชั่วด้วยวาจา ถึงใจจะคิดชั่วบ้าง ส่วนบุญก็ยังมากกว่าบาป

ถาม : ถ้าไม่ทำบุญในการให้ทาน แต่ภาวนาอย่างเดียวจะได้ไหม ?
ตอบ : ได้...เกิดใหม่ฉลาดมาก แต่จนบรรลัยเลย..! คนฉลาดแล้วจนนี่หายาก ถ้าฉลาดต้องหาเงินเป็นสิ

ถาม : ในเมื่อการภาวนาเป็นเรื่องดี แต่ทุกวันนี้ทำไมเน้นให้คนบริจาคทานทำบุญมากกว่าการภาวนาและถือศีลครับ ?
ตอบ : เพราะการภาวนาถึงจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าบารมีไม่ถึงก็ทำไม่ได้ เรื่องของทานเป็นเรื่องของบารมีต้น ถ้าทำทานได้แล้วรักษาศีลต้องบารมีกลางขึ้นไป ส่วนการภาวนาต้องระดับปรมัตถบารมี ในเมื่อกำลังใจของคุณอยู่แค่ ป.๑ จะให้ไปเรียนปริญญาตรีย่อมไม่ไหว

เถรี 14-12-2015 07:39

ถาม : กระผมอยากทราบเกี่ยวกับคาถาหัวใจ ๑๐๘ ในแต่ละบทนั้น จะมีอานุภาพในด้านใดครับ ?
ตอบ : ไปหาซื้อหนังสือคาถาหัวใจ ๑๐๘ ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรไปอ่านดีกว่า มีตั้งเกือบ ๔๐๐ หน้า แหม..ถามแบบไม่คิดเลยนะ

เถรี 14-12-2015 07:44

ถาม : ถ้าเราถือศีลปิดวาจา แล้วมีธุระจำเป็นต้องพูด เราสามารถพูดได้หรือไม่ครับ ? ถ้าพูดถือว่าศีลส่วนนี้ขาดหรือไม่ครับผม ?
ตอบ : ศีลของใคร ? ศีลปิดวาจา ไม่เคยได้ยิน

หลวงปู่บุดดาเคยบอกว่า "ไอ้พวกไม่พูดมันคิดไหมเล่า ? มันคิดมากกว่าที่พูดอีก" สรุปก็คือหุบปากแต่ก็ยังฟุ้งซ่านอยู่เหมือนเดิม คนที่ถือศีลปิดวาจา ส่วนใหญ่แล้วตั้งใจจะไม่พลาดในเรื่องของการพูดเท็จ หรืออาจจะรวมถึงการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เป็นต้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่ศีล แต่เป็นความประพฤติเฉพาะตนหรือเฉพาะสำนักเท่านั้น


ถาม : ในเรื่องศีลปิดวาจานี้ เราสามารถใช้การเขียนหรือพิมพ์ข้อความแทนการพูดได้หรือไม่ครับผม ?
ตอบ : ก็อย่างหลวงปู่บุดดาว่าไว้ ฟุ้งพอกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น..พูดไปเถอะ ง่ายกว่ากันเยอะเลย ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าทรงห้ามพระถือ "มูควัตร" หรือ "มูคปฏิปทา" ซึ่งก็คือการไม่พูดกัน เพราะถ้าตั้งสติไม่พูดได้ ก็ต้องตั้งสติพูดโดยธรรมได้ การถือศีลปิดวาจาจึงเป็นการสูญเปล่า ทำไปก็ฟุ้งซ่านมากขึ้น

เถรี 14-12-2015 11:14

ถาม : ถวายทองคำหนัก ๑ บาท ซื้อมาตอนราคาทองคำบาทละ ๒๐,๐๐๐ บาท กับถวายทองคำ ๑ บาทซื้อมาตอนราคาทองคำบาทละ ๑๘,๐๐๐ บาท อานิสงส์การถวายทองคำต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันมาก ต่างกันสองพันบาท...! ถ้าน้ำหนักทองคำเท่ากัน อานิสงส์ก็เท่ากัน แต่อาจจะตัดใจยากหน่อยถ้าซื้อมาแพง

เถรี 14-12-2015 11:19

ถาม : มีอาการตอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุง อาการนี้จะเกิดขึ้นตอนบวงสรวง และตอนสมาทานพระกรรมฐาน จะมีน้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้โดยมีความรู้สึกตัวตลอด แต่ควบคุมไม่ได้ อาการแบบนี้คืออาการอย่างไร ? และถ้าเกิดอาการแบบนี้ต้องวางอารมณ์ใจอย่างไรถึงจะทำให้การปฎิบัติมีผลสูงสุดครับ ?
ตอบ : สังเกตให้ดี ๆ มีสองอย่างด้วยกัน ถ้าเกิดเพราะขุททกาปีติ น้ำตาไหล ถ้านึกว่าเราจะหยุดเมื่อไรก็หยุดได้ ถ้าลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะร้องไห้โฮ ๆ ลั่นไปสามบ้านแปดบ้านก็ต้องยอม ถ้าขึ้นเต็มที่แล้วก็จะก้าวผ่านไปได้ และจะไม่เป็นอีก

ส่วนอีกอย่างหนึ่งจะมีผู้ที่เข้ามาแทรกเข้ามาสิง ถึงเวลาก็มักจะแสดงอาการออก ลักษณะอย่างนั้นเราจะบังคับตัวเองไม่ได้ ก็โปรดระวังว่า...ถ้าเผลอเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง..!


ถาม : ถ้าเป็นอย่างหลังห้อยพระเครื่องป้องกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีกรรมเนื่องกันมาก็ไม่สามารถที่จะป้องกันได้ ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมา แค่เราบอกว่าไม่เอา เขาก็หมดสิทธิ์แล้ว

เถรี 14-12-2015 11:22

ถาม : พระอาจารย์เคยสัมผัสกับญาณของพระฤๅษีที่เขาโป๊ปป้าบ้างไหมครับ (โดยเฉพาะฤๅษีโบโบอ่อง ฤๅษีโบมินข่อ) และในเมืองไทยมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้หรือไม่ ที่ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ที่เมืองไทยเห็นเขานิยมไปพระพุทธบาทเขาพลวงหรือพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏที่จันทบุรีกัน หรือไม่ก็พระพุทธบาทสี่รอย หรือพระพุทธบาทสระบุรี เป็นต้น ส่วนเรื่องของคนที่ตายไปแล้วอย่าไปพูดถึงท่านมากเลย เดี๋ยวท่านจะมาเหยียบเอา...!

เถรี 14-12-2015 12:17

ถาม : ในกรณีที่มีคนยังนับถือว่าเจ้าแม่กวนอิมท่านเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ หากจิตที่ใกล้ดับของท่านผู้นั้นตั้งความปรารถนาว่า เจ้าแม่ท่านอยู่ที่ใดก็จะขอตามท่านไปที่นั้น เมื่อท่านผู้นั้นตายลง จิตจะไปอยู่ที่แดนสุขาวดีตามความเชื่อ หรือว่าไปที่พระนิพพานครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่ากำลังใจยังยึดมั่นอยู่ในองค์ท่านหรือเปล่า ? ถ้ายังยึดมั่นในองค์ท่าน อย่างเก่งก็ไปแค่พรหม บุคคลที่จะไปพระนิพพานได้ สภาพจิตต้องปล่อยวางทั้งหมด พูดง่าย ๆ ว่า แม้แต่พระนิพพานก็ไม่ยึด แต่อารมณ์ของพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของตนเอง ดังนั้น..บาลีท่านถึงได้กล่าวว่า บุคคลที่เข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นสุกขวิปัสสโก ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ก็จะรู้ว่าตนเองสามารถไปพระนิพพานได้ ท่านใช้คำว่า ญาณคือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้น...ถ้ายึดก็ไปไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยโดยที่ตั้งความปรารถนาไว้ตอนต้นว่าจะไปพระนิพพาน โอกาสที่ไปได้จะมีมาก

เถรี 14-12-2015 12:28

ถาม : บ้านเป็นห้องแถวไม่มีดาดฟ้า ดิฉันควรจะตั้งศาลตี่จู้เอี้ยที่บริเวณไหนในบ้านคะ ?
ตอบ : หัวเตียง...! เพียงแต่ถ้าจะทำอะไรก็เกรงใจท่านบ้างก็แล้วกัน

เถรี 14-12-2015 12:35

ถาม : การที่เราเข้ามาในวัด แล้วมีเศษดินทรายติดตามรองเท้าหรือร่างกายก็ดี หรือการจอดรถภายในวัดแล้วอาจจะมีเศษดินทรายหรือใบไม้ติดตามรถกลับออกไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่เศษแผ่นทองที่ใช้ติดตามพระพุทธรูป บางครั้งอาจจะติดตามร่างกายเรากลับออกไปด้วยโดยไม่ได้เจตนา แบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นหนี้สงฆ์ทุกครั้งเวลาเราเข้าวัดหรือไม่ครับ ? หรือว่าเป็นเพราะผมฟุ้งซ่านเกินไป ขอหลวงพ่อเมตตาชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : รู้ตัวเหมือนกันว่าฟุ้งซ่าน คนโบราณจิตละเอียดมาก แม้แต่การเดินเข้าวัดแล้วฝุ่นติดเท้าไปเขาก็ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้ใหญ่บางคนจะไปทำบุญที่วัด ให้เด็กหยิบดินก้อนหนึ่งที่บ้านใส่หาบไปด้วย ไปถึงวัดก็โยนไว้ในวัดเป็นการชำระหนี้สงฆ์ แต่โบราณาจารย์ก็กำหนดให้มีการขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์เช่นกัน

ปัจจุบันกิจกรรมพวกนี้ไม่มีแล้วหรือหาได้ยาก ก็แปลว่าเรามีโอกาสติดหนี้สงฆ์เช่นกัน ดังนั้น..ปีหนึ่งควรทำการชำระหนี้สงฆ์สักหน่อย เพื่อที่จะได้พ้นโทษจากตรงจุดนี้


ถาม : กรณีที่เราไปวัด เราก็เอาเงินไปหยอดตู้ชำระหนี้สงฆ์ แล้วอธิษฐานว่า เราขอชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะค่าน้ำ ไฟ หรือดิน ทรายที่ติดไปกับเราได้ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องคุ้มกับสิ่งนั้นด้วย ไม่ใช่ใช้ไฟวัดสามวันสามคืนแล้วหยอดตู้ไป ๕ บาท..!

เถรี 14-12-2015 12:40

ถาม : การที่คนได้นำเอาผลไม้หรืออาหารมาถวายที่วัดจีนหรือตามศาลเจ้า หลังจากนั้นถ้ามีการลาอาหารหรือผลไม้กลับบ้านไปด้วย จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าเป็นศาลเจ้าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นในวัดจะมีปัญหา เพราะในวัดถือว่าเป็นของสงฆ์ ต้องให้พระทั้งหมดอนุญาตเสียก่อน

ถาม : การที่คนได้นำเอาไข่ต้มไปถวายพระพุทธรูปที่วัดเพื่อเป็นการแก้บน แล้วได้ลานำไข่ไก่กลับไปบ้านด้วย เท่ากับเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นแน่ ๆ เพราะการถวายคือเอาไปให้ท่าน ท่านไม่ได้บอกคืนเสียหน่อย ดันยกกลับเอง ถวายแล้วก็มอบให้กับทางวัดไป แล้วแต่ท่านจะจัดการ แต่ถ้าอย่างวัดท่าขนุนนี่นั่งกลุ้มเลย มาแก้บนสามราย ไข่ร้อยฟองทั้งสามราย ที่วัดต้องต้มพะโล้กินไปเป็นอาทิตย์...! คราวหน้าบนเป็นไข่สดบ้างสิ บนเป็นไข่ต้มถึงเวลาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากไข่พะโล้

เถรี 14-12-2015 12:45

ถาม : การที่บ้านคนจีนมักมีการตั้งตี่จู้เอี๊ยหันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน ทั้งที่บางครั้งไม่ใช่ทิศตะวันออก จะเป็นอะไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ศาลเขาไม่ได้บังคับว่าต้องหันหน้าไปตะวันออก เขาเอาแค่ว่าอยู่ให้ถูกทิศ ส่วนหน้าศาลหันไปทางไหน อยู่ที่ว่าเราไหว้ได้สะดวก ส่วนใหญ่พวกเรามักจะเอาหลายเรื่องไปยำรวมกันแล้วก็มั่วไปหมด

เถรี 14-12-2015 14:23

ถาม : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อ ช่วยกรุณาให้ความรู้แก่ศิษย์ เกี่ยวกับคัมภีร์สุวรรณโคมคำ หรือคัมภีร์มหาจักรพรรดิราชด้วยครับ ?
ตอบ : คัมภีร์มหาจักรพรรดิราชหรือคัมภีร์สุวรรณโคมคำมักจะเกี่ยวข้องกับพญานาค โดยเฉพาะพญาศรีสุทโธนาคราชที่เขาเชื่อถือกันอยู่

เขาเชื่อว่าคัมภีร์นี้เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิที่อุบัติขึ้นหลังจากสมเด็จองค์ปฐมปรินิพพานไปแล้ว ในคัมภีร์นี้กล่าวถึงความรู้อยู่ ๓ ส่วนด้วยกัน ส่วนที่ ๑ เป็นการทำนายทายทักแบบโหราศาสตร์ ส่วนที่ ๒ เป็นการทำนายทายทักโดยการอาศัยทิพจักขุญาณ ส่วนที่ ๓ เป็นส่วนของการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม ท่านบอกว่า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิสวรรคตแล้วก็ได้ฝากให้หมู่พญานาครักษา และส่งต่อคัมภีร์ให้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ ไป ก็รอดู...ถ้าคัมภีร์โผล่ขึ้นมาก็แปลว่ามีพระเจ้าจักรพรรดิมาเกิดแน่

เถรี 14-12-2015 14:26

ถาม : ปัจจุบันแม้ศิษย์จะมีความอุ่นใจที่มีวัตถุมงคลของท่านอาจารย์ทั้งหลายอยู่ใกล้ตัว เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยทั้งจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย แต่ก็มีความรู้สึกว่าเรายังเหมือนเป็นเนื้อหอยในฝาหอย หากไม่มีฝาหอยอันแข็งแกร่งคอยป้องกันแล้ว เนื้อหอยนี้ก็ดูอ่อนนุ่ม และยังน่าจะเป็นอันตรายอยู่มาก จึงอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ในขณะที่เรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ถ้าบังเอิญต้องไปอยู่ในที่อันตราย ทั้งจากมนุษย์และอมนุษย์แล้ว โดยที่ไม่มีวัตถุมงคลใด ๆ ติดตัวไปเลย และไม่ได้รับยันต์ใด ๆ ไว้กับตัว เราควรใช้วิธีไหน เพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเอง ได้อย่างดีและปลอดภัยที่สุดครับ ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระหรือคุณพระไว้ตลอดเวลา เชื่อเถอะ...พอถึงเวลาลำบากจริง ๆ ก็จะทำได้เอง ตอนสบายไม่ค่อยจะนึกหรอก ตอนรู้ว่าจะตายนี่ใจทรงเป๊ะเลย โดยเฉพาะตอนเสือจะขบหัวหรือช้างจะกระทืบ..!

เถรี 14-12-2015 14:38

ถาม : วัดท่าขนุน กำหนดการวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙ คือ งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งตรงวันเสาร์ ๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน กราบเรียนสอบถามท่านพระอาจารย์ว่า ถ้าตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ตามที่เว็บสะพานบุญจำหน่าย ปี พ.ศ.๒๕๕๙ วันดังกล่าวจะไม่ได้เป็นวันเสาร์ ๕ แต่จะตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ แทน ใช้ได้ทั้งสองวันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะใช้ได้หรือไม่ได้อยู่ที่พระท่านสั่ง ถ้าท่านสั่งวันไหนก็ใช้ได้วันนั้นแหละ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงกำหนดการเป่ายันต์เกราะเพชรไปแล้ว พระท่านเสด็จมาว่า "แกแหกตาดูหรือเปล่าว่าเป็นวันเสาร์แรมห้าค่ำ" หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตกใจ ถามว่า "ผมจะทำอย่างไรครับ ?" พระท่านบอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าฉันจะช่วย ก็ใช้ได้" สรุปว่าท่านสั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อย่าเสือกสงสัยมาก...!

เถรี 14-12-2015 14:58

ถาม : ผมมีความสนใจที่อยากจะฝึกกสิณ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของจิตให้เป็นสมาธิโดยเร็ว และเพื่อทิพจักขุญาณ โดยมีความชอบในอาโลกกสิณเป็นพิเศษครับ ผมยังอยากจะหาโอกาสได้ฝึกภาคปฏิบัติจริง ภายใต้การดูแลแนะนำของครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ในแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างใกล้ชิด จึงอยากจะกราบรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำพระอาจารย์ หรือสถานที่ที่เปิดสอนกสิณในกรุงเทพฯ ในเชิงปฏิบัติจริงอย่างถูกต้องให้ด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่มี

เถรี 14-12-2015 15:07

ถาม : กระผมกราบขออนุญาตเรียนถามว่า ในปัจจุบันมีการตั้งครรภ์ในกรณีพิเศษ ๒ แบบ คือ ๑. ภรรยาไม่สามารถตั้งครรภ์เองได้ จึงหาผู้หญิงมาอุ้มบุญ (นำตัวอ่อนไปฝากไว้ในครรภ์คนอื่น) และ ๒. สามีเป็นหมัน จึงขอรับบริจาคน้ำเชื้อและตั้งครรภ์เอง ทำให้บุตรที่เกิดจากสองกรณีนี้ไม่ทราบว่าใครคือบิดาและมารดาที่แท้จริง คำถาม คือ ในกรณีที่ ๑ อุ้มบุญ จะถือว่าเด็กที่เกิดมามีแม่ ๒ คน คือ แม่ที่เป็นเจ้าของไข่ที่ผสม กับแม่ที่อุ้มท้องใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : แม่ที่อุ้มท้องถือว่าเป็นแม่ที่แท้จริง

ถาม : ในกรณีที่ ๒ คือ รับบริจาคน้ำเชื้อ จะถือว่าเด็กที่เกิดมามีพ่อเพียงคนเดียว คือ เจ้าของน้ำเชื้อใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกต้อง

ถาม : หากเด็กที่เกิดจากทั้ง ๒ กรณีทำให้บิดา (เจ้าของน้ำเชื้อ) หรือมารดา (ที่อุ้มบุญ) เสียชีวิต โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบิดามารดา ในกรณีนี้เข้าข่ายอนันตริยกรรมใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าฆ่าถูกตัวก็อนันตริยกรรม

ถาม : ในกรณีที่ครรภ์เป็นพิษและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และเด็ก โดยหมอให้สามีเลือกรักษาชีวิตภรรยาหรือบุตรในท้องเพียง ๑ คน หากสามีต้องเลือกให้คนหนึ่งรอดชีวิต เท่ากับตัดสินให้อีกคนหนึ่งตาย ในกรณีนี้ทำให้ศีลข้อ ๑ ปาณาติบาตขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดแน่นอน

ถาม : กรณีที่มีการโคลนนิ่งเด็กขึ้นมาใหม่ และเด็กที่โคลนนิ่งไปฆ่าบิดาหรือมารดาของเด็กคนเดิม ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็น..ได้เลือดเนื้อเขามาจึงก่อเกิดเป็นชีวิต ถือว่าเขาให้ชีวิตมา คนที่ให้ชีวิตมาคือพ่อหรือแม่นั่นเอง

เถรี 14-12-2015 15:09

ถาม : หลังจากที่รับยันต์มา เข้าใจว่ายันต์เกราะเพชรเป็นยันต์ที่พระท่านเมตตาให้ไว้เป็นพุทธานุสติ โดยมีพื้นฐานคือศีล ๕ ข้อ แต่อย่างน้อยผู้รับยันต์ต้องรักษาศีลอย่างน้อยสองข้อดังที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ สังเกตว่าช่วงนี้ เวลาที่คิดไม่ดี พูดจาไม่ดีไป จะรู้สึกร้อนที่ใจกว่าปกติ ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมครึ่ง ๆ กลาง ๆ ค่ะ จึงคิดว่า เวลาที่เราทำอะไรผิด คิดร้ายพูดร้ายต่อใครแม้เพียงเล็กน้อย เหมือนผลจะกลับมาทันที เลยอยากทราบว่าที่เป็นเพราะคิดไปเอง หรือเพราะสิ่งที่เกิดเตือนเพื่อพุทธานุสติ ?
ตอบ : ตกลงว่าเริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจที่ไปรับยันต์มา...ใช่ไหม ? ยันต์เกราะเพชรเป็นพุทธานุสติอยู่แล้ว ท่านให้ไว้เพื่อป้องกันตนเอง การป้องกันจะมีผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับศรัทธาและสมาธิของคนนั้น ๆ ยังดีที่เป็นคนละอายชั่วกลัวบาป ทำผิดแล้วยังรู้สึกวูบขึ้นมาบ้าง

เถรี 14-12-2015 15:12

ถาม : ไปวัดท่าขนุนมาเมื่อ ๑๗ ต.ค. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา บูชาลูกประคำมา ๑ เส้น เมื่อกลับมาที่บ้าน นับลูกประคำได้ ๑๑๓ ลูก ซึ่งปกติ ๑๐๘ ลูก จะเป็นอะไรไหมครับ ?
ตอบ : เสียดาย..หวยน่าจะออกไปแล้ว...! ถือว่าเกินดีกว่าขาด

เถรี 14-12-2015 15:18

ถาม : วันเสาร์นั่งสมาธิที่บ้านวิริยบารมี จนเกิดหลุดเข้าสู่แสงสว่างจ้า จากที่อาการง่วง ๆ จิตก็จะสดชื่น รู้ตัวทั่วพร้อมดี มาถึงตอนนี้ก็มักจะถึงเวลาเลิกนั่ง ควรพิจารณาต่ออย่างไรคะ ?
ตอบ :ให้ทำใจไว้ว่าอย่าอยาก และอย่าเชื่อว่าตนเองดี ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างเดิมต่อไปบ่อย ๆ จนเข้าถึงอารมณ์ใจนั้นบ่อย ๆ ได้ทุกเวลาที่ต้องการ

เถรี 14-12-2015 15:23

ถาม : ที่ด้านหลังซุ้มเรือนแก้วของพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุงโดนทาสีแดง เป็นสัญลักษณ์พิเศษอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามที่วัดท่าซุง

เถรี 14-12-2015 15:29

ถาม : หากพระภิกษุรูปหนึ่งได้รับว่าตนครอบครองทรัพย์สินของโยมที่มีมูลค่าเกิน ๑ บาท โดยรับปากว่าจะคืนทรัพย์สินนั้น พร้อมกับโยมได้มีการทวงถามทั้งด้วยตนเองและฝากผู้อื่นไปทวงนับสิบครั้ง แต่พระภิกษุเล่นแง่ไม่ยอมคืนทรัพย์สินโดยอ้างหลากหลายเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งปรากฏชัดถึงไถยจิตที่ต้องการกลั่นแกล้งหรืออะไรก็ตามที่มิใช่กิจของสงฆ์ โดยระยะเวลาผ่านมาร่วมหนึ่งเดือนกว่า โยมก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าใด ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง โยมปลงตกกับพฤติกรรมของพระภิกษุรูปนั้น จึงเลิกติดตามและตัดสินใจทอดธุระทรัพย์สินทั้งหมดนั้นโดยเด็ดขาด ในกรณีนี้ถือว่าพระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของการตัดสินตามพระธรรมวินัยเขาเรียกว่า สัมมุขาวินัย ต้องพร้อมหน้ากันทั้งโจทก์ จำเลย ผู้ตัดสินที่รู้ในพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง และคณะสงฆ์ ฉะนั้น...คำถามนี้ถ้าตอบไปถือว่าผิดมารยาท เพราะว่ามีแต่โจทก์ฝ่ายเดียว ถ้าเขาหาโจทก์ จำเลย และคณะสงฆ์มาพร้อมกันได้แล้วค่อยถามใหม่

การระงับอธิกรณ์หรือตัดสินพระธรรมวินัยข้อที่นิยมใช้มากที่สุด เรียกว่า สัมมุขาวินัย ท่านใช้คำว่า ถึงพร้อมด้วยโจทก์ ด้วยจำเลย ด้วยผู้ตัดสินและคณะสงฆ์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คำถามบางอย่างที่เกี่ยวกับการตัดสินอธิกรณ์ ไม่สามารถที่จะว่ากล่าวโดยบุคคลฝ่ายเดียวได้ และที่สำคัญที่สุด ถ้าเป็นอาบัติหนักตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไป ห้ามอนุปสัมบันอยู่ในสถานที่นั้นด้วย แปลว่าสามเณร หรือฆราวาส ก็ไม่สามารถที่จะอยู่ฟังได้ ดังนั้น...ปัญหาที่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องปาราชิกจึงไม่สามารถตอบในที่นี้ได้

เถรี 14-12-2015 16:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงวันพ่อที่ผ่านมา บวชสามเณรถวายกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถามเณรทั้งหมดว่า สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือใคร ? ไม่มีใครตอบได้ ถามพระพี่เลี้ยง พระพี่เลี้ยงก็ไม่แน่ใจ พอเฉลยว่าเป็นสามเณรราหุล ยังมีการทักท้วงว่า "เห็นเขาเรียกว่าพระ" ก็จริงของเขา

สามเณรราหุลเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา แต่พอสำเร็จอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าเรียกว่าพระเถระ ก็เลยกลายเป็น "พระราหุล" มาตลอด"

เถรี 14-12-2015 16:08

"ความจริงสามเณรราหุลไม่ได้ตั้งใจบวช แต่เกิดจากพระนางพิมพาราชเทวี พอได้ยินว่าพระสมณโคดมหรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จมาเยี่ยมพระประยูรญาติ ก็แอบดูอยู่ข้างหน้าต่าง พอเห็นพระพุทธเจ้าก็จำได้ ชี้ให้สามเณรราหุลซึ่งตอนนั้นเป็นราหุลราชกุมารดู "ดูก่อน...ราหุล พระสมณะที่เดินมา มีเหล่าภิกษุแวดล้อม ประดุจหมู่ดาวล้อมไว้ซึ่งดวงเดือนนั้น ก็คือ พระบิดาของเจ้า ขอให้เจ้าไปทูลขอสมบัติจากพระบิดา" เพราะว่าตอนที่พระพุทธเจ้าประสูติ มีขุมทองปรากฏขึ้นทั้งสี่ทิศ ถ้าไม่ใช่พระองค์ท่านแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอามาใช้จ่ายได้ พระนางพิมพาท่านหมายถึงอย่างนั้น

เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดพระประยูรญาติแล้ว เสด็จไปยังนิโครธาราม พักอยู่ที่นั่น ราหุลราชกุมารก็ตามไป พระพุทธเจ้าเห็นก็ถามว่ามาทำอะไร พระราหุลก็บอกว่าพระมารดาให้มาทูลขอสมบัติ พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า ขึ้นชื่อว่าโลกียสมบัตินั้นไม่ยั่งยืน เอาโลกุตรสมบัติที่เป็นอริยทรัพย์เถอะ แล้วก็ตรัสให้พระสารีบุตรนำพระราหุลไปบรรพชา ก็คือบวชเณร พระสารีบุตรจึงกลายเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกในพระพุทธศาสนา

พระสารีบุตรถามพระพุทธเจ้าว่าจะให้บรรพชาอย่างไร ? ทรงตรัสว่าให้กุลบุตรโกนผม โกนหนวด ตัดเล็บ นุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด นั่งกระโหย่ง ไหว้เท้าพระอุปัชฌาย์ แล้วกล่าวว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ , ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ , สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แค่นี้บวชเสร็จแล้ว"

เถรี 14-12-2015 17:01

"มีคนถามว่าพระราหุลนิพพานเมื่ออายุเท่าไร ? ส่วนใหญ่หากันไม่เจอ พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชวันที่ราหุลราชกุมารเกิด ออกบวชอยู่ ๖ ปีจึงตรัสรู้ ผ่านไป ๑ พรรษาจึงเสด็จไปโปรดพระยูรญาติ ก็แปลว่า ๗ ปี พระราหุลอายุได้ ๗ ขวบ บรรพชาสำเร็จมรรคผลแล้ว ก็ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างแก่ภิกษุอื่นเรื่อยมา เมื่อพิจารณาว่าตนเองสมควรจะนิพพานหรือยัง ? เห็นว่าพระอัครสาวกทั้งสองก็นิพพานไปแล้ว วาระที่สมควรมาถึงเราแล้ว ดังนั้น...พระราหุลจึงตั้งใจนิพพาน ณ ดาวดึงสเทวโลก ท่านไปนอนที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นปกติ

พระอัครสาวกทั้งสองนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าหนึ่งปีโดยประมาณ ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าต้องอายุ ๗๙ ปี ทรงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ ๓๕ ถึง ๗๙ ก็คือ ๔๔ ปี บวก ๗ ปีอายุโดยประมาณของราหุลตอนบวชสามเณร ก็เป็น ๕๑ ปี เพราะฉะนั้น...ถ้าคิดโดยเฉลี่ย พระราหุลนิพพานตอนอายุ ๕๑ ปี ถ้าใครคิดว่าน้อย โปรดคิดเสียใหม่ อาตมาบวชตอนอายุ ๒๗ ปี ตอนนี้ผ่านไป ๓๐ พรรษา ปัจจุบัน ๕๗ ปี บวชจนเหนียงยานเลย แต่พระราหุล ๔๔ พรรษา ใครว่าบวชน้อย ถ้าคิดว่าท่านบวชน้อยก็คิดเสียใหม่"

เถรี 14-12-2015 17:05

"แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า พระนางพิมพาราชเทวีก็นิพพาน พระอัครสาวกซ้ายขวาที่รับปกครองคณะสงฆ์แบ่งเบาภาระของพระองค์ท่านนิพพานไปแล้ว พระนางปชาบดีโคตมีที่เป็นหัวหน้าภิกษุณีทั้งปวงก็นิพพานไปแล้ว พระราหุลที่ชื่อว่าเป็นหัวหน้าสามเณรก็นิพพานไปแล้ว สรุปว่าช่วงวาระปีสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ถ้านับอย่างคนทั่วไปแทบจะอยู่คนเดียว ก็แปลว่าคนแก่อายุ ๘๐ มือเท้าที่จะทำงานแทนไปกันหมดแล้ว ถ้ามาคิดอย่างพวกเราคงจะเฉาเลย

แต่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นปกติธรรมดาของโลก เมื่อเห็นว่าปกติธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้มีอะไรที่ต้องหวั่นไหว แต่ในสายตาปุถุชนอย่างพวกเราคงจะเฉาไปเลย และที่เฉานี่แหละ อาตมาเห็นมาหลายคน ก็คือ พอคู่ของตนเองตาย ไม่นานตัวเองก็ตายตามไปด้วย อย่างข่าวของต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ที่ตายายคู่หนึ่งตายไล่ ๆ กัน ห่างกันไม่กี่ชั่วโมง คงลักษณะเดียวกัน กำลังใจไปยึดถือคนอื่นมากเกินไป ในเมื่อยึดคนอื่นมากเกินไป รู้สึกว่าไม่มีเขาแล้วเราจะอยู่ไม่ได้ พอเขาตาย เราก็เลยพลอยตายตามไปด้วย แบบนี้น่าจะไปเกิดเป็นฝาแฝด รักกันมากก็เลยต้องไปเกิดด้วยกัน"

เถรี 14-12-2015 17:06

"ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องให้รู้เดียงสา สามารถที่จะไล่กาได้ ก็คืออีกามักจะมาขโมยกิน แล้วอีกาเป็นนกที่ฉลาดมาก ฉะนั้น...เด็กต้องฉลาดพอที่จะไล่อีกาได้ ถึงจะได้บวช

เนื่องจากการเข้าถึงมรรคผลต้องมีการตัดสินใจด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่พอเพียง บวชไปแล้วโอกาสจะได้มรรคผลก็น้อย ยิ่งเป็นเด็ก ถ้าเข้าไม่ถึงมรรคผล โอกาสที่จะทำผิดพลาดจนเกิดโทษใหญ่ก็มีมาก แต่ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงสามเณรหลายรูปที่บรรลุอรหันต์ตอน ๔ ขวบบ้าง ๕ ขวบบ้าง นั่นถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะพัฒนาการของท่านเร็วกว่าคนอื่น ตีเสียว่ามาตรฐานคือ ๗ ขวบก็แล้วกัน"

เถรี 15-12-2015 12:25

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงวันพ่อที่วัดจัดงานบวชเณร ตอนแรกทางโรงเรียนบอกว่ามีร้อยกว่ารูป เพราะเอานักเรียนที่ติด ร. มาบวชแก้ ร. ปรากฏว่ามีหมูไม่กลัวน้ำร้อน แต่กลัวบวช หนียกห้องไปห้องหนึ่ง ก็เลยเหลือแค่ ๘๓ รูป ๘๓ รูปมีพวกติด ร.อยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าเณรก็ล้นตามประสาวัยรุ่น อาตมาเลยแจกสายไฟไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไปทำร้ายร่างกายผู้ทรงศีลหรือเปล่า อาตมานั่งไม่ติดมาหลายวันแล้ว ปวดหลังเหมือนหลังจะขาด ให้หมอนวดให้ใครก็แก้ไม่หายทั้งนั้น จึงมาดูชะตากรรมตัวเองว่าจะนั่งตรงนี้ได้อีกสักเท่าไร ถ้าปวดขนาดนั้นนี่นั่งไม่ไหวจริง ๆ

ของบางอย่างก็ไปตามวาระ โดยเฉพาะสภาพร่างกาย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งชำรุดง่าย หมอนวดบอกว่าเส้นหลังของอาตมาตึง สองข้างสูงต่ำต่างกันเห็นชัด ๆ เลย แล้วด้านที่สูงนั้นปวดอย่าบอกใคร เหมือนกับเส้นหดไปข้างหนึ่ง นี่ถ้าอากาศหนาวกว่านี้ไม่รู้ว่าจะแย่แค่ไหน พอเย็นแล้วส่วนใหญ่เอ็นจะหดตัว คราวนี้พอยืดไม่ออกก็ปวดอยู่นั่นแหละ ก็แค่บอกให้รู้ว่าแก่แน่ ๆ ไม่เป็นไร...ถ้านั่งไม่ไหว พวกเราก็ไปวัดกันแทนนะ เพียงแต่ว่าถ้าไปวัดก็ไปไม่ได้กันทุกเดือน ไปกันทุกเดือนก็เปลืองค่ารถตายชัก"

เถรี 15-12-2015 12:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เขาปิดถนน อาตมาอยากจะแสดงความเห็นสักนิดหนึ่ง งานปั่นเพื่อพ่อนี้ไม่ได้ทำเพื่อพ่อจริง ๆ แต่ทำเพื่อตัวเอง ที่ตั้งข้อสังเกตอย่างนี้เพราะว่ามาจัดงานวันศุกร์ ในหลวงของเราทำงานชนิดแทบจะเรียกว่าวันหนึ่งมี ๒๕ ชั่วโมง แต่งานนี้เรามาจัดงานเบียดบังเวลาราชการไปวันหนึ่งเต็ม ๆ ถ้าจะเสียสละเพื่อพ่อจริง ๆ ต้องจัดงานวันเสาร์หรืออาทิตย์ เพราะเป็นเวลาพัก เป็นเวลาหยุดของเรา ถ้าเราไปปั่นจักรยานเพื่อพ่อลักษณะอย่างนั้นก็ใช่เลย เพราะเราสละเวลาของเราเองออกไป ไม่ใช่วันนี้เราไปปั่นจักรยาน แล้วก็กลับบ้านมานอนสบายใจเฉิบ ไม่ต้องทำงาน พฤติกรรมนี้ในหลวงท่านไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต

แล้วส่วนหนึ่งที่ออกไปเพราะเกรงใจเจ้านาย บรรดาหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะหน่วยราชการ ถ้าหัวหน้าหน่วยงานไม่ไปก็อาจจะโดนเพ่งเล็ง แล้วถ้าหัวหน้าหน่วยงานไป ลูกน้องไม่ไปก็อาจจะโดนเพ่งเล็ง ไล่กันไปตามลำดับ สรุปว่าเป็นภยาคติ ไปเพราะกลัวมากกว่า แต่ว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดี เนื่องจากว่าได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เห็นความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ แต่ที่ติงอยู่หน่อยเดียวก็คือน่าจะจัดงานวันหยุด เพราะไม่อย่างนั้นวันนี้ปิดถนนไปครึ่งวัน แล้วคนที่ทำงานจะทำอย่างไร ? เดินทางก็ลำบาก ไม่ไปก็อาจจะโดนเจ้านายเฉ่งเอา อยากจะไปขี่จักรยานเพื่อพ่อก็ไม่ได้ ยุ่งยากหลายอย่างเหมือนกัน"

เถรี 15-12-2015 12:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกบัญชีทองคำเดือนที่แล้วติดลบแค่ ๓ ล้านกว่าบาท อาตมาก็ดีใจว่าจะหมดหนี้แล้ว ปรากฏว่าทองคำมาลดราคาอีก จึงซื้อไปอีก ๑๔ ล้านกว่าบาท สรุปว่าเดือนนี้เป็นหนี้ค่าทองคำเกือบ ๒๐ ล้านบาท ฉะนั้น...ญาติโยมอย่าว่ากันเลยนะว่า ทำไมอาตมาถึงได้สร้างหนี้ได้เก่งแท้ เพราะถ้าตอนนี้ไม่ฉวยโอกาสซื้อไว้ พอขึ้นราคาไปมากนี่ก็ซื้อไม่ได้แล้ว"

เถรี 15-12-2015 12:55

"จะสร้างวัตถุมงคลแต่ละทีต้องเช็คราคาให้ดี มีอยู่เที่ยวหนึ่งเจอทองบาทละ ๒๗,๕๐๐ บาท แล้วลดลงตอนซื้อเหลือ ๒๗,๒๕๐ บาท ก็ต้องซื้อ...เพราะช่วงนั้นทำวัตถุมงคลพอดี น่าจะเป็นพระไพรีพินาศ มานึกถึงตอนที่ซื้อวันก่อน ๑๘,๒๐๐ บาท โอ้โฮ...ต่างกันราวฟ้ากับเหว บาทละ ๙,๐๐๐ กว่า พอเห็นเขาลงมาก็เลยซื้อ ถ้าไม่ซื้อเก็บเอาตอนนี้ พอขึ้นไปมาก ๆ แล้วหาเงินไม่หวาดไม่ไหว ยอมจ่ายเกินบัญชีไว้ก่อนดีกว่า

งานนี้ก็ไปตกหนักที่ตัวเล็กของเราแล้ว เขาอุตส่าห์ตะเกียกตะกายช่วยหลวงพ่อจนหนี้จะหมดอยู่แล้ว เพราะว่ากระทู้ของเขาได้มา ๑๐ กว่าล้านบาท งวดก่อนซื้อไปประมาณ ๑๕ ล้านบาท เหลืออยู่ประมาณ ๓ ล้านนิด ๆ นึกว่าจะหมดแล้ว หลงดีใจ หลวงพ่อเพิ่มมาให้อีก ๑๔ ล้านกว่าบาท พอซื้องวดนี้แล้วเท่ากับยังขาดทองคำอีกประมาณ ๒๐ กิโลกรัมเท่านั้น ไม่ต้องหนักใจ ถ้าแค่ ๒๐ กิโลกรัมถึงขึ้นไป ๓๐,๐๐๐ บาทก็ซื้อไหว จะหาที่ต่ำกว่า ๑๘,๐๐๐ บาทก็ยาก เพราะว่าระยะนี้ราคาทองคำขึ้นลงเร็ว

ช่างเขาพยายามเร่งมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำเพื่อที่จะให้เสร็จ แต่ปรากฏว่าทางด้านผู้ออกแบบมีญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต มัวแต่จัดงานศพอยู่ ไม่มีเวลามาถอดแบบให้ พอถอดแบบเป็นมาตราส่วน ๑ ต่อ ๑ ไม่ได้ ช่างเขาก็แกะสลักไม้ไม่ได้ ก็เลยช้าไปนิดหนึ่ง ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่แล้ว เพราะเขามาดูงานแล้วสั่งแก้ไข สองวันนี้ช่างคงเบิกค่าแรงประมาณ ๓ ล้านบาท เพราะว่าจากสัญญาที่ทำเอาไว้ ๑๓ งวด ถ้าหากว่าเบิกครั้งนี้เขาเบิกได้ ๓ งวดรวดเลย ก็เท่ากับว่าเบิกไป ๑๐ งวดแล้ว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:02


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว