กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   งานสวดพระคาถาเงินล้านที่ไทยพีบีเอส วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5168)

เถรี 25-08-2016 16:14

งานสวดพระคาถาเงินล้านที่ไทยพีบีเอส วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
 
เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ตอนนี้อาตมารู้สึกว่าสภาพร่างกายทรุดโทรมไปตามอายุ ไปงานปฏิบัติธรรมของพระนวกะประจำปีนี้ ติดหวัดจากพระใหม่ตั้งแต่วันแรก ก็เลยทำให้สุ้มเสียงไม่ค่อยจะดี ต้องอาศัยบรรดาน้อง ๆ มาช่วยนำสวดพระคาถาเงินล้านแทน

งานสวดพระคาถาเงินล้านครั้งนี้ เกิดขึ้นจากดำริของ ดร
.ณัฐพัชร จันทรสูตร ท่านดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อาตมาก็ถือว่าเป็นขาประจำของที่นี่เหมือนกัน เพราะว่ามาหลายครั้งแล้ว มาตั้งแต่สมัยบวงสรวงตั้งศาลกันใหม่ ๆ เลย ตอนนี้รุ่นนั้นก็สบายกันไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณเทพชัย คุณวสันต์ ไม่เจอหน้าเลยสักคนเดียว ก็ต้องบอกว่าเป็นไปตามวาระของเขา

ช่วงนี้อาตมาก็เบื่อหน้าทหารที่ตามกันจังไม่รู้จะตามไปทำอะไร แต่ก็อย่างว่า...เจ้านายเขาสั่ง กลัวว่าอาตมาจะพาญาติโยมไปปฏิวัติกระมัง ? วันก่อนนำพระไปสักการะพระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นกิจกรรมของพระทุกวันแรม ๘ ค่ำ หลังเข้าพรรษาแล้ว ๗ วัน ปรากฏว่าตอนแรกทหารไม่ให้ไป เพราะเห็นว่าจำนวนมากเกินเหตุ มากเกินเหตุของเขานี่อาตมาไม่ได้เอาไปทั้งวัดนะ อุตส่าห์เหลือติดวัดไว้ตั้งเยอะ

คุยกันอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมให้ไป แต่ก็เอารถตามไปถ่ายรูปเสียทุกที่ว่าไปไหนบ้าง อาตมาปลื้มใจมากที่ คสช.ให้ความสำคัญ
ตามคุ้มครองพระดีมากเลย...! ไม่ว่าจะไปถึงไหนก็มีทหารตามไปถึงนั่น คุณณัฐพัชรจัดงานวันนี้ อาตมาดูท่าว่าจะคิดถูกหรือคิดผิดก็ไม่รู้ ? อาจจะได้แขกไม่รับเชิญเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน

เถรี 25-08-2016 16:18

จะว่าไปแล้วอาตมาเห็นว่ารัฐบาลของเราตั้งโจทย์ผิด ซึ่งในการตั้งโจทย์ผิด คำตอบจะถูกก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะบรรดาพระของเราเป็นผู้นำชุมชนโดยพฤตินัย ก็คือไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนไหนก็ตาม พระก็คือศูนย์รวมของชุมชนนั้น เจ้าอาวาสก็คือผู้นำของชุมชนนั้นโดยพฤตินัย

ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น ถ้ารัฐบาลให้เกียรติว่าพระเป็นผู้นำ ก็แค่เข้ามาหา พอถึงเวลาขอร้อง พระก็พร้อมที่จะทำให้ทุกอย่าง ถ้ามาในลักษณะอย่างนั้นอาตมารับรองว่าทั่วประเทศจะสงบเรียบร้อย...ไม่มีปัญหา แต่ว่ารัฐบาลไปตั้งโจทย์ผิด ไปตั้งโจทย์ในลักษณะว่าเห็นพระเป็นศัตรู ที่อาตมากล้าพูดเพราะว่าการแสดงออกของเขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในเมื่อตั้งโจทย์ผิดเห็นพระเป็นศัตรู ก็เป็นอันว่าบรรลัยสิ ถ้าเกิดว่าท่านไม่ได้ใจเย็นอย่างอาตมา ไปปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้านรัฐบาลเข้า ก็จะเดือดร้อนกันอีก

ในส่วนนี้อาตมาอยากจะบอกว่า บางทีการขึ้นไปเป็นผู้มีอำนาจก็ไม่ใช่ว่าท่านจะมีความคิดแบบนั้น แต่เกิดจากการกระตือรือร้นสนองงานจนเกินเหตุของบรรดาลูกกระจ๊อก คิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะ เก่ง เท่ เก๋ ฉลาด น่าจะดูดีในสายตาของเจ้านาย แต่กลายเป็นหาเรื่องให้เจ้านายหัวหงอกเพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้าเป็นอาตมา...ลูกน้องโง่ ๆ แบบนี้สั่งประหารหมดไปนานแล้ว...!

เถรี 25-08-2016 17:18

กลายเป็นว่างานบริหารประเทศชาติแทนที่จะง่ายขึ้น สบายขึ้น ก็กลายเป็นยากขึ้น ลำบากขึ้น เพราะแทนที่จะปรองดอสมานฉันท์ตามนโยบายที่ คสช. กำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรก ก็กลายเป็นว่าเดินหน้าหาศัตรูให้เจ้านาย โดยเฉพาะดันไปเดินหน้าหาศัตรูในผ้าเหลือง เจ้าประคุณเถอะ...! คุณหาเรื่องเดือดร้อนตั้งแต่แรกแล้ว

ส่วนไหนผิดว่าไปตามผิด ส่วนไหนถูกว่าไปตามถูก เรื่องจะจบง่าย แต่ถ้า ๒ มาตรฐาน หรือว่ามีผลประโยชน์มีสิ่งแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง เรื่องจะจบยาก ญาติโยมจะเห็นว่าเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ควรจะจบง่าย ๆ แต่จบไม่ลง ที่จบไม่ลงก็ต้องบอกว่าเพราะความขยันแบบโง่ ๆ ทำในเรื่องที่ไม่ควรทำ ถ้าเป็นสำนวนเดิมของอาตมา ก็คือ "เรื่องโง่ ๆ ละฉลาดนัก ทีเรื่องฉลาด ๆ ดันโง่บรรลัยเลย" เพราะฉะนั้น...ถ้าใครมีลูกน้องแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วง รับประกันซ่อมฟรี อายุไม่ทันจะถึง ๔๐ ก็ผมหงอกหมดหัวแล้ว

เถรี 26-08-2016 13:13

อาตมาสงสารท่านนายกฯ มาก จากที่ท่านขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ๒ ปี แก่ไปถนัดใจเลย เพราะว่าสารพัดเรื่องที่บรรดาลูกน้องหาทางทำ แทนที่จะทำเรื่องหนัก ๆ ให้เบา ทำเรื่องเบา ๆ ให้ไม่มีเรื่อง แต่ลูกน้องกลับทำเรื่องเบา ๆ ให้หนัก ทำเรื่องหนักให้หนักยิ่งขึ้น ใครมีลูกน้องแบบนี้ก็บ่นได้คำเดียวว่าเพลียจิต...! อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก นอกจากช่วยตื้บซ้ำ...!

สงสารบรรดาผู้ที่รับนโยบายไปทำ โดยเฉพาะหน่วยทหารที่ไปตั้งกองอยู่ในวัดของอาตมา เขาก็รู้อยู่ว่าพระไม่มีอะไร แต่เจ้านายจะเอาให้มีให้ได้ ก็ต้องพยายามตามไป ถ่ายโน่นทำนี่ เขียนรายงานกันทุกวัน แทนที่จะเอากำลังพลไปช่วยชาวบ้าน ไม่ต้องอะไรมาก แค่ทำความเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญว่ามีประโยชน์อย่างไรก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ดันเอากำลังพลมาตามพระ
ต้องบอกว่าพูดไปอาตมาก็เหนื่อยแทน เพราะฉะนั้น...ลูกน้องแบบนี้อย่าให้อาตมาต้องมีเลย

เถรี 26-08-2016 13:17

วันนี้ที่พวกเรามาร่วมกันสวดพระคาถาเงินล้าน นี่เป็นประโยคที่ทางราชการไม่อยากได้ยิน ที่ว่า "พระไปสวดมนต์" เพราะว่าแฝงความหมายทางการเมืองว่าจะไปแสดง พาวเวอร์ ข่มรัฐบาล แต่พวกเรามาด้วยเจตนาที่ดีอย่างแท้จริง ก็อย่างที่บอกว่า ดร.ณัฐพัชร ท่านตั้งใจทำเพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา และขณะเดียวกันก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่แม่ทั้งแผ่นดิต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ควรทำ เนื่องจากว่าพวกเราได้แสดงออกซึ่งความรักใคร่ สามัคคีมีน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่เวลาและสถานที่ไม่อำนวย จากที่ตั้งใจไว้ก็คือห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ เตรียมงานไว้ก่อนแล้ว แต่ถูก กกต. มายึดสถานที่ไป เพื่อเตรียมการในเรื่องของการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญวันอาทิตย์นี้ จึงต้องมีการประชุมกันเป็นครั้งสุดท้าย

เถรี 26-08-2016 13:23

เรื่องของประชามตินี่ใครชัดเจนบ้างว่า ถ้าไม่ไปออกเสียงแล้วจะมีการตัดสิทธิ์อะไรบ้างไหม ? ไม่มีใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแล้วแต่จิตสำนึกของแต่ละท่าน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระเราอยากจะออกเสียงบ้าง แต่ทุกครั้งที่มีการออกเสียงเมื่อไ ก็จะมีหนังสือของราชการขอแสดงความนับถือไปถึงทุกครั้ง ว่าให้พระวางตัวเป็นกลางและห้ามออกเสียง

อาตมาเองไปอบรมกฎหมายเพื่อประชาชน เคยยกมือถามท่านอาจารย์ที่มาอบรมว่า ในเมื่อถึงเวลาแล้วคุณตัดสิทธิ์บุคคลที่ไม่ไปลงคะแนน แต่พอเขาจะไปลงคะแนน คุณกลับไม่ให้เขาลง แปลว่าอะไรวะ ? เขาก็ถามว่าพระอาจารย์หมายถึงอะไรครับ ? ก็คือมีการเลือกตั้งอยู่ครั้งหนึ่งที่อยู่กลางพรรษาพอดี แล้วพระหลายรูปท่านบวชเอาพรรษา ไม่สามารถที่จะไปลงคะแนนได้ พอออกพรรษาสึกไปเป็นฆราวาสแล้วโดนตัดสิทธิ์

อาตมาเองชอบสร้างความปวดหัวให้แก่บรรดาวิทยากรต่าง ๆ เป็นประจำ ก็เลยถามท่านว่า เขาเอากฎหมายข้อไหนมาตัดสิทธิ์พระ ? ท่านอัยการนั่งกุมขมับ ท้ายที่สุดก็บอกว่า ยังนึกไม่ออกอยู่เหมือนกัน ขอติดไว้ก่อน จะไปค้นมาให้
๑๒ ปีผ่านมาแล้ว จนป่านนี้อาตมายังไม่ได้คำตอบเลย แต่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจะเป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าเกรงว่าถ้าพระลงคะแนนให้ใคร จะกลายเป็นการชี้นำไปโดยปริยาย ก็เลยไปตัดสิทธิ์พระ ทั้งที่ไม่มีกฎหมายอะไรที่ระบุให้ตัดสิทธิ์ได้

ความจริงถ้าพระทั้งประเทศพร้อมใจกันฟ้อง อาตมาว่า กกต.คงไม่แค่หัวหงอกหรอก แต่คงจะหัวล้านกันหมด เพราะคงนับคดีกันไม่ถ้วน
พูดไปพูดมาจะพาโยมเดือดร้อนกันหรือเปล่า ? อาตมาเองไม่กลัวหรอก เพราะชอบที่มีองครักษ์ตามเยอะดี...! ไปไหนก็ปลอดภัย แล้วทุกคนก็ต้องคอยประคับประคอง กลัวว่าพระอาจารย์จะเป็นอะไรไป เดี๋ยวหมู่ลูกศิษย์จะโมโหเดือดขึ้นมา

เถรี 26-08-2016 13:37

เรื่องของประเทศชาติเราระยะนี้ต้องบอกว่าตกต่ำมาก คำว่าตกต่ำมากไม่ได้หมายถึงการบริหารงานของรัฐบาล แต่เป็นการตกต่ำในด้านขวัญและกำลังใจของประชาชน เนื่องจากว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถก็ดี ซึ่งเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจของพวกเรา ต่างก็ทรงพระประชวร เสด็จประทับโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น

อาตมาเองก็นำพระทั้งวัดสวดโพชฌงค์ถวายพระองค์ท่านทั้งเช้าทั้งเย็น ต้องการที่จะให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง จะได้อยู่เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจของพวกเราสืบไปนาน ๆ กิจกรรมที่วัดทำหลายอย่างด้วยกัน ก็ทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลทั้งนั้น
อย่างช่วงที่ผ่านมาก็มีการบรรพชาหมู่สามเณร ๑๐๐ รูป เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ ๗๐ ปี ส่วนช่วง ๘๔ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็กำลังรอทางโรงเรียนอยู่ว่า จะสามารถจัดสรรเด็กนักเรียนมาบรรพชาหมู่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลได้หรือไม่ แต่ถึงไม่ได้...การที่เราจัดงานกันในครั้งนี้ก็ตั้งใจถวายเป็นพระราชกุศลอยู่แล้ว

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ก็เป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และต้องบอกว่าเป็นความจงรักภักดีที่เป็นพลังบริสุทธิ์
ก็คือไม่ได้กะเกณฑ์กันมา ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่จงรักภักดีเพราะเจ้านายสั่ง แต่เป็นการแสดงออกจากใจของเราอย่างแท้จริง ว่าเราอยากจะทำสิ่งนี้เพื่อแม่ของแผ่นดิน

เถรี 26-08-2016 13:43

ในส่วนนี้จึงเป็นส่วนที่หาได้ยาก เพราะว่าในเรื่องของพ่อแม่นั้น หลาย ๆ ท่านใช้คำว่า เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ถ้าว่าตามพระบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ พระองค์ท่านบอกว่า พ่อแม่เป็นพรหมของบุตร

คำว่า พรหม ในที่นี้คือ ผู้ที่ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ก็คือ มีเมตตา รักผู้อื่นเสมอตนเอง มีกรุณา สงสารอยากให้พ้นทุกข์ มีมุทิตา พลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข และมีอุเบกขา เมื่อช่วยเหลือเต็มกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์แล้ว ไม่สามารถที่จะช่วยได้ก็ต้องปล่อยวาง เพื่อรักษาสภาพจิตของตนให้ผ่องใส ไม่เศร้าหมองไปตามสภาพเบื้องหน้า

สภาพของบุคคลที่เป็นพ่อแม่ มีจิตใจในลักษณะอย่างนี้จริง ๆ รักลูกเสมอตัวเองและยิ่งกว่าตัวเอง อย่าไปพูดถึงไม่กี่รายที่เอาลูกไปหย่อนใส่ถังขยะ ขณะเดียวกันท่านก็สงสารอุ้มชูเลี้ยงดูตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยมา ถ้าหากว่าไม่มีพ่อไม่มีแม่คอยดูแล ก็คงยากที่พวกเราจะอยู่รอดปลอดภัยมาจนกระทั่งเติบใหญ่ถึงตอนนี้ แก่เฒ่ามาจนทุกวันนี้ มีมุทิตาเมื่อลูก ๆ ได้ดีก็ยินดีมีความสุขไปกับลูกด้วย และจะบอกว่าอุเบกขาเป็นพรหมวิหารธรรมที่พ่อแม่มีน้อยที่สุด เพราะว่าดิ้นรนทุกทางเพื่อลูกมาโดยตลอด

เถรี 26-08-2016 14:23

ในส่วนนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้กล่าวว่า พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะว่ากำลังใจของท่านคล้ายคลึงกับพรหม ที่เป็นผู้ประเสริฐหรือผู้เป็นใหญ่ ถ้าหากว่าเรารู้ ก็ต้องเรียกว่า กตัญญู...รู้คุณท่าน ก็ต้องมีการกระทำ คือ กตเวที เป็นการตอบแทน ดังนั้น...คำว่ากตัญญูและกตเวทีท่านถึงได้กล่าวต่อเนื่องกันไป

กตัญญู คือ รู้คุณที่คนอื่นทำต่อเรา กตเวที ก็คือ ตอบแทนคุณที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำเอาไว้ เมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ เรามาร่วมใจกันสวดมนต์เพื่อแม่ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการกระทำอันน้อยนิด ไม่อาจที่จะทดแทนบุญคุณอันมากมายมหาศาลของแม่ทั้งหลายได้ ก็ยังดีกว่าเราไม่ทำอะไรตอบแทนให้ท่านได้ชื่นใจเลย

โดยเฉพาะในส่วนของพ่อแม่ของแผ่นดิน ครอบครัวในปัจจุบันนี้ที่มีลูก ๓ คน ๕ คน พ่อแม่ก็จะเครียดตายอยู่แล้ว แล้วถ้ายิ่งลูก ๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็ยิ่งทำให้ครอบครัวนั้นร้อนรน เรียกว่าเหมือนกับมีไฟเผาอยู่ตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้ แต่พ่อแม่ของแผ่นดินมีลูก ๖๐ กว่าล้านคน ถ้าหากว่าลูก ๆ ไม่รักใคร่สามัคคีกัน ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เราลองนึกดูว่า พ่อแม่ที่มีลูกมากขนาดนั้น พระองค์ท่านจะเกิดความเศร้าหมองหรือว่าเครียดขนาดไหน ?

เถรี 27-08-2016 15:18

ทางรัฐบาลพยายามที่จะประสานสามัคคี จะให้คนในบ้านในเมืองของเรามีความปรองดองสมานฉันท์ ถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายตั้งแต่ขึ้นมารับหน้าที่ใหม่ ๆ แต่ในส่วนที่กระทำไปก็ยังไม่ตรงเป้า เกาไม่ค่อยถูกที่คัน จะบอกว่าอ่อนประชาสัมพันธ์ก็ใช่ที่ โฆษกแต่ละคนที่ตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ก็ผีเจาะปากให้พูด ก็คือในเรื่องที่ควรพูดก็ไม่ค่อยจะพูด ในเรื่องที่ไม่ควรพูดก็พูดเสียเยอะเลย ถ้าเป็นไปได้ก็เอาโฆษกนั่นแหละไปปรับทัศนคติเสียก่อน เพื่อที่จะได้มองคนอื่นเป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนร่วมชาติ ไม่ใช่มองในลักษณะของการเป็นศัตรู

เถรี 27-08-2016 15:23

เราจะเห็นว่าองค์ในหลวงของเราก็ดี สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถก็ดี ท่านไม่ได้มีเสื้อเหลือง ไม่ได้มีเสื้อแดง ไม่ได้มีพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ท่านเห็นคนทุกคนในประเทศคือพสกนิกร คือลูกที่ท่านต้องให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ ให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ดีกินดีโดยทั่วหน้ากัน

ในส่วนนี้บรรดาผู้ที่มีอำนาจ ไม่ว่าจะมีอำนาจในส่วนเล็ก ส่วนกลาง หรือว่าส่วนใหญ่ ต้องเรียกว่าทั้งมหภาคและจุลภาค
ถ้าสามารถที่จะมองบุคคลที่ร่วมในองค์กรของตน ร่วมในหมู่บ้านของตน ร่วมในตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติของตน ในลักษณะเดียวกันกับที่องค์ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่มองทุกคนเป็นไพร่ฟ้าประชากร มองทุกคนเป็นลูกที่ต้องให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ ถ้าทำอย่างนี้ท่านถึงจะเดินมาถูกทาง ตามโยบายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเอาไว้ว่า เราต้องเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ถึงจะได้กำลังใจของคนส่วนรวมเอาไว้ ซึ่งพระองค์ท่านก็ทำเป็นตัวอย่างมาตลอด ๖๐ กว่าปี

ถ้าหากว่าเราเห็นทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นเพื่อนร่วมองค์กร เราก็จะเดินไปได้ถูกทาง ขอบอกว่าในเรื่องของการปกครองประเทศ เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนมีความคิดเหมือนกันทั้งหมดได้ คนร้อยพ่อพันแม่จะมีความคิดไปแนวทางเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่เรากระทำขอให้เป็นไปตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ ถ้าหากว่าทำอย่างนั้นได้ก็จะเป็นรัฐบาลที่แข็งแกร่ง เพราะว่ามีพื้นฐานเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนมารองรับอยู่

เถรี 27-08-2016 15:24

ท่านทั้งหลายที่เคยศึกษาหลักธรรมมา ท่านก็จะเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ได้ตรัสสรรเสริญระบอบการปกครองใด ๆ เลยแม้แต่น้อย พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าประชาธิปไตยดี ไม่ได้บอกว่าเผด็จการไม่ดี เพราะพระองค์ท่านทราบดีว่า ไม่ว่าระบอบอะไรก็ตาม ถ้าหากขาดหลักธรรมเข้าไปประกอบ ระบอบนั้นย่อมไปไม่รอด

ถ้าเราบอกว่าเผด็จการไม่ดี ลองดูสมัยรัชกาลที่ ๕ ของเรา นั่นก็คือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เผด็จการชัด ๆ เลย..! แต่ทำไมประเทศชาติของเราเจริญรุ่งเรืองมาก เจริญกว่าญี่ปุ่นอีก แต่ขณะเดียวกัน ในสมัยประชาธิปไตยกลับเละเทะไม่เป็นท่า มีแต่การโกงกินกัน จนกระทั่งต้องร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ เพื่อให้เราไปออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับ ก็เพราะว่าไม่ได้อยู่ที่ระบอบดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ตัวบุคคลที่เข้ามาบริหารระบอบนั้น ๆ ต่างหาก

เถรี 27-08-2016 15:26

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ประทานหลักธรรม ให้ไว้ควบคู่กับระบอบเหล่านั้นว่า ถ้าเป็นระบอบสามัคคีธรรมซึ่งเป็นต้นแบบของประชาธิปไตย ต้องมีอปริหานิยธรรม ๗ ซึ่งจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยไปได้ดีที่สุด ถ้าหากว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าหากว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ต้องมีจักรวรรดิวัตร ต้องมีราชสังคหะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว

เถรี 27-08-2016 15:28

แต่พวกเรามักจะไปเชื่อทฤษฎีฝรั่งมากกว่า ทฤษฎีฝรั่งตามหลังพระพุทธศาสนาอยู่ ๒,๐๐๐ กว่าปี จนป่านนี้ก็ยังตามไม่ทัน แล้วส่วนไหนที่ตามทันก็ขโมยไปใช้หน้าด้าน ๆ กลายเป็นทฤษฎีที่ตัวเองตั้งขึ้นมา อย่างเช่น ระบบของการสรุปและประเมินผลในปัจจุบันนี้ นั่นก็คือหลักวิมังสา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมา ๒,๖๐๐ กับ ๔ ปีแล้ว

วิมังสา ก็คือ การไตร่ตรองทบทวนว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหน ? ตรงเป้าหมายหรือไม่ ? ยังเหลือระยะทางอีกไกลเท่าไที่เราจะต้องทำอีก ? ฝรั่งเอาไปสรุปเป็นทฤษฎีใหม่

ทฤษฎีอะไรก็ตามอาตมาศึกษามาหมดแล้ว สรุปลงในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั้งหมด บางอย่างก็เป็นการที่บุคคลผู้เป็นปราชญ์มีแนวคิดใกล้เคียงกัน แต่ขณะเดียวกันบางอย่างก็เป็นการขโมยหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไปตรง ๆ ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้อาตมาอยากจะฉวยโอกาสที่ออกสื่อฝากไปถึงรัฐบาลว่า ถ้าหากว่าเป็นเผด็จการอาตมาก็ไม่ได้ว่า แต่ให้ยึดหลักทศพิธราชธรรมให้ได้ เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติมาตลอด ๗๐ ปี

เถรี 28-08-2016 15:30

ทศพิธราชธรรมไล่ตั้งแต่ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ ไล่ไปเรื่อยจนกระทั่งถึง อวิโรธนํ ไปศึกษาดูว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง สรุปลงเป็นปฐมบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" นั่นก็คือการใช้หลักธรรมในการปกครองแผ่นดิน ไม่ใช่ใช้อารมณ์..!

การที่เราจะใช้อารมณ์ ถ้าเราใช้ในกลุ่มเล็ก ๆ สามารถใช้ได้ ถ้าหากว่าชมก็ชมต่อหน้า ถ้าจะด่าก็ไปด่ากันลับหลัง ไม่ใช่อยู่ต่อหน้าสื่อแล้วทำเป็นคนประเภทจุดเดือดต่ำ ถึงเวลาแหย่หน่อยก็ไปแล้ว เดี๋ยวก็โดนพี่โน้เอาไปล้ออีก...!

ถ้าต้องการระบอบประชาธิปไตย ให้ไปศึกษาหลักอปริหานิยธรรม ๗ ว่าทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงเอาหลักนี้มาประกอบ ทำไมแคว้นวัชชีที่เป็นประเทศเล็กนิดเดียว สามารถยันมหาอำนาจอย่างแคว้นมคธเอาไว้ได้ ? เหมือนอย่างกับประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศไทยสามารถยันประเทศจีนหรือว่าประเทศอเมริกาเอาไว้ได้ โดยที่เขาไม่กล้ารังแก

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่หมดแล้วในพระไตรปิฎก อย่าเรียนรู้เกินไป เกินพระไตรปิฎกเมื่อไท่านจะเก่งเกินพระพุทธเจ้า..! เก่งเกินพระพุทธเจ้าเมื่อไน่าจะไปในปฏิปทาเดียวกับพระเทวทัต..! ส่วนพวกเราทั้งหลายที่เราตั้งใจมารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ สิ่งที่เราทำก็คือ เรากำลังปฏิบัติตามในส่วนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ ก็คือให้เราประพฤติปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี 28-08-2016 15:33

อาตมาเองสวดมนต์มากไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้ปอดอักเสบ เป็นหวัดลงคอ แต่พอมีเรื่องให้ด่ารัฐบาลจะพูดคล่องมาก..! ต้องบอกว่ามีฉันทะพอในบางด้านเท่านั้น ในเมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ สิ่งที่อยากจะฝากไว้กับพวกเราก็คือว่า ทุกคนจะต้องหนักแน่น ถ้าราไม่หนักแน่น เต้นตามกระแสเมื่อไรเราจะขาดเหตุผลทันที ฟังให้ดี ๆ ถ้าหากว่าหูไม่หนัก ใจไม่หนัก เราเต้นตามกระแสเมื่อไ เราจะขาดเหตุผลทันที แล้วถ้าเราขาดเหตุผลเมื่อไ เราก็จะมีฝ่ายตรงข้ามเมื่อนั้น ถ้าเรามีฝ่ายตรงข้ามเมื่อไ ความแตกแยกก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น..!

เราต้องดูประเทศอังกฤษหรือประเทศอเมริกาที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตย รัฐบาลกับฝ่ายค้านทำงานร่วมกัน ถึงเวลารัฐบาลคุณชนะการเลือกตั้งขึ้นมา ฝ่ายค้านก็ตั้งรัฐบาลเงาประกบมีนายกรัฐมนตรีเงา มีรัฐมนตรีเงา ถึงเวลาก็ประชุมร่วมกัน ฝ่ายรัฐบาลเงาสามารถเสนอแนวคิดที่เห็นว่าเข้าท่าเข้ามา ถ้าหากว่าทางรัฐบาลเห็นว่าดีแล้วนำไปปฏิบัติ ก็จะให้เครดิตบอกกล่าวว่าเป็นความคิดของฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านศึกษาเรียนรู้งานร่วมกับรัฐบาลมาตลอด ถ้ารัฐบาลมีอันเป็นไป เหมือนอย่างนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่เพิ่งจะพ้นตำแหน่งไป อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถบริหารงานต่อได้ทันทีโดยไม่สะดุด เพราะว่ารับรู้งานร่วมกันมาโดยตลอด

นี่คือหลักการบริหารที่เป็นไปตามแนวของประชาธิปไตย ต้องเรียกว่าเป็นไปโดยโปร่งใส ไม่มีการหมกเม็ด เพราะฉะนั้น...ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ถ้าหากว่าเราทำโดยยึดหลักธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาลไม่ใช่หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ธรรมาภิบาลเป็นทฤษฎีการปกครองของฝรั่ง ที่ใช้คำว่า
Good Governance คือการปกครองที่ดี แล้วคนไทยมาแปลว่า ธรรมาภิบาล ซึ่งมีหลักความโปร่งใส ความคุ้มค่า ความมีส่วนร่วม ฯลฯ ไปค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดูได้ ถ้าอาตมาอธิบายตรงนี้เวลาจะไม่พอ

เถรี 28-08-2016 15:37

เราจะปกครองตามแบบทฤษฎีฝรั่งก็ได้ หรือจะปกครองตามแบบหลักธรรมในพระพุทธศาสนาก็ได้ แต่ต้องเคารพในส่วนของบุคคลที่เขาคิดต่าง บุคคลที่เห็นต่างไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เราเห็นว่า ความคิดและการกระทำของเรายังไม่ดีจริง ถ้าดีจริงจะไม่มีคนคัดค้าน ในเมื่อความคิดและการกระทำของเรายังไม่ดีจริง เขาสะท้อนออกมาเราก็ต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข

ถ้าใครเป็นคอหนังกำลังภายในให้ดูเรื่อง อินทรีจ้าวยุทธจักร พระเอกชื่อ เอี้ยก้วย คำว่า ก้วย ก็คือรู้จักปรับตัว รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุงตัวเอง ซึ่งก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้งที่เป็นบุคคลรุ่นพ่อรุ่นแม่เป็นผู้ตั้งชื่อให้ โดยอธิบายให้เอี้ยก้วยเข้าใจว่า
บุคคลเราทำผิดไม่ใช่เรื่องแปลก สำคัญตรงที่รู้ว่าผิดแล้วต้องแก้ไข ไม่ใช่หน้าด้านตะบึงตะบันไปเรื่อย ถ้าคนอื่นทำแล้วผิด แต่ถ้ากูทำแล้วถูก เพราะกูเป็นคนดี..! นั่นก็ทุเรศเกินไป..!

ดังนั้น...ที่อาตมาพูดมาในวันนี้ก็หวังประโยชน์เพียงอย่างเดียวว่า ถ้าพวกเราเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองร้อน เราก็ต้องเย็น เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือว่าความจริงก็ตาม ต้องหูหนักต้องใจหนัก เอาเหตุผลนำหน้า อย่าให้อารมณ์นำหน้า แล้ววันที่ ๗ สิงหาคมนี้ ให้ทุกคนพร้อมเพรียงกันไปลงประชามติ จะเอาหรือไม่เอาก็แล้วแต่ใจของเราที่คิด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง อย่าให้คนอื่นชี้นำ อย่าให้คนอื่นชักนำเราได้

ความจงรักภักดีในสถาบันเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ ต่อให้เขาไม่ชี้นำไม่ชักนำ เราก็เห็นประโยชน์อยู่แล้ว เราสามารถที่จะทำได้ อย่างเช่นที่วันนี้เราพร้อมใจกันมาทำความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แต่ขณะเดียวกันในส่วนของการเมือง การชี้นำ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนนำเดินถูกแล้ว เพราะฉะนั้น...ต้องหูหนักต้องใจหนัก ก็คือหนักแน่น บุคคลที่จะหนักแน่นได้ต้องประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นหลักธรรมของทางพระพุทธศาสนา วันนี้ก็ขอฝากพวกเราเอาไว้แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานสวดพระคาถาเงินล้านที่ไทยพีบีเอส วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:07


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว