กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ (เดือนสุดท้าย) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2524)

เถรี 16-03-2011 11:07

ถาม : พระไม้ที่แกะสลัก ถ้าปิดทองจะดีไหมคะ ?
ตอบ : จะปิดทองก็ได้ แต่จุดประสงค์ที่แกะสลักพระมีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาต้องการดูเนื้อไม้ ต้องถามเจ้าของเขาว่า เขาตั้งความหวังไว้แบบไหน ? ต้องการพระปิดทอง ? ต้องการอานิสงส์ปิดทอง ? หรือว่าต้องการพระไม้ ต้องการดูลายไม้ ? แล้วทำตามความประสงค์ของเขา

เถรี 16-03-2011 11:09

ถาม : ทำไมคนเราเวลานอน หรือว่าหมดแรงแล้ว จะปล่อยอะไรได้ง่าย ไม่เอาอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : หมดสภาพใกล้ตายแล้วยังจะเอาอีกก็เกินไป..! แต่ถ้าเราทำมาไม่มากพอ อย่าฝันไปเลยว่าจะง่าย ลองนึกย้อนหลังไปดูซิว่า ก่อนหน้านั้นเราต้องลำบากยากแค้นแค่ไหน กว่าที่จะง่ายอย่างนี้ ตอนนั้นไม่ใช่แค่เลือดตากระเด็นเฉย ๆ เบ้าตาก็จะกระเด็นด้วย แต่เมื่อกำลังพอแล้ว อะไรก็เหมือนง่ายไปหมด

เถรี 16-03-2011 11:10

ถาม : ที่ว่าพระอนาคามีทรงอธิจิต อธิจิตที่ว่าคือ..?
ตอบ : ทรงฌานสี่ได้เป็นปกติ

ถาม : เวลาตัดสังโยชน์ พระอนาคามีท่านใช้กำลังฌานในการตัดหรือคะ ?
ตอบ : พระอริยเจ้าทุกระดับต้องอาศัยกำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งของการตัดกิเลส แต่สำคัญที่สุดคือปัญญา เห็นว่าร่างกายนี้มีสภาพที่ไม่ดีอย่างแท้จริง

ถาม : ต่างกับอธิปัญญาของพระอรหันต์อย่างไร ?
ตอบ : ปัญญาของพระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นไปอีก ถ้าจะนับก็คือ ปัญญาของพระอนาคามียังหยาบกว่าของพระอรหันต์อยู่ส่วนหนึ่ง พระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่า โดยเฉพาะในส่วนของมานะ และท้ายสุดก็คืออวิชชา

เถรี 16-03-2011 11:12

ถาม : เวลาทำบุญเราควรจะทำแล้วเกิดปีติ หรือควรจะทำบุญแล้วทรงฌานในการทำบุญ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำบุญแล้วทรงฌาน โดยเฉพาะการวางอุเบกขาได้ กำลังจะสูงกว่าเยอะ

ถาม : หมายถึงกำลังที่เอาไปตัดในรัก โลภ โกรธ หลงได้หรือคะ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : ทำไมบางท่านบอกว่า ควรจะทำบุญให้เกิดปีติ ก็จะมีผล ?
ตอบ : ก็เขาจะเอาบุญ อยากเอาบุญก็ได้แค่บุญ แต่ถ้าต้องการหลุดพ้น จะต้องก้าวพ้นทั้งบุญทั้งบาป

เถรี 16-03-2011 11:14

ถาม : ถ้าเกิดทรงปฐมฌานละเอียด สามารถกดกิเลสเอาไว้ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้แน่นอน แต่อย่าเผลอให้หลุดนะ ถ้าหลุดแล้วกิเลสตีกลับมีหวังโดนฟัดตาย..!

ถาม : แต่ถ้าจะตัดกิเลส อย่างไรก็ต้องฌานสี่ แล้วที่บอกว่าทับเอาไว้นาน ๆ เดี๋ยวกิเลสก็จะตายได้เหมือนกัน อย่างนี้ท้ายสุดก็ต้องฌานสี่เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ถ้าจะเอาปฐมฌาน ก็ฆ่ากิเลสตายได้แค่ระดับของปฐมฌาน คือไม่เกินสังโยชน์สาม

เถรี 16-03-2011 11:15

ถาม : เวลาไปทำบุญที่วัด ก็อยากแต่งตัวสวย ๆ งาม ๆ ไปทำบุญ แต่เรามองว่าเป็นโทษแก่คนดู ทำให้คนดูเห็นแล้วติดในรูปเรา แล้วเราควรที่จะแต่งตัวขนาดไหน ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควร คือพอที่คนอื่นจะทนดูได้..!

เถรี 16-03-2011 11:20

ถาม : มีท่านหนึ่งบอกว่า การจุดธูปไหว้พระพุทธรูปเป็นการก่อให้เกิดมะเร็ง บางคนก็บอกว่า ควรงดจุดธูปเพื่อลดความเสี่ยง ในความคิดของหนูรู้แค่ว่าเป็นการบูชาด้วยของหอม หนูไม่รู้ว่าเราเลือกจะใช้ธูปหรือไม่ ?
ตอบ : คำตอบเดิม..มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้นและสัตว์ทุกตัวในการขวางทางทำความดีของเรา ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก

ถาม : ความเป็นมาของการใช้ธูป ?
ตอบ : เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษเรา ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะใช้พวกผงไม้หอม อย่างเช่น กำยาน โปรยลงในกองไฟ พอมีความคิดมีความก้าวหน้าทางวิชาการเพิ่มขึ้น ก็ทำเป็นธูปขึ้นมา แทนที่จะไปโปรยเป็นผง ก็ปั้นเป็นแท่งขึ้นมา อย่างน้อย ๆ ก็พกไปไหนสะดวก และปัจจุบันก็มีใบ้หวยให้ด้วย

เคยเห็นไหม ? เวลาซื้อธูปห่อใหญ่ เขาจะมีธูปพิเศษอยู่ดอกหนึ่ง สั้น ๆ ประมาณแค่นิ้ว เป็นแท่งสี่เหลี่ยม พอจุดแล้วปักไว้จะมีตัวเลขขึ้น เดี๋ยวนี้การตลาดเขาสุดยอด สามารถเอาไปเล่นหวยได้ด้วย..!

ถาม : แล้วถ้าเราเลือกที่จะจุดเทียนหอมเพื่อบูชาพระเล่าคะ ?
ตอบ : ได้ทั้งสองอย่าง บอกแล้วว่าวิชาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เราก็พลิกแพลงการบูชาพระของเราตามไปด้วย

ถาม : แบบนี้ไม่ต้องใช้ธูปก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเอาตามที่คนเขายึดถือกัน การจุดธูป ๓ ดอกแทนพระรัตนตรัย คือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การจุดเทียน ๒ เล่ม ก็นึกถึงโลกิยธรรม โลกุตรธรรม เพราะว่าเทียนเป็นแสงสว่าง แทนเครื่องหมายของธรรมะ

ถ้าเรานึกตามนี้แล้วเราทำตามนี้ อานิสงส์ก็ได้มากกว่า เพราะทำให้อนุสติของเราเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้นึกตามนี้ ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาอย่างเดียว เราจะตัดธูปออกก็ไม่มีปัญหาอะไร ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง

เถรี 18-03-2011 11:18

ถาม : ทำไมหนูไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : หยิบอะไหล่มาผิด ถ้าหยิบอะไหล่ถูกชุด ก็เป็นผู้ชายไปแล้ว ต่อไปอย่ารีบร้อน..นี่พูดเล่นนะจ๊ะ

เกิดเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องดีนะ โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติธรรม เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า ถ้าใครได้มโนมยิทธิแล้วขึ้นสวรรค์ไปสักชั้นหนึ่ง จะเห็นนางฟ้าท่วมสวรรค์เลย ส่วนเทวดามีไม่เท่าไร เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายคือผู้ที่สร้างบารมีมามากกว่า ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมากกว่า ก็เลยทำให้ค่อนข้างที่จะเชื่ออะไรยาก ในเมื่อเชื่อยาก กว่าจะยอมปฏิบัติธรรมก็ยาก คือ จะเป็นไปตามกำลังใจตัวเอง

คนประเภทแข็งแรงมากก็ต้องแบกงานหนักหน่อย กลายเป็นว่าผู้หญิงมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่า ความจริงเราเลือกอะไหล่ถูกชุดแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายอาจจะลำบาก กว่าจะบรรลุก็อีกหลายชาติ

ถาม : โดนบังคับให้เลือก
ตอบ : เขาบอกว่าพวกโดนบังคับ ชาติก่อนเป็นคนเจ้าชู้มาก ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงเสียให้เข็ด

จะมีผู้หญิงประเภทเดียวที่บารมีสูงขนาดไหนก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็คือ ท่านที่อธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ ดูอย่างพระนางสิริมหามายา พอขึ้นไปอยู่ข้างบนก็เป็นเทพบุตรอยู่ชั้นดุสิต พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรด ถามพระอินทร์ว่าทำไมไม่เห็นพุทธมารดา ? พระอินทร์บอกว่า อยู่ชั้นดุสิต จึงให้คนไปเชิญมา

บาลีเขาบอกว่า มาตะรัง ปะมุขขัง กัตตะวา ตัสสา ปัญญายะ เตชะสา ผู้เป็นพุทธมารดาอยู่ในฐานะประมุขของเทวดา ในการฟังธรรมของพระพุทธเจ้าในวาระที่เสด็จขึ้นไปโปรด

แต่ท่านได้แค่พระโสดาบัน ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดโดยเฉพาะ จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านเป็นไม่ได้ เพราะท่านอธิษฐานจะลงมาเป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริยเมตไตรยอีกหนึ่งรอบ ถ้าได้เกินพระโสดาบันเดี๋ยวจะไม่ได้เกิด

เถรี 18-03-2011 11:26

ถาม : เรียกว่าล็อกตัวเอง ?
ตอบ : ใช่..คำอธิษฐานล็อกตัวเอง ต้องปลดล็อกให้ได้ก่อน คนเราจะเกิดเป็นพุทธมารดาสัก ๑ ครั้งก็แสนยากแล้ว นี่ท่านเป็นสองครั้งเลย สุดยอดของกำลังใจจริง ๆ

มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระนางปชาบดีเถรีไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เขาบอกว่า พระน้านางอายุได้ ๑๒๐ ปี ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี ก็แปลว่าตอนนั้นพระพุทธเจ้าอายุ ๗๙ ปี ลบแล้วห่างกัน ๔๑ ปี เราก็สงสัยว่าน้องสาวอายุ ๔๑ ปี แล้วพี่สาวที่เป็นแม่จะอายุเท่าไร ?

หักจากอายุของพระพุทธเจ้า อย่างต่ำสุดพุทธมารดาก็ต้องอายุ ๔๒ ปี เราสงสัยว่าทำไมท่านแก่ขนาดนั้น? พอไปอ่านในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ จึงได้เจอว่า ปกติของพุทธมารดาจะตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ระหว่างอายุ ๔๐-๗๐ ปี ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อพุทธมารดาประสูติพระโพธิสัตว์แล้ว จะมีอายุได้ไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยต้องให้ท่านอายุยืนหน่อย จะได้ดูโลกนาน ๆ ท่านอายุ ๔๐ ปี แต่สวยเช้งวับเหมือนสาวอายุ ๑๖ ปีนะจ๊ะ

แต่ท่านย่าวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี สวยกว่าหลานอีก หลานสาวอายุ ๑๖ ปี แต่สวยสู้ยายไม่ได้นี่อนาถจริง ๆ ท่านย่าวิสาขาท่านได้วัยงาม

วย คือ วัย , ฉวิ คือ ผิว , อัฏฐิ คือ กระดูก แต่เขาหมายถึงฟัน

ถาม : วัยงาม คือ งามตามวัยหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เขาบอกว่าตั้งท้องลูกคนแรกอายุเท่าไร จะสวยอยู่แค่นั้นไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะฉะนั้น..ต้องรีบตั้งท้องไว ๆ

ท่านย่าวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็แปลว่าอายุ ๑๗ ปี ก็คลอดลูกคนแรกแล้ว ท่านมีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน นั่งอยู่ในหมู่หลานสาว พระเจ้าปเสนทิโกศลแยกไม่ออกว่าใครเป็นย่า ใครเป็นหลาน

เถรี 18-03-2011 11:33

ถาม : ทำไมผู้ชายคนจีนสมัยก่อนชอบดูเท้าผู้หญิง ?
ตอบ : เหมือนกับผู้ชายสมัยนี้ที่ชอบดูหน้าอกผู้หญิง อะไรที่คนหวงเขาจะสนใจ

สมัยก่อนเขาถือว่าเท้าเป็นสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ของผู้หญิง เคยได้ยินเรื่องที่บาทหลวงสอนศาสนาเขาไปที่เกาะแห่งหนึ่งไหม ? ผู้หญิงที่เกาะนั้นเขาเปลือยอกกัน พอถึงเวลาฟังเทศน์เขาก็ยกมือปิดหู เพราะเกาะนั้นเขาถือว่าหูเป็นสิ่งที่เปิดเผยต่อเพศตรงข้ามไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าละอาย

บาทหลวงเขาบันทึกไว้ว่า แกไม่รู้หรอกว่า อกแกทำให้ฉันฟุ้งซ่านมากกว่าหลายเท่าเลย

ในแต่ละที่การยึดถือจะไม่เหมือนกัน อย่างสมัยที่อาตมายังเด็กอยู่ ผู้หญิงพอมีลูกสักคนหรือสองคน ก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแล้ว และสมัยนั้นก็ไม่ค่อยจะใส่เสื้อกัน ยกเว้นผ้าถุงผืนเดียว ถ้าไปวัดไปวาจึงค่อยเอาผ้าแถบคาดอกไปเท่านั้น ถ้าอยู่กับบ้านก็ปล่อยโทง ๆ ไปเลย

พอมายุคหลัง ๆ คิดว่าเป็นเพราะหัวการค้าของคน เขาอยากจะขายของได้เยอะ ๆ ก็เลยสร้างค่านิยมมา ว่าจำเป็นต้องใส่อย่างนี้แล้วจึงจะสวย แล้วก็ปกปิดไว้จะได้ไม่ต้องอายเขา สมัยนี้ไม่เห็นฝรั่งจะปกปิดสักเท่าไรเลย

ลองไปดูที่พุน้ำร้อนทองผาภูมิสิ เดินลงมาทีขาวจนตาลายไปหมด กลางวันก็เลยเป็นเวลาอันตรายที่พระไม่ควรจะไปพุน้ำร้อน เพราะเวลาฝรั่งลงจากรถ ไม่วันพีซก็ทูพีชเดินลงมา เขาตั้งใจจะมาเล่นน้ำกันจริง ๆ ทำให้เป็นอันตรายต่อบุคคลที่จินตนาการดี อย่างพวกฟุ้งซ่านชอบปรุงแต่ง จะปรุงได้สุดยอดมากเลย

เถรี 18-03-2011 11:36

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "การเรียนในระดับปริญญาตรี โท เอก ของ มจร. มีส่วนดีให้เห็นอยู่สองอย่าง

อย่างแรก คือ ต้องใช้การค้นคว้าพระไตรปิฎกเยอะมาก เพราะเขาถือว่าเราเรียนในมหาวิทยาลัยของพระ ก็ควรจะเรียนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนด้วย แต่ก็แปลงมาเข้ากับทางโลก อย่างเช่น จิตวิทยาในพระไตรปิฎก นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก สาธารณสุขในพระไตรปิฎก ฯลฯ เราก็ต้องไปค้นคว้าหามา

อีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าดีมากก็คือ มีการบังคับให้ปฏิบัติธรรมตามกำหนดของทางมหาวิทยาลัย ต้องปฏิบัติให้ครบจึงจะยอมให้รับปริญญา อย่างปริญญาตรีก็ต้องสะสมเวลาปฏิบัติธรรมไม่ต่ำกว่า ๔๐ วัน ปริญญาโทต้องสะสมไม่ต่ำกว่า ๓๐ วัน ถ้าวันปฏิบัติมีไม่พอ เขาก็ไม่ให้จบ"

เถรี 18-03-2011 11:43

"อาตมามาเรียนด้วยเหตุสองประการ ประการแรก ค่านิยมของคนทั่วไป เขายังเชื่อกระดาษแผ่นเดียวมากกว่าความสามารถของบุคคล

ถ้าบรรยายธรรมโดยพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน บางทีคนเขาไม่สนใจ แต่ถ้าเขาบอกว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เขาก็หูผึ่งกัน เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขาต้องการ เราก็เอากระดาษให้เขาสักแผ่นหนึ่ง

ประการที่สอง มาเรียนแล้วเราเจอเพื่อน เพื่อนที่ถือว่าเป็นนักปฏิบัติสุปฏิปันโน ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เราขอสักคนเดียวก็พอ"

ถาม : ทำไมต้องเสียสละตนขนาดนี้ ?
ตอบ : พอเราเรียนเข้าไปแล้ว จึงได้รู้ว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่งเกินครึ่ง จะอยู่ในลักษณะมิจฉาทิฐิ แนะนำให้ลูกศิษย์สงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่พอ ยังสนับสนุนให้ลูกศิษย์ละเมิดศีลกลาย ๆ ด้วย

อย่างเช่น "เวลาเรียนใช้สมองมาก ๆ เราจะหิว ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นิมนต์ท่านอาจารย์กินข้าวเย็นไปเถอะ" เขาแนะนำอย่างนั้น ที่เรายอมเป็นอาจารย์เข้าไปสอนเขา อย่างน้อย ๆ ให้ลูกศิษย์เขารู้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ไม่เห็นตายนี่หว่า และแถมเรียนดีกว่าเขาด้วย..!

ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีนี้ที่เรียนมา เข้าปีที่ ๕ แล้ว ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งที่เขาเห็นเราปฏิบัติตัวแบบเสมอต้นเสมอปลาย คือ ใครจะเละขนาดไหน เราก็บ้าตามไปแค่กรอบเท่านั้น และโดยเฉพาะว่าเป็นผู้นำเขาในเรื่องการเรียนได้ ชั่วโมงเรียนสถิติเต็มเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ใช่ติดรับสังฆทานต้นเดือนที่นี่ อาตมาไม่เคยขาดเลย และวันเรียนที่ตรงกับวันรับสังฆทานอย่างนี้จะน้อยมาก

สถิติการเรียนเต็ม จนอาจารย์บางคนถามว่า "นี่ไม่มีกิจนิมนต์บ้างเลยหรือ ถึงไม่เคยขาดกับใครเขา ?" "ไม่มีเพื่อนนิมนต์บ้างเลยหรือ ?" อาตมาก็ขำ ๆ บอกท่านไปว่า "เขาก็ไม่ค่อยคบผมกันหรอกครับ"

ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งเขายกเราขึ้นเป็นตัวอย่าง และมีบางคนทำตาม ทำตามจนเพื่อนคนอื่นถามว่า "เฮ้ย..ทำไมเปลี่ยนไปเยอะเลยวะ ?" เขาบอกว่า "ดูตัวอย่างจากพี่เล็กว่ะ..พี่เล็กเป็นพระสังฆาธิการเหมือนกับพวกเรา ต้องปกครองวัดหลายวัดเหมือนกัน แต่พี่เขามาเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด ขณะเดียวกันเรียนเก่งกว่าพวกเราด้วย ก็เลยอยากเก่งอย่างพี่เล็กเขาบ้าง"

เถรี 18-03-2011 12:02

ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ จันทร์ดำ ท่านยุให้อาตมาไปเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอก ท่านบอกว่า "ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งอย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระคุณเจ้าก็ไม่มีชื่อเสียงเกียรติคุณอะไรขึ้นมาหรอกครับ เพราะมหาจุฬาฯ ของเรามีพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มีพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อยู่แล้ว

ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งขนาดไหน เขาก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่ถ้าพระคุณเจ้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยข้างนอก ผมมั่นใจว่าสามเดือนเท่านั้นแหละ ด้วยศักยภาพของพระคุณเจ้า สามารถเอาเขาทั้งมหาวิทยาลัยมาเป็นลูกศิษย์ได้แน่" อาตมาเองก็ได้แต่ครับ ๆ แต่คิดอยู่ในใจว่า เราจะเอาไปทำไม ?

คือเราเรียนเก่งในหมู่พระ แต่อย่างไรก็สู้สองท่านนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะท่านเป็นบุคคลต้นแบบในดวงใจของคนอื่นไปแล้ว คนหนึ่งก็คือผู้ที่ได้ปริญญากิตติมศักดิ์ จนตัวท่านเองก็จำไม่ได้ว่ารับไปกี่ใบแล้ว ส่วนอีกท่านปัจจุบันก็เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ถือว่าอายุยังน้อยมากเลย อายุ ๕๕ ปี ขึ้นถึงระดับเจ้าคุณธรรมแล้ว อีกขั้นเดียวจะขึ้นไปเป็นสมเด็จราชาคณะหิรัญบัตรแล้ว

เถรี 18-03-2011 12:10

ถาม : ตอนที่ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน
ตอบ : ไปเอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน

เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ

ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา

ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา
ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ?

ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่..
ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้

แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น

เถรี 18-03-2011 12:15

ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว

ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง แต่เขาบอกต่อ ๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน

ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก
ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง

ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุด ๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย
ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน

ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยัน

ทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริง ๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่

เถรี 18-03-2011 12:27

ถาม : เราโดนกดให้หลับลงไป พระท่านอยากจะบอกอะไรเราสักอย่างหนึ่งหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พระ ก็พรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์

ถาม : ถ้าเราหลับไป เราจะรู้เลยหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หลับ เราจะอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิหรือฌานสี่ไปเลย แล้วแต่ความสามารถของเรา ถ้าความสามารถเราไม่พอ ก็อาจจะแค่อุปจารสมาธิ จะรู้สึกเคลิ้ม ๆ เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือถ้าเราทำได้ถึงฌานสี่ ก็เป็นฌานสี่เต็มกำลัง ออกแบบเต็มกำลังไปเลย

ถาม : กลับมาจะจำได้ไหมคะ ?
ตอบ : จำได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านต้องการบอก จะจำได้แม่นมากด้วย จำเป็นถึงขนาดท่านต้องการกดเราให้หลับเพื่อบอก อย่างไรท่านก็ไม่ให้เราลืมหรอก

ถาม : แล้วอยู่ ๆ ง่วงหลับไปเลย?
ตอบ : นั่นไม่ใช่ แบบนั้นเขาเรียกว่าขี้เกียจ

เถรี 18-03-2011 12:30

ถาม : การกระทำของคนอื่น เราเห็นว่าเป็นการกระทำที่เป็นปกติของเขา แล้วเราเกิดความรู้ขึ้นมาว่า สิ่งที่เขาทำ เบื้องหลังก็คือกิเลสสักอย่างที่นอนอยู่ข้างใต้ แล้วเราก็เห็นว่าเรามีอย่างนี้เหมือนกัน เคยทำอย่างนี้เหมือนกัน แล้วเราก็เตือนตัวเองโดยกะทันหันว่า ต่อไปเราอย่าทำนะ อันนี้เขาเรียกว่าสนใจจริยาคนอื่นหรือเปล่า?
ตอบ : ท่านเรียกว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ดูแล้วเตือนตัวเอง

ถาม : แต่ว่าก้ำกึ่ง ?
ตอบ : ถ้าเลี้ยวผิดนิดเดียวก็ไปเลย บอกแล้วว่าความดีกับกิเลสหน้าตาเหมือนกัน เหลือก้าวสุดท้ายว่าจะเลี้ยวไปทางไหนเท่านั้น

ถาม : หากเราไปเพ่งโทษ ?
ตอบ : เจ๊งแน่..แต่ถ้าเก็บไปสอนใจตัวเอง โดยที่ไม่จับผิดเขา เห็นว่าเป็นปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าเลี้ยวถูก

เถรี 19-03-2011 10:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเนื้อนวโลหะ ท้ายสุดเงินที่ผสมอยู่ก็จะทำให้เนื้อเป็นสีดำอยู่ดี เหตุที่ดำเพราะว่าเวลาเนื้อเงินทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จะเกิดออกไซด์ขึ้นมา ลักษณะเหมือนกับสนิม ทำให้พระที่เป็นเนื้อนวโลหะค่อย ๆ ดำขึ้นเรื่อย ๆ

สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านจะมีครอบน้ำมนต์อยู่ใบหนึ่ง ถ้าสมัยนี้ก็เป็นขันน้ำมนต์ แต่เป็นขันน้ำมนต์ที่มีเชิงและมีฝาปิด ครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่ใบนั้นดำปี๋เลย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร แต่อาตมาเห็นนี่น้ำลายไหลเลย เพราะเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านหล่อให้เฉพาะลูกศิษย์สำคัญ เอาไว้อาตมามีอารมณ์จะทำครอบน้ำมนต์บ้าง"

ถาม : ต้องช่วยทำให้ท่านมีอารมณ์ จะได้สร้าง
ตอบ : ถ้าไม่มีคำสั่ง ก็ไม่มีอารมณ์จริง ๆ อาตมาเป็นคนขี้เกียจมาก ขนาดหลวงปู่ปานท่านสั่งให้ทำล็อกเก็ตรุ่นแรก อาตมากราบเรียนหลวงปู่ว่า "ไม่ทำได้ไหมครับ เพราะผมปลุกเสกไม่เป็น" ท้ายสุดหลวงปู่บอกว่า ไปทำมาเดี๋ยวท่านเสกให้เอง นั่นแหละ..จึงได้เริ่มสร้าง

ที่ขำที่สุดก็คือ วันเสาร์ ๕ ที่จะทำพุทธาภิเษก บ่ายสามโมงแล้วอาตมายังช่วยเขาฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุงเลย พอเสร็จจากมโนมยิทธิก็ตีรถกลับมาที่บ้านอนุสาวรีย์ มาถึงเวลา ๖ โมงครึ่ง ก็ดีใจว่าทันหนึ่งทุ่มตามที่หลวงปู่ท่านนัดเอาไว้ พอมาถึงปรากฏว่า เครื่องบวงสรวงทุกชิ้นวางไว้อย่างเรียบร้อย เขารอให้อาตมากลับมาจัด..!

ไม่มีใครกล้าจัดเอง กลัววางผิด อาตมาจึงต้องจัดให้ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็หนึ่งทุ่มยี่สิบนาที ปาดเหงื่อได้ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ เจอหน้าหลวงปู่ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า "ไปไหว้พระเถอะลูก เสร็จตั้งนานแล้ว" ท่านแอบเสกให้ตอนไหนก็ไม่รู้ ?

ของบางอย่างก็เป็นอุบัติเหตุเหมือนกัน ทุกคนคิดเหมือนกันว่ารอพระอาจารย์ดีกว่า จะได้ไม่ผิด จึงมีรายการด่ากระจาย และก็แนะนำว่าอะไรควรจะทำอย่างไร วางไว้ด้านไหน

เถรี 19-03-2011 10:29

ตอนนั้นมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ท่านยังไม่ได้บวช ยังเป็นหมอเออยู่ ท่านก็เลยรีบศึกษาไว้ ก่อนที่จะโดนด่าอีก เพราะเครื่องบวงสรวงจะมีส่วนสำคัญอยู่สามสี่อย่าง

อย่างแรก คือ ต้นบายศรี ไม่ว่าเราจะทำบายศรีเป็นสีอะไรก็ตาม ให้ติดสีแดงไว้นิดหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรจะเอากลีบกุหลาบแดงติดยอดบายศรีก็ได้ ท่านบอกว่าสีแดงเป็นสีของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ส่วนใหญ่ในงานบวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านจะรับภาระโดยตรง ให้ติดสีแดงไว้บ้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของท่าน

ประการที่สอง ก็คือ สีของบายศรีปากชามสี่ทิศ แต่ละทิศเป็นสีจำเพาะของท้าวมหาราชแต่ละพระองค์ คือ ทิศเหนือสีแดง ทิศใต้สีม่วง ทิศตะวันออกสีเหลือง ทิศตะวันตกสีขาว

อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ หัวหมูกับไก่ สามทิศวางหัวหมู แต่ทิศเหนือต้องวางไก่เท่านั้น อย่าผิดทิศเป็นอันขาด อาตมาไปย้ายให้มาหลายเจ้าแล้ว บางเจ้าสี่ทิศก็ผิด และมีบางรายเห็นวัดมีสัปทนก็เลยกางบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเขากางตามสีทิศเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..สัปทนถ้าจะใช้ก็สี่สีเหมือนกัน คือ เหนือแดง ใต้ม่วง ตะวันออกเหลือง ตะวันตกขาว

ถาม : ทิศนี่ดูตามเข็มทิศหรือคะ ?
ตอบ : เอาทิศจริงเป็นหลักจ้ะ ตามเข็มทิศไม่ได้ ถ้าตามเข็มทิศ ทิศจะเพี้ยนไป ๒๓ องศาครึ่ง เคยเรียนมาหรือเปล่า ? ถ้าเรียนมาเขาจะบอกว่าแกนโลกเอียง ๒๓ ๑/๒ องศา เพราะฉะนั้น..ทิศจริงกับทิศเข็มทิศจะเพี้ยน ๒๓ ๑/๒ องศา

ถาม : แล้วควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ดูตะวันเป็นหลัก ถ้าตะวันไม่มีก็ถามเจ้าของสถานที่ว่าแดดออกทางไหน

ถาม : บวก ๒๓ องศาครึ่งไปทางไหน ?
ตอบ : ไม่ต้องบวกต้องลบ ดูของจริงเลย ถึงเวลาคุณหันหน้าเข้าหาเหนือ ขวามือคือตะวันออก ฯลฯ ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็หันไหล่ขวาเข้าหาดวงตะวัน ตรงหน้าคุณคือทิศเหนือ ถ้าหลังคือทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันตก แต่ถ้าเป็นตอนบ่ายก็ตรงกันข้าม ตอนบ่ายหันหน้าเข้าหาทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันออก

เถรี 19-03-2011 10:41

1 Attachment(s)
ถาม : ไก่กับบายศรีจำเป็นต้องวางตรงกันเป๊ะ ๆ เลยไหมครับ ?
ตอบ : เอาทิศที่ใกล้เคียงที่สุด

ถาม : ทั้งไก่และบายศรีเลยหรือครับ ?
ตอบ : ใกล้เคียงที่สุด ใกล้ความจริงที่สุด ถ้าเป๊ะ ๆ เลยยิ่งดี

ถาม : แล้วทำไมต้องทาสีแดง ?
ตอบ : เรื่องของการทาสีหรือรองด้วยกระดาษแดง เกิดจากครั้งหนึ่งพระท่านบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ถ้ารองหัวหมูและไก่ด้วยกระดาษแดงจะป้องกันเรื่องไฟไหม้และฟ้าผ่าได้ ใครทำการบวงสรวงที่บ้าน ควรจะทำอย่างนั้น อธิษฐานขอให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านสงเคราะห์เรื่องกันไฟไหม้กันฟ้าผ่าได้

พอหลวงพ่อท่านถามท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านให้เพิ่มว่า ถ้าต้องการป้องกันวินาศภัย ให้ทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง ถ้ารองด้วยกระดาษสีแดงกันไฟไหม้กันฟ้าผ่า แต่ถ้าทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง จะป้องกันวินาศภัยได้ด้วย

แสดงว่าห้างเซ็นเตอร์วันไม่ได้ทำอย่างนี้ เลยโดนเผากระจาย ตึกข้าง ๆ บ้านอนุสาวรีย์นี่ก็โดน จนกระทั่งคนเขาตกใจว่าบ้านอนุสาวรีย์โดนเผาไปด้วยแล้ว เพราะไฟไหม้ตึกแถวเดียวกัน แต่ขอโทษ..บ้านอนุสาวรีย์บวงสรวงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ถาม : จำเป็นว่า ต้องเป็นบายศรี ๙ ชั้นหรือเปล่า ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแรงทำเท่าไร บายศรีจะมี ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น แล้วแต่เราจะทำ แต่สำคัญตรงลูกบายศรี (ลูกบายศรี คือ ชั้นที่เหมือนกับนิ้วมือ) ถ้าไหว้พระ ลูกบายศรีให้มีอย่างน้อย ๙ ชั้น แต่ถ้าไหว้พรหมหรือเทวดาให้มีน้อยกว่านั้น ส่วนใหญ่เขาเลือก ๗ ชั้น จะได้เป็นสัญลักษณ์ว่าชุดนี้ไหว้พระหรือไหว้พรหมเทวดา



คำว่า บาย เป็นภาษาเขมร แปลว่า ข้าว บายศรี ก็คือ ขวัญข้าว แต่ถ้าซีบาย แปลว่า กินข้าว แต่ถ้ากินน้ำ ภาษาเขมรว่า อมตรึ๊ก


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว