กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   เสียงจากถ้ำฉบับที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=767)

ทาริกา 28-07-2009 12:23

เสียงจากถ้ำฉบับที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖
 
กระทู้จะนำบทความบางตอนในหนังสือมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

หากท่านใดไม่อยากพลาดหนังสือ "เสียงจากถ้ำ" ของวัดเขาวง
[พระครูภาวนาพิลาศ(หลวงตาวัชรชัย)เป็นบรรณาธิการ]

สามารถติดต่อขอเป็นสมาชิกได้ที่
วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)
๖๒/๑ หมู่ ๕ ต.เขาวง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี
โทร. ๐ ๓๖๒๓-๖๕๐๐-๕
โทรสาร. ๐ ๓๖๒๓-๖๕๐๖ และ ๕๐๗
มือถือ : ๐ ๑๗๐๒-๗๒๘๒

Email : info@watkhaowong.com
http://www.watkhaowong.com/

โดยหนังสือจะออกปีละ ๒ เล่มค่ะ

ทาริกา 28-07-2009 12:37

ในรอยเท้าพ่อ
 
เรื่องธุดงค์ไม่ต้องธุดงค์หรอก การที่พระสงฆ์ที่เขาออกธุดงค์กันในที่ต่าง ๆ เขาก็เอาคำสอนจากครูอาจารย์ ที่น้อมรับเอาไปใส่ใจ แล้วก็ประคองใจอันนั้น ไปหาต้นไม้ หาถ้ำ หาที่วิเวกที่เหมาะกับจิตใจ เอาไปบำเพ็ญเพียรแล้วพิจารณาธรรมะอันนั้น จนได้มรรคได้ผล แล้วก็ต้องกลับไปอยู่กับผู้กับคน แทนคุณพระศาสนา แต่ที่วัดท่าซุงนะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คือต้นหลวงพ่อฤๅษีฯ ร่มรื่น เงาเย็นสบาย ผลอริยะ ก็ออกดอกเต็มต้น ไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือ ไปเอื้อมเด็ดผลมากินให้หวานชื่นด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรคผลได้ในชีวิตนี้

พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นพระอรหันต์องค์เอกของโลก ในปลายศาสนา ๕,๐๐๐ ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่าน หาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้เสมือนพระพุทธเจ้าสอน ถ้าหากว่าท่านองค์นั้นไม่ลาพุทธภูมิเป็นพระอรหันต์เสียก่อน องค์นั้นเทศน์คราวใด เรา..พวกเรานี้ที่ตามกันไป ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้

แต่เมื่อท่านลาเป็นพระอรหันต์เสีย จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ฟังวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามไป ให้คิดตรองตามคำสอนของท่านไป ก็จะบรรลุมรรคผลได้ด้วยเสียงของท่านเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแล องค์นี้หาใครสอนอย่างนั้นไม่ได้แล้ว

บันทึกจากการสนทนาระหว่าง
หลวงปู่ดาบส สุมโน กับหลวงตาเป็นส่วนองค์
อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย

....................

ทาริกา 28-07-2009 12:40

ณ ขณะนี้หลวงพ่อฤๅษีฯของเราทิ้งองค์แทนชั้นยอดไว้หลายองค์
ทุกองค์ท่านรอเราอยู่ค่ะ กราบขออนุญาตอ้างอิงนำข้อความของหลวงปู่มาลงอีกครั้ง
"อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือ ไปเอื้อมเด็ดผลมากินให้หวานชื่นด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรคผลได้ในชีวิตนี้"

(อ่านแล้วน้ำตาซึม)

ทาริกา 25-08-2009 10:34

กระจกส่องใจ
 
อยากเป็นใคร (ชินฺวํโส)

ถ้ามีคำถามว่าอยากเป็นอะไรหรือเป็นอย่างใคร บางคนคงอยากจะเป็นแบบหลวงตา คือมีลูกศิษย์และศรัทธามาก หากออกปากกับใคร ๆ ก็คงได้ตามปรารถนา ทั้งกิจการงานและส่วนตัว

แต่ผิด!..
ผิดเพราะความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่มาตรฐานใคร ๆ ในโลก ก็ผู้ที่แบกรับหนี้สินต่าง ๆ ตอบแทนพระศาสนา ทั้งยังติดค้างผู้คนรอบข้างทั้งหลายระดับศรัทธา ตั้งแต่เริ่มต้นสรณคมน์ ถึงปรับอารมณ์พระกรรมฐาน นี่น่ะหรือ?..น่าอิจฉา

อยากเป็นอย่างท่านหรือ..อยากเสียสละเวลาทำความเพียรของตัวมาแบ่งปันให้กับศรัทธาทั้งหลายหรือ.. อยากตากหน้าขอติดค้างผู้คนและร้านค้าเพื่อหาเงินมาก่อสร้างบูรณะอารามหรือ..

นั่นแค่ส่วนน้อย!
แต่เรามีคำตอบในใจ ว่าอยากจะเป็นอย่างใคร?

ถ้าท่านมาวัด.. ภาพหนึ่งที่จะเห็นจนเจนตาชินใจก็คือ รถเข็นทำเอง ที่บรรทุกถังขยะสีเหลืองและอุปกรณ์จิปาถะในการเก็บกวาด แล่นไปมาหัวถนนท้ายถนนของวัดนี้อยู่ทุกวี่วัน นายสารถีนั้นเล่าก็เก่าพอกันกับสภาพอุปกรณ์ เดินไปไหนมาไหนใครทักไม่ทัก ก็กวาดโน่นเก็บนี่ไปด้วยรอยยิ้มเหี่ยวย่น โกรธก็ไม่โกรธรักก็ไม่รัก ไม่สุงสิงใคร คุยด้วยก็คุย ไม่มีใครสนใจแกก็ไม่สนใจใคร ชีวิตที่ผ่านมาเกือบแปดสิบปี เวลาที่เหลืออยู่ไม่มีอะไรน่าทำไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีอะไรน้อยเรื่องกว่านี้แล้ว เราเคยแหย่ลุงแก..

“ลุงดา..มาเปลี่ยนร่างกันไหม? ผมอยากแก่น่ะ”
“โฮ่ย.. ไม่เอาหรอก!”


แกส่ายหน้าอย่างรู้ทัน หัวเราะเบา ๆ แล้วก็เข็นรถหลีกไป.

ทาริกา 26-08-2009 12:08

พูดตามพ่อสอน
 
อมตธรรม
สำหรับคนที่ปรารถนาพระนิพพาน

(พระครูภาวนาพิลาศ)


ถาม...หลวงตาครับ ผมขอย้อนถามเกี่ยวกับเรื่องศีลครับ คือ ศีลที่บอกว่าศีลบริสุทธิ์นี่ คือไม่ทำลายด้วยตนเอง หรือยุยงส่งเสริมเขา และก็ไม่ยินดี แต่ในขณะที่บางทีเราเห็นเขากำลังทำผิดอยู่ เราจะวางอารมณ์ใจอย่างไรครับ?

เราไม่ยินดีด้วย มีความสลดใจ มีความสงสาร ไม่ได้เห็นด้วย ไม่ได้ยุยง ไม่ได้ใช้ให้เขาทำ แต่กฎของกรรมบางด้านสมมติว่าเราไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ...เราก็ต้องวางด้วยอุเบกขาว่าสิ่งเหล่านี้มีแต่ให้ทุกข์กับเราแสนสาหัส แต่ว่าทุกข์มันเกิดเพราะร่างกายยังมีชีวิต แต่เราก็รู้นี่ว่า ร่างกายผลสุดท้ายก็ต้องจากกัน เมื่อร่างกายจากก็เป็นอันฟันธงกันตรงนั้น ถึงธงชัยพระอรหันต์ตรงนั้น ตายเมื่อไรก็คือธงชัยของเรา เพราะฉะนั้นถึงมันยังไม่ตาย เราก็จะนึกถึงความตายสักวันละ ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง พอนึกถึงแล้วว่า... ตายแล้วก็หมดเรื่องกัน ไปกราบพระพุทธเจ้าดีกว่า เอาตรงนี้ ! สลับไปอย่างนี้ !

ทาริกา 26-08-2009 12:21

พูดตามพ่อสอน(ต่อ)
 
ผู้ไกลจากกองกิเลส

พอเราทำชำนาญแล้วเราก็รู้ก็ไม่ได้กังวลอะไร หนัก ๆ เข้าก็ ... พอรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องอะไร คล้าย ๆ กับเรานั่งอยู่กับองค์พระพุทธเจ้าข้างบนเลย...

สมเด็จพ่อ ! นี่...ผมอยู่อยู่กับสมเด็จพ่อแล้ว มองลงไปข้างล่าง... เหมือนมองอดีตชาติ มีก็เหมือนไม่มี เรื่องของสัตว์โลก เรื่องของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม สิ่งเหล่านี้ถ้าผมลงไปอยู่ใกล้... ผมก็ใกล้ความทุกข์ ถ้าผมมาอยู่อย่างนี้ ผมก็คือ ผู้ไกลจากกองกิเลส ผู้ไกลจากกองกิเลส เขาเรียก...พระอรหันต์ ตอนนี้ผมทรงอารมณ์พระอรหันต์ ตอนนี้ดูเหมือนชั่วคราว แต่ดูเหมือนถาวร ชั่วคราวคือ...มันยังไม่ตาย แต่ถ้ามันตายนี่ จะถาวรสำหรับผมทันที !

หัดคิดอย่างนี้ตลอด หนัก ๆ เข้า มันจะเห็นว่า...เราควรจะอยู่ตรงนี้มากกว่าตรงโน้น ถึงลงไปอยู่ตรงโน้นก็เรียกว่า...ลงด้วย สังขารุเปกขาญาณ ลงแบบลงไปขับรถแก้วลงมา สมัยก่อนจับด้วยมือ หนัก ๆ เข้า เอาไม้เท้าแก้วจับ รับผิดชอบ...กินซะ...ขี้ซะ...อะไรซะ....ไม่เปื้อนใจ...

พูดน่ะมันง่าย ! แต่ทำแล้วมันได้ผลตามนี้ อารมณ์ในขณะที่กิเลสเจือ ยังรัก โกรธแรง... โลภแรง...หลงแรง... มีทิฐิมานะแรง...มันจะเป็นตัวแปรไม่ให้เราใช้กำลังใจเต็มที่ มันทำให้เกิดทุกข์ เกิดอึดอัดคับแค้น เกิดลังเลอะไร... นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป

หิ่งห้อยน้อยร้อยแรงเทียน 26-08-2009 23:07

เรื่องธุดงค์ไม่ต้องธุดงค์หรอก การที่พระสงฆ์ที่เขาออกธุดงค์กันในที่ต่าง ๆ เขาก็เอาคำสอนจากครูอาจารย์ ที่น้อมรับเอาไปใส่ใจ แล้วก็ประคองใจอันนั้น ไปหาต้นไม้ หาถ้ำ หาที่วิเวกที่เหมาะกับจิตใจ เอาไปบำเพ็ญเพียรแล้วพิจารณาธรรมะอันนั้น จนได้มรรคได้ผล แล้วก็ต้องกลับไปอยู่กับผู้กับคน แทนคุณพระศาสนา แต่ที่วัดท่าซุงนะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คือต้นหลวงพ่อฤๅษีฯ ร่มรื่น เงาเย็นสบาย ผลอริยะ ก็ออกดอกเต็มต้น ไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือ ไปเอื้อมเด็ดผลมากินให้หวานชื่นด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรคผลได้ในชีวิตนี้
อ่านแล้วน้ำตาคลอเหมือนกันเลยครับ

ทาริกา 27-08-2009 14:26

พูดตามพ่อสอน(ต่อ)
 
สังขารุเปกขาญาณ

แต่ถ้ามีสังขารุเปกขาญาณที่คลุมมันไว้ สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติของโลก เป็นสมบัติของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม และเป็นที่รองรับวิบากกรรมทั้งดีทั้งเลว ซึ่งมนุษย์เขาทำกันอยู่ สิ่งเหล่านี้เราอยู่ในกฎนี้มานานแล้วคือ กิเลส กรรม วิบาก กิเลสทำกรรมมีผลกรรมเป็นวงจักร หมุนอยู่ ใครไปอยู่ในนี้ต้องหมุนไปจนครบวง พอตายแล้วก็ไปอยู่ในวงใหม่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น วนเวียนอยู่หาจุดออกจากวงจักรวัฏจักรอันนั้นไม่ได้

บัดนี้เราเห็นแล้ว...ที่มันวนได้เพราะว่ามันมีร่างกายอยู่ ถ้าเราละจากร่างกายเสียอย่างเดียว พลังวนนั้นก็มี แต่ว่า เราไม่ได้ไปมีอยู่ในมัน.. เป็นธรรมชาติของโลกเขา โอ้ย! ถ้าอย่างนี้ เราจะไปทุกข์ร้อนอะไร มันจะวนหนักแค่ไหน มันเป็นเรื่องวนเฉพาะศพที่เราอาศัยอยู่ มันไปอยู่ตรงจุดกลางอันนั้น ถ้ามันตายก็หมดจบกิจ ถ้ามันยังไม่ตาย ก็บอกธรรมด๊า...ธรรมดา กูรู้...ธรรมดา โอ๊ย! ทุกข์ ธรรมดา...นี่...ธรรมดามึงมามีในกูแล้ว ธรรมดาช่างมึง เดี๋ยวตายก็ไม่เกิดแล้ว... อะไรจะเกิดก็เกิดไป ...ฝืนไปอย่างนี้ลูก...จนชิน

ทำเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี ทำตลอดชีวิตจนแก่จนเฒ่า แล้วสังขารุเปกขาญาณของพระอรหันต์ พออะไรเกิดขึ้น...เหอะ ๆ ช่างมันเหอะ ๆ ...ทำไปเดี๋ยวก็รู้เอง ท่านก็ตอบแค่นี้

ทาริกา 27-08-2009 14:31

ขอลงแบบเสียงในฟิล์มนะคะ เห็นว่าไม่หยาบ แต่ได้อารมณ์

ทาริกา 27-08-2009 14:42

พูดตามพ่อสอน(ต่อ)
 
ถ้าเรามองอย่างนี้เราจะรู้เลยว่าที่เราทุกข์นี่ เราเสือกไปทุกข์ ร่างกายมันไม่ได้ทุกข์ไอ้หนู! ร่างกายมันพอกระทบอากาศหนาวน่ะ มันก็เย็นขึ้น มันไม่มีใจจะทุกข์นะร่างกายน่ะ แต่เราเสือกไปมีในมัน...(บรื๋อ...หนาวฉิบหายเลย)กายมันไม่ได้ทุกข์นะ มันอยู่กับทุกข์แต่มันไม่ได้ทุกข์ แต่ใจมันทุกข์

ตรงนี้เอง เขาจึงบอก ควรจะเกิดต่อไปไหม? แล้วยังไม่ตาย ก่อนจะตายควรจะวางอารมณ์ไว้อยู่ตรงไหน? ถึงจะไม่ทุกข์มากเกินไป ก็คืออุเบกขา ทำหน้าที่ไปในเขตของศีลธรรม ทำไปจนตาย ไม่ตัดพ้อต่อว่า ไม่อยากจะเป็นโน่นไม่อยากจะได้นี่ ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงโน่นนี่ อะไรมาเฉพาะหน้าถือว่า... อ๋อ! กูรู้แล้วมึงต้องมา... มันให้ผลอย่างไร?... อ๋อ! กูรู้แล้วมึงต้องให้ผลอย่างนี้ เพราะเหตุเดิม พอมันสลายไป...กูรออยู่แล้ว...มึงสลายไป กูสบายแล้ว ทุกข์อันนี้เกิดขึ้น ทุกข์อันนี้หนักหนา และทุกข์อันนี้หายไป ...กูนึกแล้วมึงต้องอยู่ไม่ได้ เอ้า! ทุกข์ใหม่มา กูนึกแล้วมึงต้องมา ประเดี๋ยวมันจะทุกข์อยู่กี่วัน? อ้าว! ๒ ชั่วโมง หายแล้ว ไปอีกแล้ว เมื่อไหร่จะมา? อ๋อ! มาอีกแล้วหรือ กูนึกแล้ว มึงต้องมา...เมื่อมึงมา...ก็มีปัญญา เออ!...กลายเป็นมีสติ สัมปชัญญะในการมองทุกข์และรู้ทันทุกข์อยู่ตลอด...ไม่เกาะ!

ทาริกา 28-08-2009 09:04

พูดตามพ่อสอน(ต่อ)
 
วสี


นี่ว่า... มันพูดตามเรื่อง ตามอารมณ์ที่เราสัมผัสได้ แต่เวลาทำจริง ๆ มันเร็วกว่านี้ เวลาทำมันจะต้องกินเวลา ทำแล้วทำอีกอนุโลมปฏิโลมจนเป็นวสี จนเป็นอมตะอารมณ์ พอถึงเวลานั้นแล้วมันไม่ต้องกำหนดจิต มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็...(วางอารมณ์)ได้เลย โดยไม่ต้องกำหนดจิตเลย...ไม่ต้องกำหนดจิต พอคิดอย่างนี้ปั๊บ! ใจเราเบาขึ้น มันเห็นฝั่งเห็นฝาเลย เพราะเราโง่เอง...จะไม่โทษคนอื่น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว