กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4469)

เถรี 10-06-2015 18:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวะสงครามร้อนกรุ่น ๆ วันก่อนลูกศิษย์ทางวัดหนองหญ้าปล้องถามมา คงถามแบบประเภททดสอบ ว่าเรื่องของภัยพิบัติกับภาวะสงครามจ่อคอหอยอยู่แล้ว คิดว่ามีเวลาเตรียมตัวนานเท่าไร ? อาตมาก็บอกว่า “ผมไม่คิด” แล้ววัดท่าขนุนเตรียมตัวอะไรบ้าง ? “ไม่เตรียม” อะไรที่เลยวันนี้วัดท่าขนุนไม่ทำ เอาแค่วันเดียว วันนี้มีอะไรก็ทำ ๆ ไป พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะได้ทำหรือเปล่า ดังนั้น..รีบทำวันนี้เสียให้เสร็จ แล้วเขาถามอย่างสุดท้ายว่า “แล้วท่านมีเวลาทำกี่เดือน?” บอกไปว่าเหลือเฟือเลย

นี่เขากำลังเตรียมการเรื่องระบบไฟฟ้าอยู่ ว่าจะใช้โซลาร์เซลล์ หรือจะใช้ไบโอดีเซล อยู่ในลักษณะว่าถ้าหากเครื่องชำรุดให้มีคนซ่อมได้ อย่างโซลาร์เซลล์ถ้าชำรุดแล้วมีคนซ่อมได้ก็เก่งเกินไป

เรื่องของภัยพิบัติไม่ต้องเสียเวลาเตรียมการหรอก คือถ้าเราสร้างกรรมเอาไว้ เตรียมขนาดไหนก็ตาย ถ้าไม่สร้างกรรมเอาไว้ คุณปู่อายุ ๑๐๐ ปีไม่เป็นไร ไอ้หนุ่ม ๆ สาว ๆ ตายกันเป็นแถวเลย หรือไม่ก็เด็กทารก ๔ เดือน โดนฝังอยู่ ๒๐ กว่าชั่วโมง ขุดขึ้นมาไม่เห็นจะเป็นอะไร"

เถรี 10-06-2015 18:32


พระอาจารย์กล่าวว่า "แผ่นดินไหวครั้งนี้คนไทยได้ใจคนเนปาลไปเยอะเลย เพราะว่าไปทุ่มเทช่วยเหลือทั้งพระทั้งโยม แม้แต่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไป ท่านไปเช้าเย็นกลับด้วยนะ ออกเดินทาง ๗ โมงครึ่ง ไปถึงโน่น ๑๐ โมงครึ่ง ฉันเพลเสร็จก็ตระเวนออกเยี่ยมเขา เปิดงานที่นั่นที่นี่ เสร็จสรรพเรียบร้อยบินกลับถึงเมืองไทยทุ่มครึ่ง เอาคนอายุ ๙๐ ปีไปตะลอนแบบนั้น

ต้องบอกว่าเจ้าคุณพรหมสิทธิท่านเก่ง คือยังไม่มีใครทำเรื่องอย่างนี้ได้ เอาพระสังฆราชไปเกี่ยวกับงานการต่างประเทศของคณะสงฆ์ เห็นมีแต่ท่านนี่แหละ คราวนี้พระไทยเราที่ได้ใจคนเนปาลเยอะเพราะว่า นักบวชฮินดูเขาอาศัยชาวบ้านอย่างเดียว ของเรานี่ไปให้ชาวบ้านได้อาศัย เราแจกทั้งข้าวปลาอาหาร ทั้งเต็นท์นอน ทั้งน้ำดื่ม ทั้งยารักษาโรค"

เถรี 10-06-2015 18:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทองผาภูมิมีพระจบด็อกเตอร์รูปแรก ปีหน้าจะมีแม่ชีจบด็อกเตอร์รูปแรก วัดท่าขนุนทั้งนั้น"

เถรี 11-06-2015 13:04

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาเป็นฆราวาส เจอผีกี่ตัวอัดกระจายหมด สมัยเป็นฆราวาสอยู่วัดท่าซุง อาตมามีอาชีพไล่ผี เพราะเขาส่งผีไปเยอะ เพื่อที่จะไปเล่นงานหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่นหลวงพ่อไม่ได้ก็เล่นพวกที่อยู่วัดแล้วเผลอ คนไหนโดนผีเข้า อาตมาย่องไปถึงนี่ออกทุกราย นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก กะว่าจะฝากรักให้ชัด ๆ เลย แต่ว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย อัดตูม..ร่วงสลบคามือ เข้าไปดูปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่เขียวไม่ช้ำ ไปช้ำอยู่ที่ผี แล้วพวกนั้นก็แปลก หลังจากที่โดนไปแล้ว ผีไม่เคยเข้าคนนั้นอีกเลย

ผีแท้ ๆ เลย เขาส่งมาเพื่อเล่นงานโดยเฉพาะ เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นเป้าใหญ่ อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ เขาคิดว่าถ้าไม่มีหลวงพ่อแล้ว คนจะได้ไปวัดเขา อาตมาเลยมีอาชีพเล่นงานพวกผี เพราะจะให้พระไปลงไม้ลงมือก็ไม่ได้ คนอื่น ๆ ก็กลัว

เขาเห็นว่าวัดเขาไม่มีลาภผลอะไรเลย เพราะคนแห่ไปวัดท่าซุงหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดด้วยอวัยวะส่วนไหน ปัจจุบันนี้อาตมาก็โดนเหมือนกัน วันดีคืนดีก็มา มีอยู่ ๒ พวก พวกหนึ่งคืออยากรู้ว่าเก่งแค่ไหน ส่วนอีกพวกหนึ่งก็คิดแบบเดียวกันว่า ถ้าไม่มีอาจารย์เล็กเสีย คนจะได้ไปวัดเขาบ้าง"

เถรี 11-06-2015 13:13

พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งซึ่งเพิ่งได้วัตถุมงคลที่อยากได้ไปว่า "ลองไปจับความรู้สึกตัวเองดู ว่าตอนที่อยากได้กับตอนนี้ต่างกันแค่ไหน ถ้าเราแยกแยะไม่ออก เราจะแก้ไขตัวเราเองไม่ได้ ต่อไปถ้าอารมณ์ใจของเรารับสิ่งดีหรือไม่ดีเข้ามา จะต้องแยกให้ออก

แล้วส่วนที่พึงจำไว้เลยก็คือว่า การแก้ไขต้องแก้ที่ตนเอง ไม่สามารถแก้คนอื่นได้ เราจะไปมองว่า คนอื่นทำอย่างนั้นกับเรา คนนี้ทำอย่างนี้กับเรา เราทำดีแล้ว ทำไมเขาทำกับเราอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้บรรลัยแน่ ต้องกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้ก่อน อะไรเกิดขึ้นเราแก้ได้เฉพาะตัวเรา เราแก้คนอื่นไม่ได้หรอก ไม่ใช่ไปถึงก็..เธอต้องทำอย่างนั้นกับฉัน เธอต้องทำอย่างนี้กับฉัน ใครจะทำให้ ? ก็มีอย่างเดียวคือเราต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง

การที่จะแก้ไขตัวเราเองได้ ความรู้สึกต้องไวพอ ตามอารมณ์ใจตัวเองได้ทัน เมื่อเราตามทัน สิ่งไหนดีก็รักษาไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็ขับไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก โอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี ไม่ใช่ถึงเวลาอยากได้ก็อยากสุดชีวิต พอได้มาก็พองแทบจะลอยลม ระวังจะลอยไปจนกู่ไม่กลับ..!"

เถรี 11-06-2015 13:20

ถาม : เป็นโรคกระเพาะอักเสบครับ ?
ตอบ : กระเพาะอักเสบไปหาขมิ้นชัน ขมิ้นผงก็ได้ เดี๋ยวนี้เขามีแคปซูลเป็นผง ๆ กินก่อนอาหาร มื้อหนึ่ง ๒-๓ แคปซูล แล้วก็ไปหาพวกยาขับลมมาด้วย หัดใช้สมุนไพรไทยเสียบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่ยาต่างประเทศ ลองดู ถ้าไม่ดีขึ้นเดี๋ยวมาเตะอาตมาได้..!

สมุนไพรขับลมนี่บ้านเรามีเยอะมากเลย แต่อย่าลืมขมิ้นชันนะ ของจำเป็นเลย กินก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมง จะลงไปเคลือบกระเพาะให้ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณเป็นไปนาน ๆ มะเร็งจะรับประทาน ขมิ้นชันต่อให้คุณไม่เป็นแผลในกระเพาะ กินลงไปก็มีประโยชน์ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระมีมาก เพียงแต่พวกเราไม่ใช่พม่า ไม่ใช่คนใต้ ก็จะไม่ชิน เจอขมิ้นเข้าก็ตีหน้าประหลาด ๆ พวกพม่าพวกแขกนี่เขาคลุกข้าวกินกันเลย

เถรี 11-06-2015 13:49

พระอาจารย์กล่าวถึงการออกใบอนุโมทนาบัตรว่า "เรื่องเงิน..พระเราจำเป็นต้องรอบคอบ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เขาจะตรวจสอบบัญชีทุกวัด จะเอากระทั่งพระเสียภาษี ถ้าอยู่ ๆ มีตัวเลขแล้วเงินไม่มี แล้วเอาที่ไหนไปให้เขาตรวจ ?

บรรดา สปช.ชุดนี้ ต้องบอกว่าสร้างเวรสร้างกรรมกับคณะสงฆ์ใหญ่หลวงมาก เนื่องจากเหมารวมว่าพระเณรทั้งหมดไม่ดี แล้วก็ด่ากันมันปากตอนที่ตัวเองอภิปราย สรุปก็คือจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาด่าพระไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่รู้ว่ากรรมส่วนนี้จะทันตาเห็นหรือเปล่า ? แต่ต้องบอกว่าวจีกรรม มโนกรรมสำเร็จไปแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือกายกรรม จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม ? ถ้าสามารถเปลี่ยนกฎหมายได้อย่างที่ตัวเองต้องการจริง ๆ กรรม
ก็สำเร็จทั้ง ๓ สถาน อาตมาหนักใจว่าแผ่นดินจะรับไหวไหม แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เขาก็ด่าพระฟรีไปแล้ว"

ถาม : แต่เขาก็อยู่ในหน้าที่การปกครอง ?
ตอบ : นั่นเป็นการแสดงความคิดของเขาออกมาเองเลย ในเมื่อเป็นความคิดของตัวเองก็เป็นมโนกรรมของตัวเองเต็ม ๆ เลย ก็ในเมื่อพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม จะบอกว่ามาโดยคำสั่งก็ไม่ใช่ เพราะคำสั่งคือให้ปฏิรูป ซึ่งแปลว่าเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น

เถรี 11-06-2015 13:55

ถาม : ไม่อยากออกไปหาความทุกข์ค่ะ
ตอบ : ไม่ต้องออก อยู่กับทุกข์นั่นแหละ เพียงแต่อย่าแบกทุกข์เอาไว้

ถาม : วางไม่เป็นค่ะ ?
ตอบ : วางไม่เป็นก็อย่าแบกสิ จะได้ไม่ต้องวาง ใช้คำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาการเกิดมาต้องมีทุกข์เช่นนั้น เพราะฉะนั้น..ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีทุกข์เช่นนี้จะไม่มีกับเราอีก ถ้าเราสามารถออกจากกองทุกข์ได้ในชาตินี้ ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมาทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทุกข์ชาตินี้ก็แค่พักเดียวเท่านั้น ทำไมเราจะอยู่กับทุกข์นี้ไมได้ ก็แค่อย่าไปแบกเอาไว้เท่านั้น

ธรรมดา..ทำไม่ถูกใจเขาก็ต้องด่าเรา ธรรมดา..มีครอบครัวก็ต้องปวดหัว ธรรมดา..มีงานก็ต้องเครียด ให้เห็นธรรมดาให้ได้ พอเห็นธรรมดาก็แบกน้อยแล้ว

เถรี 11-06-2015 13:57

ถาม : การปฏิบัติควรเพ่งอะไร ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมหลัก ๆ ก็คือลมหายใจเข้าออก ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก สติจะอยู่กับปัจจุบัน เมื่อไม่ไปโหยหาอาลัยในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต ความทุกข์ก็จะเหลือน้อยแล้ว ดังนั้น..ถ้าจะเพ่งก็คือเพ่งลมหายใจเข้าออกตัวเอง แต่อย่าไปเพ่งอย่างอื่น บางทีคุณใช้ศัพท์ที่เข้าใจคนเดียว พอพูดมาคนอื่นฟังแล้วก็งง ๆ

เถรี 11-06-2015 14:03

พระอาจารย์ท่องกลอนของหลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ที่ระยอง ให้ฟัง พร้อมกับอธิบาย

"เราเนาว์สราญสุข................นิรทุกข์เกษมศานต์
เฉกเช่นลดาวัลย์.................สะพรั่งติด ณ แผ่นผา
ความครุ่นและกำหนัด............ก็สลัดไม่นำพา
วิเวกและเอกา....................ดุจะทิพย์ที่ลอยลม
ผิว์แม้นจักลอยล่อง...............ก็มิต้องอาลัยสม
บ่คิด บ่ปรารมภ์....................บ่มิห่วงอาลัยมี


สบายจะตาย

สถิตย์เหนือ ณ อาสน์เอี่ยม.....กระจ่างเยี่ยมจรัสศรี
ครั้นรัตติกาลมี....................ศศิส่อง ณ แนวไพร


อยู่กับธรรมชาติ ทำตัวสบาย ๆ

แม้พาหิรชน.......................จราจลและบรรลัย
เรามั่นสถิตย์ใน...................สุขธรรม บ่มิคลอน


ภายนอกจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เรามีความสุขอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา ของเราก็แล้วกัน

แม้นใครมาพบเรา...............ก็จุ่งเนาว์จะสั่งสอน


ถ้าใครมาอยู่ด้วยก็จะสอนให้

ชี้ทางอันบวร.....................เสถียรสุขนิรันดร์เทอญ"

เถรี 11-06-2015 14:08

"ใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ อย่าทำตัวเป็นคนท้อแท้ง่าย เผชิญอุปสรรคเล็กน้อยก็ไม่ไหวแล้ว การจะก้าวข้ามกองทุกข์ต้องทุ่มเท ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อย่างชนิดเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นเราไม่สามารถที่จะสู้กระแสแรงกิเลสได้ ไม่สามารถจะต้านกำลังของวัฏสงสารได้ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่ทำแบบคนทั่ว ๆ ไป คนที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นต้องบ้าเลย..!

คนบ้ามักจะทำอะไรแบบไม่อาลัยไยดีกับชีวิต การไม่อาลัยไยดีกับชีวิตก็คือการตัดร่างกาย ซึ่งเป็นสังโยชน์ตัวใหญ่ คือสักกายทิฐิ ซึ่งเป็นที่อาศัยของกิเลสทุกประเภท ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อาศัยร่างกายนี้ทั้งนั้นถึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อเราเห็นแล้วแค่อย่าไปยุ่งด้วย กิเลสก็ไปไหนไม่รอดแล้ว นั่งดูเฉย ๆ ดูว่าจะทำอย่างไร ? โลภอยากได้ เราไม่ไปเอาเสียอย่าง กิเลสจะทำอะไรได้ ? รัก..ต้องการ เราไม่ตะเกียกตะกายไปหา กิเลสจะทำอะไรเราได้ ? โกรธก็นั่งมอง อยากโกรธก็โกรธไป ยิ่งเส้นเลือดในสมองแตกตายไปได้ยิ่งดี จะได้จบกันแค่นี้

เพราะฉะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกาย ในเมื่อเป็นคุณสมบัติของร่างกาย เราปฏิเสธเขาไม่ได้หรอก แต่อย่าไปปรุงแต่งให้เขา การปรุงแต่งคือไปคิดเพิ่ม คนนี้สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ เป็นแฟนเราดีไหม ? ควงไปดูหนังฟังเพลงต้องมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้แน่เลย ปรุงเท่าไรก็ยิ่งยึดติดมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ถ้าเราหยุดปรุง สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ก็แค่คนเหมือนกัน ดีไม่ดีไม่ได้นึกเสียด้วยซ้ำว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ถ้าเจอหน้ากันก็แสดงว่ากระแสกรรมยังไม่พ้นกัน ก็สงเคราะห์กันไปตามหน้าที่ แต่พยายามระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราไว้ แล้วอย่าไปสร้างกรรมอะไรที่ไปผูกพันกันขึ้นมา ถ้าเราทำอย่างนี้ ของใหม่ไม่มี กรรมเก่าก็ค่อย ๆ เช็ด ค่อย ๆ ล้างไป เดี๋ยวก็หมด เหมือนกับเก็บบ้าน สมมติหลังนี้เป็นบ้าน ใหญ่เบ้อเร่อเลย เก็บทีเดียวไม่เสร็จหรอก ต้องเก็บกวาดไปทีละมุม ถูไปทีละแผ่น เดี๋ยวก็ทั่วทั้งหลัง

เหมือนกับเราจะพิมพ์หนังสือ ก่อนที่จะเป็นหน้า ต้องพิมพ์ทีละตัว ประสมสระ ใส่วรรณยุกต์ มีตัวสะกด ออกมาถึงจะเป็นคำ จากคำก็เป็นประโยค จากประโยคก็เป็นบรรทัด จากบรรทัดก็เป็นย่อหน้า จากย่อหน้าก็เป็นครึ่งหน้า เป็นหนึ่งหน้า ไปจากอักษรตัวเดียวทั้งนั้น

อย่ารีบ..ค่อย ๆ ไป ใจเย็น ๆ แต่อย่าหยุด เลียนแบบเต่า เต่าเดินไปเรื่อย ก๊อกแก๊ก ๆ ไปเรื่อย เคยเห็นเต่าถอยหลังไหม ? ไม่มีหรอก ต่อให้ไปชนอุปสรรคก็เดินอ้อม เต่าไม่มีเกียร์ถอย ถึงเวลาเจอศัตรูปุ๊บหดปั๊บ ใครจะไปทำอะไรได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เก็บเกลี้ยงเลย ในเมื่อเก็บเกลี้ยง ไม่ยอมรับอารมณ์ภายนอกเข้ามา ใจตัวเองก็ผ่องใส พอพ้นภาวะนั้นขึ้นมา ยืดหัวยืดขาออกมาได้ก็เดินต่อ เพราะฉะนั้น..ให้เอาอย่างเต่า ไปช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่หยุด ขึ้นหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอยหลัง"

เถรี 13-06-2015 17:56

"ตกลงว่าเห็นทางหรือยัง ? ต้องเจาะไปเรื่อย พวกเราติดคุกด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เป็นคุกที่กำแพงหนามากเลย ค่อย ๆ เจาะ ค่อย ๆ เคาะ ค่อย ๆ แคะไปเรื่อย เดี๋ยวก็ออกไปได้เอง แต่อย่าหยุดเสียก่อนแล้วกัน มัวไปท้อแท้วางมือ โอ๊ย..ไม่ไหวแล้ว ที่ไหนได้..กำแพงหนาหลายวา เราเจาะมาเหลือแค่คืบเดียว บอกว่าไม่ไหวแล้ว แล้วเราก็ไปวางมือ เป็นที่น่าเสียดายมาก

เห็นทุกข์ชัดขึ้น ก็ต้องทำอะไรได้ดีขึ้น ไขว่คว้าหามาแทบตาย เอาเข้าจริง ๆ แล้วเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย แถมยังเพิ่มภาระขึ้นไปอีก

แค่มองดู แค่ชื่นชม อย่าคิดไปไขว่คว้าเป็นเจ้าของ ภาระจะไม่มี เบากว่ากันเยอะเลย ใครทำดีก็ยินดีด้วย ใครทำไม่ดีก็ เออหนอ..หนทางเขายังอีกยาวไกล ถ้ามีโอกาสเราจะแนะนำทางที่สั้น ๆ ให้เขาเสียหน่อย

การไขว่คว้าหามาคือการยึดติด คนที่ยึดที่เกาะไปไหนไม่ได้หรอก ก็ติดอยู่ตรงนั้น ถามว่าปล่อยวางแล้ว
การดำรงชีวิตเราจะอยู่อย่างไร ? ต้องปล่อยวางอย่างคนมีปัญญา วางออกจากใจก่อน ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ ก็ต้องกินต้องใช้เป็นปกติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นสามีภรรยา ทำหน้าที่สามีภรรยาให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ ทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นลูกน้อง ทำหน้าที่ลูกน้องให้ดีที่สุด เป็นเจ้านาย ทำหน้าที่เจ้านายให้ดีที่สุด

แต่เราทำแค่วันนี้เท่านั้น หลังจากวันนี้ไม่มีสำหรับเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้เท่ากับเป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราก็ทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด ตอบตัวเองได้ทุกกรณี เพราะเราทำเต็มที่ในทุกหน้าที่แล้ว เราไม่มีอะไรต้องห่วงต้องใยแล้ว ถ้าถึงเวลาเขาไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ก็แสดงว่าเขามีเวรมีกรรมเฉพาะของตัวเอง เราก็..บ๊าย..บาย..ไปแล้ว มีโอกาสจะช่วย รักนะจุ๊บ ๆ รีบเผ่นไปเลย

ส่วนใหญ่แล้วเราไปแบกเขา เหมือนกับว่าถ้าไม่มีเราแล้วเขาอยู่ไม่ได้ คนเรามีบุญรักษา มีกรรมรักษา ต่อให้ไม่มีใครเลยเขาก็ต้องอยู่ได้ เอ้า..พอแล้ว กินเยอะไปเดี๋ยวย่อยไม่ไหว ถ้าให้พูดก็พูดไปได้เรื่อยแหละ"

เถรี 13-06-2015 17:57

ถาม : ศีลที่บอกว่าพระรับเงินแล้วเป็นอาบัติ ทำไมหรือคะ ?
ตอบ : เกิดจากทางด้านพระท่านรับแล้วไปติด ดูในวินีตวัตถุของวินัยปิฎกก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่าเหมือนกับอสรพิษ เพราะว่าส่วนใหญ่รับไปแล้วถ้าไม่รู้จักประมาณตัวเอง ก็จะกลายเป็นไปยึดติดในวัตถุแทน คราวนี้ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนก็คือว่า ให้เอาลงเป็นกองกลาง ไปทำบุญทำกุศลให้กับเจ้าของเดิม

ถาม : คือรับก็ได้ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วรับเมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น เพียงแต่ว่าต้องทำให้ถูก คือรับมาแล้วก็อย่าคิดว่าเป็นของตัวเรา

เถรี 13-06-2015 18:00

คุณเต้ยเห็นหลวงพี่เอจึงรีบเข้าไปร่วมทำบุญปิดทองประดับเพชรสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าขนุน

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไปปิดเองเลย เขาเรียกพวกฉวยโอกาส เป็นการกระทำที่น่าสรรเสริญ ไม่ได้ตำหนิ แต่บอกว่าน่าสรรเสริญ เห็นบุญให้ทำไว้ก่อน ถ้าตามมติของหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บุญเป็นสิ่งจำเป็น ต้องเร่งขวนขวายให้มากไว้ เพราะบุญส่งผลในด้านดีเพียงส่วนเดียว แต่คราวนี้เราไม่ได้ทำบุญตลอด เราทำบาปด้วย ถึงเวลาเจอบาปสนองก็ร้องโอดโอยกัน แต่ตอนทำบาปไม่คิด พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ตราบใดที่ความชั่วยังไม่ส่งผล คนพาลก็คิดว่าเป็นสิ่งหอมหวานที่ควรแก่การกระทำ ส่งผลเมื่อไรเป็นร้องจ๊าก"

เถรี 13-06-2015 18:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตลอดสังสารวัฏอันยาวไกลที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราก็เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ถ้าเห็นข้อบกพร่องของเขา โปรดทราบว่านั่นคือทายาทที่เราทิ้งเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็จงอนุเคราะห์สงเคราะห์เขาเถิด ไปไข่ทิ้งไว้เองแล้วไปโทษใครได้ เขาเป็นคนรับช่วงกรรมของเรา ก็เท่ากับคือทายาทของเรา กัมมะทายาโท ทายาทของการกระทำ

ทายาท แปลว่า ผู้ควรแก่การรับมรดก เพราะฉะนั้น..กรรมทายาท เป็นผู้รับมรดกของกรรม เราเคยทำอะไรไม่ดีไว้ ถึงเวลาเขามาทำตาม ก็เท่ากับเขารับช่วงไปจากเรา จะไปโกรธไปเกลียดลูกหลานทำไม ? สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ไป ถ้าสงเคราะห์ไม่ได้ จะตีลูกตีหลานบ้างก็คงไม่มีใครว่า"

เถรี 13-06-2015 18:06

พระอาจารย์สนทนากับผู้สูงอายุ "เราดีตรงที่ว่า เมาวัยไม่มีแล้ว เมาว่าร่างกายไม่เจ็บป่วยก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า ถ้ายังมีการเมาแบบนี้อยู่ โอกาสที่จะไปพระนิพพานก็ไม่มี

เมาวัย เห็นว่าร่างกายเป็นหนุ่มเป็นสาว แข็งแรงยินดีและพอใจ เมาว่าร่างกายไม่มีโรค ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แข็งแรง อันนี้ของเรานั้นเห็นชัด วัยก็ล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยก็ป่วยมาพอแรงแล้ว ถ้ายังเห็นว่าดีอีก ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรแล้ว

ในเมื่อไม่มีความเมาพวกนี้ มัทนิมมัทนัสสะ ตัดเสียซึ่งความเมา ในเมื่อตัดเสียซึ่งความเมาได้ โอกาสจะไปนิพพานก็มี มัทนิมมัทนัสสะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ ในเมื่อละเสียซึ่งความเมา ก็ย่อมทำพระนิพพานให้แจ้งได้"

เถรี 13-06-2015 18:09

ถาม : เวลาเป็นที จำอะไรไม่ได้เลย ?
ตอบ : อย่าไปกังวลกับเรื่องพวกนั้น เพราะยังมาไม่ถึง หน้าที่ของเราก็คือรักษาสภาพจิตปัจจุบันของเราให้ผ่องใสที่สุด เกาะพระไว้เป็นปกติ หลังจากนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด

ถาม : เวลามา ก็มาสนั่นเลย ?
ตอบ : เรื่องปกติ เวลาเราทำเขา เราก็ทำแบบนั้นแหละ ตอนนี้รับกลับมา ก็ต้องมาอย่างนี้แหละ จะได้รู้ว่ากรรมเป็นของน่ากลัว เกิดเมื่อไรก็เจอแบบนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดแบบนี้จะเอาอีกไหม? ถามตัวเองได้ตลอดเวลาเลย

ถาม : ฉันนี่ไม่เอาเด็ดขาด ชีช้ำกะหล่ำปลี เดี๋ยวคนนี้ตาย คนนี้ตาย ?
ตอบ : เขาเรียกว่าวัยวิกฤต ลูกหลานก็วัยรุ่น คุมไม่อยู่ กำลังแหกคอกระเบิดเถิดเทิง ส่วนคนรุ่นเดียวกันหรือคนแก่ก็ตายเอา ๆ เด็กเขามีวิกฤตวัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็วิกฤตวัยทอง เห็นเขาตายเดี๋ยวเราก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ เราตายแล้วเราจะไม่เกิดแล้วนะ ให้ตั้งใจไว้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็รักษาไปตามแผน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ทำเต็มที่แล้ว ถ้าหากว่าเอาไม่อยู่ ท่านก็ไปของท่านเถอะ เราก็ไปของเรา ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนด้วยซ้ำไป ไปนึกถึงหลวงปู่ทองเทศ อายุ ๘๐ ปีแล้วมาขอบวช ปี ๒๕๒๑ มาขอบวชกับหลวงพ่อวัดท่าซุง เอาเงินถวายหลวงพ่อไว้ ๓,๐๐๐ บาท ยุคนั้นถือว่าเยอะนะ เพราะทองบาทหนึ่ง ๒,๐๐๐ กว่าบาทเอง กราบเรียนหลวงพ่อว่า “ถ้าผมตายช่วยเผาผมด้วยนะครับ” เพราะท่าน ๘๐ แล้ว หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ “ไม่รู้ใครจะเผาใคร” แล้วก็จริง ๆ หลวงพ่อมรณภาพตั้งหลายปี หลวงปู่ทองเทศถึงจะไป ท่านอยู่เสีย ๑๐๓ ปี

ถาม : เมื่อเช้าฝันว่าหลวงปู่บุดดามาที่นี่ ?
ตอบ : มีอยู่วันหนึ่งอาตมากำลังธุดงค์อยู่ หลวงปู่ท่านมาสว่างเชียว แล้วท่านก็บอกว่า "ภาระที่ฝากไว้ช่วยรับด้วยนะ หลวงปู่ไปแล้ว" อาตมาก็อ้าว..แล้วตูจะไปงานอย่างไรวะ ? ยังอยู่กลางป่าอยู่เลย แล้วก็เหมือนกับท่านขอขี่หลัง อาตมาก็แบกท่านเดิน เท่ากับว่าภาระส่วนหนึ่งของท่านอาตมาก็รับไปแล้วกัน

เถรี 13-06-2015 18:10

ถาม : ถ้าจะนึกถึงพญานาค จะเป็นเทวตานุสติหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้านาคที่เป็นลูกน้องของท้าวมหาราชก็เป็นเทวดา แต่ถ้านาคทั่วไปก็เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ไปนึกถึงท่านเดี๋ยวก็ได้ไปเกิดเป็นนาคเท่านั้น

ถาม : ถ้าใจนึกถึงภาพพระ แต่ภาพไม่ใช่องค์เดิมที่นึก ?
ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะนึกถึงพระ ต่อให้ไม่ใช่องค์เดิมก็เป็นอนุสติเหมือนกัน

เถรี 13-06-2015 18:12

ถาม : ทำอย่างไรอวัยวะภายในจึงจะแข็งแรง ?
ตอบ : ต้องสวดมนต์อย่างเดียว เวลาสวดมนต์เป็นการบริหารอวัยวะภายในไปด้วย คนที่อวัยวะภายในแข็งแรงมักจะอายุยืน

เถรี 13-06-2015 18:13

ถาม : เงินที่เราเสียภาษีแต่ละปี ถือว่าเป็นกุศลไหมครับ ?
ตอบ : เป็นการสร้างกุศลทางอ้อม ส่วนใหญ่เราจะไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ เจตนาในการที่เราจะทำประโยชน์นั้นไม่มี ก็เลยไม่มีอานิสงส์ไปด้วย

ถาม : ถ้าผมคิดว่าผมได้บุญ ?
ตอบ : ได้..เพราะอย่างน้อยก็เอามาพัฒนาประเทศเราเอง เราก็ได้อานิสงส์ไปด้วย

ถาม : ส่วนใหญ่เขาจะคิดว่าเสียประโยชน์ ผมเลยมาคิดใหม่ ?
ตอบ : คิดใหม่ เราเต็มใจจะเสียเพื่อช่วยพัฒนาประเทศ ถ้าอย่างนั้นได้บุญแน่ ไหน ๆ จะเสียแล้วก็ต้องเอาคืนบ้าง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว