กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5552)

เถรี 09-04-2017 22:26

พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมที่เอาแต่ถ่ายรูป "ไปอ่านเก็บตกของเดือนนี้ให้ได้นะ ตอนที่บอกว่ากำลังใจมัวแต่จะคิดถ่ายรูปอยู่ ก็เลยไม่มั่นคงอยู่กับบุญ"

เถรี 09-04-2017 22:28

"ส่วนที่อาตมาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ท่านทั้งหลายที่ขาดโทรศัพท์ไม่ได้จนกลายเป็นเสพติดไปแล้ว ถ้าอยากจะเลิกยาเสพติดชนิดนี้ให้ไปบวชที่วัดท่าขนุน เดี๋ยวจะช่วยยึดโทรศัพท์ให้...!

ตอนนี้สามเณรที่วัดรอคอยนับวันนับชั่วโมง เมื่อไรอาจารย์จะกลับไปสึกให้ นัดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้ (วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐) ตอนสองทุ่ม พอบวชมาก็ร้องห่มร้องไห้กัน เกิดมาไม่เคยลำบาก ข้าวปลาอาหารแม่แทบจะป้อนให้ถึงเตียง พอไปบวชกับหลวงพ่อวัดท่าขนุน ต้องเดินตั้งห้ากิโลเมตรกว่าจะได้กิน

มีการประท้วงด้วย พอเห็นเดินไม่รอ ก็แกล้งถ่วงช้าไปเรื่อย...ช้าไปเรื่อย เดินไกลไป ๒๐-๓๐ เมตร แทนที่หลวงพ่อวัดท่าขนุนจะรอ ก็ดันไม่รอ...เดินเร็วขึ้นไปอีก ท้ายสุดเณรก็ต้องวิ่งตาม พอผ่านไปห้าวันก็เห็นเดินทันกันทุกคน

ถึงได้บอกว่ากลับไปคงรักพ่อรักแม่ขึ้นอีกเยอะ แต่ขอโทษเถอะ...แม้แต่ฉี่คงจะไม่หันมาทางวัดท่าขนุนแล้ว ใครจะดัดสันดานลูกหลานเอาไปฝากบวชได้ รับประกันให้ว่าตีทุกคน...!

ตอนที่บวชชุดใหม่ ๆ บวชกันที่หนึ่ง ๗๐-๘๐ รูป ๑๐๐ กว่ารูป พระพี่เลี้ยงติดไม้ไว้คนละสามอัน ถามว่าทำไมถึงต้องติดไม้ไว้คนละสามอัน ? ท่านบอกว่าถ้าตีหักจะได้ไม่ต้องหาใหม่ นี่แสดงว่ารู้จริงว่าอาตมาต้องการอย่างไร ฉะนั้น...ถ้าใครรักลูกรีบส่งไป ถ้าหากไม่รักลูกก็โอ๋กันต่อไป"

เถรี 10-04-2017 18:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทราบว่าพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เนื้อยาจินดามณีนั้น หมดเกลี้ยงไปในวันงานเป่ายันต์ฯ แล้ว ไม่ต้องมาเสาะหากันอีก ตอนนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ถ้าหาอำพันทองได้เมื่อไแล้วค่อยว่ากันใหม่

ที่ขำก็คือมีคนเขากินกันทั้งองค์เลย ดีเหมือนกัน เล่นหั่นแบบหั่นขนมเค้กเลย หั่นพระเป็น ๕ องค์ จริง ๆ ก็ทำมาให้กิน ให้คิดว่าอัญเชิญพระเข้าไปสถิตอยู่ในตัวเรา เมื่อวานอาตมาเอาที่ปั้นเป็นเม็ด ๒ ขวดไปฝากท่านอาจารย์บ๊ะ ยังไม่ทันจะล้วงเลย ท่านแบมือ “รับด้วยความยินดีครับ” พอจับชีพจรให้อาตมาแล้วท่านบอกว่า “ชีพจรดีขึ้นมากเลย” ได้ยาจินดามณีก็ฉันเข้าไป ๓ เม็ด ร่างกายจึงดีขึ้น

ปกติแล้วช่วงก่อนงานเป่ายันต์ฯ หมาที่วัดติดโรคหัดตายไปเยอะมาก เพราะลูกหมายังเล็กอยู่ ตอนช่วงงานเป่ายันต์ฯ ในเมื่อมีพุทธาภิเษกยาจินดามณีเพื่อรักษาโรคด้วย อาตมาจึงขอพระท่านสงเคราะห์หมาไม่ได้เอายาไปให้หมากินนะ แต่ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ขับไล่โรคให้หมาด้วย"

เถรี 10-04-2017 19:03

"ไม่รู้ว่าหลวงพ่อบ๊ะท่านชมหรือท่านด่า ท่านบอกว่าแอบไปดูว่างานเป่ายันต์ฯ คนเยอะไหม ? ปรากฏว่าคนเยอะมาก อาจารย์ก็ตรงเวลาจริง ๆ เลยถึงเวลาปุ๊บก็ลงมือปั๊บเลย

จะไม่ให้ลงมือได้อย่างไร ยังจะมีอะไรสำคัญกว่าเวลาของพระท่านอีกหรือ ? คนไหนที่ไม่เห็นความสำคัญในเวลาของพระ ของพรหม ของเทวดาแล้ว ถ้าท่านไม่สงเคราะห์เราก็เฮง อาศัยกำลังของเราเป่ายันต์จะได้
สักเฟื้องสักสลึงหรือเปล่า ?"

เถรี 10-04-2017 19:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านว่า ห่วงลูกผูกคอ ห่วงสามีภรรยาผูกมือ ห่วงทรัพย์สมบัติผูกเท้า มาจากบาลีที่ว่า ปุตตัง คีเว ธนัง ปาเท ภริยัง หัตเถ อาตมาเองจะบอกว่า อาตมามีลูกหมามากกว่าลูกคน เห็นโยมถวายของมา พอเปิดดูเห็นขนมที่หมาชอบกินก็เลยนึกถึงหมา

ถ้าตายตอนนั้นจะเป็นหมาไหมหนอ ? จะว่ากันจริง ๆ แล้ว กำลังใจเกาะอยู่ในส่วนของทานบารมีกับจาคานุสติ ไม่น่าจะต้องไปเป็นหมานะ แต่ก็ไม่ดีตรงที่ว่าความคิดเร็วมากเลย เผลอหน่อยเดียวก็คิดถึง เออ...ขนมอย่างนี้หมาชอบกิน


ปัจจุบันนี้เข้าตลาดไปทีหนึ่งก็ซื้อพวกเครื่องในไก่ปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นตับ เป็นกึ๋น เป็นหัวใจ ฯลฯ ซื้อชนิดเหมาหมดร้าน เห็นหมาแย่งกันกินก็มีความสุข รู้สึกสบายใจไปด้วย
สัตว์เดรัจฉานมีความทุกข์ที่ต่างจากคนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หากินไม่ได้อย่างใจ คนเราเวลาอยากกินอะไรก็เลือกซื้อได้ หมาอยากกินแต่เลือกไม่ได้
เลยกลายเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของสัตว์เดรัจฉานที่ต่างไปจากคน ถ้าเป็นไปได้ถึงเวลาก็ช่วยสงเคราะห์ให้เขาหน่อย

ไปซื้อข้าวของแต่ละทีก็ไม่กล้าบอก ได้แต่ว่าเอาอย่างนี้ เอาอย่างนั้น จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งหลุดปากออกไป เพราะว่าไปซื้อที่ตลาดนัดตอน ๔ โมงเย็นแล้ว คนขายก็เอาเครื่องในไก่ให้เรียบร้อย ก็ถามว่า “ข้าวเหนียวด้วยไหมครับ ?” อาตมาบอกว่าไม่เอา เขาก็จัดแจงหยิบน้ำจิ้มมา ๗-๘ ถุง จึงหลุดปากไปว่า “หมาไม่กินน้ำจิ้ม” ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เป็นห่วงกำลังใจของโยมว่า บางคนเขาอด ๆ อยาก ๆ ทำงานแทบตายกว่าจะมีเงินมาซื้อข้าวปลาอาหารกิน แต่พระวัดนี้ดันไปซื้อไก่มาเลี้ยงหมา..!"

เถรี 10-04-2017 19:17



พระอาจารย์กล่าวว่า "ควายธนูหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ มีส่วนผสมที่หายากสุด ๆ อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตะไคร่ที่ขึ้นอยู่บนจมูกจระเข้ จึงกลายเป็นของทำยาก ส่วนใหญ่วัวธนู ควายธนู เขาจะปั้นเต็มตัว ของหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อท่านทำแค่ครึ่งซีก ถามว่าทำไม ? เพราะท่านเคยทำเต็มตัวแล้วเฮี้ยนเกินไป ที่ขลังเกินจนต้องลดไปซีกหนึ่งก็มีเหมือนกัน ลองคิดดูว่าจระเข้ที่อยู่นานจนกระทั่งตะไคร่ขึ้นจมูกนี่ต้องตัวใหญ่แค่ไหน ?

อะไรก็ไม่ว่า คนที่จะเอาตะไคร่ที่จมูกจระเข้ ถ้าสะกดไม่อยู่ก็โดนกินไปเลย"

เถรี 10-04-2017 19:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ ๔๕ ไปซื้อหนังสือมา ปรากฏว่าหนังสือเล่มหนึ่งที่ติดตามอยู่ก็คือ ชุดเหยี่ยวมารของหวงอี้ คนเขียนตายไปวันก่อน

ถ้านับแล้วหวงอี้อายุเพิ่งจะ ๖๕ ปี สำหรับคนรุ่นใหม่ก็ไม่ถือว่าแก่มาก ถ้ารุ่นอาตมา ๖๕ นี่บางคนเป็นปู่ทวดแล้ว หวงอี้เขียนหนังสือประเภทตัวเอกย้อนเวลา ต้องบอกว่าเป็นคนแรกของวงการหนังสือนิยายจีน หลังจากนั้นก็มีคนเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอกย้อนเวลาตามมาอีกไม่ถึงร้อยเรื่องก็ใกล้เคียง

ที่หวงอี้เขียนก็คือ เจาะเวลาหาจิ๋นซี ซึ่งแปลโดย คุณน.นพรัตน์ หลังจากนั้นมาที่โด่งดังที่สุดก็คือ ชุดมังกรคู่สู้สิบทิศ ตามมาด้วยจอมคนแผ่นดินเดือด สามเรื่องนี้ถือว่าสร้างชื่อให้โด่งดังสูงสุด หลังจากนั้นเรื่องอื่น ๆ ที่เขียนก่อนเขียนหลังก็ทยอย ๆ กันออกมา

มาถึงเรื่องล่าสุด ก็คือ ชุดไตรภาคของเหยี่ยวมาร ก็มีเหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ เหยี่ยวมารสัประยุทธ์สิบทิศ และเหยี่ยวมารสยบสิบทิศ หวงอี้เป็นคนมีวินัยมาก เขียนเดือนละ ๑ เล่มไม่ขาดไม่เกิน อาจจะเป็นเพราะว่ากรำงานมานาน หนังสือออกถึง ๓ ภาค ก็เลยเส้นโลหิตในสมองแตก ตายไปเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ นี้เอง"

เถรี 10-04-2017 19:40

"เราจะเห็นว่านักเขียนนิยายจีนที่ชื่อเสียงโด่งดังตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ อย่างโกวเล้ง อย่างหวงอี้ โกวเล้งนี่เป็นภาษาแต้จิ๋ว สมัยนั้นนิยมแปลนิยายจีนเป็นภาษาแต้จิ๋วอยู่ ใช้โกวเล้ง ถ้าจีนกลางเรียกว่ากู่หลง ส่วนหวงอี้เป็นภาษาจีนกลาง แบบเดียวกับที่บ้านเรารู้จักกิมย้ง ไปประเทศจีนต้องบอกว่าจินหยงถึงจะรู้จักกัน

ก่อนหน้านี้บ้านเรานิยมแปลนิยายจีนเป็นภาษาแต้จิ๋ว เนื่องจากคนอ่านเป็นแต้จิ๋วเยอะมาก ได้อรรถรสมากกว่า แต่พออยากให้เป็นสากลก็มาทดลองแปลเป็นภาษาจีนกลาง ก็คือ คุณน.นพรัตน์ เป็นคนแรกที่แปลเป็นภาษาจีนกลาง แล้วลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ชุดที่พระเอกเป็นมือปราบชื่อติงหลาน ถ้าหากว่าเป็นภาษาแต้จิ๋วก็คือเต็งลั้ง หลังจากนั้นก็ทยอย ๆ แปลมาเรื่อย ปรากฏว่ามาอยู่ตัวเอาเรื่องเจาะเวลาหาจิ๋นซี เพราะว่าสนุกมาก ฉะนั้น...คุณจะแปลเป็นจีนกลางหรือแต้จิ๋วก็อ่านอยู่แล้ว จึงได้แปลเป็นจีนกลางมาตลอดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หวงอี้เป็นนักเขียนที่มีจินตนาการ และอาตมาเชื่อว่าเขามีของเก่าเกี่ยวกับเรื่องของอภิญญาอยู่ เพราะว่าบรรยายการต่อสู้ของตัวเอกอยู่ในลักษณะเหมือนมีทิพจักขุญาณ หรือว่ามีทิพโสตญาณ สามารถกำหนดรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ที่ซ่อนอยู่หลังประตูมีกี่คน ? แต่ละคนใครใช้กระบวนท่าอะไร ? ใครลงมือก่อนลงมือหลัง ? ตัวเองก็เลยวางแผนในการรับมือได้ทัน"

เถรี 10-04-2017 19:44

"มีอยู่เรื่องหนึ่งก็คือจอมคนแผ่นดินเดือด พระเอกสามารถสื่อจิตกับนางเอกได้ พูดง่าย ๆ ว่า สามารถส่งกระแสจิตไปแจ้งให้นางเอกรู้ได้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ตอนนี้ตามมาช่วยแล้ว

ถ้าคนไม่มีของเก่าจะจินตนาการเรื่องอย่างนี้ไม่ออก เป็นที่น่าเสียดายว่าเหยี่ยวมารภาค ๓ อย่างเก่งก็น่าออกจะไม่เกินเล่มที่ ๑๙ เพราะว่าเขาแปลกันเดือนต่อเดือน

คนเราพอเขียนหนังสือไปแล้วก็ต้องฉีกหนีแนวตัวเอง ถ้าไม่ฉีกหนีแนวตัวเองนาน ๆ ไปคนจะเบื่อ คนที่ทำได้ดีที่สุดก็คือกิมย้งหรือจินหยง ที่เขียนเรื่องมังกรหยกหรือจอมยุทธ์ยิงอินทรี เพราะจากมังกรหยกภาค ๑ มาเป็นภาค ๒ มาเป็นภาค ๓ ก็คือภาคลูกมังกรหยก ภาคแรกมีคัมภีร์เก้าอิม ภาค ๒ เป็นเก้าเอี๊ยง ภาค ๓ สองอย่างรวมกันไม่พอ ยังมีวิชาต่างหากออกมา ก็คิดว่าหมดมุกแล้ว ปรากฏว่ายังมาเขียนแปดเทพอสูรมังกรฟ้า จากแปดเทพอสูรมังกรฟ้าคิดว่าหมดมุกแล้ว ก็ยังมาเป็นผู้กล้าหาญคะนอง ที่ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเดชคัมภีร์เทวดา

เขาก็คิดว่าหมดมุกแล้ว ปรากฏว่ามาเขียนอุ้ยเสี่ยวป้อ ที่พระเอกไม่ค่อยจะมีฝีมือ เอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว กลายเป็นดังระเบิดเถิดเทิงเหมือนกับสูงสุดคืนสู่สามัญ"

เถรี 10-04-2017 19:46

"พอหวงอี้มาฉีกแนวตัวเอง อย่างเขียนเรื่องศึกรักแดนสนธยา การที่พระเอกนางเอกข้ามชาติข้ามภพกันได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่าคนอ่านไม่เข้าใจ พอมาเขียนชุดของเหยี่ยวมารไตรภาค ก็ปรากฏว่าพยายามฉีกแนวด้วยการเขียนนิยายซ้อนนิยาย ก็คือให้ตัวเอกตัวหนึ่งแยกไปทำงานอีกที่หนึ่ง แล้วเขียนบันทึกเอาไว้ ส่งให้ตัวเอกอีกตัวหนึ่งอ่าน ก็เลยมีการตัดสลับไปสลับมาเหมือนกับนิยาย ๒ เรื่องซ้อนกัน แต่เนื่องจากว่าคนอ่านไม่ได้อ่านรวดเดียว ต้องตามเดือนละเล่ม อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้สึกว่าหวงอี้ฝีมือตก

ตอนนี้ไม่ต้องตำหนิอีกแล้ว เพราะว่าท่านเทพทลายนภาไปเรียบร้อยแล้ว อาตมาอ่านเล่มนี้ส่งท้าย ถ้าเล่มหน้ายังมีออกก็ซื้ออีกหนึ่งเล่ม"

เถรี 10-04-2017 19:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์จะมีรอยตัด คือโบราณเวลาพิมพ์แล้วพิมพ์ล้น เขาเอาตอกไม้ไผ่กดลงไปตัดให้พอดี คราวนี้ตอนที่กดลงไปจะมีรอยขีดยาวลงไปด้วย เพราะฉะนั้น...เวลาพวกเซียนเขาดูพระ เขาจะดูจุดที่เด่นที่สุดง่ายที่สุดก่อน ในเมื่อเด่นที่สุด ง่ายที่สุด ถ้าไม่ใช่ก็วางคืนเลย ไม่แลแล้ว

แต่ว่าหลวงปู่สมเด็จวัดระฆังท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านจะแท้จะเทียม ถ้านึกถึงท่านก็มีอานุภาพเท่ากันหมด คุณจะไปกังวลอะไรในเมื่อท่านให้พรเสียขนาดนี้ ไอ้พวกที่พกพระของท่านไว้ แต่ไม่เคยนึกถึงท่านเลยก็เจ๊งเท่านั้น"

เถรี 11-04-2017 15:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราเมืองเราแม้ได้รัฐธรรมนูญมาแล้วก็ยังต้องรอกฎหมายลูก ยังต้องรอระยะเวลาในการเลือกตั้ง ฝ่ายที่อยู่ในอำนาจก็ไม่อยากจะปล่อยมือ เพราะรู้ว่าเลือกตั้งเมื่อไรฝ่ายตัวเองก็แพ้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านึกฉลาดอะไร มาห้ามนั่งรถกระบะ รถกระบะเป็นรถคนจน บางหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านมีรถคันเดียว ไปไหนทั้งหมู่บ้านก็รวมตัวกันไป แบบนั้นไม่นั่งกระบะแล้วจะให้นั่งอะไร ?

ถ้าโยมไม่เคยเห็น อาตมาอธิบายให้ฟังว่า ซื้อของเต็มรถกระบะแล้วยังนั่งไปอีก ๑๙ คน อาตมาเป็นพระไม่มีที่นั่ง ต้องนั่งบนหลังคา..! แต่ดีกว่าเดินเป็นวัน ๆ ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปทิ้งหรอก เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของอุบัติเหตุแล้ว ทุกคนก็พยายามระมัดระวังเต็มที่

อาตมายืนยันว่าคนจนรักชีวิตมากกว่าคนรวย คนรวยไม่พอใจก็ฆ่าตัวตายประชดชีวิต คนจนนะหรือ...ยาก คนจนถ้าจะฆ่าก็ฆ่าคนอื่น..! เพราะฉะนั้น...อะไรก็ตามที่ไปแหย่จุดชีวิตของคนจนนี่ รัฐบาลจะเดือดร้อนเองทีหลัง"

เถรี 11-04-2017 15:30

"ในเมื่อบ้านเรายังเอาดีไม่ได้ การค้าขายการลงทุนต่าง ๆ สลบซบเซา เพราะว่าสภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ออก เหลืออย่างเดียวที่พอจะอยู่ได้ ก็คือในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าภาคใต้ก็วางระเบิดบ้าง เผาเสาไฟบ้างให้ยุ่งไปหมด แล้วนักท่องเที่ยวที่ไหนจะมา ?

ไม่รีบคืนประชาธิปไตยให้ โอกาสที่บ้านเมืองจะไปได้นี่ยาก รีบคืนประชาธิปไตยให้คนทำก็กลัวเสียของ ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อทำมาก็อยากจะรู้ว่ามีฝีมือแค่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในลักษณะของคนดูมวย อยู่ข้างเวทีนี่เก่งทุกอย่าง พอขึ้นเวทีเองก็โดนถลุงน่วมเหมือนกัน

ในเรื่องนี้ก็รักษาตัวกันเอาเอง ใครมีวัตถุมงคลอะไรที่ตัวเองมั่นใจให้อาราธนาติดตัวไว้ สวดมนต์ภาวนาเช้าเย็นไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนจะได้ปลอดภัย ถึงแม้ว่าคนจนเราราคาชีวิตในสายตาคนรวยจะมีน้อย เราก็รักชีวิตของเรา เพราะว่าทุกชีวิตเกิดมามีโอกาสบรรลุมรรคผล ถ้าหากว่าตายเสียก่อนที่จะได้มรรคได้ผล ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เนื่องจากว่าการเกิดใหม่ไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ ?

ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้ตัวเราและคนที่เรารัก อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ส่วนที่เหลือถ้าไม่ใช่ผู้มีอันจะกิน ก็มีอันกินอันไปก่อนแล้วกัน"

เถรี 11-04-2017 15:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์ฯ อาตมานั่งรับสังฆทานได้ ๑.๕ ล้านบาท เจองานฝ้าดาวเพดาน สาหร่ายรวงผึ้งและกำแพงแก้วเข้าไป ๒ ล้านกว่าบาท เจองานงวดหุ้มทองพระเจดีย์ไป ๑.๔ ล้านกว่าบาท เจองานมณฑปของช่างประเกิดไปอีก ๙.๖ แสนบาท เจริญมากเลย สรุปว่ารับสังฆทานรับมาล้านกว่า จ่ายไปเกือบ ๕ ล้านบาท แล้วอาตมาก็จ่ายอย่างนี้ทุกเดือน ไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาจ่ายเหมือนกัน"

เถรี 11-04-2017 15:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ฝนฟ้าก็ไม่ปกติ การเดินทางก็ไม่ปกติ พระครูหน่อยท่านบอกว่ามาช้าเพราะว่าต้องรอรถตู้ เนื่องจากว่าบังคับคาดเข็มขัดทุกที่นั่งไม่พอ ยังบังคับด้วยว่าแต่ละคันห้ามเกินกี่คน รถยิ่งมีน้อย ๆ อยู่ด้วย

ปกติรถตู้นี่นั่งเต็มที่ได้ ๑๓ ที่นั่ง...ใช่ไหม ? ตอนอาตมาเป็นฆราวาสเคยนั่ง ๒๐ ที่นั่ง แม้กระทั่งฝาท้ายยังยัดเข้าไป ๔ คน นั่งแล้วก็เอาเท้าสลับกันเป็นฟันปลา เพราะว่าช่วงตรุษจีนหารถไม่ได้ ก็ยัดกันไปอย่างนั้นแหละ พูดง่าย ๆ ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่มีใครรังเกียจหรอก เพราะต่างคนต่างก็อยากไป สมัยนี้รัฐบาลบังคับเพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของคน โดยไม่ได้ดูความเดือดร้อนของคนบ้าง

ต้องบอกว่าในหลวง ร.๙ ของเราเป็นเซียนที่สำเร็จหลักธรรมแบบเต๋าอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านนับถือศาสนาพุทธนี่แหละ เพราะว่าเรื่องของการบรรลุธรรม ถ้าเข้าถึงแล้วก็เหมือนกันหมด หลักธรรมแบบเต๋าท่านบอกว่า “ปกครองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกับทอดปลาในกระทะเล็ก” ต้องระมัดระวังทำอย่างไรจะออกมาให้สุกพอดิบพอดีโดยที่ปลาไม่ไหม้เสียก่อน

สังเกตไหมว่าในหลวง ร.๙ ของเราทำอะไรพอเหมาะพอดีพอควรไปหมด แม้กระทั่งบ้านเมืองที่เดือดร้อนวุ่นวาย พระองค์ท่านจะปรากฏพระองค์มาในเวลาที่พอดีที่สุด แล้วก็ห้ามทัพทุกอย่างให้หยุดลงได้ แต่ถ้าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม พระองค์ท่านจะไม่ขยับเลย ตลอดระยะเวลาครองราชย์ ๗๐ ปี เรื่องใหญ่เรื่องเล็กแค่ไหน พระองค์ท่านจัดการได้พอเหมาะพอดีหมด นั่นก็คือการทอดปลาด้วยความระมัดระวัง ไม่ดิบแล้วก็ไม่ไหม้ ออกมาพอเหมาะพอดีที่สุด ปัจจุบันนี้ ม. ๔๔ ทำเอาปลาไหม้เป็นถ่านเลย...!"

เถรี 11-04-2017 20:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรพบุรุษของเราตั้งกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เพราะว่าฟ้าฝนบริบูรณ์ แม้กระทั่งสนามหลวงสมัยก่อนก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนาเหมือนกัน สมัยนี้เปลี่ยนจากการทำนาทำสวนมาเป็นปลูกตึก แต่ฝนฟ้ายังบริบูรณ์เหมือนเดิม น้ำก็เลยท่วม คนสมัยใหม่ไม่ค่อยได้ดูทิศดูทาง ต่อไปถ้าใครจะอยู่ในกรุงเทพฯ ให้เตรียมแพเตรียมเรือไว้เลย

สมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่น อายุ ๑๐ กว่าขวบ บ้านยายที่สามแยกไฟฉาย
ยาวตลอดไปถึงบ้านน้าที่ตลาดพลู มีแต่ท้องร่องเรือกสวนไร่นา ส่วนใหญ่เป็นสวนหมาก สวนพลู สวนทุเรียน สวนมังคุด บางแห่งก็มีสวนลิ้นจี่ พอมาพัฒนาบ้านเมืองเจริญขึ้น สวนก็หายหมด เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาที่หากินกับท้องร่องสวนก็เลยหากินไม่ได้

ปกติเวลาไปบ้านยาย อาตมามีอาชีพถือปืนไล่ยิงลูกฟักข้าว เพราะฟักข้าวขึ้นอยู่ตามต้นไม้ในสวน เวลาสุกก็สีเหลืองส้มบ้าง สีแดงบ้าง เป็นเป้าสะดุดตา เอาไว้ซ้อมมือ ถ้าวันไหนขี้เกียจก็เปิดหน้าต่างออกไป แล้วก็ยิงเอา ปรากฏว่าเป็นทหาร ๑ ปี กลับไปเยี่ยมยาย ถือปืนเปิดหน้าต่างออกไปกลายเป็นตึกแถว ...(หัวเราะ)...."

เถรี 11-04-2017 20:49

"สมัยนั้นถนนตลิ่งชัน-พุทธมณฑลเพิ่งจะเริ่มตัด ผ่าไปกลางสวนไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยขนัด กว่าจะไปถึงนครชัยศรี

ตอนนั้นจะเดินทางไปนครปฐมต้องปัสสาวะเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะออกจากบางขุนนนท์ไปแล้วไม่มีปั๊มน้ำมันเลย เนื่องจากถนนเพิ่งจะตัดใหม่ บ้านก็เป็นเรือกสวนไร่นา ไม่มีตึกแถว กว่าจะมีปั๊มน้ำมันให้แวะเข้าห้องน้ำได้ก็ต้องไปถึงนครชัยศรี สมัยนี้กรุงเทพฯ ธนบุรี นครปฐม ติดกันเป็นจังหวัดเดียวหมด แยกกันไม่ออกว่าตรงไหนเป็นตรงไหน

ช่วงนั้นถ้าวิ่งสายเก่าเพชรเกษมจะตรงเข้ามาทางบางไผ่ บางแค แล้วก็มาเลี้ยวที่สามแยกท่าพระ ถึงจะตรงมาทางด้านสามแยกไฟฉาย ถ้ายังไม่ถึงบางแคนี่ อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอบ้านเรือนผู้คน เพราะส่วนใหญ่ที่วิ่งผ่านก็คือท้องนา มีบ้านไกล ๆ หลังหนึ่ง วัดท่าตำหนักก็ดี วัดบางแก้วก็ดี วัดเทียนดัดก็ดี อยู่กลางนาทั้งนั้น"

เถรี 11-04-2017 22:28

"อาตมาได้เห็นบ้านเมืองโตเร็วจนเกินไป โตเร็วจนแม้กระทั่งกาญจนบุรีที่อาตมาอยู่ ปี ๒๕๒๑ ถ้าไปกาญจนบุรีจะขึ้นไปศรีสวัสดิ์หรือไทรโยค จะต้องผ่านค่าย ตชด.พระพุทธยอดฟ้า ก็เป็นทางลูกรัง มีไม้ไผ่ทาสีขาวแดงขวางถนนเป็นด่านตรวจอยู่ ปัจจุบันค่ายพระพุทธยอดฟ้าอยู่กลางเมือง..! ขยายออกไปไม่ได้ ก็เลยต้องไปสร้างค่าย ตชด.ใหม่ที่บ้านหนองขาว

ก่อนหน้านั้นทางนนทบุรีของเรามีชื่อเสียงทางทุเรียน แม้กระทั่งปัจจุบันทุเรียนที่ได้รับความเชื่อถือและราคาแพงมากก็ยังเป็นทุเรียนนนทบุรีอยู่ แต่เหลือสวนทุเรียนอยู่แค่ไม่กี่ขนัด คนปลูกตายหมดแล้ว มีแต่ลูกหลานเสวยสุข สมัยคุณย่าคุณยายปลูกทุเรียนนี่ขอกันกิน สมัยนี้ได้ยินว่าลูกละห้าพันบาท..!

เรื่องผลไม้มีชื่อสำคัญตรงพื้นดิน ถ้าพื้นดินมีแร่ธาตุเหมาะกับผลไม้ชนิดนั้น ๆ รสจะดีเป็นพิเศษ อย่างสมัยก่อนกรุงเทพฯ ก็มีลิ้นจี่ที่ตรอกจันทร์ สมัยนี้ใครจะไปเชื่อว่าตรอกจันทร์เคยเป็นสวนลิ้นจี่ เดี๋ยวนี้จะกินลิ้นจี่ต้องขึ้นไปเชียงรายเชียงใหม่ จะกินส้มก็ต้องไปเชียงใหม่เหมือนกัน หรือถ้าจะเอาอย่างใกล้ ๆ ก็แถวนครนายก ถ้าไม่รีบเก็บก็แล้วไป ถ้ารีบเก็บรสชาติก็ไม่เอาไหนเหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้สับปะรดศรีราชามีชื่อเสียงมาก เดี๋ยวนี้สับปะรดต้องไปทางหนองหอย เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ แตงโมรังสิต ตอนนี้แตงโมมีทั่วประเทศไทย บริษัทเจียไต๋นำไปเอง ตอนนี้รังสิตไม่มีแตงโมแล้ว วิ่งผ่านไปเหลือแต่หนูย่าง บางที่ก็มีวงเล็บ (มีงูเห่าด้วย) ตั้งเพิงขายกันข้างทาง"

เถรี 11-04-2017 22:32

"ทุเรียนเมืองนนท์ไปดังที่จันทบุรี เปลี่ยนจากหมอนทอง ก้านยาว ชะนี ไปเน้นที่หมอนทองเพราะฝรั่งชอบ เนื้อเยอะ พัฒนาไปจนเป็นพวงมณี ปัจจุบันไปดังทางอุตรดิตถ์ พันธุ์หลงลับแล อร่อยขนาดไหนถ้าแพงอย่างนั้นก็อย่าไปกินเลย"

เถรี 11-04-2017 22:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมมาทางบ้านหมี่ ลพบุรี ถามว่ารู้จักคุณวีรวิทย์ไหม เขาบอกว่าไม่รู้จัก

ลพบุรีเป็นเมืองสำคัญแต่โบราณ อาณาจักรละโว้คือลพบุรี อาณาจักรละโว้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดทางล้านนาซึ่งสมัยนั้นถือว่ายิ่งใหญ่ทางภาคเหนือ ต้องขอตัวพระราชธิดาจากละโว้ คือ เจ้าหญิงจามเทวี ขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย

เราลองนึกว่าในบันทึกโบราณ โดยเฉพาะของจีนเขาเข้าถึงอาณาจักรละโว้ได้โดยทางทะเล เราจะนึกออกไหมว่าลพบุรีเคยอยู่ใกล้ทะเลมาก่อน ? ในสมัยพระโสณเถระกับพระอุตรเถระ ประมาณ พ.ศ. ๓๒๕ เอาพระไตรปิฎกจากกรุงปาฏลีบุตร หรือประเทศอินเดียในสมัยนั้นมาสุวรรณภูมิ มาขึ้นจากเรือที่นครปฐม พอขึ้นจากเรือที่นครปฐมก็เลยสร้างพระปฐมเจดีย์ไว้เป็นหลักฐาน ปัจจุบันนี้ทะเลอยู่ตรงไหน ? ยืดยาวไปถึงชะอำเพชรบุรีแล้ว แผ่นดินคงงอกขึ้นมาหรือไม่ก็ทะเลตื้น"

เถรี 12-04-2017 09:05

"อาณาจักรอู่ทองมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในสมัยนั้น คนทางอินเดียต้องมาค้าขายที่อู่ทอง อู่ทองอยู่ริมทะเล หรือถ้าจะเอาให้ไกลกว่านั้นไปอีก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าว่า ตอนท่านตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ภูกระดึงยังเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางทะเล นานจนลืมไปเลย..!

ฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมภูเขาบางแห่งอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีทะเลเลย อย่างเทือกเขาหิมาลัย ทำไมเขาเจอเปลือกหอยทะเลอยู่บนภูเขา เพราะว่าเคยเป็นทะเลมาก่อน

ถ้าใครอ่าน The Third Eye ของท่านลามะ Lobsang Rampa ท่านระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดที่ทิเบต แต่ทิเบตอยู่ริมทะเล ตอนนี้จากทิเบตลงมาเจอเนปาล ปากีสถาน อินเดีย กว่าจะลงไปถึงทะเลก็ไกล ท่านบอกว่าในสมัยที่ท่านเกิดนั้น ผู้หญิงตัวสูงสามเมตร ส่วนผู้ชายสูงกว่านั้น..!

โบราณท่านบอกว่า คนต้นกัปร่างกายจะสูงใหญ่มาก อย่างพระศรีอริยเมตไตรยสูง ๘๘ ศอก ลองมานึกถึงเส้นกราฟวิวัฒนาการที่โค้งขึ้นโค้งลงดู ช่วงที่ขึ้นสุดลงสุดช่วงนั้น ถ้าใครอยู่จุดสูงสุดก็สูง ๘๘ ศอก ถ้าใครอยู่จุดต่ำก็ต้องไปสอยมะเขือกิน แต่ถ้าไปสอยมะเขือกินนี่น่าจะตัวเล็กกว่าตุ๊กตาอีกนะ ต้นมะเขือไม่ได้ต้นใหญ่เลยนี่"

เถรี 12-04-2017 15:27

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมายังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี พอปิดเทอมทางวัดกลายเป็นโรงเลี้ยงเด็กเลย มีแต่พ่อแม่เอาเด็กไปทิ้งไว้ที่นั่น เด็ก ๆ ก็สนุกสนานเฮฮา ทำนั่นทำนี่จนเบื่อก็โดดเล่นน้ำกัน พออาตมาออกมาอยู่ท่าขนุนนี่เด็ก ๆ เล่นน้ำไม่ได้ เพราะว่าแม่น้ำแควน้อยตรงหลังวัดท่าขนุนต้องมีคนตายทุกปี แล้วคนตายมักจะเป็นคนต่างถิ่น เพราะว่าคนต่างถิ่นจะไม่รู้ว่ามีอาถรรพ์

เมื่อวันที่ ๒ เมษายน หลังงานเป่ายันต์ฯ มีนักท่องเที่ยวลงไปเล่นน้ำและจมหายไป กว่าจะหาศพพบก็วันที่ ๔ ฉะนั้น...ใครเอาลูกหลานไปฝากไว้ที่วัดท่าขนุนให้ทำประกันชีวิตไว้ด้วย เผื่อดื้อลงไปเล่นน้ำ แต่แปลกนะที่เขาเอาแต่คน หมาวัดลงไปเล่นน้ำ ๒๐-๓๐ ตัว ไม่เห็นจะเป็นอะไร

หมาที่อาตมาเลี้ยงไว้คือคุณนายลีลาจัง หน้าหนาวคุณนายเธอจะมีขนหนาวขึ้นมาชั้นหนึ่งไว้ป้องกันความหนาว หน้าหนาวนี่ต้องไปเล่นน้ำทุกวัน ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ขึ้นมาก็เปียกมะล่อกมะแล่ก ถ้าวันไหนเจ้านายไม่ว่างหวีผมหวีขนให้ก็จะมอมแมม แต่ถ้าถือหวีขึ้นมานี่จะวิ่งรี่เข้ามาหา มาให้หวีก่อน"

เถรี 12-04-2017 16:01

ถาม : ในพระไตรปิฎกบอกว่าสมัยนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว ?
ตอบ : พระไตรปิฎกบอกไว้ชัดเลยหรือ ? อยากรู้ว่าเล่มไหน ? อาตมาอ่านมาหมดแล้วยังไม่เคยเจอเลย

ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวไว้ ในมหาปรินิพพานสูตรพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ถ้าตราบใดที่พระธรรมวินัยยังสมบูรณ์อยู่ ตราบนั้นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังคงมี ก็แปลว่าพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ยังมีอยู่เป็นปกติ

ถ้าเรื่องในพระไตรปิฎกถามได้ อาตมาจะบอกได้ว่าอยู่ในพระสูตรไหน ตอนไหน แต่เรื่องที่ว่า
ในปัจจุบันไม่มีพระอรหันต์แล้วนี่ยังไม่เคยอ่านเจอ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ที่เราได้อ่านคือข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งคนจะโพสต์ไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็ไม่มีที่มาที่ไป จินตนาการเองล้วน ๆ ก็มี บางทีก็อ้างอิงต่อกันมาเรื่อย ๆ จากบางคนที่คิดว่าคาดว่าจะเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น...อยากเจอของจริง หยิบพระไตรปิฎกมาอ่าน จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ที่วัดท่าขนุนมีพระไตรปิฎกหลายสิบชุด แต่ใช้งานกันเปื่อยแล้ว เพราะว่าพระท่านเรียนกันมาก ยิ่งเรียนกันมากเท่าไรก็ยิ่ง
ต้องอิงอ้างพระไตรปิฎกมากขึ้นเท่านั้น

เถรี 12-04-2017 16:02

โดยเฉพาะถ้าอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรต้องไปถามพระอาจารย์ทรงพล ไม่รู้จักพระอาจารย์ทรงพลให้ไปถามว่าพระอาจารย์แบงค์คือใคร ท่านอยู่วัดท่าขนุน เพราะว่าท่านเรียนปริญญาโทแล้วท่านทำวิทยานิพนธ์เรื่อง วิเคราะห์คำสอนของพระพุทธเจ้า

พอพระอาจารย์แบงค์มาบอกว่าได้วิทยานิพนธ์หัวข้อนี้ อาตมาสะดุ้งเฮือก ถามว่าใครใช้ให้คุณทำหัวข้อนี้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เชียวนะ ท้ายสุดก็เลยบอกท่านให้พยายามสรุปลงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือไม่ก็เป็นพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม จะได้รวบเป็นหัวข้อหลัก ๆ ได้ ขนาดนั้นพระอาจารย์แบงค์ยังใช้เวลา ๖ ปีกว่าจะจบ ถ้าอาตมาไม่ขอร้องทางมหาวิทยาลัยไว้ ก็สิ้นสภาพนักศึกษาไปนานแล้ว

ตอนนี้พระอาจารย์แบงค์จบแล้ว ได้ลายเซ็นอาจารย์ที่ปรึกษาครบถ้วนเมื่อไม่กี่วันนี้เอง พระอาจารย์แบงค์เรียนปริญญาโทหลังอาตมาประมาณหนึ่งปี อาตมาจบปริญญาเอกมาสองปีขึ้นปีที่สามแล้ว พระอาจารย์แบงค์เพิ่งจะจบปริญญาโท สรุปว่าท่านเรียนได้ลึกซึ้งกว่าแน่นอน เพราะว่าเรียนอยู่ตั้ง ๖ ปี..!

เถรี 12-04-2017 16:08

พระวัดอื่นไม่ค่อยอ่านพระไตรปิฎก ส่วนใหญ่เห็นพระไตรปิฎกเป็นของศักดิ์สิทธิ์ใส่ตู้ไว้บูชา แต่พระวัดท่าขนุนเท่ากับโดนบังคับ เพราะว่าการเรียนทุกวิชาต้องพึ่งพาพระไตรปิฎก ทำรายงานทุกอย่างต้องอ้างอิงพระไตรปิฎก ก็เลยต้องอ่านกันแหลกราญไปหมด

ไม่ต้องหาเพิ่มให้นะ อาตมายังมีเล่มใหม่ ๆ ชนิดยังไม่ได้แกะกล่องอีกสองชุด มีทุกรุ่น ทั้งของมหามกุฏฯ ของมหาจุฬาฯ ฉบับประชาชน ฉบับแก่นธรรม ฯลฯ มีหมด

เถรี 12-04-2017 19:43

ถาม : ช่วงหลังจะมีความรู้สึกไม่แน่ใจว่า....(ไม่ชัด).... ไปกราบพระวิปัสสนา ....(ไม่ชัด).... ขอความเมตตาพระอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : ท่านแนะนำก็ต้องถามท่าน ไม่ใช่ท่านแนะนำแล้วมาถามอาตมา ถ้าเป็นอาตมาก็จะแนะนำให้รีบวิ่งเข้าหาวิปัสสนาให้เร็วที่สุด ดูทุกอย่างให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา จนสภาพจิตเบื่อหน่าย ไม่ต้องการร่างกายนี้อีก แล้วก็เกาะพระนิพพานไว้

ทวนบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ ย้ำทุกวันทุกเวลา มองอะไรก็ให้เห็นแบบนั้น นั่นเด็กเล็ก นี่วัยรุ่น นี่แก่แล้ว เดี๋ยวก็ตาย เห็นว่าไม่เที่ยงเป็นปกติ เรานั่งอยู่สักพักก็ต้องขยับ เมื่อยอีกแล้ว เดี๋ยวหิวก็ต้องไปกิน เดี๋ยวกระหายต้องไปดื่ม ปวดอุจจาระปัสสาวะต้องเข้าห้องน้ำห้องส้วม มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เสื่อมสลายตายพังไปทั้ง ๆ ที่เราไม่อยากจะตาย สภาพเช่นนี้เราเกิดใหม่เมื่อไรก็พบกับร่างกายเช่นนี้

ฉะนั้น...ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีก ตอกย้ำแบบนี้ทุกวัน เดี๋ยวพอชินก็จะเป็นของเราเอง

เถรี 12-04-2017 20:05

ถาม : นี่ค่ะ...พระสูตรที่ระบุว่าไม่มีพระอรหันต์แล้ว ?
ตอบ : คำว่าพันปีแรกอยู่ด้วยอำนาจพระขีณาสพ ที่ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น แปลว่าหนึ่งพันปีแรกจะเต็มไปด้วยพระอรหันต์ที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ มีคุณวิเศษครบถ้วนทุกประการ แต่เมื่อจักตั้งยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่ด้วยอำนาจของพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ ก็คือ ถ้าระยะเวลานานกว่านั้นก็จะเป็นของพระอรหันต์ที่เป็นสุกขวิปัสสโก ก็คือ เป็นผู้ที่หมดกิเลสอย่างเดียว ไม่มีคุณวิเศษอื่น

จักตั้งสิ้นอยู่ด้วยพันปีแห่งอำนาจพระอนาคามี คือ พันปีต่อไปก็จะมากด้วยพระอนาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปีด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี ก็คือ จะมากด้วยพระสกทาคามี จักตั้งอยู่ด้วยอำนาจของพระโสดาบัน ก็แปลว่า ในพันปีสุดท้ายจะมากด้วยพระโสดาบัน

คำว่ามากไม่ได้แปลว่าทั้งหมด แปลว่าอย่างอื่นก็มี แต่มีอย่างนี้มากที่สุด ก็เหมือนอย่างกับว่า ถ้าพันปีแรกจะอยู่ด้วยอำนาจของพรรคชาติไทย ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทย หรือพรรคภูมิใจไทยจะไม่มี แต่ว่าพรรคชาติไทยเป็นเสียงข้างมาก พันปีต่อมาตั้งด้วยอำนาจของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้แปลว่าชาติไทยไม่มี หรือพรรคภูมิใจไทยไม่มี หรือคสช.ไม่มี มีอยู่...แต่เป็นส่วนน้อย เฮ้อ...เขาเรียกว่าอ่านพระไตรปิฎกไม่เข้าใจ ต้องแปลเป็นไทยอีก

เถรี 12-04-2017 20:25

ถาม : .....(ไม่ชัด)....หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าเสียงส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น เสียงส่วนน้อยก็ทำหน้าที่นั้นไป แต่ท่านน้อยกว่า

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเขาถือว่าอยู่ด้วยเสียงส่วนใหญ่ คำว่า "ตั้งอยู่ด้วย" เป็นภาษาโบราณ หมายถึงฝ่ายนั้นมากที่สุด

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : เป็น...ถ้าสมมติท่านมี ๑ องค์ แล้วอีก ๑๐๐ เป็นพระอนาคามี เสียงส่วนใหญ่อยู่กับใคร ? ก็ต้องอยู่กับพรรคเพื่อไทย

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : แปลว่าของพระปฏิสัมภิทาญาณมีมากที่สุด ท่านถึงบอกว่าตั้งอยู่ด้วยพระปฏิสัมภิทาญาณ ก็คือ พระอรหันต์ที่ประกอบไปด้วยฤทธิ์

เถรี 12-04-2017 20:28

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นประเภทไหน ?
ตอบ : ทำถึงจะรู้เอง ท่านบอกว่า ญาณัง เครื่องรู้เกิดขึ้น

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : เป็นเมื่อไรแล้วจะรู้ ถ้าเราจบปริญญาเราจะรู้ว่าคนจบปริญญาเป็นอย่างไร แต่เราเรียนอยู่ เราจะไม่มีวันรู้ว่าคนจบปริญญาเป็นอย่างไร

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : ขอให้ได้เป็นพระโสดาบันเถอะ ชีวิตนี้เกิดมาก็สุดที่จะคุ้มแล้ว ทนทุกข์ยากสัก ๑๐๐ ปี สัก ๑๒๐ ปี ถ้าได้เป็นพระโสดาบันก็เหลือที่จะคุ้มแล้ว เพราะว่าสามารถปิดอบายภูมิทั้งหมด โอกาสที่จะลงต่ำไม่มี มีแต่เจริญขึ้น เพราะว่าพระโสดาบันขึ้นไป เขาเรียกว่าพระอริยะ แปลว่า ผู้เจริญโดยส่วนเดียว

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : อ้างได้ ต้องเข้าใจความหมายด้วย ถ้าเราเชื่อมั่นในพระไตรปิฎก ให้ไปดูในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหลักธรรมของพระองค์ยังสมบูรณ์พร้อม สมณะทั้ง ๔ จะมี ก็แปลว่าทุกประเภทมีหมด เพียงแต่ว่าประเภทไหนจะมากที่สุด ก็คือตั้งอยู่ด้วยอำนาจของประเภทนั้น

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเป็นเองถึงจะรู้ ของพวกนี้เป็นปัจจัตตัง กินข้าวเองแล้วถามคนอื่นได้ไหมว่าเราอิ่มหรือเปล่า ? เราต้องรู้เอง รีบไปทำ...อาตมาขอยืนยันว่ามรรคผลเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดด้วยกาลสมัย ใครตั้งใจทำจริงมีโอกาสได้ทุกคน

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกับข้าว อยู่ตรงหน้าก็ตักใส่ปากเลย อย่ามัวแต่ไปนั่งเขี่ยดูว่า ผัดกะเพราจานนี้มีข้าวกี่เม็ด มีหมูกี่ชิ้น มีพริกเท่าไร มีกะเพราเท่าไร ถ้ามัวแต่ไปหาอย่างนั้นจะไม่ได้กินเสียที ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างเดียวก็จบเลย
ศีล สมาธิ ปัญญา รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิทุกวัน ถ้าสภาพจิตสงบถึงระดับ ปัญญาจะเกิดเอง เริ่มจากศีล ถ้าเรารักษาศีลได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สภาพจิตของเราระมัดระวังไม่ให้ศีลขาด สมาธิของเราจะเกิดเองโดยอัตโนมัติ ถ้ารักษาศีลได้ทรงตัว เท่ากับเราได้สมาธิไปเกินครึ่งแล้ว


เถรี 12-04-2017 20:40

ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : สรรพสัตว์รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน การรักษาศีลก็คือการที่ไม่ให้เราเบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าสำนึกได้ว่าคนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา ถือว่าเราเข้าถึงสภาพธรรมบ้างไหม ? ก็เข้าถึง แต่ก็เป็นสภาวะเบื้องต้นของศีล

หลังจากนั้นพอสมาธิเพิ่มขึ้น ความสงบของจิตมีมาก ปัญญาเกิดก็จะมีจิตพิจารณาเห็นว่า สรรพสิ่งมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายเป็นปกติ ถ้าสภาพจิตยอมรับ กำลังของสมาธิกับศีลเพียงพอ ก็จะเกิดปัญญาที่ตัดขาด ทำให้เข้าถึงได้ตามวาสนาบารมีของตนเอง

ไปรีบทำ อย่ามัวแต่ถามอยู่ มัวแต่ถามอยู่จะไม่ได้กินอะไรเสียที

ถาม : ศึกษาค่ะ ?
ตอบ : ศึกษาก็คือศึกษาด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษาแบบมัวแต่อ่านตำราแล้วสงสัย แบบนั้นจะไม่ได้อะไร สิกขา ที่แปลว่า ศึกษา ไตรสิกขา ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้อง ศึกษาด้วยการทำ

เถรี 12-04-2017 21:22

ถาม : คนที่เป็นพุทธภูมิแล้วลาไปพระนิพพาน จะมีโอกาสเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ได้เร็วไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่คนทำ บุคคลที่ลาพุทธภูมิปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า จะลำบากกว่าสาวกภูมิหลายเท่า เป็นเพราะสันดานเดิมของตัวเอง ถ้ารู้อะไรไม่ละเอียดจะไม่ปล่อยผ่านง่าย ๆ เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นสาวกภูมิเดินขึ้นมาบนนี้ยังไม่ได้นับเสียด้วยซ้ำว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่พุทธภูมิต้องไปพินิจพิจารณาว่ากว้างเท่าไร ยาวเท่าไร สร้างด้วยวัสดุชนิดไหน มีวิธีการก่อสร้างอย่างไร ออกแบบอย่างไร เป็นอย่างนี้แล้วช้ากว่ากันเท่าไร ?

ถาม : แล้วจะมีวิธีไหนที่จะเร่งรัดให้ไปได้เร็วขึ้นคะ ?
ตอบ : ทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น คนอื่นเขาอาจจะทำเช้า ๑ ชั่วโมงเย็น ๑ ชั่วโมง เราอาจจะต้องทำวันละ ๒๕ ชั่วโมง...!

เถรี 12-04-2017 21:43

ถาม : มีวิธีในการตัด "ตัวกูของกู" แบบง่าย ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี...ถ้าง่ายก็ไปพระนิพพานกันหมดแล้วสิ เพียงแต่ว่าไม่ยากเกินความสามารถ สำคัญที่สุดคือต้องมีสติรู้เท่าทัน เมื่อมีสติรู้เท่าทัน ต้องมีสมาธิหักห้ามตนเองเอาไว้ให้ได้ ก็คือไม่ให้ตัวกูของกูโผล่ขึ้นมา ท้ายสุดก็พินิจพิจารณาว่า ตัวเราก็ตาย ตัวเขาก็ตาย มีใครดีกว่ากันเสียที่ไหน เมื่อปัญญาเกิด ปล่อยวางได้ ตัวกูของกูก็หมดไป ไม่ต้องไปหาทางลัด มีแต่ทางตรงเท่านั้น ทางไหนลัด ทางนั้นไกลกว่า

ถาม : ถ้าเราพินิจพิจารณาว่า เขาก็ตาย เราก็ตาย เขาก็ลำบาก เราก็ลำบาก เราเลยเลือกที่จะเพิกใส่เขาตลอด เดินผ่าน ๆ กันไป ?
ตอบ : นั่นวางใส่กบาลเขา..! ไม่ได้วางด้วยปัญญา ประเภทกูวางได้แล้ว กูไม่สนแล้ว ที่ไหนได้...ไปวางใส่หัวเขา ไม่ได้วางด้วยปัญญา แต่วางด้วยทิฏฐิมานะ...!

สมัยนี้วางประเภทนั้นเยอะ คิดว่ากูวางได้แล้ว แต่ทำไมกูเจอหน้ามัน กูไม่สบายใจทุกที ลืมไปว่า...ถ้ากูวางได้ เมื่อเจอหน้าต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ทำดีกับเขาได้สิ ไม่ใช่กูวางได้ เจอหน้าทีไรแล้วกูหงุดหงิด ไปเถอะ...ถ้าวางมากไม่ได้ ก็วางใส่หัวมันไปก่อน อย่างน้อย ๆ ก็วางได้หน่อยหนึ่ง

คนเรานี่แปลกมาก ฟังอาตมาดี ๆ นะ ความสามารถในการบรรลุมรรคผลสูงมากเลย แต่ไม่เคยใช้ได้ถูก ถามว่าทำไม ? สมมติเราโกรธคนนี้ พอเขามาคุยด้วย ฮึ...กูโกรธมัน กูต้องไม่พูดกับมัน สติโคตรดีเลย รู้ว่ากูโกรธมัน ในเมื่อสติมึงดีขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้ในทางที่ถูก ? เฮ้อ...ฟังแล้วเซ็ง ไปคลำหาเอาเองก็แล้วกัน

เป็นอย่างไร รู้ตัวไหม ? กูโกรธมัน ในเมื่อกูโกรธมัน กูจะไม่พูดกับมัน ไม่ว่ามันจะขยับมามุมไหน เมื่อไร เวลาใด กูมีสติรู้อยู่ว่ากูโกรธมัน แล้วเมื่อไรจะมีสติว่ากูควรที่จะปล่อยวาง...! อาตมาดู ๆ บางทีก็เบื่อฉิบหา...! ลูกศิษย์กูเป็นแบบนี้ร้อยละ ๙๙.๙๙...!

เถรี 12-04-2017 21:48

ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : เรื่องปกติ ยิ่งปฏิบัติไป สภาพจิตละเอียดก็ยิ่งเห็นชัด ความจริงกิเลสอยู่กับเราตลอดเวลา แต่ก่อนหน้านี้ปัญญาน้อยไปหน่อยเลยมองไม่เห็น ตอนนี้แสดงว่ามีความก้าวหน้าขึ้น แค่ระมัดระวังอย่าให้ออกมาทางวาจา อย่าให้ออกมาทางกาย

คิดชั่วได้ ถ้าเราไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว เราก็ชนะไป ๒ ใน ๓
ถ้าเราคิดชั่ว พูดชั่ว แต่เราไม่ทำชั่ว เราก็ชนะ ๑ ใน ๓
ถ้าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วด้วย เราแพ้ทุกประตู
ถ้าไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว เราชนะทุกประตู ไปเลือกเองว่าจะเอาอะไร

มาทุกเวลาแหละ กิเลสไม่เคยปล่อยเรา กินเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง กินเราหมด ส่วนเราเองก็เกรงใจเหลือเกิน ขอเอาคืนวันหนึ่ง เช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมง หรือไม่ก็เช้า ๒๐ นาที เย็นครึ่งชั่วโมง รู้สึกว่าเราดีเหลือเกิน เราเป็นคนมีเมตตา กลัวกิเลสจะเศร้าหมอง คอยให้อภัย มีโอกาสชนะได้ก็บี้กิเลสให้ตายไปเลยสิ


ถาม : ..(ไม่ชัด)...
ตอบ : ไม่ใช่ไปเถียงกับเขา ทำอย่างไรจะไม่ให้คิด ก็คือกลับมาอยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้า ถ้าความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจ ก็จะไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว ในเมื่อไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว กรรมใหม่ไม่มี กรรมเก่ามีอยู่แค่นั้นแหละ เดี๋ยวขัด ๆ ปัด ๆ เป่า ๆ ถู ๆ ขนไปทิ้งถังขยะ เดี๋ยวก็หมดไปเอง

เถรี 12-04-2017 21:52

ถาม : ..(ไม่ชัด)...
ตอบ : มีหรือไม่มีไม่เป็นไร ให้ความรู้สึกอยู่ตรงนี้ อย่าไปอดีต อย่าไปอนาคต อย่าไป รัก โลภ โกรธ หลง ไปเถอะ...กลับไปทำ การบ้านที่ให้พอทำได้ตลอดชีวิตเลย

ต่อไปให้รู้ตัวนะ ว่าเราจะวาง รู้ตัวว่าเราจะไม่โกรธ ไม่ใช่รู้ตัวว่ากูจะโกรธ กูจะไม่พูดกับมัน ไอ้นี่เจอหน้ากูต้องด่ามัน ไอ้นี่เจอหน้ากูไม่ชอบใจ กูต้องตำหนิมันให้ได้ กลายเป็นไปเพ่งโทษคนอื่น ไม่เห็นเขาทำอะไรดีสักอย่าง ท้ายสุดคนที่แย่คือเรา เพราะว่าสภาพจิตของเราเศร้าหมองเอง ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุนยับเยิน

ไปเถอะ...พอแล้ว ธรรมะก็เหมือนกับกินข้าว กินมากไปก็ท้องอืด ย่อยไม่ทันหรอก ได้แค่ไหนพอเหมาะพอควรแก่ตัวเองแล้วก็ไปเร่งทำเอา

ในเมื่อสติสุดยอดขนาดนั้นต้องชนะกิเลสได้สิ นี่ดันเอาสติไปช่วยกิเลส

เถรี 12-04-2017 22:04

ถาม : ..(ไม่ชัด)...
ตอบ : แปลว่าไม่มีอะไรให้เรายึดมั่นถือมั่นได้สักอย่าง สองคำนั่นแหละคำเดียวกัน สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน

คำว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ก็คือ ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ เป็นคำที่ใช้แทนกัน ก็แบบเดียวกับนิโรธ ก็คือ ดับสิ้นกิเลสทั้งปวง นิพพาน แปลว่า ธรรมชาติหาความเสียดแทงไม่ได้ คือไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง มาคอยกวนใจอยู่ เป็นคำที่ใช้แทนกันได้


ถาม : ในเรื่องธรรมะเราต้องปล่อยวาง ?
ตอบ : แบกความดีเอาไว้ให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาเราจะได้มีให้วาง ไม่ใช่เราวางทุกอย่างโดยที่ไม่มีอะไรจะวาง แล้วจะวางอย่างไรเล่า ?

แบกความดี เกาะความดีไปก่อน ถ้าวางไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต แต่ถ้าทำความดีถึงที่สุด ปัญญาเกิดแล้ววางได้ แม้แต่ความดีก็จบกันแค่นั้น อนาคตไม่มีอีก

เถรี 18-04-2017 15:39

ถาม : ......(ไม่ชัด).....
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ต้องฝึกอย่างอื่น ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้จริง ๆ ความฟุ้งซ่านจะหมดไป ทุกวันนี้ที่เป็นเพราะยังอยู่ไม่ได้จริง ไปเริ่มต้นทำใหม่ ได้เมื่อไรแล้วมาถาม จะสอนต่อไปให้

เถรี 18-04-2017 15:45

ถาม : ....(ไม่ชัด)..... จิตเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลสมารหลอก แสดงว่าถ้าเราตั้งใจทำจะเกิดผลเร็ว เพราะฉะนั้น...เขาก็เลยหาทางเตะสกัดด้วยการยัดความคิดโง่ ๆ มาใส่หัวเรา ก็แค่เรารู้เท่าทันว่าไม่เป็นอย่างนั้นก็จบแล้ว ไป...ไปเริ่มทำใหม่ รักษาอารมณ์ได้เมื่อไรแล้วค่อยมาถามต่อ

ถาม : ...(ไม่ชัด).....
ตอบ : ว่าไปเรื่อย ๆ กำหนดความรู้สึกไว้ที่เท้ามากกว่า อย่ากำหนดความรู้สึกไว้ที่คาถามากกว่า ถ้าความรู้สึกอยู่ที่คาถามากกว่าเราจะเดินไม่ได้

เอาลมหายใจก่อน คือเราต้องระงับความฟุ้งซ่านของเราให้ได้ก่อน ถ้าหากว่าอยู่กับลมหายใจได้ ความฟุ้งซ่านหมดไปแล้วค่อยฝึกอย่างอื่นต่อ ถ้าอยากได้ปลาหลายตัวเราจะจับไม่ไหว จับปลาหลายมือก็หลุดหมด

เถรี 18-04-2017 15:49

ถาม : ทำสังฆทานอุทิศให้หมาค่ะ เขาไม่ยอมตายสักทีค่ะ ?
ตอบ : บอกไปว่าไม่ต้องห่วงหรอก จะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาเกิดใหม่กับกูหรอก..!

ถาม : เขาบอกว่า เขาเลือกได้ เลือกที่จะอยู่กับใครก็ได้ เขาทำแบบนั้นได้จริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังของเขาถึงก็ทำได้ แต่กำลังใจของเขายังเกาะเราอยู่

ถาม : ยิ่งกว่าคนหรือคะ ?
ตอบ : ยิ่งกว่าคนอีก กำลังใจเขายังยึดอยู่ เขาไม่ไปเสียอย่างเราจะทำไปอะไรได้ จิตหมาก็คือคน เพียงแต่ว่าอยู่ในร่างหมาเท่านั้นเอง

เถรี 18-04-2017 16:01

ถาม : ถ้าเราจะช่วยชาวบ้านด้วยการทำให้ฝนตก เราต้องแลกกับอะไรบ้าง ?
ตอบ : ก็ทำบุญอุทิศให้ท่านบ่อย ๆ สิ

ถาม : เราต้องเผชิญโชคชะตาอะไรบางอย่างที่โหดร้ายหรือเปล่า ?
ตอบ : ปกติก็โหดร้ายอยู่แล้ว ถือว่าเพิ่มความสะดวกในท่ามกลางความโหดร้าย จะไปเดือดร้อนอะไร มีชีวิตใครไม่โหดร้ายบ้างวะ ?

ถาม : จะโหดร้ายกว่าเดิมไหม ถ้าเราจะอดน้ำสักสามสี่วัน ?
ตอบ : แล้วทำไมเราต้องไปอด ?

ถาม : เพราะเราขอน้ำให้คนอื่นเขา ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไปเป็นเรื่องอื่นแทน เพราะว่าเราไปผ่อนคลายกฎของกรรมของคนหมู่มาก เขาเดือดร้อนเรื่องอะไร เราก็จะเดือดร้อนเรื่องนั้นแทน แต่ไม่เห็นครูบาอาจารย์ท่านจะถือสาหาความอะไร ท่านก็ทำของท่านไปเรื่อย ท่านถือว่าสงเคราะห์ญาติโยม ถึงตัวเองจะลำบากบ้างก็สมควร

เถรี 18-04-2017 16:07

ถาม : (มโนมยิทธิ)
ตอบ : พิสูจน์...! หาทางพิสูจน์กับสิ่งที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ อย่างเช่นว่านั่งอยู่ข้างถนน หลับตาทำใจสบาย ๆ เสียงรถวิ่งมาให้ถามตัวเองว่ารถคันนี้สีอะไร ? พอได้คำตอบก็ลืมตาดู ถ้าถูกให้จำว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าผิดไม่ต้องจำ ซักซ้อมอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ความชำนาญคล่องตัวจะมีมากขึ้น แล้วเราจะแยกแยะออกเอง ถ้าหากว่าไม่พิสูจน์ก็มั่วไปเรื่อย โอกาสผิดมีมากกว่าถูก

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องใส่ใจ รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ เรื่องของภาพและเสียงโอกาสพาเราเสียมีมากกว่าดี เนื่องจากว่าสันดานคนมีอยู่อย่างหนึ่งที่แก้ไม่ได้เลยก็คือ กูเห็น กูได้ยิน กูเลยเชื่อ ในเมื่อกูเห็น กูได้ยิน กูเลยเชื่อ ก็เลยไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นหรือได้ยินนั้น...ไม่ใช่ของจริง

อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเห็นคนเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แล้วจะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขาถ่ายหนังอยู่ ที่เราเห็นนั้นเราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นจริงนั้นไม่จริง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว