กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2781)

เถรี 07-07-2011 20:58

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔
 
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง เป็นการระบายลมหยาบออกให้หมด หลังจากนั้นก็กำหนดรู้ลมหายใจตามปกติ

หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ว่าตอนนี้ลมผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ว่าตอนนี้ลมออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก

สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนนี้ วันนี้มีญาติโยมหลายท่านมาทำบุญ พอสอบถามดูจึงทราบว่าเป็นวันหยุดประจำภาคของธนาคาร ทำให้ท่านทั้งหลายสามารถที่จะมาทำบุญในวันหยุดได้

วันหยุดประจำภาคของธนาคารนั้น ถือว่าเป็นวันหยุดของทางโลก ทำให้เราได้พักผ่อนหนึ่งวัน แต่ว่าการพักของเรานั้น เป็นการพักทางกาย ถ้าพักเฉพาะทางกายโดยที่ใจไม่ได้พัก เราจะรู้สึกว่าพักเท่าไรก็ไม่หายเหนื่อยเสียที เป็นความเหนื่อยลึก ๆ อยู่ข้างใน บางทีเหนื่อยล้าจนบอกไม่ถูก อยากจะนอนสัก ๓ วัน ๓ คืนก็ดี นั่นเป็นสาเหตุจากว่าใจของเราไม่ได้พัก ใจของเรานั้นคิดฟุ้งซ่านส่งส่ายอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น ทำให้ไม่มีเวลาพักเลย ดังนั้น..การที่จะให้ใจได้พักนั้น เราต้องรู้จักหยุด

สำหรับการที่จะหยุดกำลังใจนั้น ก็คือหยุดความคิดคำนึง หรือว่าหยุดอยู่กับปัจจุบัน การที่เราจะหยุดอยู่กับปัจจุบันนั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราเกาะอยู่กับลมหายใจ ไหลเข้าไป ผ่านอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจ ไหลออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก

ให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจตรงนี้ อย่าเคลื่อนไปไหน ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่นเมื่อใดก็ให้ดึงกลับมาตรงนี้ ถ้าอย่างนี้จะเป็นการหยุดในเบื้องต้น ทำให้สภาพจิตของเราได้หยุดพักเช่นเดียวกับร่างกาย

เถรี 09-07-2011 22:36

สมาธิทรงตัวสูงมากเท่าไร ความสงบนิ่งของจิตยิ่งมีมากเท่านั้น ก็แปลว่าเราได้หยุดพักมากเท่านั้น แต่ว่านี่เป็นการหยุดแค่ในสภาพความฟุ้งซ่านของจิตเท่านั้น ยังไม่สามารถที่จะเชื่อถือได้ เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไรก็จะฟุ้งอีก

เราต้องไปพิจารณาเห็นโทษว่า การที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดนั้น สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราอย่างไร ตาเห็นรูป ถ้าหากว่าชอบใจก็อยากได้อยากมี ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหามา เป็นการสร้างความทุกข์ให้แก่เรา ถ้าไม่ชอบใจก็จะขับไสไล่ส่ง ก็เป็นการสร้างความทุกข์ให้แก่เรา

หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสก็เช่นกัน ก็จะเลือกเอาสิ่งที่ชอบใจ และผลักไสไล่ส่งสิ่งที่ไม่ชอบใจ สิ่งที่เราชอบใจนั้นเป็นส่วนของราคะและโลภะด้วย ส่วนที่ไม่ชอบใจนั้นเป็นส่วนของโทสะ ก็แปลว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ล้วนแต่สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราทั้งคู่

ดังนั้น..ทันทีที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสนั้น เราต้องหยุดให้ทัน อย่าให้เข้าไปสู่ใจ อย่าให้ใจนำไปนึกคิดปรุงแต่งได้ ถ้าเราหยุดไม่ทันก็จะสร้างทุกข์สร้างโทษ สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับสภาพจิตใจของเรา เพราะปรุงแต่งไม่หยุด แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน หยุดโดยไม่นึกคิดปรุงแต่งได้ สภาพจิตก็จะได้รับการพักอย่างแท้จริง

เถรี 11-07-2011 03:11

การที่เราจะหยุดไม่ให้นึกคิดปรุงแต่งได้นั้น เราจะต้องมีครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งศีล สมาธิ และปัญญา การที่เราควบคุม กาย วาจา ของเราให้อยู่ในกรอบของศีลได้ ก็แปลว่าสติของเราต้องมั่นคงอยู่ในระดับหนึ่ง ถ้าสติมั่นคงก็จะสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อสมาธิทรงตัวมั่นคงได้ระดับอัปปนาสมาธิอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ก็จะเป็นพื้นฐานในการสร้างปัญญาให้เกิด

เราก็ใช้กำลังของสมาธิและปัญญาที่เกิดขึ้นนั้น มาพิจารณาให้เห็นว่า การที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสนั้น ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม ล้วนแต่เป็นไปเพื่อทุกข์ทั้งสิ้น ชอบใจก็ต้องเหนื่อยยากดิ้นรนไปไขว่คว้าหามา ไม่ชอบใจก็ต้องผลักไสไล่ส่งออกไป สร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่เราโดยไม่รู้จบ

ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะหยุดอยู่กับปัจจุบัน การที่จะไปปรุงแต่งอีกก็จะหยุด ถ้าหากว่าเราหยุดคิดได้เมื่อไร หยุดการปรุงแต่งได้เมื่อไร ทุกอย่างก็จะหยุดหมด ดับหมด นิโรธคือการเข้าถึงความดับอย่างแท้จริง คือการดับทุกข์ ดับกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมทั้งปวง จะปรากฏขึ้นแก่เรา

บุคคลที่เข้าถึงตรงนี้ เราจะมีพระนิพพานเป็นที่พึ่ง เราจะมีพระนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า จะไม่คิดดิ้นรนอยากได้ใคร่ดีต่อสิ่งใดอีก กระทำทุกอย่างเพียงเป็นไปตามหน้าที่เท่านั้น ดีก็ไม่ได้ใส่ใจ ชั่วก็พยายามละเว้น ถ้าอย่างนี้ท่านทั้งหลายก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนอมตะ ปราศจากความทุกข์ทั้งปวงได้

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔

พรศักดิ์ 19-07-2011 21:28

ขออนุญาตนำไปให้พ่อและแม่อ่านนะครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:12


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว